วันเวลาปัจจุบัน 03 ต.ค. 2025, 19:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งภายนอกและภายใน ล้วนเป็นสภาวะธรรมทั้งสิ้น

ธรรมใดๆ ที่ กระทำแล้ว ไม่เป็นไปเพื่อ การดับเหตุ ของการเกิด

ธรรมนั้นๆ ยังไม่ใช่ แก่น




จูฬสาโรปมสูตร
อุปมานักบวชกับผู้แสวงหาแก่นไม้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี

ครั้งนั้น พราหมณ์ชื่อปิงคลโกจฉะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

ข้าแต่ท่านพระโคดม สมณพราหมณ์พวกนี้ เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิชนเป็นอันมาก
สมมติว่าเป็นคนดี คือ ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะสัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร
พวกนั้นทั้งหมดรู้ยิ่งตามปฏิญญาของตนๆ หรือทุกคนไม่รู้ยิ่งเลย หรือว่าบางพวกรู้ยิ่ง บางพวกไม่รู้ยิ่ง.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลย พราหมณ์ ข้อที่ว่าพวกนั้นทั้งหมดรู้ยิ่งตามปฏิญญาของตนๆ
หรือทุกคนไม่รู้ยิ่งเลย หรือว่าบางพวกรู้ยิ่ง บางพวกไม่รู้ยิ่งนั้น จงงดไว้เถิด

เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงฟังธรรมนั้น จงกระทำไว้ในใจให้ดี
เราจักกล่าว ปิงคลโกจฉพราหมณ์ ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.

[๓๕๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น

บุรุษผู้มีจักษุ เห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น
บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย
ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา

หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกไปเสีย ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น.

บุรุษผู้มีจักษุ เห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น
บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่

เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือกไปเสีย
ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขาจักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา.

หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสีย ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น.

บุรุษผู้มีจักษุ เห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น

บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสีย ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น
และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา.

หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น.

บุรุษผู้มีจักษุ เห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกระพี้ ไม่รู้จักเปลือก ไม่รู้จักสะเก็ด ไม่รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น

บุรุษผู้เจริญนี้ มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น
และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา.

หรืออีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั้นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่น.

บุรุษผู้มีจักษุ เห็นเขาผู้นั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ รู้จักแก่น รู้จักกระพี้ รู้จักเปลือก รู้จักสะเก็ด รู้จักกิ่งและใบ จริงอย่างนั้น

บุรุษผู้เจริญนี้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั่นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่น
และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขาจักสำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด.

[๓๕๕] ดูกรพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า
เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว
ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า
ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ.
เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น.

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม
ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.

เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า
เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่ปรากฏ [หรือมีคนรู้จักน้อย] มีศักดาน้อย.

อนึ่ง เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย

เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้น ที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย
ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น

และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด.
ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น

[๓๕๖] ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า
เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสท่วมทับแล้ว
ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า
ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ.
เขาบวชอย่างนี้แล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น.

เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม
ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น
เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น.

เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญ
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.

เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ.
เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม แล้วด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น.

เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า
เรามีศีล มีกัลยาณธรรม ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม.

อนึ่ง เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย.

เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้น ที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก
ไปเสีย ถากเอาสะเก็ดถือไป สำคัญว่าแก่น

และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด.
ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น.

[๓๕๗] ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า
เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสท่วมทับแล้ว
ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า
ไฉนหนอ ความกระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ.

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น.
เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น.

อนึ่งเขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.

เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ.
เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ.

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม ด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น
เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า

เรามีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิดแล้ว.

เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่าความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น
ทั้งเป็นผู้ประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย.

เปรียบเหมือนบุรุษนั้นที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ไปเสีย
ถากเอาเปลือกถือไป สำคัญว่าแก่น

และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขาฉันใด.
ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น.

[๓๕๘] ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยคิดว่า
เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาสท่วมทับแล้ว
ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า
ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ.

เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น
เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศีลให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น
แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม.

เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น
เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิดพยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย

เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ.
เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จ.

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยม
ด้วยญาณทัสสนะอันนั้น.

เพราะญาณทัสสนะนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า
เรารู้ เราเห็น ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ ไม่รู้ไม่เห็นอยู่.

อนึ่ง เขาไม่ยังฉันทะให้เกิด ไม่พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่าญาณทัสสนะนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน ท้อถอย.

เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้น ที่มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่นไปเสีย ถากเอากระพี้ถือไป สำคัญว่าแก่น

และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้แก่นของเขา จักไม่สำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด.
ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมาฉันนั้น.

[๓๕๙] ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตด้วยคิดว่า
เราเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ท่วมทับแล้ว
ถูกความทุกข์ท่วมทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า
ไฉนหนอ ความกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ.
เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้เกิดขึ้น.

เขาไม่มีความยินดี มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม ด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น.
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อม แห่งศีลให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งศีลอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิดพยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งศีลนั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.
เขาย่อมยังความถึงพร้อมแห่งสมาธิให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม
เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความถึงพร้อมแห่งสมาธิอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิดพยายาม เพื่อทำให้แจ้งธรรมเหล่าอื่นอันยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ความถึงพร้อมแห่งสมาธินั้น
ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย
เขาย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จ.

เขามีความยินดีด้วยญาณทัสสนะนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม.
เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่น เพราะญาณทัสสนะอันนั้น.

อนึ่ง เขายังฉันทะให้เกิด พยายาม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมเหล่าอื่นยิ่งกว่า
และประณีตกว่า ญาณทัสสนะนั้น ทั้งเป็นผู้มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน ไม่ท้อถอย.

ดูกรพราหมณ์ ก็ธรรมที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่า ญาณทัสสนะเป็นไฉน?

ภิกษุในพระศาสนานี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่. แม้ธรรมข้อนี้ ก็
ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.
อีกข้อหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข.
แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.
อีกข้อหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับ
โสมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่า
ญาณทัสสนะ.
อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป
เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา ภิกษุย่อมบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า
อากาศหาที่สุดมิได้. แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.
อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุย่อมบรรลุ
วิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้. แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและ
ประณีตกว่าญาณทัสสนะ.
อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุย่อมบรรลุ
อากิญจัญญายตนฌาน ด้วยพิจารณาว่า น้อยหนึ่งไม่มี. แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่า
ญาณทัสสนะ.
อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุย่อม
บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน. แม้ธรรมข้อนี้ ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ.
อีกข้อหนึ่ง เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุย่อม
บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ. เพราะเห็นด้วยปัญญาของเธอ อาสวะทั้งหลายย่อมสิ้นไป. แม้ธรรมข้อนี้
ก็ยิ่งกว่าและประณีตกว่าญาณทัสสนะ. ดูกรพราหมณ์ ธรรมเหล่านี้แล ที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่า
ญาณทัสสนะ.
เปรียบเหมือนบุรุษคนนั้นที่มีความต้องการแก่น แสวงหาแก่น เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่
เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ตัดเอาแก่นนั้นแหละถือไป รู้อยู่ว่าแก่น และกิจที่จะพึงทำด้วยไม้
แก่นของเขา จักสำเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด. ดูกรพราหมณ์ เราเรียกบุคคลนี้ว่า มีอุปมา
ฉันนั้น

[๓๖๐] ดูกรพราหมณ์ ดังพรรณนามาฉะนี้ พรหมจรรย์จึง
มิใช่มีลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นอานิสงส์
มิใช่มีความถึงพร้อมแห่งศีลเป็นอานิสงส์
มิใช่มีความถึงพร้อมสมาธิเป็นอานิสงส์
มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์

พรหมจรรย์นี้ มีเจโตวิมุติอันไม่กำเริบ
เป็นประโยชน์ เป็นแก่น เป็นที่สุด.

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ปิงคลโกจฉพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยประสงค์ว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉันใด
ธรรมที่พระองค์ทรงประกาศแล้วโดยอเนกปริยาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.

ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระองค์กับพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ

ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 505&Z=6695



เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ


[๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา
ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมถะ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต
จิตที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้
วิปัสสนา ที่อบรมแล้วย่อมเสวย ประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา
ปัญญา ที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละอวิชชาได้ ฯ


[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น
หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุตติ
เพราะสำรอกอวิชชาได้ จึงชื่อว่าปัญญาวิมุตติ ฯ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 01:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 09:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 12:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:


แต่..เอ๋...สมยวิมุตติ..นี้...มันเป็นยังงัยน่า??

เหตุใด...ผมถึงคิดคำนี้..มาในเวลานี้...นะ




สมยวิมุตตสูตรที่ ๑

[๑๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุ ผู้มีจิตหลุดพ้นในสมัย ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ

ความเป็นผู้ชอบทำการงาน ๑ ความเป็นผู้ชอบคุย ๑ ความเป็นผู้ชอบนอน ๑ ความเป็นผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑ ภิกษุนั้นไม่พิจารณาจิตที่หลุดพ้นแล้วอย่างไร ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล
ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นในสมัย ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุผู้มีจิต
หลุดพ้นในสมัย ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ

ความเป็นผู้ไม่ชอบทำการงาน ๑ ความเป็นผู้ไม่ชอบคุย ๑ ความเป็นผู้ไม่ชอบนอน ๑ ความเป็นผู้ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑ ภิกษุนั้นพิจารณาจิตที่หลุดพ้นแล้วอย่างไร ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นในสมัย ฯ
จบสูตรที่ ๙

http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B ... _%E0%B9%91


หมายเหตุ:


สมยวิมุตโต ผู้พ้นโดยสมัย คือพ้นจากกิเลสได้เป็นครั้งคราว

smiley
อนุโมทนา
:b53:


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 14:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley
พิสูจน์ธรรมให้ถึงที่ซิ คุณกบ ทุกเรื่องมีเหตุผลรองรับทั้งนั้น
แต่คงยากเกินที่จะคิดให้รู้ ต้องทำจนถึงจริงจึงรู้

ครับ...ทุกเรื่องมีเหตุผลรองรับ แต่เหตุผลนั้น...ใครเป็นผู้ตัดสินว่า...เราเข้ากับเหตุผลนั้นๆ...ถ้าไม่ใช่เรา..แล้วเราในขณะนั้นก็ยังมีสังโยชน์ครบ...(อย่าคิดว่า...โสดา..สกิคา..อนาคา...สังโยชน์ 1...2...3..4..5...ขาดหมดจรด...แล้วนะ.)

คิดดูซิว่า...การตัดสินของเรานั้น...จะบริสุทธิ์ขนาดไหนกัน..อิอิ

ไม่ได้ดูแคลน..สิ่งที่อโสกะสัมผัส..นะครับ...นั้นก็ดีแล้ว...แต่ดีที่สุดแล้วรึยัง?..นี้ซิ

ให้ดูว่า....เรายังทุกข์อยู่มั้ย? หากยังทุกข์อยู่....เรายังจะภาคภูมิใจในสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่อีกหรือ?
ให้ดูว่า....เรายังคิดว่าเราดีกว่า....สูงกว่า...คนที่ไม่ได้เจอสภาวะอย่างเรามั้ย?.....ถ้ามี...เราก็ยังเลวอยู่...(ถ้าอยากรู้ว่าทำงัยถึงจะไม่มี....ก็ถามได้นะ..)
ก็เมื่อเรายังเลวอยู่...เรายังจะภูมิใจในสภาวะที่เราเจอ..อยู่อีกมั้ย?
เป็นต้น

ก็ในเมื่อ...เรายังไม่พอใจในสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่....แล้วจะมีแก่ใจไปบอกใคร...ไปอวดใคร..อยู่มั้ย?...ใช่มั้ย...อันนี้...ก็ตรวจสอบตัวเอง...รู้ก็รู้ตัวเอง...แม้จะเป็นปัจจตัง...แต่คนอื่นก็สามารถรู้สึกได้นะ...

อ้างคำพูด:

"เพราะเหตุอันใดวิจิกิจฉาจึงดับ สีลัพพัตปรามาสจึงเกิด ดับ"

ไม่ใช่โสดาปัตติมรรคเกิดแล้ว สังโยชน์ 3 ละลายหายวับไปทันทีหรอกนะเขามีลำดับตามธรรมของเขาอยู่

แล้วก็มีอีกหลายอย่างที่ไม่มีบอกไว้ในตำรา แต่มีในสภาวธรรมจริงๆ
smiley :b8:

สังโยชน์ 1..2..3 นั้น..เป็นเส้นสมมุติที่วาดบนอากาศระหว่างเตาไฟ...กับ...จุดที่ความร้อนเป็นศูนย์...รู้แค่...ความร้อนค่อยๆลดลง...ไม่มีใครจับ..ตัด...เส้นสมมุตินี้แบบฉับๆหรอก...เพราะมันไม่มีอยู่จริง...

และจริงๆ..ก็ไม่ได้ต้องตัดอะไร...แค่เข้าใจแล้วก็ไม่เอา...เท่านั้น


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 15:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อครูบาอาจารย์ผม....ท่านว่า....
" สงสารไอ้พวกโสดาบันนะ..มันยังทุกข์อยู่เลย.."
ยังน้อยใจ..เสียใจ...ยังโกรธ..ยังงอน..อยู่เลย...อิอิ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
smiley
พิสูจน์ธรรมให้ถึงที่ซิ คุณกบ ทุกเรื่องมีเหตุผลรองรับทั้งนั้น
แต่คงยากเกินที่จะคิดให้รู้ ต้องทำจนถึงจริงจึงรู้

ครับ...ทุกเรื่องมีเหตุผลรองรับ แต่เหตุผลนั้น...ใครเป็นผู้ตัดสินว่า...เราเข้ากับเหตุผลนั้นๆ...ถ้าไม่ใช่เรา..แล้วเราในขณะนั้นก็ยังมีสังโยชน์ครบ...(อย่าคิดว่า...โสดา..สกิคา..อนาคา...สังโยชน์ 1...2...3..4..5...ขาดหมดจรด...แล้วนะ.)

คิดดูซิว่า...การตัดสินของเรานั้น...จะบริสุทธิ์ขนาดไหนกัน..อิอิ

ไม่ได้ดูแคลน..สิ่งที่อโสกะสัมผัส..นะครับ...นั้นก็ดีแล้ว...แต่ดีที่สุดแล้วรึยัง?..นี้ซิ

ให้ดูว่า....เรายังทุกข์อยู่มั้ย? หากยังทุกข์อยู่....เรายังจะภาคภูมิใจในสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่อีกหรือ?
ให้ดูว่า....เรายังคิดว่าเราดีกว่า....สูงกว่า...คนที่ไม่ได้เจอสภาวะอย่างเรามั้ย?.....ถ้ามี...เราก็ยังเลวอยู่...(ถ้าอยากรู้ว่าทำงัยถึงจะไม่มี....ก็ถามได้นะ..)
ก็เมื่อเรายังเลวอยู่...เรายังจะภูมิใจในสภาวะที่เราเจอ..อยู่อีกมั้ย?
เป็นต้น

ก็ในเมื่อ...เรายังไม่พอใจในสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่....แล้วจะมีแก่ใจไปบอกใคร...ไปอวดใคร..อยู่มั้ย?...ใช่มั้ย...อันนี้...ก็ตรวจสอบตัวเอง...รู้ก็รู้ตัวเอง...แม้จะเป็นปัจจตัง...แต่คนอื่นก็สามารถรู้สึกได้นะ...

อ้างคำพูด:

"เพราะเหตุอันใดวิจิกิจฉาจึงดับ สีลัพพัตปรามาสจึงเกิด ดับ"

ไม่ใช่โสดาปัตติมรรคเกิดแล้ว สังโยชน์ 3 ละลายหายวับไปทันทีหรอกนะเขามีลำดับตามธรรมของเขาอยู่

แล้วก็มีอีกหลายอย่างที่ไม่มีบอกไว้ในตำรา แต่มีในสภาวธรรมจริงๆ
smiley :b8:

สังโยชน์ 1..2..3 นั้น..เป็นเส้นสมมุติที่วาดบนอากาศระหว่างเตาไฟ...กับ...จุดที่ความร้อนเป็นศูนย์...รู้แค่...ความร้อนค่อยๆลดลง...ไม่มีใครจับ..ตัด...เส้นสมมุตินี้แบบฉับๆหรอก...เพราะมันไม่มีอยู่จริง...

และจริงๆ..ก็ไม่ได้ต้องตัดอะไร...แค่เข้าใจแล้วก็ไม่เอา...เท่านั้น


:b12:
"เข้าใจแล้วไม่เอา"

คำพูดนี้พึงพิจารณาให้ดีและละเอียดถี่ถ้วน

ที่ว่า "ไม่เอา"....นั้นนะ มันเป็นการคิดเอา

และคงไม่เป็นผลถาวรได้ง่ายๆ ถ้าไม่เกิดอริยมรรคทั้ง 4 มาตัดทำลาย

ถ้าพูดและคิดว่า "ไม่เอา" มันสำเร็จธรรมได้ โลกนี้คงมีพระอริยเจ้าเต็มไปหมด
:b7:


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 20:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ยังอยากจะตัดอะไร...อะไร....ก็ตามใจ
อือิ...พูดจริงนะเนี้ย

:b9:


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 20:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13:
กบนอกกะลา เขียน:
ยังอยากจะตัดอะไร...อะไร....ก็ตามใจ
อือิ...พูดจริงนะเนี้ย

:b9:


เช่นกันนะ คุณกบอยากจะคิด "ไม่เอา"อะไรก็คิดให้ถึงความสำเร็จให้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องมาเจริญมรรค 8 หรอกนะ มันช้าไปกว่าความคิด
wink


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 22:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
"เข้าใจแล้วไม่เอา"

คำพูดนี้พึงพิจารณาให้ดีและละเอียดถี่ถ้วน

ที่ว่า "ไม่เอา"....นั้นนะ มันเป็นการคิดเอา
และคงไม่เป็นผลถาวรได้ง่ายๆ ถ้าไม่เกิดอริยมรรคทั้ง 4 มาตัดทำลาย

ถ้าพูดและคิดว่า "ไม่เอา" มันสำเร็จธรรมได้ โลกนี้คงมีพระอริยเจ้าเต็มไปหมด
:b7:

อิอิ...ก็คิดว่ากะลังคุยอยู่กับนักภาวนาซะอีก...

ผมจะชี้ให้อโสกะดูนะ...ว่าอโสกะผิดปกติจากความเป็นอริยะเจ้าตรงไหน..จากประโยคข้างต้น
ผมบอกว่า....เข้าใจแล้วก็ไม่เอา..เอง

แต่อโสกะ....กลับโยนขี้ใส่ผม...ว่า..
ถ้าพูดและคิดว่า "ไม่เอา" มันสำเร็จธรรมได้ โลกนี้คงมีพระอริยเจ้าเต็มไปหมด


อิอิ....นี้เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของระบบปกป้องตัวเอง...มานะหยาบๆตื้นๆ..ทำให้ไม่พิจารณาแบบเปิดใจ..คือบ่อเหตุของวิจิกิจฉา..ละ

asoka เขียน:
:b13:
กบนอกกะลา เขียน:
ยังอยากจะตัดอะไร...อะไร....ก็ตามใจ
อือิ...พูดจริงนะเนี้ย
:b9:

เช่นกันนะ คุณกบอยากจะคิด "ไม่เอา"อะไรก็คิดให้ถึงความสำเร็จให้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องมาเจริญมรรค 8 หรอกนะ มันช้าไปกว่าความคิด
wink

นี้ก็อีกตัวอย่างหนึ่ง...ของการโยนขี้ใส่ผู้อื่น..555

เพราะ...มานะที่ว่าตนดีแล้ว...ตนเหนือกว่า...ตนต้องถูก...ใครที่พูดแล้วทำให้ตัวเองดูตกต่ำ...มันต้องมาดิสเครดิตตน...คนนั้นต้องผิด...ฟังมันไม่ได้

อิอิ


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 08 ก.พ. 2014, 23:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 23:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะทนได้มั้ยนะ....ถ้ารู้ว่า...อริยะของตนนั้นจริงๆมันเป็นอะไรก็ไม่รู้
ผมว่า....เป็นโชคดีของคุณต่างหาก...ที่ได้รู้

แรกๆ...อาจทำใจลำบากหน่อยนะ....มันเป็นธรรมดา....เดียวก็ชิน

ก่อนจะเป็น..มันคงต้องผ่านตรงนี้กันทั้งนั้น..อิอิ

เป็นกำลังใจให้..สู้..สู้...ต่อไปครับ..


โพสต์ เมื่อ: 09 ก.พ. 2014, 12:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
"เข้าใจแล้วไม่เอา"

คำพูดนี้พึงพิจารณาให้ดีและละเอียดถี่ถ้วน

ที่ว่า "ไม่เอา"....นั้นนะ มันเป็นการคิดเอา
และคงไม่เป็นผลถาวรได้ง่ายๆ ถ้าไม่เกิดอริยมรรคทั้ง 4 มาตัดทำลาย

ถ้าพูดและคิดว่า "ไม่เอา" มันสำเร็จธรรมได้ โลกนี้คงมีพระอริยเจ้าเต็มไปหมด
:b7:

อิอิ...ก็คิดว่ากะลังคุยอยู่กับนักภาวนาซะอีก...

ผมจะชี้ให้อโสกะดูนะ...ว่าอโสกะผิดปกติจากความเป็นอริยะเจ้าตรงไหน..จากประโยคข้างต้น
ผมบอกว่า....เข้าใจแล้วก็ไม่เอา..เอง

แต่อโสกะ....กลับโยนขี้ใส่ผม...ว่า..
ถ้าพูดและคิดว่า "ไม่เอา" มันสำเร็จธรรมได้ โลกนี้คงมีพระอริยเจ้าเต็มไปหมด


อิอิ....นี้เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของระบบปกป้องตัวเอง...มานะหยาบๆตื้นๆ..ทำให้ไม่พิจารณาแบบเปิดใจ..คือบ่อเหตุของวิจิกิจฉา..ละ

asoka เขียน:
:b13:
กบนอกกะลา เขียน:
ยังอยากจะตัดอะไร...อะไร....ก็ตามใจ
อือิ...พูดจริงนะเนี้ย
:b9:

เช่นกันนะ คุณกบอยากจะคิด "ไม่เอา"อะไรก็คิดให้ถึงความสำเร็จให้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องมาเจริญมรรค 8 หรอกนะ มันช้าไปกว่าความคิด
wink

นี้ก็อีกตัวอย่างหนึ่ง...ของการโยนขี้ใส่ผู้อื่น..555

เพราะ...มานะที่ว่าตนดีแล้ว...ตนเหนือกว่า...ตนต้องถูก...ใครที่พูดแล้วทำให้ตัวเองดูตกต่ำ...มันต้องมาดิสเครดิตตน...คนนั้นต้องผิด...ฟังมันไม่ได้

อิอิ

:b7:
กบเอ้ย กบ

นี่คงวาดภาพในใจว่าพระโสดาบัน คงจะบริสุทธิ์สะอาดเอี่ยมอ่องคล้ายกับพระอรหันต์ อย่างนั้นจึงจะใช่ ใครไม่เป็นอย่างนั้นน่าจะไม่ใช่

หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านก็พูดบอกไว้ดีนะว่า พระโสดาบันนั้นท่านยังต้องเหนื่อยกับความโลภ โกรธ หลงอยู่

แต่....ไม่ล่วงศีล 5 เท่านั้นเอง

พระโสดาบันต่างจากปุถุชนขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง คือโลภ โกรธ หลง มีอยู่แต่เบาบาง มีกรอบกั้นที่ศีล 5
ประเด็นสำคัญของท่านคือ ความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ หรือ สักกายทิฏฐิตายขาดไปแล้ว ความลังเลสงสัยในพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ บาป กรรม เหตุ ปัจจัย ผล ทางเดินตามมรรค 8 หมดสิ้น แน่วแน่ เที่ยงแท้ ตรงสู่อรหัตผลเพียงหนึ่งเดียวในเวลาไม่เกิน 7 ชาติ

กบยังจะมีโอกาสเห็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีโกรธอยู่นะ โลภก็มี หลงก็มี เสพกามก็มี จึงอย่าได้สำคัญผิดมากเกินไปในค่าแห่งความเป็นอริยบุคคลชั้นต้น

การสนทนาเรื่องอย่างนี้ก็มิได้มีจุดประสงค์มาอวดอะไร แต่เป็นการนำสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนและให้ข้อสังเกตไว้ มาเล่าสู่กันฟัง แล้วก็เป็นสิทธิที่จะเล่าสู่กันฟังได้ในหมู่ผู้สนใจ ไม่มีปาราชิกธรรมห้ามไว้อย่างพระภิกษุสงฆ์....โอกาสที่จะได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างนี้น้อยลงไปทุกทีแล้วนะ คุณกบ
:b38:
:b16:
ส่วนข้อความท่อนที่อ้างอิงมานี้ ขอให้คุณกบกลับไปทบทวนดูใหม่ให้ดีๆอีกทีว่ามันคืนกลับเข้าตัวคุณกบเองหรือเปล่านะครับ

อ้างคำพูด:
อิอิ...ก็คิดว่ากะลังคุยอยู่กับนักภาวนาซะอีก...

ผมจะชี้ให้อโสกะดูนะ...ว่าอโสกะผิดปกติจากความเป็นอริยะเจ้าตรงไหน..จากประโยคข้างต้น
ผมบอกว่า....เข้าใจแล้วก็ไม่เอา..เอง

แต่อโสกะ....กลับโยนขี้ใส่ผม...ว่า..
ถ้าพูดและคิดว่า "ไม่เอา" มันสำเร็จธรรมได้ โลกนี้คงมีพระอริยเจ้าเต็มไปหมด


อิอิ....นี้เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของระบบปกป้องตัวเอง...มานะหยาบๆตื้นๆ..ทำให้ไม่พิจารณาแบบเปิดใจ..คือบ่อเหตุของวิจิกิจฉา..ละ


คำว่า "เข้าใจแล้วก็ไม่เอา..เอง"......นี่เมื่อวิเคราะห์ตามธรรมให้ดีๆ มีความหมายลึกและแสดงได้หลายนัยยะนะ.........่คำถามสั้นๆก็คือ.....ใคร?....ที่จะเป็นผู้ไม่เอาเอง.......ดังนี้เป็นต้น
แล้วเรื่องมานะหยาบ มานะละเอียดอะไรนั่น มันยังพ้นวิสัยการเอาออกได้ของปุถุชนและอริยบุคคลชั้นต้น ป่วยประโยชน์ที่จะคุยถึงในตอนนี้นะคุณกบ

s006
s004


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร