วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 06:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:


ถ้าดูอ่านวงจรปฏิจจสมุปบาท (แห่งชีวิต) แห่งเดียวด้านเดียวอย่างเช่นที่ว่า อดีตชาติ (อันล่วงแล้ว) ปัจจุบันชาติ (ชาติที่ชีวิตเป็นอยู่นี้) อนาคตชาติ (ชาติหน้า ชาติเบื้องหน้าโน้น) กล้าเอาคอ (เอาหัว ทีมีอยู่หัวเดียว) เป็นประกันว่า ชีวิตปัจจุบันนี้ไม่มีทางจะทำที่สุดแห่งทุกข์ของชีวิตนี้ได้ สมมุติตายแล้วไปเกิดอีกๆๆๆ คิดอย่างนี้อีกๆๆๆ ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์แ่ห่งชีวิตนั้นๆๆได้ คิกๆๆ เพราะกลายเป็นว่า ชีวิตหนึ่ง มีสองสองขานี้ ไปเหยียบปัจจุบันชาติไว้ขาหนึ่ง ไปเหยียบอดีตชาติไว้ครึ่งขา เหยียบอนาคตชาติไว้ครึ่งขา :b32:

การปฏิบัิติอะไร ในปัจจุบันชาตินี้ แม้จะเรียกชื่อว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นหมันหมด :b1: แท้งหมด ถึงจะเกิดมาได้ ก็พิกลพิการ


ชาตินี้คิดได้แค่นี้ไง ถึงแนะนำว่า ให้ไปรณรงค์ให้เขาไปเลือกตั้ง
อย่าเข้ามาในห้องสนทนาธรรม มันเสียเวลาตัวเองซ่ะเปล่า

หรือจะเสแสร้งเป็นคนดีธัมมะ ธัมโม เพื่อจะไปสู้กับม็อบคนดี

คิดแล้วก็เหมือนบิกทู่ บอกว่าตัวถือศีลพรรจรรย์ จุดประสงค์เพื่อไปขี้หลีสาวๆ :b32:



ผู้ดูแลขอรับ :b8: โฮฮับลากออกประเด็นแล้วครับ แบนเลยครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกายกระทู้ใหม่พี่โฮ ผูกสายศีลไว้แล้วน่ะ
เข้าไประวังปวดแสบปวดร้อนไม่รู้ด้ว
ถ้าอย่างไรกินเครื่องเสันที่พี่โฮวางไว้ แล้วจะไปไหนก็ไป :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:


ถ้าดูอ่านวงจรปฏิจจสมุปบาท (แห่งชีวิต) แห่งเดียวด้านเดียวอย่างเช่นที่ว่า อดีตชาติ (อันล่วงแล้ว) ปัจจุบันชาติ (ชาติที่ชีวิตเป็นอยู่นี้) อนาคตชาติ (ชาติหน้า ชาติเบื้องหน้าโน้น) กล้าเอาคอ (เอาหัว ทีมีอยู่หัวเดียว) เป็นประกันว่า ชีวิตปัจจุบันนี้ไม่มีทางจะทำที่สุดแห่งทุกข์ของชีวิตนี้ได้ สมมุติตายแล้วไปเกิดอีกๆๆๆ คิดอย่างนี้อีกๆๆๆ ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์แ่ห่งชีวิตนั้นๆๆได้ คิกๆๆ เพราะกลายเป็นว่า ชีวิตหนึ่ง มีสองสองขานี้ ไปเหยียบปัจจุบันชาติไว้ขาหนึ่ง ไปเหยียบอดีตชาติไว้ครึ่งขา เหยียบอนาคตชาติไว้ครึ่งขา :b32:

การปฏิบัิติอะไร ในปัจจุบันชาตินี้ แม้จะเรียกชื่อว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นหมันหมด :b1: แท้งหมด ถึงจะเกิดมาได้ ก็พิกลพิการ


ชาตินี้คิดได้แค่นี้ไง ถึงแนะนำว่า ให้ไปรณรงค์ให้เขาไปเลือกตั้ง
อย่าเข้ามาในห้องสนทนาธรรม มันเสียเวลาตัวเองซ่ะเปล่า

หรือจะเสแสร้งเป็นคนดีธัมมะ ธัมโม เพื่อจะไปสู้กับม็อบคนดี

คิดแล้วก็เหมือนบิกทู่ บอกว่าตัวถือศีลพรรจรรย์ จุดประสงค์เพื่อไปขี้หลีสาวๆ :b32:



ผู้ดูแลขอรับ :b8: โฮฮับลากออกประเด็นแล้วครับ แบนเลยครับ

ไอ้นี่เหมือนเด็กเล็ก นอกประเด็นบ้าบอน่ะซิ กลับไปดูความเห็นตัวเองซะก่อน
คนเขาคุยเรื่องปฏิจจ์ฯ ดันไปพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
ถ้าคุณ cantona_z คิดว่า สิ่งที่นำมาแสดง เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท
จะเป็นพระไตรปิฎก หรือ อะไรก็ตาม จากไหน หรือ จากใครก็ตาม

เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –

1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ



วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?


ช่วงเช้าวันนี้ยุ่งมาก เดี๋ยวบ่ายๆเย็นๆหาเวลาว่างๆได้จะมาตอบนะครับ
เพราะถ้ายังเห็นวงจรปฏิจจสมุปบาทคร่อมภพคร่อมชาติเป็นวงจรเดียวแบบนี้
คงต้องอธิบายกันยาว





หมายถึงใครเหรอ? แบบตัวที่วลัยพรคาดสีแดงไว้

ถ้าหมายถึง วลัยพรล่ะก็ คนพูดนั้น ท่าจะขี้ตาบัง :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 10:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:


ถ้าดูอ่านวงจรปฏิจจสมุปบาท (แห่งชีวิต) แห่งเดียวด้านเดียวอย่างเช่นที่ว่า อดีตชาติ (อันล่วงแล้ว) ปัจจุบันชาติ (ชาติที่ชีวิตเป็นอยู่นี้) อนาคตชาติ (ชาติหน้า ชาติเบื้องหน้าโน้น) กล้าเอาคอ (เอาหัว ทีมีอยู่หัวเดียว) เป็นประกันว่า ชีวิตปัจจุบันนี้ไม่มีทางจะทำที่สุดแห่งทุกข์ของชีวิตนี้ได้ สมมุติตายแล้วไปเกิดอีกๆๆๆ คิดอย่างนี้อีกๆๆๆ ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์แ่ห่งชีวิตนั้นๆๆได้ คิกๆๆ เพราะกลายเป็นว่า ชีวิตหนึ่ง มีสองสองขานี้ ไปเหยียบปัจจุบันชาติไว้ขาหนึ่ง ไปเหยียบอดีตชาติไว้ครึ่งขา เหยียบอนาคตชาติไว้ครึ่งขา :b32:

การปฏิบัิติอะไร ในปัจจุบันชาตินี้ แม้จะเรียกชื่อว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นหมันหมด :b1: แท้งหมด ถึงจะเกิดมาได้ ก็พิกลพิการ


ชาตินี้คิดได้แค่นี้ไง ถึงแนะนำว่า ให้ไปรณรงค์ให้เขาไปเลือกตั้ง
อย่าเข้ามาในห้องสนทนาธรรม มันเสียเวลาตัวเองซ่ะเปล่า

หรือจะเสแสร้งเป็นคนดีธัมมะ ธัมโม เพื่อจะไปสู้กับม็อบคนดี

คิดแล้วก็เหมือนบิกทู่ บอกว่าตัวถือศีลพรรจรรย์ จุดประสงค์เพื่อไปขี้หลีสาวๆ :b32:



ผู้ดูแลขอรับ :b8: โฮฮับลากออกประเด็นแล้วครับ แบนเลยครับ

ไอ้นี่เหมือนเด็กเล็ก นอกประเด็นบ้าบอน่ะซิ กลับไปดูความเห็นตัวเองซะก่อน
คนเขาคุยเรื่องปฏิจจ์ฯ ดันไปพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง :b32:


นั่นแสดงว่าไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาท กรัชกายก็พูดปฏิจจสมุปบาทอยู่ แต่ตัวเองชวนไปม๊อบกำนัน คิกๆ ของชอบกรัชกายนะน่า แ่ต่ไม่มีคู่เปรียบ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แน่ะๆ เมสซิ่งมาแอบมองแว้ววว :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 10:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แน่ะๆ เมสซิ่งมาแอบมองแว้ววว :b1:
ทำไมต้องแอบ กรัชกายที่แอบเพราะไม่เปืดเผยตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แน่ะๆ เมสซิ่งมาแอบมองแว้ววว :b1:
ทำไมต้องแอบ กรัชกายที่แอบเพราะไม่เปืดเผยตัว



อ๋อๆ ครับๆไม่เห็นแสดง คห.หลายวัน กรัชกายคิดถึงนะครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำปฏิจจจสมุปบาทในชีวิตประจำวันมาลงไว้ อาจมีผู้เข้าใจบ้าง :b1:


การดับทุกข์ และอยู่อย่างไม่มีทุกข์ของพระอรหันต์ เป็นเรื่องที่เป็นไปอยู่ตั้งแต่ชีวิตปัจจุบันนี้แล้ว ไม่ต้องรอให้สิ้นชีวิตเสียก่อน จึงจะไม่มีชาติใหม่ ไม่มีชรามรณะ แล้วจึงไม่มี โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสในอนาคตชาติ แต่โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ไม่มีตั้งแต่ชาติปัจจุบันนี้แล้ว วงจรปฏิจจสมุปบาทในการเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ก็ดี จึงเป็นเรื่องของชีวิตที่เป็นไปอยู่ในปัจจุบันนี้เอง ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ต้องไปค้นหาในชาติก่อน หรือรอไปดูชาติหน้า

นอกจากนั้น เมื้อเข้าใจวงจรที่เป็นไปอยู่ในชีวิตปัจจุบันดีแล้ว ก็ย่อมเข้าใจวงจรในอดีต และวงจรในอนาคตด้วย เพราะเป็นเรื่องอย่างเดียวกันนั่นเอง

ในด้านพุทธพจน์ ก็อาจอ้างอพุทธดำรัสต่อไปนี้ เป็นตัวอย่าง


"ดูกรอุทายี ผู้ใดระลึกขันธ์ที่เคยอยู่มาก่อนได้ต่างๆมากมาย.... ผู้นั้นจึงควรถามปัญหากะเรา ในเรื่องหนหลัง (ปุพฺพนฺต- ชาติก่อน) หรือเราจึงควรถามปัญหาในเรืองหนหลังกะผู้นั้น ผู้นั้น จึงทำให้เราถูกใจได้ด้วยการแห้ปัญหาในเรื่องหนหลัง หรือเราจึงทำให้ผู้นั้นถูกใจด้วยการแก้ปัญหาในเรื่องหนหลัง ผู้ใด เห็นสัตว์ทั้งหลายทั้งที่จุติอยู่ ทั้งที่อุบัติอยู่ ด้วยทิพยจักษุ....ผู้นั้น จึงควรถามปัญหากะเราในเรื่องหนหน้า (อปรนฺต- ชาติหน้า) หรือว่าเราจึงควรถามปัญหาในเรื่องหนหน้ากะผู้นั้น ผู้นั้น จึงจะควรทำให้เราถูกใจได้ด้วยการแก้ปัญหาในเรื่องหนหน้า หรือเราจึงจะทำให้ผู้นั้นถูกใจได้ด้วยการแก้ปัญหาในเรื่องหนหน้า"


"ก็แล อุทายี เรื่องหนก่อน ก็งดไว้เถิด เรื่องหนหน้า ก็งดไว้เถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างกรณีปลีกย่อยในชีวิตประจำวัน


ก. กับ ข. เป็นเพื่อนนักเรียนที่รักและสนิทสนมกัน ทุกวันมาโรงเรียน พบกันก็ยิ้มแย้มทักทายกัน วันหนึ่ง ก. เห็น ข. ก็ยิ้มแย้ม เข้าไปทักทายตามปกติ แต่ ข. หน้าบึ้ง ไม่ยิ้มด้วย ไม่พูดตอบ ก. จึงโกรธ ไม่พูดกับ ข. บ้าง ในกรณีนี้ กระบวนธรรมจะดำเนินไปในรูป ต่อไปนี้

๑. อวิชชา: เมื่อเห็น ข. หน้าบึ้ง ไม่ยิ้มตอบ ไม่พูดตอบ ก. ไม่รู้ความจริงว่าเหตุผลต้นปลายเป็นอย่างไร และไม่ใช้ปัญญาพิจารณาเพื่อหาข้อเท็จจริงว่า ข. อาจมีเรื่องไม่สบายใจ มีอารมณ์ค้างอะไรมาจากที่อื่น

๒. สังขาร: ก. จึงคิดนึกปรุงแต่งสร้างภาพในใจไปต่างๆ ตามพื้นนิสัย ตามทัศนคติ หรือตามกระแสความคิดที่เคยชินของตนว่า ข. จะต้องรู้สึกนึกคิดต่อตนอย่าง่นั้นอย่างนี้ แล้วเกิดความฟุ้งซ่าน โกรธ มีมานะ เป็นต้น ตามพื้นกิเลสของตน

๓. วิญญาณ: จิตของ ก. ขุ่นมัวไปตามกิเลสที่ฟุ้งขึ้นมาปรุงแต่งเหล่านั้น คอยรับรู้การกระทำและอากัปกิริยาของ ข. ในแง่ในความหมายที่จะมาป้อนความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอยู่ในเวลานั้น เหมือนอย่างที่พูดกันว่า ยิ่งนึกก็ยิ่งเห็น ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นอย่างนั้น สีหน้ากิริยาท่าทางของ ข. ดูจะเป็นเรื่องที่กระทบกระทั่ง ไม่เสียทั้งนั้น


๔. นามรูป: ความรู้สึก ภาพที่คิด ภาวะต่างๆ ของจิตใจ สีหน้า กิริยาท่าทาง คือทั้งกายและใจทั้งหมดของ ก. คล้อยไปด้วยกันในทางที่่จะแสดงออกมาเป็นผลรวม คือ ภาวะอาการของคนโกรธ คนปั้นปึ่ง คนงอน เป็นต้น (สุดแต่สังขาร) พร้อมที่จะทำงานร่วมไปกับวิญญาณนั้น

๕. สฬายตนะ: อายตนะต่างๆ ของ ข. ที่เ่ด่น น่าสนใจ เกี่ยวข้องกับกรณีนั้น เช่น ความบูดบึ้ง ความกระด้าง ท่าทางดูหมิ่น ไม่ให้เกียรติ หรือเหยียดศักดิ์ศรี เป็นต้น

๗. เวทนา รู้สึกไม่สบายใจ บีบคั้นใจ เจ็บปวดรวดร้าว หรือเหี่ยวแห้งใจ

๘. ตัณหา: เกิดวิภวตัณหา อยากให้ภาพที่บีบคั้น ทำให้ไม่สบายใจนั้น พ้นหายอันตรธาน ถูกกด ถูกปราบ ถูกทำลายให้พินาศไปเสีย

๙. อุปาทาน เกิดความยึดติดผูกใจต่อพฤติกรรมของ ข. ว่าเป็นสิ่งเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับตน กระทบต่อตน เป็นคู่กรณีกับตน ซึ่งจะต้องจัดการเอากันอย่างใดอย่างหนึ่ง

๑๐. ภพ พฤติกรรมที่สืบเนื่องต่อไปของ ก. ตกอยู่ใต้อิทธิพลของอุปาทาน เกิดเป็นกระบวนพฤติกรรมจำเพาะอย่างใดอย่างหนึ่งที่สนองอุปาทานนั้น คือพฤติกรรมปฏิปักษ์กับ ข. (กรรมภพ) ภาวะชีวิตทั้งทางกายทางใจที่รองรับกระบวนพฤติกรรมนั้น ก็สอดคล้องกันด้วย คือเป็นภาวะแห่งความเป็นปฏิปักษ์ กับ ข. (อุปปัตติภพ)

๑๑. ชาติ: ก. เข้าสวมรับเอาภาวะชีวิตที่เป็นปฏิปักษ์นั้น โดยมองเห็นความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างตนกับ ข. ชัดเจนลงไป แยกออกเป็นเรา - เขา มีตัวตนที่จะเข้าไปกระทำและถูกกระทบกระแทกกับ ข.


๑๒. ชรามรณะ: ตัวตนที่เกิดขึ้นในภาวะปฏิปักษ์นั้น จะดำรงอยู่และเติบโตขึ้นได้ ต้องอาศัยความหมายต่างๆ ที่พ่วงติดมา เช่น ความเก่ง ความสามารถ ความมีเกียรติ ความมีศักดิ์ศรี และความเป็นผู้ชนะ เป็นต้น ซึ่งมีภาวะฝ่ายตรงข้ามขัดแย้งอยู่ในตัว คือ ความด้อย ความไร้ค่า ไร้เกียรติ ความแพ้ เป็นต้น ทันทีที่ตัวตนนั้น เกิดขึ้น ก็ต้องถูกคุกคามด้วยภาวะขาดหลักประกัน ว่าตนจะไ้ด้เป็นอย่างอย่างที่ต้องการ และหากไ้ด้เป็น ภาวะนั้น จะยั่งยืนหรือทรงคุณค่าอยู่ไ้ด้ยาวนานเท่าใด คือ อาจไม่ได้เป็น ก. ในฐานะปฏิปักษ์ที่เก่ง ที่มีศักดิ์ศรี ที่ชนะแต่เป็นปฏิปักษ์ที่แพ้ ที่อ่อนแอ หรือที่ไม่สามารถรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรี และความชนะไว้ไ้ด เป็นต้น ความทุกข์ในรูปต่างๆ จึงเกิดแทรกอยู่ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่ทุกข์จากความหวั่นกลัวว่าอาจจะไม่สมหวัง ความเครียดและกระวนกระวายในการดิ้นรนเพื่อให้ตัวตนอยู่ในภาวะที่ต้องการ ตลอดจนความผิดหวัง หรือแม้สมหวังถึงที่แล้ว แต่ดุณค่าของมันก็ต้องจืดจางไปจากความชื่นชม


ความทุกข์ในรูปต่างๆ เหล่านี้ ปกคลุมห่อหุ้มจิตใจให้หม่นหมองมืดมัว เป็นปัจจัยแก่อวิชชาที่จะเริ่มต้น วงจรต่อไปอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


นอกจากนั้น ทุกข์เหล่านี้ยังเป็นเหมือนของเสียที่ระบายออกไปหมด คั่งค้างหมักหมมอยู่ในวงจรคอยระบายพิษออกไปรูปต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาต่อๆไป แก่ชีวิตทั้งของตนเอง และผู้อื่น มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมครั้งต่อๆไป และการดำเนินชีวิตทั้งหมดของเขา ดังในกรณีของ ก. อาจใจไม่สบายขุ่นมัวไปทั้งวัน เรียนหนังสือและใช้ความคิดในวันนั้นทั้งหมดไม่ได้ผลดี พลอยให้แสดงกิริยาอาการไม่งาม วาจาไม่สุภาพต่อคนอื่นๆ เกิดความขัดแย้งกับคนเพิ่มขึ้นอีกหลายคน เป็นต้น

ถ้า ก. ปฏิบัติถูกต้องตั้งแต่ต้น วงจรปัญหาก็ไม่เกิดขึ้น คือ ก. เห็น ข. ไม่ยิ้มตอบ ไม่ทักตอบแล้ว ใช้ปัญญา จึงคิดว่า ข. อาจมีเรื่องไม่สบายใจ เช่น ถูกผู้ปกครองดุมา ไม่มีเงินใช้ หรือมีเรื่องกลุ้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์ค้างอยู่ พอคิดอย่าง ก็ไม่ีอะไรกระทบกระทั่งตัว จิตใจยังกว้างขวางเป็นอิสระ และกลับเกิดความกรุณา รู้สึกสงสารคิดช่วยเหลือ ข. อาจเข้าไปสอบถาม ปลอบโยน ช่วยหาทางแก้ปัญหา หรือให้โอกาสเขาที่จะอยู่สงบ เป็นต้น

แม้แต่เมื่อวงจรร้ายเริ่มขึ้นแล้ว ก็ยังอาจแก้ไขไ้ด้ เช่น วงจรหมุนไปถึงผัสสะ ไ้ด้รับรู้อาการกิริยาที่ไม่น่าพอใจของ ข. ทำให้ ก. เกิดทุกข์บีบคั้นใจขึ้นแล้ว แต่ ก. มีสติเกิดขึ้น แทนที่จะตกอยู่ใต้อิทธิพลของวิภวตัณหาที่จะตามมาต่อไป ก็ตัดวงจรเสียโดยใช้ปัญญา พิจารณาข้อเท็จจริง และเกิดความรู้รับอย่างใหม่เกี่ยวกับการแสดงออกของ ข. คิดเหตุผลทั้งที่เกี่ยวกับการกระทำของ ข. และข้อควรปฏิบัิติของตนเอง จิตใจก็จะหายบีบคั้นขุ่นมัว กลับปลอดโปร่ง และคิดช่วยเหลือแก้ไขทุกข์ของ ข. ได้อีก

ดังนั้น เมื่อปัญญา หรือ วิชชาเกิดขึ้น จึงทำให้จิตใจเป็นอิสระ ไม่เกิดตัวตนขึ้นมาให้ถูกกระทบกระแทก นอกจากจะไม่เกิดปัญหาสร้างทุกข์แก่ตนแล้ว ยังทำให้เกิดกรุณาที่จะไปช่วยแก้ปัญหาคลายทุกข์ให้แก่ผู้อื่นด้วย ตรงข้ามกับอวิชชา ซึ่งเป็นตัวชักนำเข้าสู่สังสารวัฏ ทำให้เกิดตัรหาอุปาทาน สร้างตัวตนขึ้นมาจำกัดตัวเองสำหรับให้ถูกกระทบกระแทกเกิดทุกข์เป็นปัญหาแก่ตนเอง และมักขยายทุกข์ปัญหาให้แก่ผู้อื่นกว้างขวางออกไปด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


- ในสถานการณ์จริง วงจรหรือกระบวนธรรมทั้งหมดที่กล่าวถึงในตัวอย่างข้างต้น เป็นไปไ้ด้อย่างรวดเร็วตลอดสายเพียงชั่วแวบเดียว เช่น นักเรียนบางคนรู้ข่าวสอบตก คนรู้ข่าว่การสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รัก หญิงเห็นชายคนรักอยู่กับหญิงอื่น เป็นต้น เสียใจมาก ตกใจมาก อาจเข่าอ่อนทรงตัวไม่อยู่ อาจร้องกรี๊ด หรืออาจเป็นลมล้มพับไปทันที ยิ่งความยึดติดถือมั่นเทิดค่าให้ราคารุนแรงเท่าใด ผลก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

- ขอย้ำอีกว่า ความเป็นปัจจัยในกระบวนธรรมนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นไปอย่างเรียงลำดับ

- การอธิบายหลักปฏิจจสมุปบาทมุ่งให้เข้าใจกฎธรรมดา หรือกระบวนธรรมรวมที่เป็นไปอยู่ตามธรรมชาติเป็นสำคัญ เพื่อให้มองเห็นสาเหตุและจุดที่จะต้องแก้ไข ส่วนรายละเอียดของการแก้ไข หรือวิธีปฏิบัติไม่ใช่เรื่องของปฏิจจสมุปบาทโดยตรง แต่เป็นเรื่องของมรรคหรือมัชฌิมาปฏิปทา


อย่างไรก็ีดี ตัวอย่างที่กล่าวมานี้ มุ่งความเข้าใจง่ายเป็นสำคัญ บางตอนจึงมีความหมายผิวเผิน ไม่ให้ความเข้าใจแจ่มแจ้งลึกซึ้งเพียงพอ โดยเฉพาะหัวข้อที่ยากๆ เช่น อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร และโสกะ ปริเทวะ ทำให้วงจรเริ่มต้นใหม่ เป็นต้น ตัวอย่างข้างบนที่แสดงในข้อ อวิชชา เป็นเรื่องที่มิไ้ด้เกิดขึ้นเป็นสามัญ ในทุกช่วงขณะของชีวิต ชวนให้เห็นไปไ้ด้ว่า มนุษย์ปุถุชนสามารถเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันโดยไม่มีอวิชชาเกิดขึ้นเลย หรือเห็นว่า ปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่หลักธรรมที่แสดงความจริงเกี่ยวกับชีวิตอยาง่แท้จริง จึงเห็นว่า ควรอธิบายความหมายลึกซึ้งของบางหัวข้อที่ยากให้ละเอียดชัดเจนออกไปอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2014, 00:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าคุณ cantona_z คิดว่า สิ่งที่นำมาแสดง เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท
จะเป็นพระไตรปิฎก หรือ อะไรก็ตาม จากไหน หรือ จากใครก็ตาม
เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –
1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ

วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?


โอเค พอจะมีเวลาว่างแล้วครับ จะตอบเท่าที่จะตอบได้

ตอบคำถามก่อน แล้วค่อยอธิบายนะครับ
ถามว่าฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง
ตอบ เจริญอริยมรรคมีองค์แปดครับ สัมมาทิฏฐฺิ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ วายามะ สติ สมาธิ
นั่นแหละครับวิธีการดับ

โอเคทีนี้มาภาคอธิบาย
ต้องเข้าใจก่อนว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่อธิบายได้หลายนัยยะ
นัยยะแรกอธิบายถึงการเกิดขึ้นของทุกข์ทั้งปวง คือสมุทัยวาร
และการดับลงของทุกข์ทั้งปวงคือนิโรธวาร

อีกนัยยะคือปฏิจจสมุปบาท แสดงถึงความเป็นเหตุปัจจัยของสภาวะธรรมต่างๆ ว่า
ไม่ว่าสภาวะธรรมใดๆเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้นและดับลงได้เมื่อเหตุปัจจัยดับ
หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอิทัปปัจจยตา

นัยยะที่สาม ปฏิจจสมุปบาท แสดงถึงตัวกรรมเหตุเกิดของกรรมและการให้ผลของกรรม
ตรงนี้มีอะไรจะแย้งก็แย้งมานะครับ

โอเค
ถัดมา ถามว่าแล้วที่บอกว่าปฏิจจสมุปบาทแสดงกระบวนการเกิดและดับของทุกข์
ทุกข์น่ะมีอะไรบ้าง ก็ตอบว่าไปดูทุกขอริยสัจได้เลย
แต่โดยสั้นๆ ก็มีเช่น เกิดแก่เจ็บตาย ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เสียคนของรัก โดยย่อ อุปาทานขันธ์เป็นทุกข์
หรือถ้าจะแบ่งกันง่ายๆก็เป็นทุกข์กายกับทุกข์ใจ

การอธิบายปฏิจจสมุปบาทในแง่ของกรรมก็เช่นกัน
สามารถอธิบายได้เป็น 3 ส่วนคือ กิเลส กรรม วิบาก
กิเลสทำให้เกิดกรรม กรรมทำให้เกิดวิบาก
และในกรณีนี้ ผมชอบที่จะอธิบายปฏิจจสมุปบาทในมุมของกรรมมากกว่า เพราะจะเห็นความเป็นเหตุเป็นผลชัดกว่า
แต่ถ้าอยากแย้งตรงไหนก็ยกมาได้ครับ


อวิชชา->สังขาร->วิญญาณ->นามรูป->สฬายตนะ->ผัสสะ->เวทนา->ตัณหา->อุปาทาน->ภพ->ชาติ->ชรา->มรณะ->โสกะปริเทวะ...
กิเลส ->กรรม ->----------------------วิบาก------------------------------------>-----กิเลส----------->กรรม->-------วิบาก-------------------------->



ทีนี้ ปฏิจจสมุปบาทไม่ได้มีแค่วงจรเดียว แต่เป็นวงซ้อนๆๆกัน จำนวนอนันต์ เดินไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป
ในตำแหน่งเวลาที่คุณอยู่ ณ ปัจจุบันนั้น เป็นช่วงเวลาที่สามารถเป็นได้ทั้ง
ช่วงเกิดกิเลส(กิเลสวัฏฏ์) ช่วงเกิดกรรม(กัมมวัฏฏ์) ช่วงวิบาก (วิบากวัฏฏ์)
ยกตัวอย่างเช่น
ปฏิจจ วงเมื่อตอนป2
ขี้เกียจเรียน---ไม่อ่านหนังสือ----------------------------------------------สอบตก-----เรียนไม่จบซ้ำชั้น
กิเลสเมื่อป2 ทำให้ก่อกรรมตอนป2 กรรมตอนป2 ให้ผลวิบากตอนสิ้นปีมาเรื่อยๆ อันนี้ก็แล้วแต่กรรมที่กระทำ

รูปภาพ

หรือจะบอกอีกในนัยยะว่า ปฏิจจสมุปบาทแต่ละวง ก็เดินไปของมันเรื่อยๆ จะจบก็เมื่อวิบากนั้นให้ผลหมดสิ้นแล้ว
แต่ในระหว่างนั้น ในทุกๆวินาทีที่เกิดกิเลส เกิดกรรม ก็เกิดปฏิจจสมุปบาทวงใหม่
ซึ่งก็ให้ผลคือวิบากไปเรื่อยๆในเวลาที่เหมาะสมของมัน อาจเป็นตอนนี้ อาจเป็นชาตินี้ อาจเป็นชาติหน้า อาจเป็นชาติถัดๆๆๆไปเรื่อยๆๆๆ
รูปภาพ
เวลาในขณะนี้ของคุณอาจเป็นได้ทั้งวิบากวัฏฏ์จากวงก่อนๆ กิเลสวัฏฏ์ที่กำลังจะเริ่ม หรือกรรมวัฏฏ์ที่กำลังกระทำกรรมอยู่ก็ได้ทั้งนั้น

ทีนี้ย้อนกลับมาที่คำถามว่า จะดับปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร วิธีไหน
ก็ตอบว่า ดับที่กิเลสวัฏ ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด สร้างปัญญาให้เกิดขึ้นดับอวิชชาตัณหาอุปาทาน

บางคนที่เข้าใจผิดคิดว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นวงจรวงเดียวก็มักถามว่า ก็อวิชชามันเกิดในชาติที่แล้ว แล้วจะไปดับอย่างไร
ก็ตอบว่าอวิชชาที่มันเกิดชาติที่แล้ว มันก็ก่อกรรมไปแล้ว กรรมนั้นจะมาให้ผลเมื่อไหร่ก็ห้ามไม่ได้แล้ว
แต่อวิชชที่มันมีอยู่มันทำให้กิเลสเกิดตอนนี้หรือกำลังจะเกิด มันยังไม่ทันทำกรรม ถ้าดับตอนนี้มันก็ไม่เกิดวิบากในอนาคต
ส่วนไอ้วงก่อนๆเป็นอนันต์น่ะ ที่กำลังรอให้ผลในชาตินี้น่ะห้ามไม่ได้แน่ๆ
(แม้พระพุทธเจ้าเองเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังเสวยกรรมเก่าอยู่หลายครั้ง อันนี้คงไม่ต้องยกตัวอย่างกระมังครับ)
แต่วงที่จะให้ผลในชาติต่อไปน่ะ ถ้าเราไม่เกิดชาติหน้าอีก ก็ไม่ต้องรับกรรมที่จะให้ผลในชาติหน้าหรือชาติต่อๆไปจริงไหม

เมื่อมองในแง่สภาวะธรรม ปฏิจจสมุปบาทแสดงถึงการเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันของสภาวะธรรม
อวิชชา->สังขาร->วิญญาณ->นามรูป->สฬายตนะ->ผัสสะ->เวทนา->ตัณหา->อุปาทาน->ภพ->ชาติ->ชรา->มรณะ->โสกะปริเทวะ...
เมื่อตัดเหตุปัจจัยคือกิเลสวัฏออก กรรมก็ไม่เกิด วิบากของกรรมก็ไม่มี
เมื่อมรรคจิตผลจิตเกิด ก็เกิดสมุทเฉทปหาน ถอดถอนกิเลสที่ฝังในขันธสันดานออกไป ก็ไม่ก่อภพก่อชาติขึ้นอีก

มีอะไรจะแย้งไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2014, 02:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
ถ้าคุณ cantona_z คิดว่า สิ่งที่นำมาแสดง เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท
จะเป็นพระไตรปิฎก หรือ อะไรก็ตาม จากไหน หรือ จากใครก็ตาม
เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –
1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ

วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?


โอเค พอจะมีเวลาว่างแล้วครับ จะตอบเท่าที่จะตอบได้

ตอบคำถามก่อน แล้วค่อยอธิบายนะครับ
ถามว่าฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง
ตอบ เจริญอริยมรรคมีองค์แปดครับ สัมมาทิฏฐฺิ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ วายามะ สติ สมาธิ
นั่นแหละครับวิธีการดับ

โอเคทีนี้มาภาคอธิบาย
ต้องเข้าใจก่อนว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่อธิบายได้หลายนัยยะ
นัยยะแรกอธิบายถึงการเกิดขึ้นของทุกข์ทั้งปวง คือสมุทัยวาร
และการดับลงของทุกข์ทั้งปวงคือนิโรธวาร

อีกนัยยะคือปฏิจจสมุปบาท แสดงถึงความเป็นเหตุปัจจัยของสภาวะธรรมต่างๆ ว่า
ไม่ว่าสภาวะธรรมใดๆเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้นและดับลงได้เมื่อเหตุปัจจัยดับ
หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอิทัปปัจจยตา

นัยยะที่สาม ปฏิจจสมุปบาท แสดงถึงตัวกรรมเหตุเกิดของกรรมและการให้ผลของกรรม
ตรงนี้มีอะไรจะแย้งก็แย้งมานะครับ

โอเค
ถัดมา ถามว่าแล้วที่บอกว่าปฏิจจสมุปบาทแสดงกระบวนการเกิดและดับของทุกข์
ทุกข์น่ะมีอะไรบ้าง ก็ตอบว่าไปดูทุกขอริยสัจได้เลย
แต่โดยสั้นๆ ก็มีเช่น เกิดแก่เจ็บตาย ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เสียคนของรัก โดยย่อ อุปาทานขันธ์เป็นทุกข์
หรือถ้าจะแบ่งกันง่ายๆก็เป็นทุกข์กายกับทุกข์ใจ

การอธิบายปฏิจจสมุปบาทในแง่ของกรรมก็เช่นกัน
สามารถอธิบายได้เป็น 3 ส่วนคือ กิเลส กรรม วิบาก
กิเลสทำให้เกิดกรรม กรรมทำให้เกิดวิบาก
และในกรณีนี้ ผมชอบที่จะอธิบายปฏิจจสมุปบาทในมุมของกรรมมากกว่า เพราะจะเห็นความเป็นเหตุเป็นผลชัดกว่า
แต่ถ้าอยากแย้งตรงไหนก็ยกมาได้ครับ


อวิชชา->สังขาร->วิญญาณ->นามรูป->สฬายตนะ->ผัสสะ->เวทนา->ตัณหา->อุปาทาน->ภพ->ชาติ->ชรา->มรณะ->โสกะปริเทวะ...
กิเลส ->กรรม ->----------------------วิบาก------------------------------------>-----กิเลส----------->กรรม->-------วิบาก-------------------------->



ทีนี้ ปฏิจจสมุปบาทไม่ได้มีแค่วงจรเดียว แต่เป็นวงซ้อนๆๆกัน จำนวนอนันต์ เดินไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป
ในตำแหน่งเวลาที่คุณอยู่ ณ ปัจจุบันนั้น เป็นช่วงเวลาที่สามารถเป็นได้ทั้ง
ช่วงเกิดกิเลส(กิเลสวัฏฏ์) ช่วงเกิดกรรม(กัมมวัฏฏ์) ช่วงวิบาก (วิบากวัฏฏ์)
ยกตัวอย่างเช่น
ปฏิจจ วงเมื่อตอนป2
ขี้เกียจเรียน---ไม่อ่านหนังสือ----------------------------------------------สอบตก-----เรียนไม่จบซ้ำชั้น
กิเลสเมื่อป2 ทำให้ก่อกรรมตอนป2 กรรมตอนป2 ให้ผลวิบากตอนสิ้นปีมาเรื่อยๆ อันนี้ก็แล้วแต่กรรมที่กระทำ

รูปภาพ

หรือจะบอกอีกในนัยยะว่า ปฏิจจสมุปบาทแต่ละวง ก็เดินไปของมันเรื่อยๆ จะจบก็เมื่อวิบากนั้นให้ผลหมดสิ้นแล้ว
แต่ในระหว่างนั้น ในทุกๆวินาทีที่เกิดกิเลส เกิดกรรม ก็เกิดปฏิจจสมุปบาทวงใหม่
ซึ่งก็ให้ผลคือวิบากไปเรื่อยๆในเวลาที่เหมาะสมของมัน อาจเป็นตอนนี้ อาจเป็นชาตินี้ อาจเป็นชาติหน้า อาจเป็นชาติถัดๆๆๆไปเรื่อยๆๆๆ
รูปภาพ
เวลาในขณะนี้ของคุณอาจเป็นได้ทั้งวิบากวัฏฏ์จากวงก่อนๆ กิเลสวัฏฏ์ที่กำลังจะเริ่ม หรือกรรมวัฏฏ์ที่กำลังกระทำกรรมอยู่ก็ได้ทั้งนั้น

ทีนี้ย้อนกลับมาที่คำถามว่า จะดับปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร วิธีไหน
ก็ตอบว่า ดับที่กิเลสวัฏ ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด สร้างปัญญาให้เกิดขึ้นดับอวิชชาตัณหาอุปาทาน

บางคนที่เข้าใจผิดคิดว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นวงจรวงเดียวก็มักถามว่า ก็อวิชชามันเกิดในชาติที่แล้ว แล้วจะไปดับอย่างไร
ก็ตอบว่าอวิชชาที่มันเกิดชาติที่แล้ว มันก็ก่อกรรมไปแล้ว กรรมนั้นจะมาให้ผลเมื่อไหร่ก็ห้ามไม่ได้แล้ว
แต่อวิชชที่มันมีอยู่มันทำให้กิเลสเกิดตอนนี้หรือกำลังจะเกิด มันยังไม่ทันทำกรรม ถ้าดับตอนนี้มันก็ไม่เกิดวิบากในอนาคต
ส่วนไอ้วงก่อนๆเป็นอนันต์น่ะ ที่กำลังรอให้ผลในชาตินี้น่ะห้ามไม่ได้แน่ๆ
(แม้พระพุทธเจ้าเองเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังเสวยกรรมเก่าอยู่หลายครั้ง อันนี้คงไม่ต้องยกตัวอย่างกระมังครับ)
แต่วงที่จะให้ผลในชาติต่อไปน่ะ ถ้าเราไม่เกิดชาติหน้าอีก ก็ไม่ต้องรับกรรมที่จะให้ผลในชาติหน้าหรือชาติต่อๆไปจริงไหม

เมื่อมองในแง่สภาวะธรรม ปฏิจจสมุปบาทแสดงถึงการเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันของสภาวะธรรม
อวิชชา->สังขาร->วิญญาณ->นามรูป->สฬายตนะ->ผัสสะ->เวทนา->ตัณหา->อุปาทาน->ภพ->ชาติ->ชรา->มรณะ->โสกะปริเทวะ...
เมื่อตัดเหตุปัจจัยคือกิเลสวัฏออก กรรมก็ไม่เกิด วิบากของกรรมก็ไม่มี
เมื่อมรรคจิตผลจิตเกิด ก็เกิดสมุทเฉทปหาน ถอดถอนกิเลสที่ฝังในขันธสันดานออกไป ก็ไม่ก่อภพก่อชาติขึ้นอีก

มีอะไรจะแย้งไหมครับ


ขึ้นอยู่กับการพิจารณาธรรมของผู้ปฏิบัติด้วยครับ ว่านั่นเรียกว่าเป็นวิบาก หรือนั่นเรียกว่าเป็นทุกข์

ความเห็นคนอาจจะบอกว่าอาการร้อน หนาว ตาบอด ตาดี เป็นวิบาก
ความเห็นคนอาจจะบอกว่าอาการร้อน หนาว ตาบอด ตาดี เป็นทุกข์
ความเห็นคนอาจจะบอกว่าความตาย เป็นวิบาก
ความเห็นคนอาจจะบอกว่า ความตายเป็นทุกข์ เกิดขึ้น ก็มีดับเป็นธรรมดา

ความเห็นไหนล่ะที่พึงจะเห็น ส่วนตัวนั้น เป็นทุกข์ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2014, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
โอเค พอจะมีเวลาว่างแล้วครับ จะตอบเท่าที่จะตอบได้

ตอบคำถามก่อน แล้วค่อยอธิบายนะครับ
ถามว่าฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง
ตอบ เจริญอริยมรรคมีองค์แปดครับ สัมมาทิฏฐฺิ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ วายามะ สติ สมาธิ
นั่นแหละครับวิธีการดับ


ตอบเป็นกำปั่นทุบดิน สงสัยเอามาจากวิกิพีเดีย แต่ก็ยังดีนกแก้วนกขุนทองอ่านหนังสือออก :b32:

อะไรกันครับ ดูต้นสายปลายเหตุหน่อย ว่าอะไรเป็นอะไร
จะดับปฏิจจสมุบาท มันต้องดูก่อนว่า ปฏิจจ์คืออะไร
ไม่ใช่เอะอะไม่รู้เหนือใต้ว่า อริยมีองค์แปด

ตามความเป็นจริงปฏิจจสมุบาท เป็นธรรมชาติของโลก
เราไปเกี่ยวข้องกับปฏิจจ์ในลักษณะของความเป็นนามรูป
นามรูปของเรายังมีความเป็นอวิชา เมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าเราต้องการจะดับปฏิจจ์ฯ
เราต้องทำให้นามรูปของเราเป็นวิชชาเสียก่อน และการจะทำให้เกิดวิชชา
เราก็ต้องไปปฏิบัติที่นามรูป(กายใจ)

และหลักที่ใช้ในการปฏิบัติก็คือ...........โพธิปักขิยธรรม
อริยมรรคมีองค์๘ไม่ใช่หลักในการปฏิบัติ แต่เป็นผลของการปฏิบัติ
ดังนั้นวิธีดับปฏิจจสมุปบาทคือ.....โพธิปักขิยธรรม


cantona_z เขียน:
โอเคทีนี้มาภาคอธิบาย
ต้องเข้าใจก่อนว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่อธิบายได้หลายนัยยะ
นัยยะแรกอธิบายถึงการเกิดขึ้นของทุกข์ทั้งปวง คือสมุทัยวาร
และการดับลงของทุกข์ทั้งปวงคือนิโรธวาร


แบบนี้เขาเรียกคำอธิบายหรือครับ นี้เขาว่าไม่รู้เหนือใต้ครับ
เขาให้อธิบายปฏิจจสมุบาท มันต้องบอกให้เข้าใจก่อนว่า
ปฏิจจสมุบาทคืออะไร และเหตุแห่งปฏิจจ์คืออะไร

ไอ้ที่คุณเอาบัญญัติสมุทัยวารและนิโรธวารมาจ้อน่ะ
ท่านหมายถึง....กฎอิทัปปัจจยตา มันคนล่ะเรื่อง
:b32:

ปฏิจจสมุบาทมันเป็นธรรมชาติที่อยู่คู่กับโลกใบนี้ ต่อให้ไม่มีเรามันก็ยังคงอยู่
ปฏิจจสมุบาท โดยสภาพธรรมแล้ว มันก็คือวัฏฏสงสาร
ถ้ามีสัตว์โลกเกิดขึ้น สัตว์โลกนั้นย่อมต้องตกอยู่ในธรรมของปฏิจจฯไปโดยปริยาย

ยกตัวอย่างให้ดู ถ้าเราเปรียบปฏิจจ์เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าที่เปิดพร้อมใช้
ตัวเราถ้าเราไม่ขึ้นไปเหยียบลู่วิ่งนั้น เราก็ไม่ต้องไปวิ่งตามลู่วิ่งที่มันเคลื่อนไปนั้น
แต่ถ้าเราขึ้นไปเหยียบลู่วิ่ง ตัวเราก็ต้องวิ่งตามลู่วิ่ง
ลักษณะการวิ่งตามลู่วิ่งก็เหมือนการที่เราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียนอยู่แบบนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร