วันเวลาปัจจุบัน 01 พ.ค. 2025, 22:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 139 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณอโศกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณอโศกะ
ดิฉันไม่ได้เสียใจหรือท้อแท้หลอกค่ะ
เพราะทราบดีว่า แต่ละท่านก็มีกรรมเป็นของของตน
ในที่นี้ก็มีผู้รู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วจิงๆก็มี
คำแนะนำใดถูก คำแนะนำใดไม่ถูก ไม่ใช่ทาง
จิตเขาก็ทราบได้ด้วยตัวของเขาเองอยู่
แต่อาจจะมีบางครั้งที่ เสื่อม เป๋ เซ ไปบ้าง
หากแต่มีผู้แนะนำที่ถูกต้อง สมควรแก่ธรรม
จิตก็สามารถเดินต่อได้

หากดิฉันอยากสนทนาธรรมกับคุณสุทธิญาณโดยตรง จะต้องทำอย่างไรค่ะคุณอโศกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
กราบขอบพระคุณท่านผู้รู้ ที่แสดงธรรมให้ฟังค่ะ
หากจักขอความเมตตาอีกสักหน่อย
เรื่องสภาวะธรรม ตามที่ท่านผู้รู้เข้าใจ
ขยายความอีกได้หรือไม่ ว่าที่แท้แล้วนั้น สภาวะธรรมคืออะไร
ความโลภ โกรธ หลง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และัดับไปนั้น
หรือ กุศล และอกุศล ที่เกิดดับนั้น รวมๆแล้ว ธรรมเหล่านั้น
เรียกว่า สภาวะธรรม ได้หรือไม่
ตามที่ดิฉันผู้มีตามืดบอด เข้าใจว่าธรรมเหล่านั้นที่มีความทนอยู่ไม่ได้ คือสภาวะ

อนุโมทนาครับ :b46: :b8: :b8: :b8: :b46:




แก้ไขล่าสุดโดย Rotala เมื่อ 20 ม.ค. 2014, 15:48, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว






โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 16:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณ Rotala ค่ะ
สาธุ......
หลวงพ่อพุธ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 17:16 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2525

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนากับทุกคำตอบค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 20:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
ขอบคุณอโศกะ
ดิฉันไม่ได้เสียใจหรือท้อแท้หลอกค่ะ
เพราะทราบดีว่า แต่ละท่านก็มีกรรมเป็นของของตน
ในที่นี้ก็มีผู้รู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วจิงๆก็มี
คำแนะนำใดถูก คำแนะนำใดไม่ถูก ไม่ใช่ทาง
จิตเขาก็ทราบได้ด้วยตัวของเขาเองอยู่
แต่อาจจะมีบางครั้งที่ เสื่อม เป๋ เซ ไปบ้าง
หากแต่มีผู้แนะนำที่ถูกต้อง สมควรแก่ธรรม
จิตก็สามารถเดินต่อได้

หากดิฉันอยากสนทนาธรรมกับคุณสุทธิญาณโดยตรง จะต้องทำอย่างไรค่ะคุณอโศกะ

:b8:
คลิกที่ชื่อเขาครับแล้วจะทราบข้อมูลทีอาจเมล์ตรงถึงท่านเพื่อขอเบอร์โทรตรงได้ครับ ผมจะพยายามหาให้อีกทางหนึ่งครับ อดใจรอนิดหนึ่ง
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 22:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอความเจริญในธรรมมีแก่คุณสองใจ :b8:

จากสภาวธรรมที่คุณสองใจได้เล่าเพิ่มเติมพอประมวลได้ว่าคุณได้เข้าถึงความจริงระดับลึกแล้ว ซึ่งในกระทู้ที่ผ่านมาผมได้กล่าวถึงตัวรู้ไว้ 2 ระดับคือ1.) ภายนอกสู่ภายใน และ2.)ภายในสู่ภายใน ซึ่งตัวรู้ที่2 นี้เป็นพัฒนาการที่ทำให้ตัวรู้หยั่งลงสู่ความจริง ระดับที่ลึกลงไปอีก ความจริงระดับนี้จะพบว่า จิตจะเข้าสู่ภายในสงบอยู่ไม่ออกรับรู้ภายนอก ซึ่งก็เป็นส่วนดี เช่น ที่คุณบอกว่ารู้สึกถึงความรู้สึกคลุกคลิก(เหตุหรือนาม) หากไม่สังเกตจะอยู่ ณ ตำแหน่งตัวรู้ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะอยู่ที่ตำแหน่งกลางหน้าอกหรือที่หัวใจ ส่วนความรู้สึกสบายอบอุ่น(ผลหรือรูป) หรือเรียกอีกอย่างปิติ สภาวนี้คือสภาวธรรมคู่ ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติจะรู้เฉพาะผลคือปิติ แต่ไม่รู้เหตุคืออาการขยุกขยิก(ผมเคยเรียกแบบนี้) จริงแล้วสภาวะขยุกขยิกนี้ คือการเกิดดับที่รวดเร็วหรือความถี่ของจิต บางท่านจะรู้สึกว่าเป็นการสั่นสะเทือน โดยแนวทางที่ปฏิบัติทั่วไปมักไปสังเกตเฉพาะความรู้สึกสบายอบอุ่น ซึ่งก็จะพบว่าต่อมาความอบอุ่นได้คลายลง การรู้ในลักษณะนี้เป็นการรู้ไปที่ผล หากการปฏิบัติคือการทำโจทย์ข้อสอบ ผู้ปฏิบัติทำถูกต้องระดับหนึ่ง แต่หลักปฏิบัติที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ธรรมทุกอย่างเกิดแต่เหตุเมื่อรู้เหตุดับผลย่อมดับ กรณีแรกหากการรู้ที่ปิติอย่างเดียว กว่าสภาวะธรรมของปิติความอบอุ่นจะเกิดดับเปลี่ยนเป็นความเย็นสบาย ใช้เวลา 4 ส่วน หากเป็นกรณีที่ 2 เมื่อรู้ความอบอุ่น 3- 4 วินาที แล้วเปลี่ยนไปสังเกต อาการคลุกคลิก 3-4 วินาที แล้วกลับไปรู้ความอบอุ่นใหม่จะพบว่าสภาวะธรรมของปิติความอบอุ่นจะเกิดดับเปลี่ยนเป็นความเย็นสบาย ใช้ระยะเวลาเพียง 1ใน 4 ส่วนของกรณีแรก

สรุปว่า การปฏิบัติกรณีที่2 ที่ได้สภาวะธรรมอย่างเดียวกัน( out put เหมือนกัน)แต่ใช้เวลาต่ำกว่า (input ต่ำกว่า)แนวทางนั้น จึงมีประสิทธิภาพมากกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจจะตามรู้หรือไม่ตามรู้ จะฝันไม่ฝัน จะเห็นอะไรไม่เห็นอะไร หรือใครจะทำอะไรไม่ทำอะไรก็ไม่มีอันตรายเลย

อันตรายมีมาจากอันเดียวคือความเห็นที่ผิดความจริง

เห็นผิดความจริงก็จะเกิดความหวังในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พอหวังในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็จะผิดหวัง ก็จะทุกข์

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น อารมณ์อะไรก็ตามที่คุณสัมผัส รวมถึงอาการที่มันตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลงไป หรือดับไป ทั้งหมด คือสภาวะธรรม คือความจริงที่เรามีหน้าที่ต้องพิจารณาให้เห็น

พิจารณาให้เห็น แยกให้ได้ ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ต้องรู้ทั้งคู่ ทั้งอันที่จริง และทั้งอันที่ไม่จริง

จิตเราทุกคน ทำหน้าที่อยู่อย่างที่จิตควรทำ ตามธรรมชาติ ตามความจริง เป็นความจริงอยู่แล้วในตัวมันเองตลอดเวลา

ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความจริงของมันอยู่แล้วตลอดเวลา

แล้วทำไมเราถึงไปคาดหวัง อยากให้จิตเราทำอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความคาดหวังนี้มาจากไหน เราวาดภาพของจิต หรือของสิ่งต่างๆในหัวไว้ว่าเป็นแบบไหน

ภาพในหัวนั้นแหละ ลองเอามาวัดกับของจริง ดูซิ เหมือนหรือต่างกันแค่ไหน

ถ้าต่างกัน อันไหนผิด ตรงไหนแก้ไขได้ ตรงไหนแก้ไขไม่ได้

ตรงที่แก้ได้ ถ้าเห็นว่าควรแก้ ก็แก้

ตรงที่แก้ไม่ได้ ก็ยอมรับเสียว่าแก้ไม่ได้

:b39:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2014, 08:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
ใจจะตามรู้หรือไม่ตามรู้ จะฝันไม่ฝัน จะเห็นอะไรไม่เห็นอะไร หรือใครจะทำอะไรไม่ทำอะไรก็ไม่มีอันตรายเลย

อันตรายมีมาจากอันเดียวคือความเห็นที่ผิดความจริง

เห็นผิดความจริงก็จะเกิดความหวังในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พอหวังในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็จะผิดหวัง ก็จะทุกข์

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น อารมณ์อะไรก็ตามที่คุณสัมผัส รวมถึงอาการที่มันตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลงไป หรือดับไป ทั้งหมด คือสภาวะธรรม คือความจริงที่เรามีหน้าที่ต้องพิจารณาให้เห็น

พิจารณาให้เห็น แยกให้ได้ ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ต้องรู้ทั้งคู่ ทั้งอันที่จริง และทั้งอันที่ไม่จริง

จิตเราทุกคน ทำหน้าที่อยู่อย่างที่จิตควรทำ ตามธรรมชาติ ตามความจริง เป็นความจริงอยู่แล้วในตัวมันเองตลอดเวลา

ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความจริงของมันอยู่แล้วตลอดเวลา

แล้วทำไมเราถึงไปคาดหวัง อยากให้จิตเราทำอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความคาดหวังนี้มาจากไหน เราวาดภาพของจิต หรือของสิ่งต่างๆในหัวไว้ว่าเป็นแบบไหน

ภาพในหัวนั้นแหละ ลองเอามาวัดกับของจริง ดูซิ เหมือนหรือต่างกันแค่ไหน

ถ้าต่างกัน อันไหนผิด ตรงไหนแก้ไขได้ ตรงไหนแก้ไขไม่ได้

ตรงที่แก้ได้ ถ้าเห็นว่าควรแก้ ก็แก้

ตรงที่แก้ไม่ได้ ก็ยอมรับเสียว่าแก้ไม่ได้

:b39:


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ :b47: :b8: :b8: :b8: :b47:

:b47: การปฏิบัติภาวนาจิต (หลวงปู่พุธ ฐานิโย) :b47:

http://board.palungjit.org/f4/%E0%B8%81 ... 22295.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 11:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเพิ่มเติม ลักษณะการรู้ เดิมทีผู้ไม่ปฏิบัติจะมีเฉพาะการรับผัสสะรู้ ต่อมาเมื่อเริ่มปฏิบัติจืงต้องแยกสิ่งรู้กับสิ่งถูกรู้ เมื่อแยกได้แล้ว ก็จะทำให้เกิดปรากฏการณ์การ ทำให้เกิดตำแหน่งของผู้รู้กับตำแหน่งสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งเป็นพัฒนาการทั่วไป แต่ถ้าการปฏิบัติไปอีกระดับหนึ่ง จะสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลง(อนัจจัง)จะพัฒนาได้ช้าสาเหตุเพราะการมีตำแหน่งก็คือการมีตัวตน(อัตตา)จุดต่างของ2 ตำแหน่งนั้นจึงกลายเป็นอุปสรรค ดังนั้นในขั้นนี้จึงต้องกำจัดความแตกต่าง จะกล่าวถึงแนวทางในลำดับต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 13:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suttiyan เขียน:
ขอเพิ่มเติม ลักษณะการรู้ เดิมทีผู้ไม่ปฏิบัติจะมีเฉพาะการรับผัสสะรู้ ต่อมาเมื่อเริ่มปฏิบัติจืงต้องแยกสิ่งรู้กับสิ่งถูกรู้ เมื่อแยกได้แล้ว ก็จะทำให้เกิดปรากฏการณ์การ ทำให้เกิดตำแหน่งของผู้รู้กับตำแหน่งสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งเป็นพัฒนาการทั่วไป แต่ถ้าการปฏิบัติไปอีกระดับหนึ่ง จะสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลง(อนัจจัง)จะพัฒนาได้ช้าสาเหตุเพราะการมีตำแหน่งก็คือการมีตัวตน(อัตตา)จุดต่างของ2 ตำแหน่งนั้นจึงกลายเป็นอุปสรรค ดังนั้นในขั้นนี้จึงต้องกำจัดความแตกต่าง จะกล่าวถึงแนวทางในลำดับต่อไป


ตัวเน้นสีแดง หมายถึง การมีตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร หรือ การมีตัวตนแต่เห็นว่าไม่เที่ยง ค่ะ s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 14:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ในขั้นนี้ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่าตัวตนไม่เที่ยง แต่ผมกำลังสื่อให้เข้าใจถึงคุณภาพในการรู้ความจริงหากเรายังมีจุดศูนย์กลางในการเห็นเราจะมองเห็นเพียงด้านที่มอง อีกด้านไม่เห็น หากถามว่าเป็นการรู้ตามจริง หรือไม่ก็ต้องตอบว่าจริงแต่จริงไม่หมด โดยหลักการแล้ว หากแนวทางการปฏิบัติใดที่เห็นความจริงรอบด้านที่สุด ลึกที่สุด(จริงแล้วไม่ควรใช้การวัดเช่นนี้แต่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เห็นภาพ)คือรู้ถีงเหตุของผล(เหตุ)ของผล(เหตุ)แบบไม่รู้จบจนเข้าสู่แกนกลางต้นเหตุของทุกข์ การรู้ลักษณะเช่นนี้จีงเรียกเรียกว่า วิชชา จนการเกิดดับของรูปนาม ดับสิ้นสุดลง ด้วยมรรค จิตอิสระจากแรงร้อยรัดทั้งปวง ในขณะนั้นจะไม่มีภาวะการเกิดดับของรูปนามปรากฏ(นิพพาน)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 139 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร