วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 00:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 139 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 13:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
กรัชกายตั้งธงไว้ในใจว่าคำตอบจะต้องเป็นหรือคล้ายกับที่ฉันสรุปไว้ ถ้าไม่ตรงไม่คล้ายก็คือยังไม่ใช่

นี่คือการตัดสินใจตามทีอยากให้เป็น

แต่ถ้าเอาธรรมคือสภาวะที่พึงเกิดขึ้นจริงๆเป็นหลักก็น่าจะรู้เห็นตรงกันแต่คำอธิบายอาจคลาดเคลื่อนกันไปบ้างนิดๆเพราะพื้นความรู้และบัญญัติที่ใช้อาจจะไม่เท่ากัน

สรุปว่าถูกตามความเห็นได้ของใครของมัน

"รู้ เห็น ตามที่มันเป็น" มันง่ายจะตายในการปฏิบัติ นั่งลง หลับตาเนื้อ เปิดตาใจ นิ่งดู นิ่งสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิตซิ
ธรรมทั้งหลายเขาเอหิปัสสิโก...เรียกสติปัญญาให้เข้าไปดูไปรู้ ไปสังเกตอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
กรัชกายตั้งธงไว้ในใจว่าคำตอบจะต้องเป็นหรือคล้ายกับที่ฉันสรุปไว้ ถ้าไม่ตรงไม่คล้ายก็คือยังไม่ใช่

นี่คือการตัดสินใจตามทีอยากให้เป็น

แต่ถ้าเอาธรรมคือสภาวะที่พึงเกิดขึ้นจริงๆเป็นหลักก็น่าจะรู้เห็นตรงกันแต่คำอธิบายอาจคลาดเคลื่อนกันไปบ้างนิดๆเพราะพื้นความรู้และบัญญัติที่ใช้อาจจะไม่เท่ากัน

สรุปว่าถูกตามความเห็นได้ของใครของมัน

"รู้ เห็น ตามที่มันเป็น" มันง่ายจะตายในการปฏิบัติ นั่งลง หลับตาเนื้อ เปิดตาใจ นิ่งดู นิ่งสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิตซิ
ธรรมทั้งหลายเขาเอหิปัสสิโก...เรียกสติปัญญาให้เข้าไปดูไปรู้ ไปสังเกตอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
onion


คุณอโศกก็เข้าใจอะไรยากนะขอรับ กรัชกายเอาของจริงมาให้ดู แล้วให้อโศกแก้ปัญหา เนี่ยะ

อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนั่งสมาธิ แล้วรู้สึกว่าร่างกายเป็นกรอบหนาๆ ที่ห่อหุ้ม พอผ่านไปซักพักรู้สึกว่าภายในกรอบที่ห่อหุ้มเหมือนเป็นน้ำที่มีการกระเพื่อม มีการสั่นไหว นี่เป็นเรื่องปรกติของคนนั่งสมาธิหรือเปล่าค่ะ หรือว่าจิตคิดไปเอง


ไหนลองว่าไปสิครับน่ะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 13:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
หัดนั่งสมาธิโดยแรกๆ ท่องพุทโธ เอา พักหลังๆพอเห็นว่าจิตนิ่งสงบ และสามารถนั่งได้นานขึ้น เลยลองมาท่อง นะมะพะธะ เอา ตอนนั่งแรกๆไม่มีอะไร พอนั่งไปนานมีความรู้สึกว่าคนมาเป่าลมใส่ที่หน้า มีเสียงให้ได้ยินเลย เลยทำให้ตกใจแล้วกระโดดลุกเลย ไม่นั่งสมาธิต่อ ทำไงให้หายค่ะ ขอบคุณค่ะ


อ้างคำพูด:
ใจมันพูดเองเออเองได้ด้วยหรอคับ

มีอยู่ช่วงนึงขยันปฏิบัติมากขึ้น ก็ยิ่งฟุ้งซ่านมากขึ้น เครียดขึ้น มึนไปหมด
ใครพูดไรไม่ถูกใจหน่อย ก็คิดมาก วนอยู่ในหัว โดยที่ระงับไม่อยู่ ไม่รู้เป็นอะไร ตั้งหลายวัน
(เคยทำตามหลวงพ่อปราโมทย์ ใจหนีไปคิดก็รู้ ก็ทำไม่ได้เหมือนกำลังสมาธิไม่มี)

วันหนึ่งก่อนนอนสวดมนต์ นั่งสมาธิตามปกติ
นั่งอยู่เฉยๆ แต่ใจก็คิดฟุ้งซ่าน เครียด
.....อยู่ๆก็มีเสียงในใจพูดว่า "ความทุกข์เกิดที่ใจไช่ไหม ก็ดับที่ใจสิ"
.....แล้วก็หยุดฟุ้งซ่าน โล่ง สบาย ไปเฉยๆ นี่ไม่รู้ว่าเสียงนี้เราคิดเอาเองหรือยังไง

คำถาม
1. วิธีระงับความฟุ้งซ่านมีกี่วิธี อะไรบ้าง เนื่องจากผมเป็นคนคิดมาก บางทีทำสมาธิใจก็ไม่เป็นสมาธิ
(ไม่อยากรอให้หายเองแบบอาการข้างต้น)




หรือพูดอีกอย่างหนึ่งเราสองคนเหมือนขมิ้นกับปูน คิกๆๆ

http://www.youtube.com/watch?v=BZVGuy5K0bA


:b1:

อ่าน ตย. ที่ท่านกรัชหยิบยกมาให้ดู
เอกอนร้อง อ๋ออออ แระ... :b12:

เพราะเอกอนก็นั่งมองอาการอย่างนี้มาพอสมควร...
จน... :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
หัดนั่งสมาธิโดยแรกๆ ท่องพุทโธ เอา พักหลังๆพอเห็นว่าจิตนิ่งสงบ และสามารถนั่งได้นานขึ้น เลยลองมาท่อง นะมะพะธะ เอา ตอนนั่งแรกๆไม่มีอะไร พอนั่งไปนานมีความรู้สึกว่าคนมาเป่าลมใส่ที่หน้า มีเสียงให้ได้ยินเลย เลยทำให้ตกใจแล้วกระโดดลุกเลย ไม่นั่งสมาธิต่อ ทำไงให้หายค่ะ ขอบคุณค่ะ


อ้างคำพูด:
ใจมันพูดเองเออเองได้ด้วยหรอคับ

มีอยู่ช่วงนึงขยันปฏิบัติมากขึ้น ก็ยิ่งฟุ้งซ่านมากขึ้น เครียดขึ้น มึนไปหมด
ใครพูดไรไม่ถูกใจหน่อย ก็คิดมาก วนอยู่ในหัว โดยที่ระงับไม่อยู่ ไม่รู้เป็นอะไร ตั้งหลายวัน
(เคยทำตามหลวงพ่อปราโมทย์ ใจหนีไปคิดก็รู้ ก็ทำไม่ได้เหมือนกำลังสมาธิไม่มี)

วันหนึ่งก่อนนอนสวดมนต์ นั่งสมาธิตามปกติ
นั่งอยู่เฉยๆ แต่ใจก็คิดฟุ้งซ่าน เครียด
.....อยู่ๆก็มีเสียงในใจพูดว่า "ความทุกข์เกิดที่ใจไช่ไหม ก็ดับที่ใจสิ"
.....แล้วก็หยุดฟุ้งซ่าน โล่ง สบาย ไปเฉยๆ นี่ไม่รู้ว่าเสียงนี้เราคิดเอาเองหรือยังไง

คำถาม
1. วิธีระงับความฟุ้งซ่านมีกี่วิธี อะไรบ้าง เนื่องจากผมเป็นคนคิดมาก บางทีทำสมาธิใจก็ไม่เป็นสมาธิ
(ไม่อยากรอให้หายเองแบบอาการข้างต้น)




หรือพูดอีกอย่างหนึ่งเราสองคนเหมือนขมิ้นกับปูน คิกๆๆ

http://www.youtube.com/watch?v=BZVGuy5K0bA


:b1:

อ่าน ตย. ที่ท่านกรัชหยิบยกมาให้ดู
เอกอนร้อง อ๋ออออ แระ... :b12:

เพราะเอกอนก็นั่งมองอาการอย่างนี้มาพอสมควร...
จน... :b12: :b12: :b12:


:b1:
ตัวอย่าง ขณะที่เขาพิมพ์ถาม แต่ป่านนี้สภาวธรรมนั่นมันเปลี่ยนไปแล้วตามกฎของมัน


พูดกันบ่อยๆ เรื่อง ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) สภาวะนี้จะเปลี่ยนแปรเกิด - ดับๆๆๆๆ เนื่องกันไป จนวันตาย นี่แหละลักษณ์ไตรลักษณ์ ผู้ปฏิบัติพึงรู้เท่าทันทุกๆขณะ จนกระทั่งจับได้คาหนังคาเขาก็รู้ว่าอ้อ มันเป็นเช่นนี้เอง ธรรมดามันเป็นยังงี้เอง จิตใจก็คลายความยึดมั่น รู้เข้าใจธรรมดาแห่งธรรมชาติ (ทีนี้มันก็อยู่ของมัน เราก็อยู่ของเราเป็นอิสระจากมัน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 20:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
กรัชกายตั้งธงไว้ในใจว่าคำตอบจะต้องเป็นหรือคล้ายกับที่ฉันสรุปไว้ ถ้าไม่ตรงไม่คล้ายก็คือยังไม่ใช่

นี่คือการตัดสินใจตามทีอยากให้เป็น

แต่ถ้าเอาธรรมคือสภาวะที่พึงเกิดขึ้นจริงๆเป็นหลักก็น่าจะรู้เห็นตรงกันแต่คำอธิบายอาจคลาดเคลื่อนกันไปบ้างนิดๆเพราะพื้นความรู้และบัญญัติที่ใช้อาจจะไม่เท่ากัน

สรุปว่าถูกตามความเห็นได้ของใครของมัน

"รู้ เห็น ตามที่มันเป็น" มันง่ายจะตายในการปฏิบัติ นั่งลง หลับตาเนื้อ เปิดตาใจ นิ่งดู นิ่งสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิตซิ
ธรรมทั้งหลายเขาเอหิปัสสิโก...เรียกสติปัญญาให้เข้าไปดูไปรู้ ไปสังเกตอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
onion


คุณอโศกก็เข้าใจอะไรยากนะขอรับ กรัชกายเอาของจริงมาให้ดู แล้วให้อโศกแก้ปัญหา เนี่ยะ

อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนั่งสมาธิ แล้ว1.รู้สึกว่าร่างกายเป็นกรอบหนาๆ ที่ห่อหุ้ม พอผ่านไปซักพัก2.รู้สึกว่าภายในกรอบที่ห่อหุ้มเหมือนเป็นน้ำที่มีการกระเพื่อม มีการสั่นไหว นี่เป็นเรื่องปรกติของคนนั่งสมาธิ4.หรือเปล่าค่ะ หรือว่าจิต3.คิดไปเอง


ไหนลองว่าไปสิครับน่ะ :b1:

onion
รู้ตามที่มันเป็น ก็คือ

รู้ว่ามันรู้สึก 1. ........รู้ว่ามันรู้สึก 2..........รู้ว่ามันคิด 3.......รู้ว่ามันสงสัย 4....

เพราะมันยังมีเหตุตั้งอยู่ มีกำลังแห่งปัจจัย จากวิบากหรือผลของการกระทำในอดีตมากระทุ้ง จึงทำให้เกิด ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน กรรมใหม่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไป เกิด - ดับ ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่รู้จบ จนกว่าจะถอนเหตุออกเสียได้ หรือปัจจัยหมดกำลังที่่จะกระทุ้ง ทุกอย่างจึงสิ้นสุด หยุด ยุติ

ปัจจัย เป็นสิ่งที่ควบคุมแก้ไขได้ยากหรือแก้ไม่ได้ เพราะเขาเป็นอยู่ของเขาเช่นนั้นเองชั่วกัปป์ชั่วกัลป์

แต่เหตุ สามารถขุดถอนออกเสียได้ด้วยสติและปัญญา


เหตุนั้นมี ความเห็นผิด กับความยึดผิด 2 ตัวเป็นสำคัญ

เหตุ 1 ความเห็นผิด คือเห็นว่า กาย ใจนี้เป็น อัตตา ตัวกู ของกู.....สักกายทิฏฐิ

เหตุ 2 ความยึดผิด คือยึดว่า กาย ใจ นี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู.....มานะทิฏฐิ

เมื่อสติ ปัญญาเห็นธรรมตามความเป็นจริง คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายคลายจาง ละวาง สลัดคืนความเห็นผิดยึดผิดเขาจะเกิดขึ้นมาเองโดยธรรม ไม่ใช่โดยใคร

onion
ถ้าจะแนะนำน้องคนที่มีปัญหานี้ก็ตอบว่าใช่มันเป็นธรรมดาของคนฝึกนั่งสมาธิ ที่ยังไม่มีความรู้พื้นฐานเพียงพอ ขาดพี่เลี้ยงหรืออาจารย์คอยกำกับและเป็นที่ปรึกษา

ถ้าจะปฏิบัติต่อให้มาปูพื้นฐานความรู้เรื่องสมาธิและวิปัสสนาภาวนาให้ถูกต้องก่อนและเรียนรู้วิธีที่เจริญภาวนา

อย่างในกรณีของน้องนี้ถ้าจะเจริญวิปัสสนาภาวนาต่อก็ให้ยึดหลักไว้ในใจว่า

อะไรจะเกิดขึ้นให้รู้ ก็จงรู้ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ รู้มันไปซื่อๆ รู้มันไปเฉยๆ ไม่ต้องทำอื่นใด ไม่ช้าน้องจะได้พบความจริง ได้เรียนรู้พฤติกรรมของจิต ว่าทุกอารมณ์ มีแต่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่มีความรู้สึกเป็นกูเป็นเราไปยุ่งกับอารมณ์อารมณ์ทุกอย่างก็จะเกิดขึ้น ดับไป ไร้แก่นสารตัวตน

เป็นทุกขัง ทนตั้งอยู่ไม่ได้ จึงต้อง

อนิจจัง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

สุดท้าย ทั้งอนิจจังทุกขังที่แสดงอยู่นั้น บังคับบัญชามันให้เป็นไปดั่งใจ(กู)ไม่ได้ นั่นแหละ อนัตตา

ทำให้มากเจริญให้มากนะจ๊ะน้อง ผลสุข สงบ เย็น เขาจะเกิดตามมาเองถ้าเหตุมันถูกต้องและเพียงพอไม่ต้องสงสัยหรือไปกังวลหวังหาอะไรล่วงหน้า

:b37:
:b36:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 29 ม.ค. 2014, 20:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดเรื่องกายใจอีกแระ

ยังนึกขำอโศกไม่หาย เคยถามว่า ขันธ์ ๕ อยู่ที่ไหน บอกว่า ขันธ์ ๕ อยู่ในกายใจ อยู่ในรูปนามของเรา :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 21:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
พูดเรื่องกายใจอีกแระ

ยังนึกขำอโศกไม่หาย เคยถามว่า ขันธ์ ๕ อยู่ที่ไหน บอกว่า ขันธ์ ๕ อยู่ในกายใจ อยู่ในรูปนามของเรา :b32:

:b12:
ทำไมจะต้องไปทำของที่มันง่ายๆให้เป็นของยากเล่า กรัชกาย

คำว่า กาย ใจ นี่ชาวบ้าน ชาวเมือง ชาวไร่ชาวนา คนป่าคนดอยเขาฟังกันรู้เรื่องและเข้าใจง่ายๆ จะไปใช้ศัพท์แสงอะไรให้เขางงงันทำไม

ขันธ์ 5 ก็รวมอยู่ในคำง่ายๆ กาย ใจ นี่แหละ

ประเด็นของเรามันต้องการชี้ให้คนเขารู้หลักวิปัสสนาภาวนา ตามหัวข้อที่เราถกกันมาตั้งนานว่า

"รู้อย่างที่มันเป็น"......ไม่ใช่รู้อย่างที่เราอยากให้เป็น" ไม่ใช่หรือ หรือจะมาแตกกระทู้เปํนเรื่องขันธ์ 5 ในนี้อีกครับ

:b16: :b16:
ตั้งธงไว้ในใจอีกแล้ว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ กรัชกายนี่
s002 s002
s004 s004
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เหตุนั้นมี ความเห็นผิด กับความยึดผิด 2 ตัวเป็นสำคัญ

เหตุ 1 ความเห็นผิด คือเห็นว่า กาย ใจนี้เป็น อัตตา ตัวกู ของกู.....สักกายทิฏฐิ

เหตุ 2 ความยึดผิด คือยึดว่า กาย ใจ นี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู.....มานะทิฏฐิ


อโศกเหมือนคนได้หน้าลืมหลังยังไงไม่รู้

ก็ตัวเองพูดกายใจอยู่นั่น กรัชกายจึงว่า นำกายใจมาพูดอีก

ก็ขนาดเราถามเรื่องขันธ์ ๕ ซึ่งก็คือกาย-ใจ แต่ผ่าตอบตอบว่า ขันธ์ ๕ อยู่ในกายใจ เขาเรียกว่า คนละเรื่องเดียวกัน :b1:

อยากจะบอกว่า ไปเรียนสะให้ชัดก่อน จะได้ไม่อายเขา อย่างหนึ่ง สองจะได้ไม่พาคนหลงเข้ารกเข้าพง


ถ้าไม่ยังงั้นก็เริ่มเรื่องพื้นๆไปก่อน เช่น ทำวัตร สวดมนต์ สวดอิติปิโส พาหุง มหากา ทอดผ้าป่า ปิดทองฝังลูกนิมิต ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน สร้างโรงพยาบาล ปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯ เงี้ย อย่าเพิ่งกระโดดไปตัวกูของกู ละนั่นทิ้งนี่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีกว่า เบื่อแระรำคาญด้วย :b32: อาบน้ำกินนมนอนดีกว่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1965_resize.JPG
GEDC1965_resize.JPG [ 87.9 KiB | เปิดดู 4248 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
พอดีกว่า เบื่อแระรำคาญด้วย :b32: อาบน้ำกินนมนอนดีกว่า

:b12: :b12: :b12: :b12:
:b13: :b13: :b13: :b13:
:b32: :b32: :b32: :b32:
:b18: :b18: :b18: :b18:
5555555555555
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
สงสัยเราคงจะคุยกับนักวิชาการไม่รู้เรื่องแล้วหละ เหมือนพูดกันคนละภาษา

คงต้องกลับไปคุยกับ ป้าเอ้ย ลุงคำ ยายมา ตาเปิ่น ที่บ้านนอกของเราดีกว่า สบายใจเชิ้บๆ

ดูดนมให้อิ่ม หลับให้สบายนะกรัชกาย.....ระวังสำลักนมด้วยล่ะ... :b13:

:b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2014, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
ธรรมที่ขัดแย้งกัน ยกตัวอย่าง ความกรุณา ขัดแย้งกับความอาฆาตพยาบาท นี่เรียกว่าขัดแย้งกันครับ

เวลาปฏิบัติธรรม เกิดความอาฆาตขึ้นในจิตใจ คุณกรัชกายจะทำอย่างไรครับ จะตามอารมณ์ความอาฆาตจนถึงที่สุด หรือ จะหาแนวทางดับความอาฆาตนั้นลง

คุณกรัชกายจะเอาธรรมที่พิจารณาแล้วเกิดกุศล มาเป็นอยากให้มันเป็นอย่างนั้นเหรอครับ

คุณกรัชกายจะเอาข้อความมาต่อกันก็ต้องพิจารณาว่า เป็นแนวทางได้ทั้งสองทางสิครับ ไม่ใช่ให้เกิดความขัดแย้งของความหมาย



พูดจากใจนะขอรับ เราสองคนเนี่ยะนะ ต่อให้โต้เถียงกันจนตาย :b32: ก็ไม่มีวันบรรจบกันได้ เหมือนเส้นทางขนานกัน คือ คุณคิดเอาแบบนั้น แต่กรัชกายเอาสภาวธรรมซึ่งปรากฎ ณ ขณะจิตนั้นๆ ประกอบคำพูดคำอธิบาย เช่น ตัวอย่างนี้


อ้างคำพูด:
หัดนั่งสมาธิโดยแรกๆ ท่องพุทโธ เอา พักหลังๆพอเห็นว่าจิตนิ่งสงบ และสามารถนั่งได้นานขึ้น เลยลองมาท่อง นะมะพะธะ เอา ตอนนั่งแรกๆไม่มีอะไร พอนั่งไปนานมีความรู้สึกว่าคนมาเป่าลมใส่ที่หน้า มีเสียงให้ได้ยินเลย เลยทำให้ตกใจแล้วกระโดดลุกเลย ไม่นั่งสมาธิต่อ ทำไงให้หายค่ะ ขอบคุณค่ะ


กับตัวอย่างนี้


อ้างคำพูด:
ใจมันพูดเองเออเองได้ด้วยหรอคับ

มีอยู่ช่วงนึงขยันปฏิบัติมากขึ้น ก็ยิ่งฟุ้งซ่านมากขึ้น เครียดขึ้น มึนไปหมด
ใครพูดไรไม่ถูกใจหน่อย ก็คิดมาก วนอยู่ในหัว โดยที่ระงับไม่อยู่ ไม่รู้เป็นอะไร ตั้งหลายวัน
(เคยทำตามหลวงพ่อปราโมทย์ ใจหนีไปคิดก็รู้ ก็ทำไม่ได้เหมือนกำลังสมาธิไม่มี)

วันหนึ่งก่อนนอนสวดมนต์ นั่งสมาธิตามปกติ
นั่งอยู่เฉยๆ แต่ใจก็คิดฟุ้งซ่าน เครียด
.....อยู่ๆก็มีเสียงในใจพูดว่า "ความทุกข์เกิดที่ใจไช่ไหม ก็ดับที่ใจสิ"
.....แล้วก็หยุดฟุ้งซ่าน โล่ง สบาย ไปเฉยๆ นี่ไม่รู้ว่าเสียงนี้เราคิดเอาเองหรือยังไง



คำถาม
1. วิธีระงับความฟุ้งซ่านมีกี่วิธี อะไรบ้าง เนื่องจากผมเป็นคนคิดมาก บางทีทำสมาธิใจก็ไม่เป็นสมาธิ
(ไม่อยากรอให้หายเองแบบอาการข้างต้น)




หรือพูดอีกอย่างหนึ่งเราสองคนเหมือนขมิ้นกับปูน คิกๆๆ

http://www.youtube.com/watch?v=BZVGuy5K0bA


อ๋อ ผมเข้าใจแล้วว่าคุณกรัชกายจะสื่ออะไร

ในกรณีอย่างนี้ ปรมัตถ์ธรรมยังไม่ปรากฏ เพราะไม่ได้กำหนดรู้ธรรมตามที่ควรจะกำหนดรู้ เพราะจิตใจพะวงอยู่กับปัญหาทางโลก

ผมให้ความเห็นแล้วว่า กรณีนี้คือไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพราะใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2014, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
ธรรมที่ขัดแย้งกัน ยกตัวอย่าง ความกรุณา ขัดแย้งกับความอาฆาตพยาบาท นี่เรียกว่าขัดแย้งกันครับ

เวลาปฏิบัติธรรม เกิดความอาฆาตขึ้นในจิตใจ คุณกรัชกายจะทำอย่างไรครับ จะตามอารมณ์ความอาฆาตจนถึงที่สุด หรือ จะหาแนวทางดับความอาฆาตนั้นลง

คุณกรัชกายจะเอาธรรมที่พิจารณาแล้วเกิดกุศล มาเป็นอยากให้มันเป็นอย่างนั้นเหรอครับ

คุณกรัชกายจะเอาข้อความมาต่อกันก็ต้องพิจารณาว่า เป็นแนวทางได้ทั้งสองทางสิครับ ไม่ใช่ให้เกิดความขัดแย้งของความหมาย



พูดจากใจนะขอรับ เราสองคนเนี่ยะนะ ต่อให้โต้เถียงกันจนตาย :b32: ก็ไม่มีวันบรรจบกันได้ เหมือนเส้นทางขนานกัน คือ คุณคิดเอาแบบนั้น แต่กรัชกายเอาสภาวธรรมซึ่งปรากฎ ณ ขณะจิตนั้นๆ ประกอบคำพูดคำอธิบาย เช่น ตัวอย่างนี้


อ้างคำพูด:
หัดนั่งสมาธิโดยแรกๆ ท่องพุทโธ เอา พักหลังๆพอเห็นว่าจิตนิ่งสงบ และสามารถนั่งได้นานขึ้น เลยลองมาท่อง นะมะพะธะ เอา ตอนนั่งแรกๆไม่มีอะไร พอนั่งไปนานมีความรู้สึกว่าคนมาเป่าลมใส่ที่หน้า มีเสียงให้ได้ยินเลย เลยทำให้ตกใจแล้วกระโดดลุกเลย ไม่นั่งสมาธิต่อ ทำไงให้หายค่ะ ขอบคุณค่ะ


กับตัวอย่างนี้


อ้างคำพูด:
ใจมันพูดเองเออเองได้ด้วยหรอคับ

มีอยู่ช่วงนึงขยันปฏิบัติมากขึ้น ก็ยิ่งฟุ้งซ่านมากขึ้น เครียดขึ้น มึนไปหมด
ใครพูดไรไม่ถูกใจหน่อย ก็คิดมาก วนอยู่ในหัว โดยที่ระงับไม่อยู่ ไม่รู้เป็นอะไร ตั้งหลายวัน
(เคยทำตามหลวงพ่อปราโมทย์ ใจหนีไปคิดก็รู้ ก็ทำไม่ได้เหมือนกำลังสมาธิไม่มี)

วันหนึ่งก่อนนอนสวดมนต์ นั่งสมาธิตามปกติ
นั่งอยู่เฉยๆ แต่ใจก็คิดฟุ้งซ่าน เครียด
.....อยู่ๆก็มีเสียงในใจพูดว่า "ความทุกข์เกิดที่ใจไช่ไหม ก็ดับที่ใจสิ"
.....แล้วก็หยุดฟุ้งซ่าน โล่ง สบาย ไปเฉยๆ นี่ไม่รู้ว่าเสียงนี้เราคิดเอาเองหรือยังไง



คำถาม
1. วิธีระงับความฟุ้งซ่านมีกี่วิธี อะไรบ้าง เนื่องจากผมเป็นคนคิดมาก บางทีทำสมาธิใจก็ไม่เป็นสมาธิ
(ไม่อยากรอให้หายเองแบบอาการข้างต้น)




หรือพูดอีกอย่างหนึ่งเราสองคนเหมือนขมิ้นกับปูน คิกๆๆ

http://www.youtube.com/watch?v=BZVGuy5K0bA


อ๋อ ผมเข้าใจแล้วว่าคุณกรัชกายจะสื่ออะไร

ในกรณีอย่างนี้ ปรมัตถ์ธรรมยังไม่ปรากฏ เพราะไม่ได้กำหนดรู้ธรรมตามที่ควรจะกำหนดรู้ เพราะจิตใจพะวงอยู่กับปัญหาทางโลก

ผมให้ความเห็นแล้วว่า กรณีนี้คือไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพราะใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว


ขอบคุณครับที่เข้าใจ :b8: ว่ากันไปครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2014, 10:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss สาธุ........
กลับมาแล้วค่ะ ^^
มีความสุข สงบ ระงับ เบา อบอุ่น อธิบายไม่ถูก
กลับมาได้อ่านทุกความเห็น ได้อมยิ้มทุกเม้นท์เลยค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2014, 20:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
Kiss สาธุ........
กลับมาแล้วค่ะ ^^
มีความสุข สงบ ระงับ เบา อบอุ่น อธิบายไม่ถูก
กลับมาได้อ่านทุกความเห็น ได้อมยิ้มทุกเม้นท์เลยค่ะ ^^

:b8:
สาธุ
smiley
เริ่มคุ้นเคยกับรุ่นพี่ รุ่นปู่ในลานนี้แล้ว ต่อไปทางสะดวกครับ
กลับมาสนทนาเรื่องที่เป็นประโยชน์กับท่านสุทธิญาณต่อได้แล้วครับ
:b16:
เจริญสุข เจริญธรรม
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2014, 17:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนที่คุณสองใจ จะพบสภาวะความสงบ อบอุ่นสบาย ย่อมผ่านนิวรณ์ธรรม

นิวรณธรรมคือในส่วนของจิตได้แก่ ความคิด เรื่องราวในอดีต จะคลายออกมา ส่วนของร่างกายจะร้อน เหนื่อย ปวด เมื่อทั้งสองส่วน คลายมากเข้า สภาพจิตเริ่มเข้าสู่ความเฉื่อยเรื่องราว ความคิดลดลง ร่างกายจะซึมและหลับในที่สุด เมื่อรู้สึกตัวจิตใจและร่างกายรู้สีกสดชื่นขึ้น สภาพจิตเริ่มเกิดความคิด แต่หากสังเกตจะเป็นความคิดในเรื่องอนาคต สิ่งต่างๆที่คิดจะทำ

เมื่อนิวรณ์ธรรมคลายจางไป จะพบว่า สภาพความเกิดดับปรากฏชัด รู้สภาวะได้ง่าย เกิดดับเร็ว การคลายพลังหยาบเริ่มสู่ความละเอียดจิตเริ่มเย็นสงบลง ที่จริงความเย็นไม่ได้มีอยู่จริง ความเย็นคือความร้อนที่ลดลง หากคุณสองใจสังเกตให้ดี จะเห็นว่าสภาวะที่พบมี 2 ส่วนคือ 1.ทางร่างกายสภาวะความรู้สึกอบอุ่น สบาย อยากพัก (ผล)กับ 2.สภาวะใจ(มโน)ที่เป็นแรงสั่นกระพริบที่กลางหน้าอก(เหตุ) เมื่อคุณสองใจไปรู้การสั่นกระพริบแล้วการสั่นกระพริบเดิมเปลี่ยนเป็นสั่นกระพริบแต่เบาบางลง(ละเอียดขึ้น) ก็จะพบว่าความรู้สึกทางร่างกายจะเปลี่ยนจากอบอุ่น สบาย อยากพัก เป็นเย็นสบายยิ่งขึ้น จิตจะกระจายตัวมากขึ้น แต่หากไม่เรียนรู้การสั่นสะเทือนกลางหน้าอกที่สั่นเบาลงแล้ว หรือรู้ช้า สภาวะร่างกายที่เย็นสบาย ก็จะกลับย้อนเป็นอบอุ่นสบาย ซึ่งเป็นสภาพที่หยาบกว่า

สรุป ธรรมคู่ที่ 1.ทางร่างกายสภาวะความรู้สึกอบอุ่น สบาย อยากพัก (ผล 1)กับสภาวะใจ(มโน)ที่เป็นแรงสั่นกระพริบที่กลางหน้าอก(เหตุ1)
ธรรมคู่ที่ 2.ทางร่างกายสภาวะความเย็นสบายยิ่งขึ้น(ผล2)กับสภาวะใจ(มโน)ที่เป็นแรงสั่นกระพริบที่กลางหน้าอกที่สั่นเบาขึ้น(เหตุ2)
หากรู้เท่าทันสภาวะใจ (เหตุ1)และเหตุ1 ดับลง จะเกิดเป็นผลต่อสภาวะ(ผล1)เปลี่ยนเป็น(ผล2)
หากเปลี่ยนเป็น(ผล2)แล้ว หากรู้เท่าทันใน(เหตุ2) ก็จะเกิดธรรมคู่ที่
3
ธรรมคู่ที่ 3 ทางร่างกายสภาวะความเย็นสบายสดชื่น(ผล3)กับสภาวะใจ(มโน)ที่เป็นแรงสั่นกระพริบที่กลางหน้าอกที่สั่นเบาจนแทบไม่รู้สึกว่าสั่น(เหตุ3)
หากเปลี่ยนเป็น(ผล2)แล้ว หากไม่รู้เท่าทันใน(เหตุ2) ก็จะกลับสู่ธรรมคู่ที่1


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 139 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร