วันเวลาปัจจุบัน 10 มิ.ย. 2025, 03:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
ผมอ่านทั้งอภิธัม และ อภิธัมมัตถสังคหะครับ
แต่ไม่เคยเห็นตรงไหนบอกว่าจิตพระอรหันต์เป็นนิพพานครับ
ถึงได้ถามว่าเอามาจากไหนครับ


คุณนี่มันจิ้นเอาทุกเรื่อง ทุกเม็ด แย้งตะพึดแต่หาที่มาไม่ได้ซํกกะเรื่อง
สุดยอดครับ


เอ่อ! อย่างนั้นหรือครับ แล้วพจนานุกรมที่คุณเอามาอ้างอิง
ที่ว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ (พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตล่ะ)

ศึกษาพระธรรมปะสาอะไร ไม่ได้มีการพิจารณาธรรมเลย
เล่นหยิบบัญญัติมาทั้งดุ้นไม่รู้เหนือรู้ใต้ แบบนี้เมื่อไรจะดับอวิชาได้
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 13:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณจะยื่นยันอะไรมันไม่เป็นปัญหา มันเป็นเรื่องปกติ
แต่เรื่องที่ผิดปกติก็คือ....คำนี้ " เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทาเสสนิพพานธาตุ"
ดันแปลไปได้ว่า อนุปาทาเสสนิพพานธาตุคือพระอรหันต์ที่ตายแล้ว แล้วปรินพพานล่ะ
ก็แปลว่าพระอรหันต์ที่ตายแล้วเหมือนกัน.....แบบนี้พระอรหันต์ตายกี่ครั้ง :b32:


อ้างคำพูด:
เอ่อ! อย่างนั้นหรือครับ แล้วพจนานุกรมที่คุณเอามาอ้างอิง
ที่ว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ (พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตล่ะ)


ก็จิ้นเอาอย่างเดียว
พระไตรปิฏกไม่ศึกษา อรรถกถาไม่อ่าน อภิธัมมัตถสังคหะไม่เอาก็เป็นแบบนี้


นิพพาน=นิ (ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) =ไม่มีการพัดไป ไม่มีสิ่งร้อยรัด คำว่า "วานะ" เป็นชื่อเรียก กิเลสตัณหา
นิพพาน=การไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ=การดับกิเลส

ธาตุ=สภาวะที่ดำรงอยู่
สอุปาทิเสสนิพพาน = ส อุปาทิ นิพพาน
อุปาทิ= เชื้อ
สอุปาทิเสส= ยังมีเชื้อ
นิพพาน= การดับกิเลส
สอุปาทิเสสนิพพาน=การดับกิเลสที่ยังมีอุปาทิเหลือ คือยังมีเบญจขันธ์ อันเป็นเชื้อหลงเหลือ
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ=สภาวะการดับกิเลสที่ยังมีอุปาทิเหลือ คือยังมีเบญจขันธ์ อันเป็นเชื้อหลงเหลือ

อนุปาทิเลสนิพพาน
อนุปาทิเสส=สิ้นเชื้อ
อนุปาทิเสสนิพพาน= การดับกิเลสโดยหมดอุปาทิอย่างสิ้นเชิง
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ=สภาวะการดับกิเลสโดยหมดอุปาทิอย่างสิ้นเชิง

ปรินิพพาน
ปริ=รอบ
นิพพาน=ดับกิเลส
ปรินิพพาน=การดับรอบ ความปราศจากกิเลสที่ร้อยรัด คือ การดับสนิท ดับด้วยไม่เหลือแห่งกิเลสและกองทุกข์

ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ= การดับสนิท ดับด้วยไม่เหลือด้วยสภาวะการดับแบบหมดอุปาทิโดยสิ้นเชิง


อ้างคำพูด:
ศึกษาพระธรรมปะสาอะไร ไม่ได้มีการพิจารณาธรรมเลย
เล่นหยิบบัญญัติมาทั้งดุ้นไม่รู้เหนือรู้ใต้ แบบนี้เมื่อไรจะดับอวิชาได้ :b32:


อย่าพูดเรื่องศึกษาธรรม เพราะที่ถกกันมาผมเห็นคุณจิ้นเอาล้วนๆไม่มีศึกษาเลย
ส่วนเรื่องดับอวิชชา ยังไม่ต้องพูดถึง
ปริยัติยังไม่ได้ ปฏิบัติไปไม่ถึงไหน ปฏิเวธไม่ต้องพูดถึง

เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 13:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ย้ำอีกที
คุณโฮฮับ

คุณนี่มันจิ้นเอาทุกเรื่อง ทุกเม็ด แย้งตะพึดแต่หาที่มาไม่ได้ซํกกะเรื่อง
สุดยอดครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณจะยื่นยันอะไรมันไม่เป็นปัญหา มันเป็นเรื่องปกติ
แต่เรื่องที่ผิดปกติก็คือ....คำนี้ " เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทาเสสนิพพานธาตุ"
ดันแปลไปได้ว่า อนุปาทาเสสนิพพานธาตุคือพระอรหันต์ที่ตายแล้ว แล้วปรินพพานล่ะ
ก็แปลว่าพระอรหันต์ที่ตายแล้วเหมือนกัน.....แบบนี้พระอรหันต์ตายกี่ครั้ง :b32:


อ้างคำพูด:
เอ่อ! อย่างนั้นหรือครับ แล้วพจนานุกรมที่คุณเอามาอ้างอิง
ที่ว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ (พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตล่ะ)


ก็จิ้นเอาอย่างเดียว
พระไตรปิฏกไม่ศึกษา อรรถกถาไม่อ่าน อภิธัมมัตถสังคหะไม่เอาก็เป็นแบบนี้


นิพพาน=นิ (ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) =ไม่มีการพัดไป ไม่มีสิ่งร้อยรัด คำว่า "วานะ" เป็นชื่อเรียก กิเลสตัณหา
นิพพาน=การไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ=การดับกิเลส

ธาตุ=สภาวะที่ดำรงอยู่
สอุปาทิเสสนิพพาน = ส อุปาทิ นิพพาน
อุปาทิ= เชื้อ
สอุปาทิเสส= ยังมีเชื้อ
นิพพาน= การดับกิเลส
สอุปาทิเสสนิพพาน=การดับกิเลสที่ยังมีอุปาทิเหลือ คือยังมีเบญจขันธ์ อันเป็นเชื้อหลงเหลือ
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ=สภาวะการดับกิเลสที่ยังมีอุปาทิเหลือ คือยังมีเบญจขันธ์ อันเป็นเชื้อหลงเหลือ

อนุปาทิเลสนิพพาน
อนุปาทิเสส=สิ้นเชื้อ
อนุปาทิเสสนิพพาน= การดับกิเลสโดยหมดอุปาทิอย่างสิ้นเชิง
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ=สภาวะการดับกิเลสโดยหมดอุปาทิอย่างสิ้นเชิง

ปรินิพพาน
ปริ=รอบ
นิพพาน=ดับกิเลส
ปรินิพพาน=การดับรอบ ความปราศจากกิเลสที่ร้อยรัด คือ การดับสนิท ดับด้วยไม่เหลือแห่งกิเลสและกองทุกข์

ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ= การดับสนิท ดับด้วยไม่เหลือด้วยสภาวะการดับแบบหมดอุปาทิโดยสิ้นเชิง


อ้างคำพูด:
ศึกษาพระธรรมปะสาอะไร ไม่ได้มีการพิจารณาธรรมเลย
เล่นหยิบบัญญัติมาทั้งดุ้นไม่รู้เหนือรู้ใต้ แบบนี้เมื่อไรจะดับอวิชาได้ :b32:


อย่าพูดเรื่องศึกษาธรรม เพราะที่ถกกันมาผมเห็นคุณจิ้นเอาล้วนๆไม่มีศึกษาเลย
ส่วนเรื่องดับอวิชชา ยังไม่ต้องพูดถึง
ปริยัติยังไม่ได้ ปฏิบัติไปไม่ถึงไหน ปฏิเวธไม่ต้องพูดถึง

เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะครับ


บอกว่าอ่านพระอภิธรรมมาทุกบท....................ไหนลองเอาพระอภิธรรมบทนี้ไปอ่าน
จะได้เลิกนอนกอดคำศัพท์

[๑] สกวาที ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
๑. คัมภีร์ที่ ๕ บาลีเล่มที่ ๓๗

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 2
ส. สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ๑ เป็นปรมัตถะ๒ ท่าน
หยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯล ฯ
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ๓ หากว่าท่านหยั่งเห็นบุคคลโดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า สภาวะใด เป็น
สัจฉิกัตถะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะ
ใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตาม
สภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดังนี้ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า สภาวะ
ใดเป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเป็นบุคคลนั้น ตาม
สภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่ง
เห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึง
กล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึง
กล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็น
บุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดังนี้ ผิด.
อนุโลมปัญจกะ จบ



๑. สัจฉิกัตถะ สภาวะที่จริงแท้.
๒. ปรมัตถะ อรรถอันยิ่ง อันอุดม อันไม่ต้องยึดถือด้วยอาการมีการฟังตามกันมาเป็นต้น
ทั้งนี้ หมายถึงสภาวธรรมที่จำแนกเป็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒
ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ รวม ๕๗ อย่าง.
๓. นิคคหะ การข่ม การปราบปราม.


http://www.tripitaka91.com/91book/book80/001_050.htm

ไปอ่านหลายๆรอบน่ะว่า สัจฉิกัตถ์ หมายถึงอะไร
ปรมัตถ์หมายถึงอะไร
นิคคหะหมายถึงอะไร
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 18:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

บอกว่าอ่านพระอภิธรรมมาทุกบท....................ไหนลองเอาพระอภิธรรมบทนี้ไปอ่าน
จะได้เลิกนอนกอดคำศัพท์

[๑] สกวาที ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
๑. คัมภีร์ที่ ๕ บาลีเล่มที่ ๓๗

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 2
ส. สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ๑ เป็นปรมัตถะ๒ ท่าน
หยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯล ฯ
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ๓ หากว่าท่านหยั่งเห็นบุคคลโดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า สภาวะใด เป็น
สัจฉิกัตถะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะ
ใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตาม
สภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดังนี้ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า สภาวะ
ใดเป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเป็นบุคคลนั้น ตาม
สภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่ง
เห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึง
กล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึง
กล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็น
บุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดังนี้ ผิด.
อนุโลมปัญจกะ จบ



๑. สัจฉิกัตถะ สภาวะที่จริงแท้.
๒. ปรมัตถะ อรรถอันยิ่ง อันอุดม อันไม่ต้องยึดถือด้วยอาการมีการฟังตามกันมาเป็นต้น
ทั้งนี้ หมายถึงสภาวธรรมที่จำแนกเป็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒
ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ รวม ๕๗ อย่าง.
๓. นิคคหะ การข่ม การปราบปราม.


http://www.tripitaka91.com/91book/book80/001_050.htm

ไปอ่านหลายๆรอบน่ะว่า สัจฉิกัตถ์ หมายถึงอะไร
ปรมัตถ์หมายถึงอะไร
นิคคหะหมายถึงอะไร
:b32:


ครับ
เคยแปลงร่างเป็น 999 ไปในpantip พูดถึงเรื่องนี้ไว้แล้วนี่ครับ

http://pantip.com/topic/31270971

ผมก็ตอบไปอย่างละเอียดแล้ว จะย้อนต้นใหม่อีกรอบเหรอครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 03:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
โฮฮับ เขียน:

บอกว่าอ่านพระอภิธรรมมาทุกบท....................ไหนลองเอาพระอภิธรรมบทนี้ไปอ่าน
จะได้เลิกนอนกอดคำศัพท์

[๑] สกวาที ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
๑. คัมภีร์ที่ ๕ บาลีเล่มที่ ๓๗

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 2
ส. สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ๑ เป็นปรมัตถะ๒ ท่าน
หยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯล ฯ
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ๓ หากว่าท่านหยั่งเห็นบุคคลโดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า สภาวะใด เป็น
สัจฉิกัตถะเป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะ
ใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตาม
สภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดังนี้ผิด, แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า สภาวะ
ใดเป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเป็นบุคคลนั้น ตาม
สภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่ง
เห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึง
กล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ แต่ไม่พึง
กล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าหยั่งเห็น
บุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ ดังนี้ ผิด.
อนุโลมปัญจกะ จบ



๑. สัจฉิกัตถะ สภาวะที่จริงแท้.
๒. ปรมัตถะ อรรถอันยิ่ง อันอุดม อันไม่ต้องยึดถือด้วยอาการมีการฟังตามกันมาเป็นต้น
ทั้งนี้ หมายถึงสภาวธรรมที่จำแนกเป็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒
ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ รวม ๕๗ อย่าง.
๓. นิคคหะ การข่ม การปราบปราม.


http://www.tripitaka91.com/91book/book80/001_050.htm

ไปอ่านหลายๆรอบน่ะว่า สัจฉิกัตถ์ หมายถึงอะไร
ปรมัตถ์หมายถึงอะไร
นิคคหะหมายถึงอะไร
:b32:


ครับ
เคยแปลงร่างเป็น 999 ไปใน.... พูดถึงเรื่องนี้ไว้แล้วนี่ครับ

ผมก็ตอบไปอย่างละเอียดแล้ว จะย้อนต้นใหม่อีกรอบเหรอครับ


อย่ามั่วออกนอกประเด็นครับ คุณเกานี่มันมั่วทุกเม็ด พาลทุกช็อท
คุณบอกว่าคุณอ่านพระอภิธรรมมาทั้งมัตถฯและพระไตรปิฎก
ผมสงสัยว่า คนที่อ่านพระอภิธรรมมา ความคิดความอ่าน ทำไมจึงเป็นอย่างนี้
ก็เลยลองภูมิถามเพื่อให้คุณสำนึกรู้ว่า กำลังหลงตัวเอง แล้วผลที่ได้ก็คือ
อาการพาลขาดสติ ไร้จุดยืน ไม่รู้กาลเทศะ :b32:

คุณเกาครับคุณอย่าตะบี้ตะบันแถนู้น นี่ นั้นเลยครับ
พระอภิธรรมที่ผมยกมา มันเกี่ยวข้องในกระทู้นี้ และประเด็นมีความเห็นของคุณเป็นเหตุปัจจัย
สิ่งแรก ดันพูดว่า...."ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ" คืออรหันต์ที่ตายแล้ว
มิหน่ำซ้ำดันอ้างอิงพุทธพจน์ด้วยพจนานุกรม นี่คือประเด็นใหญ่ ยังมีประเด็นย่อยอีกเยอะ

พระอภิธรรมบทที่ผมยกมา เพื่อจะสั่งสอนคุณว่าไอ้สิ่งที่คุณพูด
มันไม่ได้เรื่อง เหมือนสกวาทีโต้บอกปรวาที

ไม่อยากยกธรรมหมวดนี้มาอ้าง แต่คุณก็ยังย้ำคิดย้ำทำ
มั่วเมาอยู่แค่คำศัพท์ตัวอักษร เอาพุทธพจน์มามั่วซ่ะเละเทะ
สิ่งที่ผมคิดไว้เป็นจริงครับว่า เอามาอ้างก็ไม่รู้เรื่อง แล้วมันก็เป็นจริง
แถไถลไปไกลถึง"พาลถีบ" มิหน่ำซ้ำพาลด่าเราแปลงร่างอีกแน่ะ
คนอะไรอัตตาเต็มหัว ไม่เข้าเรื่องเข้าราว จะแปลงร่างอย่างไร
นั้นมันสมาชิกใช้เบอร์โทร และที่คุณมาจ้อที่นี่ เพราะผมไปท้าคุณที่"พาลถีบ"ไม่ใช่หรือ
:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 04:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเกาครับ ผมพิจารณาดูแล้ว คุณคงอ่านพระธรรมที่ผมเอามาอ้างไม่รู่เรื่องเป็นแน่
ไม่เป็นไรครับ จะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ............


ใจความสำคัญที่คุณพอจะเข้าใจ ผมยกมาอธิบายให้ฟัง

โฮฮับ เขียน:
๑. สัจฉิกัตถะ สภาวะที่จริงแท้.
๒. ปรมัตถะ อรรถอันยิ่ง อันอุดม อันไม่ต้องยึดถือด้วยอาการมีการฟังตามกันมาเป็นต้น
ทั้งนี้ หมายถึงสภาวธรรมที่จำแนกเป็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒
ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ รวม ๕๗ อย่าง.
๓. นิคคหะ การข่ม การปราบปราม.


พิจารณาในหมายเลข..๑ คุณไม่เข้าใจในสัจฉิกัตถะ จากคำพูดที่ว่า.....
"เสด็จปรินิพพาน...ด้วย...อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
คุณเล่นเอาสมมติ(ตัวบุคคล)และปรมัตถ์(สภาวะ)ไปรวมเป็นคำๆเดียวหรือเป็นอย่างเดียวกัน

ในหมายเลข..๒ คุณไม่รู้จักปรมัตถ์ ไม่เคยเจอสภาวธรรม
คำพูดของคุณเลยย้ำคิดย้ำทำอยู่ที่คำศัพท์ หาเหตุแห่งคำศัพท์ไม่เป็น
ขาดความเข้าใจว่า การพิจารณาบัญญัติเราต้องทำบัญญัติให้สถาวะในใจตนเอง
ท่านจึงบอกว่า "ไม่ต้องยึดถือด้วยอาการฟังตามกันมา"
การเอาคำในพจนานุกรมมาอ้าง เข้าในลักษณะนี้ มันใช้ไม่ได้

ในหมายเลข...๓ นิคคหะความหมายในพระธรรมก็คือ สกวาที(ผู้ที่ยึดพุทธพจน์แท้ๆ) กำลังปราม
เพื่อจะสอนสั่ง ปรวาที(ผู้ที่ยึดในคำพูดของพวกศาสนาอื่น)
คุณเกาอ่านข้อความประโยคนี้แล้ว ก็คิดพิจารณาเอาเองว่า คุณเป็นเหมือนปรวาที่หรือเปล่า :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:


นิพพาน=นิ (ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) =ไม่มีการพัดไป ไม่มีสิ่งร้อยรัด คำว่า "วานะ" เป็นชื่อเรียก กิเลสตัณหา
นิพพาน=การไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ=การดับกิเลส

ธาตุ=สภาวะที่ดำรงอยู่
สอุปาทิเสสนิพพาน = ส อุปาทิ นิพพาน
อุปาทิ= เชื้อ
สอุปาทิเสส= ยังมีเชื้อ
นิพพาน= การดับกิเลส
สอุปาทิเสสนิพพาน=การดับกิเลสที่ยังมีอุปาทิเหลือ คือยังมีเบญจขันธ์ อันเป็นเชื้อหลงเหลือ
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ=สภาวะการดับกิเลสที่ยังมีอุปาทิเหลือ คือยังมีเบญจขันธ์ อันเป็นเชื้อหลงเหลือ

อนุปาทิเลสนิพพาน
อนุปาทิเสส=สิ้นเชื้อ
อนุปาทิเสสนิพพาน= การดับกิเลสโดยหมดอุปาทิอย่างสิ้นเชิง
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ=สภาวะการดับกิเลสโดยหมดอุปาทิอย่างสิ้นเชิง

ปรินิพพาน
ปริ=รอบ
นิพพาน=ดับกิเลส
ปรินิพพาน=การดับรอบ ความปราศจากกิเลสที่ร้อยรัด คือ การดับสนิท ดับด้วยไม่เหลือแห่งกิเลสและกองทุกข์

ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ= การดับสนิท ดับด้วยไม่เหลือด้วยสภาวะการดับแบบหมดอุปาทิโดยสิ้นเชิง


เอาสิ่งนี้มาอ้างโดยขาดการพิจารณา ทำให้ความหมายของพุทธพจน์คลาดเคลื่อน
พุทธพจน์ที่เป็นคำพูดเป็นคำๆ มีความหมายในตัวเองทุกคำ การเอาพุทธพจน์ที่เป็นลักษณะ
คำพูดหลายพุทธพจน์ แล้วไปให้ความหมายใหม่ แบบนี้มันผิดทำให้พุทธพจน์คลาดเคลื่อน

เริ่มแรกบอกว่า...ธาตุสภาวะที่ดำรงอยู่
คุณเกาแกดำน้ำไปโผล่อีกฝั่ง จากสภาวะที่ดำรงอยู่กลับกลายเป็นตายเฉยเลย

ที่ท่านมีธาตุไว้ในสอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน
ก็เพื่อให้รู้ว่านิพพานนั้นยังเป็นสภาวะที่ดำรงอยู่

ส่วนปรินิพพาน เป็นการดับรอบของวัฏฏสงสาร(ปฏิจจสมุปบาท) ดับการค่อมภพคร่อมชาติ

ประโยคที่ว่า "เสด็จปรินิพพาน..ด้วย..อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ...ทั้งประโยคมีทั้ง
สมมติบัญญัติและปรมัตถ์บัญญัติ ดังนั้นต้องแยกแยะให้ดีว่า อะไรเป็นสมมติ(บุคคล)
อะไรเป็นปรมัตถ์
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 07:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุปาทาปรินิพพาน


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนอนุปาทาปรินิพพานเป็นอย่างไร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ย่อมได้ความวางเฉยว่า

ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้ อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา

ถ้ากรรมในปัจจุบันย่อมไม่มีไซร้ อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา

เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่
ที่เป็นมาแล้วเราย่อมละได้

เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต
ไม่ข้องอยู่ในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต

ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบ ระงับอย่างยิ่งด้วยปัญญาอันชอบ
ก็บทนั้นแล อันภิกษุนั้นทำให้แจ้งแล้ว โดยอาการทั้งปวง

อนุสัย คือมานะ ... อนุสัยคืออวิชชา เธอยังละ ไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
เธอย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า อนุปาทาปรินิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสคติ ๗ ประการนี้ และอนุปาทาปรินิพพาน ฯ


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุเกิดแห่งกามเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิด
แห่งกามทั้งหลาย
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=22&A=9611&Z=9753

ผัสสะ เป็นปัจจัย เวทนา จึงมี

ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย พึงทราบเวทนา ฯลฯ
ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เวทนา ๓ ประการนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ก็เหตุเกิด
แห่งเวทนาเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งเวทนา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=22&A=9611&Z=9753

ผัสสะเป็นปัจจัย สัญญาจึงมี

ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบสัญญา ฯลฯ
ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญา ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย สัญญา ๖ ประการนี้ คือ รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา
รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธรรมสัญญา เหตุเกิดแห่งสัญญาเป็นไฉน คือ
ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งสัญญา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=22&A=9611&Z=9753

ผัสสะ เป็นปัจจัย กรรม จึงมี

ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม ฯลฯ
ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา
ด้วยใจ ก็เหตุเกิดแห่งกรรมเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=22&A=9611&Z=9753

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัตินิพพานอันยวดยิ่งในปัจจุบันมีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความหลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น
เพราะรู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งผัสสายตนะ ๖ ประการ
เลิศกว่าการบัญญัตินิพพานอันยอดยิ่งในปัจจุบันแห่งสมณพราหมณ์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งย่อมกล่าวตู่เราผู้มีวาทะอย่างนี้
ผู้กล่าวอย่างนี้ด้วยคำไม่จริง ด้วยคำเปล่า ด้วยคำเท็จ ด้วยคำไม่เป็นจริงว่า
พระสมณโคดมไม่บัญญัติความ กำหนดรู้กามทั้งหลาย ไม่บัญญัติความกำหนดรู้รูปทั้งหลาย
ไม่บัญญัติความกำหนดรู้เวทนาทั้งหลาย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมบัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลายด้วย
ย่อมบัญญัติความกำหนดรู้รูปทั้งหลายด้วย
ย่อมบัญญัติความกำหนดรู้เวทนาทั้งหลายด้วย

เราเป็นผู้หายหิวแล้ว ดับแล้ว เย็นแล้ว
ย่อมบัญญัติอนุปาทาปรินิพพานในปัจจุบัน ฯ


http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 448&Z=1589

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 09:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


จากพระสูตรที่ยกมามากมาย
พอจะกล่าวได้หรือไม่ว่า
ใครในที่นี้พอจะเข้าใจนิพพานตามพระสูตรได้ถูกต้อง

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

โดยไม่สนใจในคำตรัสสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ว่า

กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.



เมื่อยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

จึงไม่สามารถน้อมนำคำสอนที่มีปรากฏอยู่ ไปปฏิบัติตามได้(เหตุจากความยึดมั่นถือมั่น เหตุจาก อวิชชา ที่มีอยู่)

เมื่อเป็นดังนี้ เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดในเวทนาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา

"เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น ;
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้."

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 11:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

โดยไม่สนใจในคำตรัสสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ว่า


กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.



เมื่อยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

จึงไม่สามารถน้อมนำคำสอนที่มีปรากฏอยู่ ไปปฏิบัติตามได้(เหตุจากความยึดมั่นถือมั่น เหตุจาก อวิชชา ที่มีอยู่)

เมื่อเป็นดังนี้ เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดในเวทนาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา


"เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น ;
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้."


ส่วนที่ทำสีแดงเป็นพุทธวจนะ ด้วยหรือเปล่า
หรือเป็นส่วนความเห็นเพิ่มเติม

ซึ่งที่ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ
เอกอนไม่ค่อยได้อ่านพระไตรปิกฏน่ะ
ซึ่ง พออ่านที่หยิบยกมา ส่วนอื่น ๆ ลงตัวหมด
แต่อารมณ์ธรรมตรงเปิดหัว กะปิดท้ายมัน ไม่ได้เป็นในทิศทางเดียวกัน


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 15 ม.ค. 2014, 11:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2014, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

โดยไม่สนใจในคำตรัสสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ว่า


กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่

สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.



เมื่อยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

จึงไม่สามารถน้อมนำคำสอนที่มีปรากฏอยู่ ไปปฏิบัติตามได้(เหตุจากความยึดมั่นถือมั่น เหตุจาก อวิชชา ที่มีอยู่)

เมื่อเป็นดังนี้ เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดในเวทนาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา


"เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น ;
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้."


ส่วนที่ทำสีแดงเป็นพุทธวจนะ ด้วยหรือเปล่า
หรือเป็นส่วนความเห็นเพิ่มเติม

ซึ่งที่ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ




ไม่เป็นไรเอกอน

ถ้าเป็นพุทธวจนะ จะมีที่นำมาอ้างอิง เช่น อาจเป็นลิงค์ หรือ ให้ดูตรงท้ายข้อความ สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.

ถ้าไม่มีลิงค์แนบ หรือไม่มีคำเหล่านี้ แนบท้าย เช่น สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.

เป็นเพียงความเห็นเท่านั้น

จำได้ว่า เอกอนเคยถามมาครั้งหนึ่ง และวลัยพร ได้อธิบายไปแล้ว


จริงๆแล้ว เอกอนน่าจะแยกประโยคได้นะว่า ตรงไหนเป็นความเห็น ตรงไหนที่นำมาจากพุทธวจนะ
เพราะวลัยพร จะแยกไว้ชัด เช่น

เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ผัสสะ หมายถึง การทำงานของอายตนะ เพียงอย่างเดียว มั่นคงดุจเสาระเนียด

โดยไม่สนใจในคำตรัสสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้ว่า




กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)ฯลฯ
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร