วันเวลาปัจจุบัน 03 ต.ค. 2025, 16:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 18:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านไม่ชอบเรื่อง สัตตานัง
งั๊นเรื่อง vibration ที่ท่านชื่นชอบก็ได้
เพราะเป็นเรื่องที่ท่านพูดถึงมายาวนานหลายปี

vibration ในความเห็นของเอกอนก็คือ
จิตที่เข้าไปตั้งอยู่ในรูปธาตุ และรับรู้ผัสสะที่ปรากฎกับรูปธาตุนั้น

ไม่ว่าจะ vibration อย่างหยาบ หรือ อย่างละเอียด
สิ่งที่ปรากฎไม่ได้มีอะไรพ้นไปจากนี้
"จิตเข้าไปตั้งอยู่ในรูปธาตุ และรับรู้ผัสสะที่ปรากฎกับรูปธาตุนั้น"

หรือ ท่านเห็นเป็นอย่างอื่น...ที่มากไปกว่านี้

:b1:


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.พ. 2014, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ท่านไม่ชอบเรื่อง สัตตานัง
งั๊นเรื่อง vibration ที่ท่านชื่นชอบก็ได้
เพราะเป็นเรื่องที่ท่านพูดถึงมายาวนานหลายปี

vibration ในความเห็นของเอกอนก็คือ
จิตที่เข้าไปตั้งอยู่ในรูปธาตุ และรับรู้ผัสสะที่ปรากฎกับรูปธาตุนั้น

ไม่ว่าจะ vibration อย่างหยาบ หรือ อย่างละเอียด
สิ่งที่ปรากฎไม่ได้มีอะไรพ้นไปจากนี้
"จิตเข้าไปตั้งอยู่ในรูปธาตุ และรับรู้ผัสสะที่ปรากฎกับรูปธาตุนั้น"

หรือ ท่านเห็นเป็นอย่างอื่น...ที่มากไปกว่านี้

:b1:

:b16:
ก็เป็นสำนวนโวหารในการพูดตามพื้นความรู้ของใครของมัน

อโศกะมักจะพูดเสมอว่า เมื่อใครก็ตามสามารถทำจิตใจของตนให้สงบเพียงพอถึงที่ถึงระดับต่างๆเขาจะได้พบหรือรู้ถึงสภาวธรรมอันละเอียดอ่อนลึกลงไปตามลำดับแห่งสมาธิและความคมกล้าของสติปัญญา

ระดับที่ 1 รู้ลมหายใจชัด

ระดับที่ 2 รู้อาการเต้นของหัวใจ

ระดับที่ 3 รู้อาการเต้นตอดของชีพจร

ระดับที่ 4 รู้กระแสสั่นสะเทือน(Vibration)ในร่างกาย

ระดับที่ 5 หยุด รู้อยู่เฉยๆ โดยไม่มีการปรุงแต่งใดๆ (สังขารุเปกขาญาณ)

ใครสามารถทำตนให้เข้าถึงความสงบระดับที่รู้ชีพจรชัดได้ภายในเวลาไม่เกิน 3 นาที แล้วทรงอารมณ์ไว้ที่ระดับนั้นได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน นั่นแสดงว่าจิตใจและสติปัญญา สมาธิของเขาควรแก่งานเจริญวิปัสสนาภาวนา เพราะ ที่ระดับรู้ชัดชีพจรนั้น รูป-นามจะแยกออกจากกันชัดเจนจนทำให้พิจารณาสภาวธรรมและอารมณ์ธรรมได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง

และทั้งหมดนี้เป็นเพียงเครื่องมือ หรือมิเตอร์ช่วยชี้วัดระดับสมาธิและความละเอียดคมกล้าของสติปัญญา เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องวิเศษหลักปฏิบัติอันยิ่งใหญ่อะไร ตามที่หลายคนตีโพยตีพายเป็นกระต่ายตื่นตูมไป แล้วเอาไปวิพากษ์วิจารณ์เสียๆหายๆ ด้วยความไม่รู้รอบแบบที่เขาว่า "ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด"

เรื่องที่เล่ามานี้เป็นเพียงเครื่องมือและส่วนประกอบเล็กน้อยเท่านั้น ยังมีอะไรดีๆอีกเยอะ ที่จะได้รู้ ได้พบ ได้เห็น เรื่องราวอันเกิดจากผลการ สังเกต ทดลอง ค้นคว้า ปฏิบัติจริง
:b11:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 01:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สัตตานัง....คือ..อิหยั่ง
What's vibration...

เรามินอนตายอย่างกบเขียด..หรือนี้

:b32:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 07:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สัตตานัง....คือ..อิหยั่ง
What's vibration...

เรามินอนตายอย่างกบเขียด..หรือนี้

:b32:


"ทำดี ละชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส"
เดินอยู่บนเส้นทางนี้ได้ทุกเมื่อเชื่อวัน
...
ไม่ได้มีการปฏิบัติอะไรที่พิเศษไปกว่านี้...
ไม่ได้มีกำหนดอะไรที่พิเศษไปกว่านี้...
...
ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามปัจจัย

:b1: :b1: :b1:

:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 08:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:

ที่ระดับรู้ชัดชีพจรนั้น รูป-นามจะแยกออกจากกันชัดเจนจนทำให้พิจารณาสภาวธรรมและอารมณ์ธรรมได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง

:b11:


ความจริงว่าไงล่ะ ... :b1:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
eragon_joe เขียน:
ท่านไม่ชอบเรื่อง สัตตานัง
งั๊นเรื่อง vibration ที่ท่านชื่นชอบก็ได้
เพราะเป็นเรื่องที่ท่านพูดถึงมายาวนานหลายปี

vibration ในความเห็นของเอกอนก็คือ
จิตที่เข้าไปตั้งอยู่ในรูปธาตุ และรับรู้ผัสสะที่ปรากฎกับรูปธาตุนั้น

ไม่ว่าจะ vibration อย่างหยาบ หรือ อย่างละเอียด
สิ่งที่ปรากฎไม่ได้มีอะไรพ้นไปจากนี้
"จิตเข้าไปตั้งอยู่ในรูปธาตุ และรับรู้ผัสสะที่ปรากฎกับรูปธาตุนั้น"

หรือ ท่านเห็นเป็นอย่างอื่น...ที่มากไปกว่านี้

:b1:

:b16:
ก็เป็นสำนวนโวหารในการพูดตามพื้นความรู้ของใครของมัน

อโศกะมักจะพูดเสมอว่า เมื่อใครก็ตามสามารถทำจิตใจของตนให้สงบเพียงพอถึงที่ถึงระดับต่างๆเขาจะได้พบหรือรู้ถึงสภาวธรรมอันละเอียดอ่อนลึกลงไปตามลำดับแห่งสมาธิและความคมกล้าของสติปัญญา

ระดับที่ 1 รู้ลมหายใจชัด

ระดับที่ 2 รู้อาการเต้นของหัวใจ

ระดับที่ 3 รู้อาการเต้นตอดของชีพจร

ระดับที่ 4 รู้กระแสสั่นสะเทือน(Vibration)ในร่างกาย

ระดับที่ 5 หยุด รู้อยู่เฉยๆ โดยไม่มีการปรุงแต่งใดๆ (สังขารุเปกขาญาณ)

ใครสามารถทำตนให้เข้าถึงความสงบระดับที่รู้ชีพจรชัดได้ภายในเวลาไม่เกิน 3 นาที แล้วทรงอารมณ์ไว้ที่ระดับนั้นได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน นั่นแสดงว่าจิตใจและสติปัญญา สมาธิของเขาควรแก่งานเจริญวิปัสสนาภาวนา เพราะ ที่ระดับรู้ชัดชีพจรนั้น รูป-นามจะแยกออกจากกันชัดเจนจนทำให้พิจารณาสภาวธรรมและอารมณ์ธรรมได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง

และทั้งหมดนี้เป็นเพียงเครื่องมือ หรือมิเตอร์ช่วยชี้วัดระดับสมาธิและความละเอียดคมกล้าของสติปัญญา เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องวิเศษหลักปฏิบัติอันยิ่งใหญ่อะไร ตามที่หลายคนตีโพยตีพายเป็นกระต่ายตื่นตูมไป แล้วเอาไปวิพากษ์วิจารณ์เสียๆหายๆ ด้วยความไม่รู้รอบแบบที่เขาว่า "ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด"

เรื่องที่เล่ามานี้เป็นเพียงเครื่องมือและส่วนประกอบเล็กน้อยเท่านั้น ยังมีอะไรดีๆอีกเยอะ ที่จะได้รู้ ได้พบ ได้เห็น เรื่องราวอันเกิดจากผลการ สังเกต ทดลอง ค้นคว้า ปฏิบัติจริง
:b11:


:b6:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 20:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b16:

ที่ระดับรู้ชัดชีพจรนั้น รูป-นามจะแยกออกจากกันชัดเจนจนทำให้พิจารณาสภาวธรรมและอารมณ์ธรรมได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง

:b11:


ความจริงว่าไงล่ะ ... :b1:

:b16:
มีความจริงเยอะแยะที่จะได้รู้ได้เห็น ถ้าสรุปรวมคือเห็นและรู้ชัดไตรลักษณ์

ถ้าจะแยกย่อยก็จะเริ่มจาก

เห็น รูป-นามเป็นคนละอันกัน

เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดอารมณ์และความสืบต่อของอารมณ์

เห็นความเกิด ดับ ของอารมณ์ (อนิจจัง)

เห็นว่ามีแต่ความดับไปๆของอารมณ์

เห็นภัยในทุกข์

กลัวภัยจากทุกข์

เบื่อหน่ายในทุกข์

ดิ้นรนหาทางที่จะพ้นจากทุกข์โดยเด็ดขาด(ทุกขัง)

ทบทวนดูโดยรอบแล้วเห็นว่ามีทางสายเดียวที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้เท่านั้นที่จะทำให้พ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงจึงเกิดความขยันหมั่นเพียรอย่างแรงกล้าเจริญวิป้สสนาภาวนาอย่างไม่รูเหน็ดเหนื่อย หลับนอน

ที่สุดก็ไดรับผลเป็นรางวัลชิ้นแรกคือ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งอยู่กับธรรมได้เป็นเวลานานๆ(อนัตตา)

เมื่อได้ที่พักจิตใจอันวิเศษเป็นที่สำรวมพลังได้ จนเกิดพลังเข้มแข็งเต็มที่ มรรคก็จะมาสมังคีกัน นำจิตทำลายความเห็นผิดให้ข้ามพ้นโลกิยะสู่โลกุตร
เปลี่ยนชาจิตจากปุถุชนไปเป็นอริยชนชั้นต้นโดยพลัน

หลังจากนั้นธรรมจะพาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดรวมทั้งปฏิจจสมุปบาท จนชัดเจนประจักษ์แก่ใจ วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยพลันดับตายตาม

นี่คือความจริงที่พอประมวลมาให้ลองพิจารณาดูครับ
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: :b41: :b41:

คนเราก็เหมือนดั่งนก มีความใคร่ปราถนาที่จะบรรลุ อยากจะบินได้สูง
ชอบที่จะเป็นนกที่บินสูง และได้แสดงการถลาเล่นลม อยู่เหนือสายตาผู้คน

นก ยังไงก็ต้องบินด้วยปีกของเขาเอง
จะบินได้สูงแค่ไหน ก็ต้องบินไปด้วยปีกของเขาเอง
จะอาศัยเกาะปีก เกาะหางใคร ก็ไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืน
ถ้าติดอาศัยเมื่อไร ก็จะติดต้องอาศัยร่ำไป
และก็จะเป็นนกที่จะบินด้วยความสง่าผ่าเผยอย่างแท้จริงไม่ได้

:b41: :b41: :b41:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แปลกดี....
เป้นอริยะชน....แล้วค่อยมาสิ้นวิจิกิจฉา...ในพายหลัง...

อิอิ....ได้พบพระธรรม..ก็อนุโมทนาสาธุด้วย....ครับ

แต่..เอ๋...สมยวิมุตติ..นี้...มันเป็นยังงัยน่า??

เหตุใด...ผมถึงคิดคำนี้..มาในเวลานี้...นะ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แปลกดี....
เป้นอริยะชน....แล้วค่อยมาสิ้นวิจิกิจฉา...ในพายหลัง...

อิอิ....ได้พบพระธรรม..ก็อนุโมทนาสาธุด้วย....ครับ

แต่..เอ๋...สมยวิมุตติ..นี้...มันเป็นยังงัยน่า??

เหตุใด...ผมถึงคิดคำนี้..มาในเวลานี้...นะ


viewtopic.php?f=2&t=20363

:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 21:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แปลกดี....
เป้นอริยะชน....แล้วค่อยมาสิ้นวิจิกิจฉา...ในพายหลัง...

อิอิ....ได้พบพระธรรม..ก็อนุโมทนาสาธุด้วย....ครับ

แต่..เอ๋...สมยวิมุตติ..นี้...มันเป็นยังงัยน่า??

เหตุใด...ผมถึงคิดคำนี้..มาในเวลานี้...นะ

smiley
พิสูจน์ธรรมให้ถึงที่ซิ คุณกบ ทุกเรื่องมีเหตุผลรองรับทั้งนั้น
แต่คงยากเกินที่จะคิดให้รู้ ต้องทำจนถึงจริงจึงรู้

"เพราะเหตุอันใดวิจิกิจฉาจึงดับ สีลัพพัตปรามาสจึงเกิด ดับ"

ไม่ใช่โสดาปัตติมรรคเกิดแล้ว สังโยชน์ 3 ละลายหายวับไปทันทีหรอกนะเขามีลำดับตามธรรมของเขาอยู่

แล้วก็มีอีกหลายอย่างที่ไม่มีบอกไว้ในตำรา แต่มีในสภาวธรรมจริงๆ
smiley :b8:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 21:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แปลกดี....
เป้นอริยะชน....แล้วค่อยมาสิ้นวิจิกิจฉา...ในพายหลัง...

อิอิ....ได้พบพระธรรม..ก็อนุโมทนาสาธุด้วย....ครับ

แต่..เอ๋...สมยวิมุตติ..นี้...มันเป็นยังงัยน่า??

เหตุใด...ผมถึงคิดคำนี้..มาในเวลานี้...นะ

s006
สมยวิมุติ.....นี่ยังไม่เคยได้ยินได้ผ่านตา ใครรู้ กรุณาอธืิบายหน่อยครับ สาธุ
:b10:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 22:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b41: :b41: :b41:

คนเราก็เหมือนดั่งนก มีความใคร่ปราถนาที่จะบรรลุ อยากจะบินได้สูง
ชอบที่จะเป็นนกที่บินสูง และได้แสดงการถลาเล่นลม อยู่เหนือสายตาผู้คน

นก ยังไงก็ต้องบินด้วยปีกของเขาเอง
จะบินได้สูงแค่ไหน ก็ต้องบินไปด้วยปีกของเขาเอง
จะอาศัยเกาะปีก เกาะหางใคร ก็ไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืน
ถ้าติดอาศัยเมื่อไร ก็จะติดต้องอาศัยร่ำไป
และก็จะเป็นนกที่จะบินด้วยความสง่าผ่าเผยอย่างแท้จริงไม่ได้

:b41: :b41: :b41:

:b12:
ลูกนก ก็ได้อาศัยแม่นกประคบประหงมเป็นพี่เลี้ยงสอนบิน จนบินได้เองเป็นธรรมดา

ปุถุชนคนธรรมดาจะยกระดับตนเองขึ้นสู่ความเป็นอริยชนได้ก็เพราะได้พบกัลยาณมิตรที่รู้จริงถึงจริงเป็นพี่เลี้ยงพาเดินบนถนนมรรค 8

"โง่ มาก่อนฉลาด เหล่านักปราชญ์บัณฑิตล้วนเคยโง่มาแล้วทั้งนั้น
ไม่มีใครที่รู้ดีไปหมดติดตัวมาตั้งแต่เกิด"
:b16:
"หากยังอยู่ในภาวะกึ่งจริงกึ่งฝัน คำพูดย่อมเลื่อนลอย
ผู้รู้ ตื่น เบิกบาน ย่อมมีแต่สุภาษิตาวาจา"


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุใด...ผู้บรรลุธรรมถึงไม่ค่อยบอกใครๆ...นะ?
ตอนเด็กๆ...(เด็กจริงๆ)..ก็คิดว่า...บอกไปเลยซิ..ญาติโยมเขาจะได้รู้....เขาจะได้มาฟังเทศน์

ตอนนี้...รู้แล้ว..ว่า..ทำไม..เขาถึงไม่บอกกันเป็นสาธารณะ

เพราะ....มันไม่มีประโยชน์

แต่หาก....ผู้นั้นได้ประโยชน์จากการบอก.....ก็แสดงว่ายังไม่ใช่ของจริง

ประโยชน์นี้ก็โลกธรรมนั้นเอง...ลาภ..ยศ..นะหยาบ....แต่คำสรรเสริญยกย่อง..สถานะ...นี้ซิ....รวดเร็วละเอียดดีนัก..

เธอ...ผู้ไม่ลำเอียง...มีสติดีแล้ว....ย่อมเห็นมันได้ไม่ยาก.....
เห็นแล้ว....ก็รีบทำกิจที่ยังเหลืออยู่...ซะ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2014, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:


แต่..เอ๋...สมยวิมุตติ..นี้...มันเป็นยังงัยน่า??

เหตุใด...ผมถึงคิดคำนี้..มาในเวลานี้...นะ




สมยวิมุตตสูตรที่ ๑

[๑๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุ ผู้มีจิตหลุดพ้นในสมัย ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ

ความเป็นผู้ชอบทำการงาน ๑ ความเป็นผู้ชอบคุย ๑ ความเป็นผู้ชอบนอน ๑ ความเป็นผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑ ภิกษุนั้นไม่พิจารณาจิตที่หลุดพ้นแล้วอย่างไร ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล
ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นในสมัย ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุผู้มีจิต
หลุดพ้นในสมัย ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ

ความเป็นผู้ไม่ชอบทำการงาน ๑ ความเป็นผู้ไม่ชอบคุย ๑ ความเป็นผู้ไม่ชอบนอน ๑ ความเป็นผู้ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑ ภิกษุนั้นพิจารณาจิตที่หลุดพ้นแล้วอย่างไร ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นในสมัย ฯ
จบสูตรที่ ๙

http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B ... _%E0%B9%91


หมายเหตุ:


สมยวิมุตโต ผู้พ้นโดยสมัย คือพ้นจากกิเลสได้เป็นครั้งคราว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร