วันเวลาปัจจุบัน 03 ต.ค. 2025, 19:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอ่อ...เอกอนเคยเจอนะ...แต่เอกอนปฏิเสธไปแล้ว...
...
ซึ่งพอปฏิเสธไป...มันก็ปรากฎอีกสิ่งให้ได้รู้

:b1:

มันยากที่จะระบุว่า พรหมที่ปรากฎนั้นคืออะไรกันแน่

สัตตานัง อาศัย รูปนาม ปรากฎ
ซึ่งมันต้องมีสิ่งที่ทำให้สัตตานังเข้าไปยึดรูปนามได้
ซึ่งสิ่งนั้นมันก็คล้าย ๆ กับหญิงสาวมันช่างเป็นอะไรที่ยั่วยวนใจชายหนุ่มดี ๆ นี่เอง


:b8:
asoka.....

พอดีมีคำตอบในกระทู้ที่ลานธรรมอีกแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะทำให้เอก้อนค้นพบ "สิ่งนั้น" ได้ง่ายขึ้นลองพิจารณากันดูนะครับ

พวกท่านคิดอุบายชนะกิเลสกันยังไครับ

เริ่มต้นคำถามก็พาเราดิ่งลึกลงไปในการต่อสู้ที่ไม่ถูกกับเหตุเสียแล้ว

ลองพากันถอยกลับออกมาสังเกต พิจารณา วิเคราะห์วิจัย หาเหตุหาผลกันให้ดีๆ ว่าอะไรเป็นเหตุที่แท้จริง อะไรเป็นลูกหลานของเหตุที่แท้จริง อะไรเป็นต้นเหตุ อะไรเป็นปลายเหตุ อะไรเป็นผล

เกือบทุกท่านทุกคนที่ศึกษาธรรมจำบาลีได้ ก็มักจะพูดกันว่าการที่จะทำตนให้พ้นจากทุกข์ถึงสุขได้ เราต้องต่อสู้กับ กิเลส ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ เอาชนะสิ่งเหล่านี้ให้ได้และสำคัญว่าสิ่งเหล่านี้คือเหตุทุกข์

นี่เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่ถ้าเราไม่สังเกต พิจารณา วิเคราะห์วิจัยกันให้ดี เราจะพากันหลงทางไปสู้กับผล ซึ่งเป็นงานอันยากและหนักหน่วง

กิเลส ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ เป็นผล หรือเป็นเหตุย่อย ไม่ใช่ต้นเหตุของการที่ทำให้เราต้องมาทุกข์เวียนว่ายตายเกิด


กิเลสมี 1,500 ตัณหามี 108 ดังรายละเอียดที่ท่าน dhamrong 121 ค้นมาแสดงไว้ดีมาก ถ้าเปรียบเป็นจำนวนคนที่เป็นศัตรูของเรา การที่เราจะไปต่อสู้เอาชนะคน 1,500 คน หรือ 108 คนมันจะมีทางสำเร็จได้โดยง่ายไหม ถ้าไม่ใช้เครื่องทุ่นแรงที่มีพลังอำนาจสูงๆ ในชีวิตการต่อสู้จริงๆภายในกายและจิตของเรานั้น ก็ไม่มีเครื่องทุ่นแรงอันใดจะมาให้เราใช้ด้วย มันเป็นการต่อสู้ทางธรรมชาติเหมือนกับการต่อยกันด้วยหมัดลุ่นๆตัวต่อตัวเลยทีเดียว แต่นี่ต้องต่อยกับศัตรู 1,500 หรือ 108 คน สู้ไหวไหม ถ้าคิดจะสู้แบบหัวชนฝา ก็ถือว่าเป็นการไม่ฉลาด ไม่แยบคาย หรือไม่มีโยนิโสมนสิการอย่างน้องบูว่า

ถอยออกมาไกลๆจนลอยตัวห่างจากรูปแบบวิธีการทั้งหมดที่เราผูกยึดนิยมทำกันไว้ ลองมาสร้างมุมมองใหม่กันดูซิ

อะไรเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ เดือดร้อน เวียนว่ายตายเกิดของจิตทุกดวงกันแน่

ไม่ใช่ กิเลส ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ

แต่เป็นสิ่งที่พระบรมศาสดาทรงชี้ชัดตั้งแต่วันที่ 2 ถัดจากการแสดงปฐมเทศนา

ความลับมันซ่อนอยู่ในอนัตตลักขณสูตรนั่นเอง ลองกลับไปพิจารณาทบททวนอ่านกันดูให้ดีและละเอียดลึกซึ่ง

อนัตตะ.....อนัตตา....เป็นมุมมองที่แสดงตามพระสูตร

ลองกลับมุมกันดูซิ......ตรงกันข้ามหรือคู่ปรับของอนัตตาคืออะไร?.......อัตตาใช่ไหม?.....สักกายทิฏฐิใช่ไหม?

ความเห็นผิดว่า กาย ใจ นี้เป็นอัตตาตัวกู ของกู ใช่ไหม?

ผมยังชอบใจคำพูดของหลวงพ่อที่อยู่บ้านนอกรูปหนึ่งซึ่งท่านมักจะพูดกับลูกศิษย์ลูกหาอยู่บ่อยๆว่า

มีกู จึงมีเกิด

มีกู จึงมีแก่

มีกู จึงมีเจ็บ

มีกู จึงมีตาย

มีกู จึงมีสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา

มีกู จึงมีที่ให้เกิดกิเลสทั้ง 1,500 ตัณหาทั้ง 108

หมด "กู" ก็หมดทุกสิ่งทุกอย่าง คือเป็น "สุญญะ" นั่นเอง

ฟังเพียงเท่านี้หลายท่านคงพอจะมองเห็นขึ้นมาแล้วว่า อะไร เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์เดือดร้อน เวียนว่ายตายเกิดอันไม่รู้จบ และเราควรจะชี้เป้า ตั้งประเด็นการต่อสู้ของเราไปที่จุดใดเป็นสำคัญ

:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์ของหลวงพ่อบ้านนอกรูปนั้นมักจะพูดย้ำให้ฟังอยู่เสมอว่า

"พ่อของกิเลส คือ สักกายทิฏฐิ

แม่ของกิเลส คือ วิจิกิจฉา

แต่งงานกันแล้วจะได้ลูกออกมา 108 จากนั้่นก็ผสมพันธ์กันมั่วจนออกหลานมาอีก 1,500

เราจะสู้ที่ไหนจึงจะเอาชนะครอบครัวต้นเหตุแห่งทุกข์นี้ได้

สู้ที่ลูก 108 หลาน 1,500 หรือจะสู้ที่ตัวพ่อหรือแม่ของมัน อันในจึงจะได้ชื่อว่าฉลาดแยบคาย

แล้วผัวเมียคู่นี้ ถ้าผัวตาย เมียก็จะตายตามทันที หรือถ้าเมียตาย ผัวก็จะอกแตกตายตามไปเช่นกัน เหมือนนกเงือกในป่าใหญ่
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55:

ถึงตอนนี้ทุกท่านพอจะคิดออก มองเห็นหรือไม่ว่างานสำคัญของเรา งานสำคัญของผู้ที่จะได้เป็นชาวพุทธคือการทำอะไร ต่อสู้กับอะไร อย่างไร

ลองมาดูคำสรุปของศิษย์หลวงปู่บ้านนอกทำไว้เขาบอกว่า


งานและหน้าที่ของชาวพุทธ

สำรวมกายใจ มานิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์
จนละความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกู ของกู

พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่ากายใจนี้เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู
ทุกวัน เวลา นาฑี วินาฑี ที่ระลึกได้และมีโอกาส

หัวใจวิปัสสนาภาวนา

ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา
ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย ถ้าสู้ได้
ทนได้ ไม่ตะบอย กู จะถอยหรือตายดับ ไปจากใจ

onion onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอโศกถอยๆไปอีก ถอยไปข้างหลังกู เหล่ๆดูสิ มีใครแอบอยู่ข้างหลังกู ใช่กิเลสคือความยึดถือว่ากูไหม ต้องทำลายตัวความยึดถือว่ากู ไม่ใช่ไปทำลายกู กูเปรียบเสมือนเงา ถ้าจะทำลายต้องทำลายเจ้าของเงา (ตัวความยึดถือ) ไม่ใช่ทำลายเงา :b32: จะให้ตัวอย่างนี้ชัดไปยืนที่อยู่หน้ากระจกนะ :b1: เราจะเตะเงาในกระจก หรือเตะคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกเอ้า :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 21:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณอโศกถอยๆไปอีก ถอยไปข้างหลังกู เหล่ๆดูสิ มีใครแอบอยู่ข้างหลังกู ใช่กิเลสคือความยึดถือว่ากูไหม ต้องทำลายตัวความยึดถือว่ากู ไม่ใช่ไปทำลายกู กูเปรียบเสมือนเงา ถ้าจะทำลายต้องทำลายเจ้าของเงา (ตัวความยึดถือ) ไม่ใช่ทำลายเงา :b32: จะให้ตัวอย่างนี้ชัดไปยืนที่อยู่หน้ากระจกนะ :b1: เราจะเตะเงาในกระจก หรือเตะคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกเอ้า :b13:

:b12: :b12: :b12:
ขณะที่เห็น อัตตานั้น ใครเป็นผู้เห็น

นามอัตตา(อุปาทาน) ถูกรู้เห็นโดยนามสติและปัญญา

สติปัญญารู้ความจริงว่าที่สุดอัตตาไม่มีอยู่จริง สติปัญญาจึงได้สัมผัส นามอนัตตา

หลังจากนั้น กระบวนการทางธรรมชาติอันเนื่องด้วยเหตุและปัจจัยเขาจะทำงานต่อกันไปโดยอัตโนมัติจนดับขาดสนิทหมดทั้ง อัตตา ทั้งสติปัญญาผู้รู้ เข้าสูความเป็นสุญญะ เหมือนตายไปชั่ว 2 - 3 ขณะจิต

เมื่อกระบวนการทางธรรมชาตินี้ทำงานเสร็จ จิตดวงเก่าจะถูกรีเซทเป็นจิตดวงใหม่ในคราบเก่า เป็นจิตที่ปราศจากมิจฉาทิฏฐิ และสักกายทิฏฐิ กลวง ว่างเปล่าจากความเป็นอัตตาตัวกูของกูอยู่เช่นนั้นจนกว่าสติปัญญาจะทำลายความยึดผิดที่เหลือคือความยึดกายและยึดจิตให้ขาดสะบั้น ก็เป็นอันสิ้นสุด เสร็จกิจที่พึงทำโดยสมบูรณ์

อาจจะงงถ้าไม่เคยสัมผัสสภาวะ

พูดสั้นๆ "ผู้รู้ต้องตายเสียก่อน จึงจะพ้นโดยสิ้นเชิง" โดยธรรม ไม่ใช่ โดยใคร

บาลีดูเหมือนจะพูดว่า "วิมุตติญาณทัศนะ"
:b11:
:b12: :b12: :b12:
:b45: :b45: :b45:

เอวัง


โพสต์ เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณอโศกถอยๆไปอีก ถอยไปข้างหลังกู เหล่ๆดูสิ มีใครแอบอยู่ข้างหลังกู ใช่กิเลสคือความยึดถือว่ากูไหม ต้องทำลายตัวความยึดถือว่ากู ไม่ใช่ไปทำลายกู กูเปรียบเสมือนเงา ถ้าจะทำลายต้องทำลายเจ้าของเงา (ตัวความยึดถือ) ไม่ใช่ทำลายเงา :b32: จะให้ตัวอย่างนี้ชัดไปยืนที่อยู่หน้ากระจกนะ :b1: เราจะเตะเงาในกระจก หรือเตะคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกเอ้า :b13:

:b12: :b12: :b12:
ขณะที่เห็น อัตตานั้น ใครเป็นผู้เห็น

นามอัตตา(อุปาทาน) ถูกรู้เห็นโดยนามสติและปัญญา

สติปัญญารู้ความจริงว่าที่สุดอัตตาไม่มีอยู่จริง สติปัญญาจึงได้สัมผัส นามอนัตตา

หลังจากนั้น กระบวนการทางธรรมชาติอันเนื่องด้วยเหตุและปัจจัยเขาจะทำงานต่อกันไปโดยอัตโนมัติจนดับขาดสนิทหมดทั้ง อัตตา ทั้งสติปัญญาผู้รู้ เข้าสูความเป็นสุญญะ เหมือนตายไปชั่ว 2 - 3 ขณะจิต

เมื่อกระบวนการทางธรรมชาตินี้ทำงานเสร็จ จิตดวงเก่าจะถูกรีเซทเป็นจิตดวงใหม่ในคราบเก่า เป็นจิตที่ปราศจากมิจฉาทิฏฐิ และสักกายทิฏฐิ กลวง ว่างเปล่าจากความเป็นอัตตาตัวกูของกูอยู่เช่นนั้นจนกว่าสติปัญญาจะทำลายความยึดผิดที่เหลือคือความยึดกายและยึดจิตให้ขาดสะบั้น ก็เป็นอันสิ้นสุด เสร็จกิจที่พึงทำโดยสมบูรณ์

อาจจะงงถ้าไม่เคยสัมผัสสภาวะ

พูดสั้นๆ "ผู้รู้ต้องตายเสียก่อน จึงจะพ้นโดยสิ้นเชิง"โดยธรรม ไม่ใช่ โดยใคร[/color]

บาลีดูเหมือนจะพูดว่า "วิมุตติญาณทัศนะ"[/color]

เอวัง


ที่พูดนี่ก็งงแล้วนะขอรับ "ผู้รู้ต้องตาย" หมายถึงอะไรครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความรู้สึกว่ากู ตัวกู หรืออัตตา คือภาพที่ปรากฏขึ้นเพราะการยึดถือ คือมันไม่มีทั้งอัตตาและไร้อัตตา หรือไม่มีทั้งตัวและไร้ตัว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ม.ค. 2014, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัมภีร์มหานิทเทสอธิบายว่า อตฺตา หรือ อตฺตํ ว่าได้แก่ อัตตทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตัวตน หรือสัสสตทิฏฐิ คือความเห็นว่า มีตัวตนที่เที่ยงแท้ยังยืนคงอยู่ตลอดไป และนิรตฺตา หรือ นิรตฺตํ ว่า ได้แก่ อุจเฉททิฏฐิ คือ ความเห็นว่า ตัวตนขาดสูญ

ถือเอาใจความว่า พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติถูกต้อง หรือท่านผู้มีปัญญาเข้าใจถูกต้องแล้ว ย่อมไม่มีทั้งความยึดถือตัวตน และทั้งความยึดถือว่าไม่มีตัวตน (ตัวตนขาดสูญ) ไม่มีทั้งที่ที่ยึดถือเอาไว้ และทั้งสิ่งที่จะต้องละต้องปล่อยหรือต้องสลัดทิ้ง

คัมภีร์มหานิทเทสอธิบายไปอีกว่า ผู้ใดมีสิ่งที่ยึดถือไว้ ผู้นั้น ก็มีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ ผู้ใด มีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่ยึดถือไว้ พระอรหันต์ล่วงพ้นการยึดถือและการปล่อยละไปแล้ว


(หากเข้าใจผิดว่ามีกู ทั้งๆที่กูไม่มี ก็เข้้าใจเสียให้ภูก มันก็จบ -กล่าวในแง่ปรมัตถ์นะฟังดีๆ)

ไม่งั้นเดี๋ยวนี่เลย :b32:

http://www.youtube.com/watch?v=X8qBYgdieUw

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 06:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
อ้างคำพูด:
คนที่เขาเห็น การดับไปของสักกายทิฐิ อย่างเต็มตาเต็มใจ
เมื่อเห็นอย่างดังนั้น วิจิกิจฉา ย่อมไม่ปรากฎ เพราะการรู้ชัด
และ สีลัพพตปรามาส ย่อมไม่เกิดปรากฎ เพราะการรู้ชัด

:b27:
คำพูดท่อนนี้ถือว่าใช้ได้....

แล้วจะต้องมาพูดคุยถามไถ่กันทำไมให้เมื่อยมือ

แต่ สิ่งที่กำลังทำกันอยู่ในลานธรรมแห่งนี้คือ
"การแบ่งปัน"


ที่พูดว่า.."คำพูดท่อนนี้ถือว่าใช้ได้ของโสกะ"....นี่แหล่ะตัวอย่างของทัพพีไม่รู้รสแกงล่ะ

จะบอกให้ครับว่า...สังโยชน์ทั้งสาม สักกายทิฐิ ศีลพรตปรามาส วิจิกิจฉา ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมชาติ
มันอยู่คู่กับโลกมา การดับไม่ใช่ไปดับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ มันต้องดับที่ตัวเรา
อย่าให้กายใจไปข้องแวะกับธรรมชาตินั้น......อย่างเช่น มีกองไฟอยู่ตรงหน้าเรา
เราไม่ไปจับกองไฟนั้นเราก็ไม่ร้อนมือ หรือเราเดินมาเจอบ่อน้ำ เมื่อเราเดินเลี่ยงมันไปซ่ะ
เราก็ไม่เปียก

และที่โสกะบอกว่า....มาแบ่งปันหรือเป็นการแบ่งปัน ข้อนี้ใช่เพียงบางคน
แต่สำหรับโสกะหาใช่แบบนั้นไม่ โสกะเข้ามาด้วยความไม่รู้ ขาดซึ่งภูมิธรรม
อาศัยวาทะกรรมกล่าวหาโจมตีปริยัติว่าไม่มีความสำคัญ เหตุที่ต้องโจมตีปริยัติ
เป็นเพราะสำนักของตนปฏิบัตินอกลู่นอกทางนั้นเอง

ฉะนั้นการแบ่งปันของโสกะ หาใช่เป็นเช่นนั้น แต่มันเป็นการมอมเมา
แถมเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ดูได้จากที่ชอบโพสรูป โพสภาพสำนักของตนบ่อยๆ
:b13:

asoka เขียน:
:b8:
เพื่อสันติสุขแห่งมวลหมู่มนุษย์ชาติ จึงยังจำเป็นต้องพูด ยังจำเป็นต้องคุย ยังจำเป็นต้องสนทนา ถกเถียง ตอบโต้
อรรถาธิบายทำความเข้าใจทั้งผู้ใหม่และผู้เก่าให้เข้าถึงแก่นธรรมทางดำเนินตามรอยเท้ารอยบาทของพระบรมศาสดา
โลกยังกระหายกัลยาณมิตร บัณฑิตผู้รู้จริง ถึงจริงอีกมาก มาเป็นที่ปรึกษา พากัน ชวนกันออกมาซิ อย่าต้องรอให้พรหมมาอาราธนาอยู่เลย โลกนี้กำลังร้อนเป็นไฟ ไหม้ลามไปทั่วทุกตัวตนปุถุชนทุกแหล่งหล้า


พูดมาหาสิ่งที่เป็นสาระในธรรมไม่ได้แม้แต่น้อย
ฟุ้งธรรมเสกสรรปั้นแต่งคำพูด
ดูแล้วเหมือนมรรคทายกพร่ามใส่ไมค์เรียกแขก
หลอกชาวบ้านให้มาทำบุญเยอะๆ :b32:


โพสต์ เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 20:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณอโศกถอยๆไปอีก ถอยไปข้างหลังกู เหล่ๆดูสิ มีใครแอบอยู่ข้างหลังกู ใช่กิเลสคือความยึดถือว่ากูไหม ต้องทำลายตัวความยึดถือว่ากู ไม่ใช่ไปทำลายกู กูเปรียบเสมือนเงา ถ้าจะทำลายต้องทำลายเจ้าของเงา (ตัวความยึดถือ) ไม่ใช่ทำลายเงา :b32: จะให้ตัวอย่างนี้ชัดไปยืนที่อยู่หน้ากระจกนะ :b1: เราจะเตะเงาในกระจก หรือเตะคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกเอ้า :b13:

:b12: :b12: :b12:
ขณะที่เห็น อัตตานั้น ใครเป็นผู้เห็น

นามอัตตา(อุปาทาน) ถูกรู้เห็นโดยนามสติและปัญญา

สติปัญญารู้ความจริงว่าที่สุดอัตตาไม่มีอยู่จริง สติปัญญาจึงได้สัมผัส นามอนัตตา

หลังจากนั้น กระบวนการทางธรรมชาติอันเนื่องด้วยเหตุและปัจจัยเขาจะทำงานต่อกันไปโดยอัตโนมัติจนดับขาดสนิทหมดทั้ง อัตตา ทั้งสติปัญญาผู้รู้ เข้าสูความเป็นสุญญะ เหมือนตายไปชั่ว 2 - 3 ขณะจิต

เมื่อกระบวนการทางธรรมชาตินี้ทำงานเสร็จ จิตดวงเก่าจะถูกรีเซทเป็นจิตดวงใหม่ในคราบเก่า เป็นจิตที่ปราศจากมิจฉาทิฏฐิ และสักกายทิฏฐิ กลวง ว่างเปล่าจากความเป็นอัตตาตัวกูของกูอยู่เช่นนั้นจนกว่าสติปัญญาจะทำลายความยึดผิดที่เหลือคือความยึดกายและยึดจิตให้ขาดสะบั้น ก็เป็นอันสิ้นสุด เสร็จกิจที่พึงทำโดยสมบูรณ์

อาจจะงงถ้าไม่เคยสัมผัสสภาวะ

พูดสั้นๆ "ผู้รู้ต้องตายเสียก่อน จึงจะพ้นโดยสิ้นเชิง"โดยธรรม ไม่ใช่ โดยใคร[/color]

บาลีดูเหมือนจะพูดว่า "วิมุตติญาณทัศนะ"[/color]

เอวัง


ที่พูดนี่ก็งงแล้วนะขอรับ "ผู้รู้ต้องตาย" หมายถึงอะไรครับ :b1:

:b12: :b12: :b12:
แน่ละสิ กรัชกายต้องงง เพราะหย่อนภาคปฏิบัติ มากปริยัติ จึงไม่มีโอกาสสัมผัสสภาวะที่ผู้รู้ตาย
ผู้รู้ตาย นี่เป็นภาษาชาวบ้านไม่ใช่ตายจริงๆแต่เป็นการตาายก่อนตายจริง ภาษาทางการคือ "วิมุตติญาณทัศนะ".....

ท่านกรัชกายเก่งคัมภีร์ เก่งบาลีจะตายไป ไม่รู้เลยหรือว่า "วิมุตติญาณทัศนะ" มีความหมายว่าอย่างไร โดยบัญญัติ และโดยปรมัตถ์

ผู้รู้ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ชื่อบอกชัดอยู่แล้ว.....รู้......ปัญญา อันเดียวกัน......แต่มี รู้ อีกอัน ที่ต้องมีคำต่อ คือ รู้ทัน....หมายถึง สติ

ธรรมหรือเจตสิก 2 อย่างนี้เขาเป็นพระเอกกับพระรอง ช่วยกันทำงาน โดยมี ศีลและสมาธิเป็นผู้ช่วย เมื่อช่วยกันทำงานนั้นผู้รู้เป็นหัวหน้า เป็นประธาน เป็นพระราชา ว่าราชการ วินิจฉัยราชกิจ

เป็นธรรมดาหากพระราชายังไม่พักผ่อนบรรทม ข้าราชบริพารใหญ่น้อย ย่อมต้องมีภาระกิจในการถวายการรับใช้สนองพระราชโองการเหนื่อยกันไปอย่างทั่วถึง ใครเป็นข้าราชการ ข้าราชบริพารเคยถวายการรับใช้ไปเฝ้ารับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวคงจะรู้ดี

ถ้าพระราชาทรงพักผ่อนบรรทมข้าราชบริพารทั้งหมดจึงจะค่อยผ่อนคลายและได้พักกันบ้าง

ตอนเป็นปุถุชน กู เป็นพระราชาครองจิต ผู้รู้ เป็นทาสรับใช้ กู

ตอนจะขึ้นสู่ความเป็นอริยชน กู ตาย ผู้รู้ตายก่อนตาย นิพพาน จึงจะปรากฎขึ้นมาได้ ผู้รู้ ตายไปชั่วพริบตาเดียวแล้วก็กลับมาเป็นผู้รู้คนใหม่ ที่ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของ กู หรือไม่มี กู มาคอยบงการได้อีก

แต่กู มี 2 พี่น้อง

กูพี่ มีชื่อภาษาบาลีว่า สักกายทิฏฐิ ซึ่งจะตายก่อน เพราะหยาบกร้าน ดุดัน

กูน้อง มีชื่อภาษาบาลีว่า มานะทิฏฐิ ต้องฆ่าอีก 3 ครั้งถึงจะตาย ครั้งที่ 1 ตัดขา ครั้งที่ 2 ตัดแขน ครั้งที่ 3 ตัดคอ กูน้องนี่ฉลาด ลึกซึ่ง ยากจะจับได้ไล่ทัน ต้องสติปัญญาดีละเอียด เฉียบแหลม คม ลึกซึ้งจริงๆ

:b12: :b12:
ฟังอุปมาอุปมัยแค่นี้จะพอรู้เรื่องไหมครับ เพราะสภาวะจริงๆ อธิบายไม่ได้ต้องสัมผัสเอง แต่วิธีจะสัมผัสหรือ อาการของสภาวะ พอจะบอกหรืออุปมาเปรียบเทียบให้ฟังได้ครับ ท่านกรัชกาย
:b8:
:b53: :b53: :b53:
:b43: :b43: :b43:
งง ก็ถามต่อนะครับ

หมดงง ก็ไปเรื่องใหม่ ตอนใหม่กันครับ

เจริญสุข เจริญธรรม
smiley smiley

ตอนเป็นอริยชน ผู้รู้ เป็นพระราชาครองจิต


โพสต์ เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
อ้างคำพูด:
คนที่เขาเห็น การดับไปของสักกายทิฐิ อย่างเต็มตาเต็มใจ
เมื่อเห็นอย่างดังนั้น วิจิกิจฉา ย่อมไม่ปรากฎ เพราะการรู้ชัด
และ สีลัพพตปรามาส ย่อมไม่เกิดปรากฎ เพราะการรู้ชัด

:b27:
คำพูดท่อนนี้ถือว่าใช้ได้....

แล้วจะต้องมาพูดคุยถามไถ่กันทำไมให้เมื่อยมือ

แต่ สิ่งที่กำลังทำกันอยู่ในลานธรรมแห่งนี้คือ
"การแบ่งปัน"


ที่พูดว่า.."คำพูดท่อนนี้ถือว่าใช้ได้ของโสกะ"....นี่แหล่ะตัวอย่างของทัพพีไม่รู้รสแกงล่ะ

จะบอกให้ครับว่า...สังโยชน์ทั้งสาม สักกายทิฐิ ศีลพรตปรามาส วิจิกิจฉา ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมชาติ
มันอยู่คู่กับโลกมา การดับไม่ใช่ไปดับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ มันต้องดับที่ตัวเรา
อย่าให้กายใจไปข้องแวะกับธรรมชาตินั้น......อย่างเช่น มีกองไฟอยู่ตรงหน้าเรา
เราไม่ไปจับกองไฟนั้นเราก็ไม่ร้อนมือ หรือเราเดินมาเจอบ่อน้ำ เมื่อเราเดินเลี่ยงมันไปซ่ะ
เราก็ไม่เปียก

และที่โสกะบอกว่า....มาแบ่งปันหรือเป็นการแบ่งปัน ข้อนี้ใช่เพียงบางคน
แต่สำหรับโสกะหาใช่แบบนั้นไม่ โสกะเข้ามาด้วยความไม่รู้ ขาดซึ่งภูมิธรรม
อาศัยวาทะกรรมกล่าวหาโจมตีปริยัติว่าไม่มีความสำคัญ เหตุที่ต้องโจมตีปริยัติ
เป็นเพราะสำนักของตนปฏิบัตินอกลู่นอกทางนั้นเอง

ฉะนั้นการแบ่งปันของโสกะ หาใช่เป็นเช่นนั้น แต่มันเป็นการมอมเมา
แถมเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ดูได้จากที่ชอบโพสรูป โพสภาพสำนักของตนบ่อยๆ
:b13:

asoka เขียน:
:b8:
เพื่อสันติสุขแห่งมวลหมู่มนุษย์ชาติ จึงยังจำเป็นต้องพูด ยังจำเป็นต้องคุย ยังจำเป็นต้องสนทนา ถกเถียง ตอบโต้
อรรถาธิบายทำความเข้าใจทั้งผู้ใหม่และผู้เก่าให้เข้าถึงแก่นธรรมทางดำเนินตามรอยเท้ารอยบาทของพระบรมศาสดา
โลกยังกระหายกัลยาณมิตร บัณฑิตผู้รู้จริง ถึงจริงอีกมาก มาเป็นที่ปรึกษา พากัน ชวนกันออกมาซิ อย่าต้องรอให้พรหมมาอาราธนาอยู่เลย โลกนี้กำลังร้อนเป็นไฟ ไหม้ลามไปทั่วทุกตัวตนปุถุชนทุกแหล่งหล้า


พูดมาหาสิ่งที่เป็นสาระในธรรมไม่ได้แม้แต่น้อย
ฟุ้งธรรมเสกสรรปั้นแต่งคำพูด
ดูแล้วเหมือนมรรคทายกพร่ามใส่ไมค์เรียกแขก
หลอกชาวบ้านให้มาทำบุญเยอะๆ :b32:

s004 s004

มาอีกแล้วรึ เจ้าเด็กดื้อผู้ชอบขวางโลก ขวางธรรม กลับไปพิจารณาคำพูดของตนเองให้ดีๆ
เฉพาะคำพูดท่อนที่ยกมาต่อไปนี้ ก็แสดงว่า ไม่เคยรู้เรื่องของธรรมสภาวะมาก่อนเลย แต่มาอวดรู้อวดเก่ง

อ้างคำพูด:
จะบอกให้ครับว่า...สังโยชน์ทั้งสาม สักกายทิฐิ ศีลพรตปรามาส วิจิกิจฉา ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมชาติ
มันอยู่คู่กับโลกมา การดับไม่ใช่ไปดับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ มันต้องดับที่ตัวเรา
อย่าให้กายใจไปข้องแวะกับธรรมชาตินั้น......อย่างเช่น มีกองไฟอยู่ตรงหน้าเรา
เราไม่ไปจับกองไฟนั้นเราก็ไม่ร้อนมือ หรือเราเดินมาเจอบ่อน้ำ เมื่อเราเดินเลี่ยงมันไปซ่ะ
เราก็ไม่เปียก


เข้าทำนองที่ว่า "ไปไหนมา วาสี่ศอก"

สักกายทิฏฐิ ตายหรือดับขาด ด้วยอำนาจแห่งโสดาปัตติมรรค ดับแล้วไม่กลับคืนมาอีกในจิตดวงนั้น
เป็นธรรมชาติอันใหม่ ชีวิตจิตใจอันใหม่ ดวงใหม่ พ้นวิสัยของผู้ที่มีตาบอดมืดอย่างโฮฮับจะรู้และเข้าใจได้เพราะดื้อเกินไปดันทุรังเกินไปในความรู้ผิดเห็นผิดของตนเอง พึงหาเวลาไปสนทนากับครูบาอาจารย์กัลยาณมิตรที่ท่านรู้จริงถึงจริง จะได้ตื่นจากฝัน พ้นจากม่านหมอกแห่งอวิชชา อัตตะ มานะททิฏฐิ

อ้างคำพูด:
โฮฮับ มันต้องดับที่ตัวเรา
อย่าให้กายใจไปข้องแวะกับธรรมชาตินั้น


ที่พูดมาพอจับประเด็นได้เนียะ "อย่าให้กายใจไปข้องแวะกับธรรมชาตินั้น"

นี่มันเป็นวิชาสมถะของฤาษีตรงๆเลย ไม่ใช่วิธีวิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ไปศึกษามาใหม่จากผู้รู้จริงถึงจริงให้ดีๆนะโฮฮับ
:b34: :b34: :b34:


โพสต์ เมื่อ: 13 ม.ค. 2014, 22:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: :b14: :b14:

ถ้าไม่แม่นในธรรมที่ปฏิบัติ
มักจะอธิบายวิถีจิตคร่อมวิถี
ด้วยเห็นความสัมพันธ์ในสาระธรรมต่าง ๆ ไม่ทั่วถึง

ด้วยองค์ประกอบที่เห็น ไม่ชัดเจน

โสดาบัน ก็ยังเป็นสิ่งที่ข้องอยู่ในสังสารวัฏ นะ
แม้อนาคามีก็เป็นสิ่งที่ยังข้องอยู่ในสังสารวัฏ
ด้วยอวิชชา สังโยชน์ที่เหลือ
จะปรากฎกิเลสที่ละเอียดตามภูมิธรรมในระดับนั้นเหนี่ยวรั้งไว้

พระบางองค์ถูกเหนี่ยวรังไว้ด้วยการหมายพุทธภูมิ
จนอาจารย์มั่นต้องไปแก้อาการให้

วิมุตติ เป็นสภาวะธรรม ที่เห็นแจ้งในสังสารวัฏ :b6: :b6: :b6:
จึงเห็นแจ้งในการปรากฎแห่ง สัตตานัง
คือ ถ้าเข้าถึงวิมุติแล้ว ยังเห็นความเป็นโสดาบันในตน มีตนเป็นโสดาบัน
ยังเห็นว่ามีการรีเซ็ต...ตายและเกิดเป็นอะไรใหม่
มีอะไรที่เป็นตน มีตนที่เป็นอะไร
ยังมีความหมายมั่นปรากฎการณ์อันแสดงความเป็นต่าง ๆ ... :b6:

ก็...เป็นความพยายามที่... :b41:
...
ไม่สมกับฐานะ...

:b30: :b30: :b30:


โพสต์ เมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 05:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณอโศกถอยๆไปอีก ถอยไปข้างหลังกู เหล่ๆดูสิ มีใครแอบอยู่ข้างหลังกู ใช่กิเลสคือความยึดถือว่ากูไหม ต้องทำลายตัวความยึดถือว่ากู ไม่ใช่ไปทำลายกู กูเปรียบเสมือนเงา ถ้าจะทำลายต้องทำลายเจ้าของเงา (ตัวความยึดถือ) ไม่ใช่ทำลายเงา :b32: จะให้ตัวอย่างนี้ชัดไปยืนที่อยู่หน้ากระจกนะ :b1: เราจะเตะเงาในกระจก หรือเตะคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกเอ้า :b13:

:b12: :b12: :b12:
ขณะที่เห็น อัตตานั้น ใครเป็นผู้เห็น

นามอัตตา(อุปาทาน) ถูกรู้เห็นโดยนามสติและปัญญา

สติปัญญารู้ความจริงว่าที่สุดอัตตาไม่มีอยู่จริง สติปัญญาจึงได้สัมผัส นามอนัตตา

หลังจากนั้น กระบวนการทางธรรมชาติอันเนื่องด้วยเหตุและปัจจัยเขาจะทำงานต่อกันไปโดยอัตโนมัติจนดับขาดสนิทหมดทั้ง อัตตา ทั้งสติปัญญาผู้รู้ เข้าสูความเป็นสุญญะ เหมือนตายไปชั่ว 2 - 3 ขณะจิต

เมื่อกระบวนการทางธรรมชาตินี้ทำงานเสร็จ จิตดวงเก่าจะถูกรีเซทเป็นจิตดวงใหม่ในคราบเก่า เป็นจิตที่ปราศจากมิจฉาทิฏฐิ และสักกายทิฏฐิ กลวง ว่างเปล่าจากความเป็นอัตตาตัวกูของกูอยู่เช่นนั้นจนกว่าสติปัญญาจะทำลายความยึดผิดที่เหลือคือความยึดกายและยึดจิตให้ขาดสะบั้น ก็เป็นอันสิ้นสุด เสร็จกิจที่พึงทำโดยสมบูรณ์

อาจจะงงถ้าไม่เคยสัมผัสสภาวะ

พูดสั้นๆ "ผู้รู้ต้องตายเสียก่อน จึงจะพ้นโดยสิ้นเชิง"โดยธรรม ไม่ใช่ โดยใคร[/color]

บาลีดูเหมือนจะพูดว่า "วิมุตติญาณทัศนะ"[/color]

เอวัง


ที่พูดนี่ก็งงแล้วนะขอรับ "ผู้รู้ต้องตาย" หมายถึงอะไรครับ :b1:

:b12: :b12: :b12:
แน่ละสิ กรัชกายต้องงง เพราะหย่อนภาคปฏิบัติ มากปริยัติ จึงไม่มีโอกาสสัมผัสสภาวะที่ผู้รู้ตาย
ผู้รู้ตาย นี่เป็นภาษาชาวบ้านไม่ใช่ตายจริงๆแต่เป็นการตาายก่อนตายจริง ภาษาทางการคือ "วิมุตติญาณทัศนะ".....

ท่านกรัชกายเก่งคัมภีร์ เก่งบาลีจะตายไป ไม่รู้เลยหรือว่า "วิมุตติญาณทัศนะ" มีความหมายว่าอย่างไร โดยบัญญัติ และโดยปรมัตถ์

ผู้รู้ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ชื่อบอกชัดอยู่แล้ว.....รู้......ปัญญา อันเดียวกัน......แต่มี รู้ อีกอัน ที่ต้องมีคำต่อ คือ รู้ทัน....หมายถึง สติ

ธรรมหรือเจตสิก 2 อย่างนี้เขาเป็นพระเอกกับพระรอง ช่วยกันทำงาน โดยมี ศีลและสมาธิเป็นผู้ช่วย เมื่อช่วยกันทำงานนั้นผู้รู้เป็นหัวหน้า เป็นประธาน เป็นพระราชา ว่าราชการ วินิจฉัยราชกิจ

เป็นธรรมดาหากพระราชายังไม่พักผ่อนบรรทม ข้าราชบริพารใหญ่น้อย ย่อมต้องมีภาระกิจในการถวายการรับใช้สนองพระราชโองการเหนื่อยกันไปอย่างทั่วถึง ใครเป็นข้าราชการ ข้าราชบริพารเคยถวายการรับใช้ไปเฝ้ารับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวคงจะรู้ดี

ถ้าพระราชาทรงพักผ่อนบรรทมข้าราชบริพารทั้งหมดจึงจะค่อยผ่อนคลายและได้พักกันบ้าง

ตอนเป็นปุถุชน กู เป็นพระราชาครองจิต ผู้รู้ เป็นทาสรับใช้ กู

ตอนจะขึ้นสู่ความเป็นอริยชน กู ตาย ผู้รู้ตายก่อนตาย นิพพาน จึงจะปรากฎขึ้นมาได้ ผู้รู้ ตายไปชั่วพริบตาเดียวแล้วก็กลับมาเป็นผู้รู้คนใหม่ ที่ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของ กู หรือไม่มี กู มาคอยบงการได้อีก

แต่กู มี 2 พี่น้อง

กูพี่ มีชื่อภาษาบาลีว่า สักกายทิฏฐิ ซึ่งจะตายก่อน เพราะหยาบกร้าน ดุดัน

กูน้อง มีชื่อภาษาบาลีว่า มานะทิฏฐิ ต้องฆ่าอีก 3 ครั้งถึงจะตาย ครั้งที่ 1 ตัดขา ครั้งที่ 2 ตัดแขน ครั้งที่ 3 ตัดคอ กูน้องนี่ฉลาด ลึกซึ่ง ยากจะจับได้ไล่ทัน ต้องสติปัญญาดีละเอียด เฉียบแหลม คม ลึกซึ้งจริงๆ


ฟังอุปมาอุปมัยแค่นี้จะพอรู้เรื่องไหมครับ เพราะสภาวะจริงๆ อธิบายไม่ได้ต้องสัมผัสเอง แต่วิธีจะสัมผัสหรือ อาการของสภาวะ พอจะบอกหรืออุปมาเปรียบเทียบให้ฟังได้ครับ ท่านกรัชกาย

งง ก็ถามต่อนะครับ

หมดงง ก็ไปเรื่องใหม่ ตอนใหม่กันครับ

ตอนเป็นอริยชน ผู้รู้ เป็นพระราชาครองจิต


ฆ่านั่นฆ่านี่ ฆ่าฉันฆ่าฉันให้ตายดีกว่า :b32: http://www.youtube.com/watch?v=bMOlLe2rt_0 กูนั่น กูนี่ สามขา สี่ขา ฟังอโศกพูดแล้วงงจุง :b1:
เอาของจริงเลยดีกว่าเสียเวลา นั่นเขาเป็นอะไร แล้วจะทำยังไงต่อไป นั่น

อ้างคำพูด:
ขออนุญาต ถามที่ห้องนี้นะครับ ถ้านั่งสมาธิแล้ว มีอาการคอหมุนได้ เป็นอะไรครับ
เพราะปกติถ้าเป็นสมาธิ จะขนลุก น้ำตาไหล
ไม่ใช่อาการเป็นร่างทรงใช่ไหมครับ

ปกติเป็นคนไม่ค่อยไวกับความรู้สึกเท่าไร แล้วผมนั่งแล้วไม่ค่อยรู้สึกว่าทั่วตัว
มีอาการขนลุกบ้าง แต่น้อยและข้ากว่าคนอื่น
ปกติไหมครับ
แนะนำในการทำสามาธิด้วยครับ
ผมไม่ค่อยก้าวหน้า นั่งแล้วก็ง่วงนอนครับ
สัปปะหงกครับ



ถามอีกตัวหนึ่งเห็นนำมาพูดกันทั่วๆไป "สภาวะ" สภาวะเนี่ย หมายถึงอะไรยังไงครับ อโศก เข้าใจความหมายมันมั้ย แล้วตัวอย่างที่นำมาให้ดูเนี่ย เป็นสภาวะมั้ย

ถามในแง่สมถะ กับ วิปัสสนาด้วย ว่าเป็นสมถะหรือวิปัสสนามั้ยน่ะ ถ้าว่าเป็นสมถะตรงไหนเป็นสถมะ ถ้าว่าเป็นวิปัสสนา ตรงไหนเป็นวิปัสสนา :b1:

ที่พูดกันบ่อยอีกตัวหนึ่ง "เหตุปัจจัย" อะไรๆก็เหตุปัจจัยๆ เหคุปัจจัย หมายถึงอะไร :b32: ยกตัวอย่างมาให้ดูหน่อยสิ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 16 ม.ค. 2014, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16:
กรัชกายถาม
อ้างคำพูด:
ถามอีกตัวหนึ่งเห็นนำมาพูดกันทั่วๆไป "สภาวะ" สภาวะเนี่ย หมายถึงอะไรยังไงครับ อโศก เข้าใจความหมายมันมั้ย แล้วตัวอย่างที่นำมาให้ดูเนี่ย เป็นสภาวะมั้ย

ถามในแง่สมถะ กับ วิปัสสนาด้วย ว่าเป็นสมถะหรือวิปัสสนามั้ยน่ะ ถ้าว่าเป็นสมถะตรงไหนเป็นสถมะ ถ้าว่าเป็นวิปัสสนา ตรงไหนเป็นวิปัสสนา :b1:

ที่พูดกันบ่อยอีกตัวหนึ่ง "เหตุปัจจัย" อะไรๆก็เหตุปัจจัยๆ เหคุปัจจัย หมายถึงอะไร :b32: ยกตัวอย่างมาให้ดูหน่อยสิ :b1:


:b38: :b38:
สภาวะ......ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่เป็นไปด้วยอำนาจการกระทำต่อกันของเหตุและปัจจัย

เหตุ คือ ที่กระทบของปัจจัย ซึ่งทำเกิดสภาวะ

ปัจจัย คือ สิ่งที่มากระทบเหตุแล้วทำให้เกิดสภาวะ

ตัวอย่างเหตุ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมมากที่สุด

สิ่งที่มากระทบรู้ขึ้นที่ทวารทั้ง 6 อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ คือปัจจัย

สิ่งที่ตั้งรับอยู่ภายใน คือ อัตตา มานะทิฏฐิ คือเหตุ

เมื่อกระทบกันแล้วก็จึงเกิดเป็น สภาวะธรรมต่างๆ เช่น เวทนา ตัณหา อุปาทาน กิเลส อนุสัย จิต เจตสิก รูป นิพพาน
s006
s004 s004
:b12: :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 16:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายแห่งการเป็นปัจจัยกว้างกว่านี้นะ

ที่คุณอโศกะกล่าวมาทั้งหมด
ล้วนเป็นธรรมที่เป็นปัจจัยทั้งนั้น

อวิชชา ก็เป็น ปัจจัย
กิเลสตัณหา ก็เป็น ปัจจัย
อุปทาน ก็เป็น ปัจจัย

ไม่ใช่หรือ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 041&Z=8506

:b1:

ตรงนี้...ทีคุณอโศกะกล่าวว่า
สิ่งที่ตั้งรับอยู่ภายใน คือ อัตตา มานะทิฏฐิ คือเหตุ
ยัง...ดูทะแม่ง ๆ นะ

ท่านเห็นอะไรใน อัตตา มานะทิฎฐิ จึงเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ภายใน

และตรงความเป็น เหตุ ท่านให้ความหมายแปลก ๆ น่ะ

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 17 ม.ค. 2014, 20:26, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไปทำมาแกงไม่รู้จักทัพพี :b32: ปลายๆพุทธกาลแล้ว ปล่อยไป ไม่ไหวจะเคลีย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 19 ม.ค. 2014, 21:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b14: :b14: :b14:

ถ้าไม่แม่นในธรรมที่ปฏิบัติ
มักจะอธิบายวิถีจิตคร่อมวิถี
ด้วยเห็นความสัมพันธ์ในสาระธรรมต่าง ๆ ไม่ทั่วถึง

ด้วยองค์ประกอบที่เห็น ไม่ชัดเจน

โสดาบัน ก็ยังเป็นสิ่งที่ข้องอยู่ในสังสารวัฏ นะ
แม้อนาคามีก็เป็นสิ่งที่ยังข้องอยู่ในสังสารวัฏ
ด้วยอวิชชา สังโยชน์ที่เหลือ
จะปรากฎกิเลสที่ละเอียดตามภูมิธรรมในระดับนั้นเหนี่ยวรั้งไว้

พระบางองค์ถูกเหนี่ยวรังไว้ด้วยการหมายพุทธภูมิ
จนอาจารย์มั่นต้องไปแก้อาการให้

วิมุตติ เป็นสภาวะธรรม ที่เห็นแจ้งในสังสารวัฏ :b6: :b6: :b6:
จึงเห็นแจ้งในการปรากฎแห่ง สัตตานัง
คือ ถ้าเข้าถึงวิมุติแล้ว ยังเห็นความเป็นโสดาบันในตน มีตนเป็นโสดาบัน
ยังเห็นว่ามีการรีเซ็ต...ตายและเกิดเป็นอะไรใหม่
มีอะไรที่เป็นตน มีตนที่เป็นอะไร
ยังมีความหมายมั่นปรากฎการณ์อันแสดงความเป็นต่าง ๆ ... :b6:

ก็...เป็นความพยายามที่... :b41:
...
ไม่สมกับฐานะ...

:b30: :b30: :b30:

:b12: :b12: :b12:
่คิดได้ลึกนะครับเอก้อน

ในการสื่อกันด้วยสมมุติบัญญัติก็คงต้องพูดเหมือนกับว่ามีใครไปทำอะไรอยู่

แต่เรื่องนี้อโศกะได้บอกไปบ้างแล้วว่าเมื่อ หมดความเห็นผิด อย่างพระโสดาบันแล้ว เหตุ ผล และ ธรรมจะเข้ามาทำงานแทนอัตตา แต่ยังคงเหลือมานะทิฏฐิ อันเป็นตัวทำให้เกิดความยึดผิดขึ้นมาได้ เพราะมีกูตัวน้อง หรืออัตตาที่ละเอียดอ่อนเป็นตัวทำงาน

แต่เมื่อกูตัวน้อง หรือความยึดผิด อันได้แก่ความยึดในกาย และความยึดในจิต ถูกทำลายขาดสะบั้นลงด้วยอำนาจของปัญญาวิปัสสนาภาวนา....ทุกสิ่งทุกอย่างจะคืนกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ตามกำลังแห่งเหตุปัจจัย กลายเป็นตถตา ...มันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างแท้จริง ยากจะอธิบายเป็นคำพูด ต้องถึงเอง สัมผัสเอง ที่่จิตดวงนั้นเอง

onion onion onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร