วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 02:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข) คาถาที่ ๒ คือตอนกลาง

เมื่อทรงแสดงหลัก และลักษณะสำคัญที่เป็นจุดปรากฏของศาสนาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักขั้นปฏิบัติการของพระพุทธศาสนา โดยตรัสต่อไปว่า

สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา

สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ

การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การทำความดี หรือกุศลให้ถึงพร้อม ๑ การทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์นี้ แต่พระองค์ตรัสว่า พุทูธานํ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็สอนอย่างนี้หมด


คาถานี้ เป็นคาถาที่ชาวพุทธรู้จักมากที่สุด และพระก็นิยมเอามาย้ำ เพราะเป็นหลักที่จะนำไปปฏิบัติ คาถาที่หนึ่งข้างต้นนั้น แสดงลักษณะสำคัญของพระพุทธศาสนา
ส่วนคาถาที่สองนี้ เป็นคำสอนภาคปฏิบัติเลยว่า คนเราจะต้องทำอะไรบ้าง

๑. ไม่ทำชั่ว
๒.ทำความดี
๓. ทำใจให้ผ่องใส

สามอย่างนี้จำกันได้ดี (จะอธิบายอีกทีตอนท้ายๆ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ค) คาถาที่ ๓ (กับครึ่งคาถา) คือตอนท้าย

จากนั้นถึงท่อนที่ ๓ อีกคาถากับครึ่งสุดท้าย เรียกว่าอีกคาถากึ่งมีว่า

อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ

คำสอนส่วนนี้เป็นท่อนที่ถือกันวา เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า สำหรับพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา ว่าควรจะประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร คือ เมื่อได้คำสอนที่จะสอนเขาแล้ว ตัวผู้ที่จะสอน เขา หรือนำคำสอนไปเผยแผ่นี้ ควรจะดำเนินชีวิต และมีวัตรปฏิบัติอย่างไร ก็มีหลักการว่า

อนูปวาโท การไม่กล่าวร้าย ๑
อนูปฆาโต การไม่ทำร้าย ๑

พระที่จะไปสอนเขานี่ ต้องเป็นตัวอย่าง ไม่กล่าวร้ายใคร ไม่ทำร้ายใคร

ปาติโมกฺเข จ สํวโร แปลว่า สำรวมตนในปาฏิโมกข์

ปาฏิโมกข์ คือ วินัยแม่บท ได้แก่ ประมวลข้อกำหนดความประพฤติ ที่เป็นระเบียบกฎเกณฑ์ข้อบังคับในการดำเนินชีวิตของพระภิกษุ เพื่อรักษาแบบแผนหรือมาตรฐานแห่งความเป็นอยู่ที่เหมาะสม และอื้อต่อการเจริญในไตรสิกขาของพระภิกษุ

ในข้อนี้ พระภิกษุจะต้องมีความสำรวมระวัง ตั้งใจที่จะดำรงตนอยู่ในปาฏิโมกข์หรือในศีลแม่บท ที่ปัจจุบันนี้เราเรียกกันว่า ศีล ๒๒๗

มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ แปลว่า ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร คือ ต้องรู้จักกินพอดี หมายความว่า บริโภคด้วยความรู้เข้าใจวัตถุประสงค์โดยใช้ปัญญา ไม่ใช่กินอาหารเพียงเพื่อจะเอร็ดอร่อย เพื่อตามใจอยาก ตามใจลิ้น

โดยเฉพาะพระสงฆ์ เป็นผู้ดำเนินชีวิตด้วยอาศัยญาติโยมเลี้ยง ต้องอาศัยผู้อื่นเป็นอยู่ เพราะฉะนั้น จะต้องทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย เป็นอยู่ง่ายๆ ไม่มัววุ่นวายครุ่นคิดและใช้แรงงานใช้เวลาให้หมดไปกับการแสวงหาสิ่งเสพบริโภค ไม่เฉพาะอาหารเท่านั้น ปัจจัย ๔ อื่นก็เช่นเดียวกัน คือ ไม่มามุ่งหาความสุขสำราญจากเรื่องของวัตถุนั่นเอง

การกินอาหาร เป็นเรื่องใหญ่ของมนุษย์ ฉะนั้น ท่านจึงจับจุดแรก ให้รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร ให้กินด้วยปัญญาที่รู้คุณค่าที่แท้จริง ที่เป็นวัตถุประสงค์ของการกิน ว่าเกินเพื่ออะไร คือกินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี จะได้ใช้ร่างกายนี้ดำเนินชีวิตที่ดีงาม อย่างที่ท่านเรียกว่า เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ คือเพื่อเกื้อหนุนการที่จะมีชีวิตที่ดีงามประเสริฐ และจะได้ทำหน้าที่นำธรรมไปสั่งสอนประชาชนได้

นี้เป็นหลักการที่เรียกว่า มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร
ปนฺตญฺจ สยนาสนํ รู้จักอยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด ไมใช่มัววุ่นวายออกไปคลุกคลีกับหมู่ชาวบ้าน จนไม่รู้จักหาความสงบ ไม่ปลีกตัวออกไป หาเวลาหาโอกาสพัฒนาจิตใจและปัญญา

พระสงฆ์จะต้องให้เวลาแก่การพัฒนาทางด้านจิตใจและปัญญาให้มาก เมื่อแสวงหาที่สงัดเป็นที่วิเวกได้แล้ว ก็เป็นบรรยากาศที่เอื้อต่อการที่จะพัฒนาจิตใจ ด้วยการเจริญจิตภาวนา แล้วก็ก้าวไปสู่การทำปัญญาภาวนา

จุดสำคัญก็คือ จะต้องมีที่อยู่ที่เหมาะ รู้จักหลีกเร้น นับว่าเป็นข้อปฏิบัติอย่างหนึ่งที่สำคัญ เมื่อจะไปทำงานสั่งสอนหมู่ประชาชน เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชาวบ้าน จะต้องไม่ละทิ้งการอยู่ในที่สงัด เพื่อเป็นฐานที่มั่นคงอยู่ภายใน จะได้ไม่ถูกดูดถูกกลืนเข้าไปในสภาพที่ยุ่งเหยิงของสังคมภายนอก


พระพุทธเจ้าเองทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ พระองค์เสด็จไปสั่งสอนประชาชน ต้องไปยุ่งเกี่ยวเที่ยวเสด็จไปพบคนโน้นคนนี้ ไปโปรดคนโน้นคนนี้ เป็นกษัตริย์บ้าง เป็นพราหมณ์บ้าง เป็นพ่อค้า เป็นชาวนา เป็นอะไรต่างๆมากมาย แต่พระองค์ก็ไม่ละทิ้งความสงัด พอได้โอกาสพระองค์ก็เสด็จไปประทับในที่วิเวก หาความสงบเป็นแบบอย่าง เพราะฉะนั้น จึงไม่ให้ทิ้งข้อปฏิบัตินี้


อธิจิตฺเต จ อาโยโค พอได้ที่สงัดแล้ว ก็ประกอบในอธิจิต ใส่ใจในการฝึกฝนจิตใจยิ่งขึ้นไป พระสงฆ์ทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา เป็นผู้ที่นำประชาชนในการพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา แต่แบบอย่างที่สำคัญของพระ ก็คือเรื่องทางด้านจิตใจ เรื่องคุณธรรม


ในด้านนี้ พระสงฆ์ควรจะให้เขาเห็นแบบอย่างว่า เมื่อพระท่านพัฒนา มีจิตใจที่ประณีตงดงามแล้ว ดีอย่างไร ท่านมีความสุขทางจิตใจ โดยพึ่งพาอาศัยวัตถุน้อย ท่านอยู่ได้อย่างไร มีชีวิตที่เป็นสุได้อย่างไร เป็นแบบอย่างแก่ประชาชน


ถ้าพระสงฆ์ไม่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ คำสอนก็อาจจะได้ผลน้อย แต่ถ้าพระสงฆ์ดำเนินชีวิตตามหลักที่ว่ามาในคาถากึงสุดท้ายนี้ ก็จะเป็นแนวทางและเป็นคติแก่ประชาชน พร้อมกันนั้นก็ทำให้ประชาชนมีความหวัง และมีความศรัทธาเลื่อมใสต่อพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ผลดีต่อไปด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทั้งหมดนี้รวมเป็นสามคาถากึ่ง จัดเป็นสามตอน ขอทวนอีกครั้ง

คาถาที่ ๑ แสดงลักษณะทั่วไปของพระพุทธศาสนา ที่เป็นจุดแสดงออกหรือจุดปรากฏ ทางด้านข้อความประพฤติ จุดหมาย รวมทั้งลักษณะของพระสงฆ์ หรือ บรรพชิต

คาถาที่ ๒ กล่าวถึงหลักคำสอน ที่เป็นบทสรุปของภาคปฏิบัติโดยตรง ที่เราเรียกกันว่า หัวใจพระพุทธศาสนา

คาถาที่ ๓ ซึ่งยาวหน่อย แสดงข้อปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของพระภิกษุผู้ทำหน้าที่ในการเผยแผ่ธรรม สั่งสอนประชาชนต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุยกะโฮฮับบางครั้งคิดว่าคุยกับคนประสาท ไม่รู้อะไรต่ออะไรนัก มั่วไปหมด พอแล้วนะจะไปไหนก็ไปเถอะรำคาญ กรัชกายจะได้ลงหัวนี้ข้อให้จบให้ต่อเนื่อง


วันไหนถึงคิวนัดคุยกับหมอ ก็ถามหมอเขาดูว่า...ใครมันบ้า

กรัชกาย เขียน:

นำเฉพาะบาลีมาเพื่อให้โฮฮับดูก่อน เพราะกรัชกายเคยพูดกับโฮฮับว่า ศัพท์ทางธรรมเป็นภาษาบาลี เขามีความหมายของเขา เราต้องเข้าใจความหมายของเขา แต่โฮฮับกล่าวแย้งอะไรนักก็ไม่รู้
ดังนั้น พี่โฮเข้ามาว่าให้ฟังหน่อยนั่น :b1:


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวใจเดียว แต่มีสี่ห้อง


ใน ๓ ส่วนนี้ ได้บอกแล้วว่า ส่วนที่ชาวพุทธรู้จักกันดีที่สุดคือ คาถาสั้นๆว่า

สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ

แปลอีกครั้งหนึ่งว่า การไม่ทำความชั่วทั้งปวง หรือการไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลหรือความดีให้ถึงพร้อม การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

อันนี้ เรามักเรียกกันว่า หัวใจพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า หัวใจพระพุทธศาสนานี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสบอกไว้ เรามาเรียกกันเองในยุคหลัง

ทีนี้ ต่อมาชาวพุทธก็ชักเถียงกันว่า เอ อันไหนจะเป็นหัวใจพระพุทธศาสนากันแน่

-บางท่านก็บอกว่า ก็อริยสัจ ๔ ซี่

- บางท่านก็บอกว่า ต้องพุทธพจน์ที่บอกว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย (ธรรมทั้งปวงไม่ควรแก่การยึดมั่น หรือ ธรรมทั้งปวงไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้)

-บางท่านก็เอาพุทธพจน์อีกแห่งหนึ่งที่ตรัสไว้ว่า ทั้งในกาลก่อน และบัดนี้ เราสอนเพียงอย่างเดียว คือ ทุกข์และความดับทุกข์ บอกว่า นี่แหละ หัวใจพระพุทธศาสนา

ชาวพุทธบางทีก็เลยเถียงกัน

ขอโอกาสชี้แจงว่า อย่ามัวไปเถียงกันเลย เพราะ คำว่า หัวใจพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้เดิม เรามากำหนดกันขึ้น

แต่ให้สังเกตว่า ในพุทธพจน์แห่งโอวาทปาฏิโมกข์นี้ มีคำสรุปท้ายว่า เอตํ พุทฺธาน สาสนํ “นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย” คล้ายๆว่า เป็นคำสรุปของพระพุทธเจ้าเองว่า นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งพระเอง และพระพุทธเจ้าอื่นด้วย

ฉะนั้น การที่จะบอกว่าอันนี้เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่เราอย่าไปยึดมั่นว่า ต้องคาถานี้เท่านั้น จึงจะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เดี๋ยวจะยุ่ง มัวแต่เถียงกันวุ่นไป

ถ้าวิเคราะห์ออกไปแล้ว คาถานี้ ที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เป็นคำการสรุปคำสอนภาคปฏิบัติ เป็นหัวใจได้ แต่เป็นหัวใจภาคปฏิบัติ คือ เป็นเรื่องของการลงมือกระทำ

แต่คำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าจะมองให้ครบจริงๆ มีทั้งภาคที่เป็นตัวหลักความรู้ และภาคปฏิบัติ
ถ้าเรียกด้วยภาษาสมัยนี้ ก็เรียกว่า ภาคทฤษฎีด้วย ภาคปฏิบัติด้วย จึงจะครบ แต่ก็ไม่อยากใช้คำว่า ทฤษฎี เพราะทฤษฎีเป็นศัพท์สมัยใหม่ มีความหมายของเขาอีกแบบหนึ่ง เราอย่าไปยุ่งเลย

เป็นอันว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า มิได้มีเฉพาะภาคปฏิบัติลงมือทำอย่างเดียว ถ้าไปดูคำสอนที่กว้างออกไป ก็จะเห็นหลักที่เรียกว่าอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์ ก็ไม่ใช่ข้อปฏิบัติ ท่านบอกว่า ทุกข์ นั้น เป็นสิ่งที่ต้องรู้ หรือรู้จัก
สมุทัย เป็นสิ่งที่ต้องละ ก็ไม่ใช่ข้อปฏิบัติอีก
นิโรธ เป็นสิ่งที่ต้องเข้าถึง ก็ไม่ใช่ตัวการปฏิบัติ สุดท้าย
มรรค จึงเป็นข้อปฏิบัติ เป็นอันว่า ข้อปฏิบัติมาอยู่ในอริยสัจข้อสุดท้าย คือข้อที่สี่

พอไปถึงอรรถกถา ท่านจะโยงให้เสร็จเลยว่า การไม่ทำชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสนั้น ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ที่ไหน เอามรรคมีองค์ ๘ มาสรุปก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ตกลงว่า คาถานี้ ที่ว่าไม่ทำชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ ก็อยู่ในอริยสัจข้อ ๔ คือ มรรคนั่นเอง


ฉะนั้น หลักโอวาทปาฏิโมกข์นี้ จึงเล็กกว่าหลักอริยสัจ เพราะไปอยู่แค่ในข้อที่ ๔ ของอริยสัจ อริยสัจนั้น คลุมหมด มีข้อปฏิบัติพร้อมอยู่ด้วย ได้แก่ ข้อที่ ๔ คือ มรรค ซึ่งมีองค์ ๘ ประการ


สรุปมรรคมีองค์ ๘ เหลือ ๓ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา พูดภาษาชาวบ้านให้ง่าย ก็บอกว่า ไม่ทำชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส นี่แหละ คือการ แปล ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างงาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกเท่าไรไม่รู้จักจำว่า เอาความคิดความเห็นใครเขามาโพส

มันต้องให้เครดิตบอกที่มา เจ้าของความเห็นหรือเจ้าของความรู้เขาด้วย

ศีลธรรมเบื้องต้นมันยังทำไม่ได้ ดันสะเออะมาสอนธรรมชาวบ้าน :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย โฮฮับ เมื่อ 10 ก.พ. 2014, 15:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1375241010-1370203825-o.gif
1375241010-1370203825-o.gif [ 497.16 KiB | เปิดดู 2786 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุยกะโฮฮับบางครั้งคิดว่าคุยกับคนประสาท ไม่รู้อะไรต่ออะไรนัก มั่วไปหมด พอแล้วนะจะไปไหนก็ไปเถอะรำคาญ กรัชกายจะได้ลงหัวนี้ข้อให้จบให้ต่อเนื่อง


วันไหนถึงคิวนัดคุยกับหมอ ก็ถามหมอเขาดูว่า...ใครมันบ้า

กรัชกาย เขียน:

นำเฉพาะบาลีมาเพื่อให้โฮฮับดูก่อน เพราะกรัชกายเคยพูดกับโฮฮับว่า ศัพท์ทางธรรมเป็นภาษาบาลี เขามีความหมายของเขา เราต้องเข้าใจความหมายของเขา แต่โฮฮับกล่าวแย้งอะไรนักก็ไม่รู้
ดังนั้น พี่โฮเข้ามาว่าให้ฟังหน่อยนั่น


ไม่ได้มีหลักมีเกณฑ์อะไรเลย มั่วไปทั่ว คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุยกะโฮฮับบางครั้งคิดว่าคุยกับคนประสาท ไม่รู้อะไรต่ออะไรนัก มั่วไปหมด พอแล้วนะจะไปไหนก็ไปเถอะรำคาญ กรัชกายจะได้ลงหัวนี้ข้อให้จบให้ต่อเนื่อง


วันไหนถึงคิวนัดคุยกับหมอ ก็ถามหมอเขาดูว่า...ใครมันบ้า

กรัชกาย เขียน:

นำเฉพาะบาลีมาเพื่อให้โฮฮับดูก่อน เพราะกรัชกายเคยพูดกับโฮฮับว่า ศัพท์ทางธรรมเป็นภาษาบาลี เขามีความหมายของเขา เราต้องเข้าใจความหมายของเขา แต่โฮฮับกล่าวแย้งอะไรนักก็ไม่รู้
ดังนั้น พี่โฮเข้ามาว่าให้ฟังหน่อยนั่น


ไม่ได้มีหลักมีเกณฑ์อะไรเลย มั่วไปทั่ว คิกๆๆ


กรัชกายมีหลักเกณท์นักหรือ เล่นโขมยความรู้ชาวบ้านเขามาโพส

ไม่อายคนก็อาย พ่อเล็บงามมันบ้าง :b32:


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะฉะนั้น วันมาฆบูชานี้ พูดในแง่หนึ่งก็คือ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักคำสอนให้ง่าย โดยทรงยกเอา ศีล สมาธิ ปัญญา มาตรัสในรูปแบบหนึ่งนั่นเอง

เมื่อเราเห็นตำแหน่งแห่งที่ของคำสอนมาโยงกันอย่างนี้ ก็เลิกเถียงกันได้ ไม่ต้องมาเถียงกันให้ยุ่ง แล้วก็ยังรู้ด้วยว่า อันไหนอยู่ที่ไหน

ในพระสูตรหลายสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเล่าลำดับการตรัสรู้ของพรองค์ว่า พอได้ฌาน ๔ แล้ว จิตเป็นสมาธิ เป็นกัมมนียัง พร้อมที่จะทำงาน พระองค์ก็โน้มจิตไป เพื่อรู้อริยสัจ ก็ตรัสรู้อริยสัจ

ความสำคัญของการตรัสรู้อริยสัจนี้ ทำให้ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือขึ้นเล่มหนึ่งชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร คำตอบก็คือ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นคำตอบที่เอามาจากพุทธพจน์เอง

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ก็แสดงว่า อริยสัจ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ใช่ไหม เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็มาโยงกันเข้ากับเรื่องการไม่ทำชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส ซึ่งเป็นหลักการที่อยู่ในข้อมรรค เพราะฉะนั้น อริยสัจ ๔ จึงคลุมหมด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าต่อไป ถึงพุทธพจน์ที่ว่า “ทั้งในกาลก่อน และบัดนี้ เราสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับทุกข์”

มาดูกันว่า ทุกข์ และความดับทุกข์ อยู่ที่ไหนล่ะ ก็อยู่ในอริยสัจ นั่นแหละ

ทุกข์ และกำเนิดแห่งทุกข์ หรือ ทุกข์และเหตุเกิดแห่งทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ และทุกขสมุทัย นั้น ในเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสสั้นๆ พระองค์ตรัสรวมไว้ในข้อเดียวกัน คือ ข้อว่าด้วยทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ จัดเข้าเป็นข้อหนึ่ง

ส่วน การดับทุกข์ ก็หมายถึง นิโรธและมรรค เอาทั้งความดับทุกข์และวิธีดับทุกข์นั้นรวมไว้ด้วยกันเสร็จ

เพราะฉะนั้น อริยสัจ ๔ ก็เลยจัดรวมเป็น ๒ หัวข้อใหญ่ นี่ก็เป็นวิธีพูดย่อ


ต่อไป สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย อันนี้เป็นการตรัสแสดงความจริงของสิ่งทั้งหลายในแง่ว่า เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้ เพราะมันเป็นอยู่เป็นไปตามธรรมดาของมัน ถ้าเป็นสังขาร มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน เป็นต้น มันไม่เป็นไปตามความอยากความปรารถนาของใคร ถ้าใครไปยึดมันจะให้เป็นตามใจของตัว โดยไม่ใช้ปัญญา ที่จะทำตามเหตุปัจจัย ก็จะถูกบีบคั้นฝืนใจกลายเป็นความทุกข์

แล้วก็โยงมาสู่การปฏิบัติว่า เมื่อสิ่งทั้งหลายไม่อาจจะถือมั่นได้ เราก็อย่าเอาตัณหาอุปาทานไปถือมั่นมัน แต่ต้องปฏิบัติต่อมันด้วยปัญญา ก็เลยโยงระหว่าง ตัวสภาวะอันเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ กับ ข้อปฏิบัติอันจะไม่ให้เกิดทุกข์ ที่เรียกว่า มรรค เข้าด้วยกัน

ฉะนั้น ไม่ว่าพูดแง่ไหน คำสอนในพระพุทธศาสนา ก็โยงกันหมด ไม่ต้องเป็นห่วง ใครจะมาบอกว่า ไ ไม่ทำชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส เป็นหัวใจพระพุทธศาสนา ก็ไม่ต้องไปเถียงกัน เถียงกันก็เสียเวลา เราก็ว่าถูกๆไม่ผิด ถ้าเขาบอกว่า อริยสัจ ๔ ก็ถูกอีกแหละ เพราะว่าเรารู้ในใจ เราโยงได้หมดแล้ว

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ก่อนจะเสด็จไปสั่งสอน ทรงปรารภว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ยาก คนที่จะรู้ตามได้จะมีน้อย สิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ซึ่งคนอื่นจะรู้ตามได้ยากนี้ ได้แก่อะไร ตอนนั้น พระองค์ก็ตรัสไว้เลยเหมือนกัน พระองค์ตรัสว่า ได้แก่ อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน ก็สองอย่างเหมือนกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ทุกข์ และทุกขสมุทัย

นิพพาน ก็คือ นิโรธ แล้วก็รวมเอา หรือ เล็งเอามรรคเข้าไปด้วย เพราะเป็นข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงนิพพาน แต่ในที่นี้ตรัสเฉพาะสภาวธรรม

เป็นอันว่า เวลาตรัสแสดงคำสอนของพระพุทธศาสนา ในส่วนสาระสำคัญ อย่างที่เรียกว่าเอาเฉพาะหลักการแท้ๆ ตามสภาวะ ก็ทรงระบุอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน นี่แหละคือหัวใจตัวจริงแท้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง พระพุทธเจ้าตรัสปรารภกับพระองค์เอง ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเข้าใจหรือไม่

แต่ในเวลานำมาแสดงแก่ประชาชน ต้องแสดงในรูปอริยสัจ ก็คือเอาอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน นั่นแหละ มาแสดงในรูปที่จะสื่อกับประชาชนได้ เรียกว่า เรรียกว่า เป็นอริยสัจ ๔ ประการ จึงถือว่า อริยสัจนั้น คือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงในรูปลักษณะที่จะให้คนทั้งหลายรู้เข้าเข้าใจ และนำไปประพฤติปฏิบัติได้


เพราะฉะนั้น อริยสัจ จึงเป็นวิธีสอนของพระพุทธเจ้าไปด้วย วิธีสอนต่างๆที่จะได้ผลดี จะเห็นว่า แม้แต่ยุคปัจจุบันก็ต้องใช้หลักอริยสัจ ๔ แม้แต่พวกที่เป็นนักปลุกระดม ก็ต้องใช้วิธีตามแนวอริยสัจ ๔

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpg
images.jpg [ 9 KiB | เปิดดู 2784 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุยกะโฮฮับบางครั้งคิดว่าคุยกับคนประสาท ไม่รู้อะไรต่ออะไรนัก มั่วไปหมด พอแล้วนะจะไปไหนก็ไปเถอะรำคาญ กรัชกายจะได้ลงหัวนี้ข้อให้จบให้ต่อเนื่อง


วันไหนถึงคิวนัดคุยกับหมอ ก็ถามหมอเขาดูว่า...ใครมันบ้า

กรัชกาย เขียน:

นำเฉพาะบาลีมาเพื่อให้โฮฮับดูก่อน เพราะกรัชกายเคยพูดกับโฮฮับว่า ศัพท์ทางธรรมเป็นภาษาบาลี เขามีความหมายของเขา เราต้องเข้าใจความหมายของเขา แต่โฮฮับกล่าวแย้งอะไรนักก็ไม่รู้
ดังนั้น พี่โฮเข้ามาว่าให้ฟังหน่อยนั่น


ไม่ได้มีหลักมีเกณฑ์อะไรเลย มั่วไปทั่ว คิกๆๆ


กรัชกายมีหลักเกณท์นักหรือ เล่นโขมยความรู้ชาวบ้านเขามาโพส

ไม่อายคนก็อาย พ่อเล็บงามมันบ้าง :b32:



เล็บงาม งดงามอ่อนช้อย หมายถึงเล็บมโนราห์หรอขอรับ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉะนั้น ในวงการการศึกษาเวลานี้จึงยอมรับมาก ในเรื่องวิธีสอนแบบอริสัจ ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของวิธีสอนทุกอย่าง พระพุทธเจ้าทรงนำเอาสัจธรรมมาแสดงแก่มนุษย์ ในรูปที่เรียกว่า อริยสัจ ๔

ที่จริง สาระสำคัญที่พระองค์ต้องการ คือ อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน นี่เอง แต่พอมาสื่อกับประชาชน ใช้อริยสัจ ๔ เพื่อให้เป็นสิ่งที่เขาปฏิบัติได้

การสอนนั้นต้องเริ่มจากสิ่งที่มองเห็น สิ่งที่ปรากฏ หรือสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งยาก จึงเริ่มจากปัญหา ทั้งๆที่หลักอริยสัจนั้น สอนย้อนจากผลมาหาเหตุ

ธรรมดาว่า ในสิ่งทั้งหลาย เหตุเกิดก่อนแล้วจึงมีผล แต่ในอริยสัจนี่ พูดถึงผลก่อน แล้วจึงสาวไปหาเหตุ

- คู่ที่หนึ่ง ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ
- คู่ที่สอง นิโรธเป็นผล มรรคเป็นแหตุ

ยกผลมาพูดก่อนเหตุ ทั้งสองชุด การที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ จ้ต้องมีเหตุผลในการตรัส

ขออธิบายว่า อยู่ๆ ถ้าพระพุทธเจ้าจะไปตรัสถึงเหตุของทุกข์ก่อน ก็จะไม่มีใครฟัง อยู่ๆจะไปพูดถึงเหตุของทุกข์ โดยยังไม่พูดถึงตัวทุกข์ได้อย่างไร ก็ต้องพูดถึงปัญหา พูดถึงตัวความทุกข์ ชี้ถึงสภาพที่ปรากฏ หรือปรากฏการณ์ที่มองเห็นเสียก่อน

พอเราพูดถึงเรื่องของเขาว่า อ้อ คุณมีปัญหาอย่างนี้ มีทุกข์อย่างนี้ ก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา เขาก็สนใจ พอเขาสนใจแล้ว ก็พูดต่อไปว่า อ้าว ถ้าคุณจะแก้ไข คุณจะต้องรู้เหตุ และกำจัดเหตุของมันนะ ทีนี้ ก็มาพูดถึงเหตุของมัน

นี่แหละ คือการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีความประเสริฐในลักษณะต่างๆ ในความเป็นพระศาสดานั้น นอกจากตรัสรู้ธรรมความจริงแล้ว จะต้องสามารถในวิธีการสั่งสอนด้วย
ความสำเร็จของพระพุทธเจ้า อยู่ที่ความสามรรถทั้งสองด้านนี้ จึงเรียกพระองค์ว่าเป็น สัมมาสัมพุทธะ

ถ้าตรัสรู้ธรรมที่เป็นสัจธรรมอย่างเดียว ก็เป็นแค่พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่เพราะสามารถในการสั่งสอนด้วย จึงเป็นสัมมาสัมพุทธะ




อริยสัจ ๔ นี้ เป็นหลักธรรมที่ประกาศความเป็นพระบรมศาสดา ที่ได้ทั้งตรัสรู้สัจธรรม และทรงสามารถในวิธีการสั่งสอนด้วย

เป็นอันว่า หัวใจพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็โยงกันได้ทั้งหมด ขอให้เข้าใจเสียอย่างเดียว ถ้าเรามีความเข้าใจ อันนี้เป็นฐานแล้ว จะพูดอย่างไรก็ได้ แล้วแต่สถานการณ์

ถ้าพูดกับคนที่ยังไม่สามารถเข้าใจลึกซึ้ง เราก็เอาในแง่ภาคปฏิบัติว่า หัวใจพุทธศาสนา คือ ไม่ทำชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส แค่นี้ก็พอแล้ว พอเข้าเห็นด้วย ก็เอาไปใช้เริ่มปฏิบัติได้เลย หลังจากนั้น จึงค่อยให้ภาคความจริง ว่าด้วยสัจธรรมที่ลึกซึ้งขึ้นไปตามลำดับ
..

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 18:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
โอวาทปาติโมกข์ คือหัวใจของคำสอนของพระพุทธเจ้า

สะ...กุ.....สะ


อริยสัจ 4 คือหัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้า

ทุ....สะ.....นิ.......มะ

smiley
:b27:


โพสต์ เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
โอวาทปาติโมกข์ คือหัวใจของคำสอนของพระพุทธเจ้า

สะ...กุ.....สะ


อริยสัจ 4 คือหัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้า

ทุ....สะ.....นิ.......มะ



อโศกนี่เห็นพุทธธรรมเห็นคำสอนเห็นธรรมะ เป็นแก้วสารพัดนึกนะ :b1: นอนท่องๆแล้วก็สำเร็จสิ่งที่ปรารถนา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร