วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 15:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 14 ธ.ค. 2013, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ใครแถกันแน่โฮฮับ ทำไมไม่กล้าสู้หน้ากับความจริง

[b]ตอบมาให้ได้ก่อนว่า

พระเถรวาททั่วไทยหรือทั่วไปทุกวันนี้ ท่านครองผ้าผืนที่ 4 คือ ผ้าอังสะ นั้นมันเป็นความจริงหรือไม่โฮฮับ
กล้าไปปรับ เอาผิดพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งหลายทั่วไทยได้ไหมว่าที่ท่านไม่ครองผ็าเพียง 3 ผืนนั้น ผิดพุทธวัจจนะ


ใครทำผิดมันก็เป็นเรื่องของเขา มันไม่ใช่จะเอาสิ่งที่ผิดมาอ้าง
พวกมักง่ายหมดทางมันก็จะอ้างกันแบบนี้

อีกตัวอย่างที่เห็น ก็คือพระสมัยนี้จับเงินทอง ทั้งที่มีพระวินัยห้าม
มันก็แถว่าจำเป็นเอาไว้ใช้จ่าย

อะไรมันผิด เราก็ต้องไปหาสาเหตุให้ได้ว่า มันมีเหตุมาจากอะไร
ไม่ใช่มาตะแบงว่า......พระเถรวาทเขาใส่กันทั้งนั้น

ดูธรรมมันต้องดูที่พระวินัยที่บัญญัติไว้ พระวินัยบัญญัติไว้อย่างไร
ก็ต้องนับสิ่งที่บัญญัติเป็นสิ่งถูกต้อง ใครทำผิดจากพระวินัย ก็ต้องนับว่าทำผิดพระวินัย
มันไม่ใช่เห็นคนทำผิดหลายคน แล้วก็จะเหมาว่า.....สิ่งนั้นถูก
แบบนี้มันปัญญาอ่อนครับ


จะบอกให้อังสะในสมัยพุทธกาล พวกภิกษุณีเขาใส่กัน
เป็นการปิดหน้าอกเพื่อไม่ให้อุดจาด


โพสต์ เมื่อ: 14 ธ.ค. 2013, 18:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ใครแถกันแน่โฮฮับ ทำไมไม่กล้าสู้หน้ากับความจริง

ตอบมาให้ได้ก่อนว่า

พระเถรวาททั่วไทยหรือทั่วไปทุกวันนี้ ท่านครองผ้าผืนที่ 4 คือ ผ้าอังสะ นั้นมันเป็นความจริงหรือไม่โฮฮับ
กล้าไปปรับ เอาผิดพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งหลายทั่วไทยได้ไหมว่าที่ท่านไม่ครองผ็าเพียง 3 ผืนนั้น ผิดพุทธวัจจนะ


ใครทำผิดมันก็เป็นเรื่องของเขา มันไม่ใช่จะเอาสิ่งที่ผิดมาอ้าง
พวกมักง่ายหมดทางมันก็จะอ้างกันแบบนี้

อีกตัวอย่างที่เห็น ก็คือพระสมัยนี้จับเงินทอง ทั้งที่มีพระวินัยห้าม
มันก็แถว่าจำเป็นเอาไว้ใช้จ่าย

[b]อะไรมันผิด เราก็ต้องไปหาสาเหตุให้ได้ว่า มันมีเหตุมาจากอะไร
ไม่ใช่มาตะแบงว่า......พระเถรวาทเขาใส่กันทั้งนั้น


ดูธรรมมันต้องดูที่พระวินัยที่บัญญัติไว้ พระวินัยบัญญัติไว้อย่างไร
ก็ต้องนับสิ่งที่บัญญัติเป็นสิ่งถูกต้อง ใครทำผิดจากพระวินัย ก็ต้องนับว่าทำผิดพระวินัย
มันไม่ใช่เห็นคนทำผิดหลายคน แล้วก็จะเหมาว่า.....สิ่งนั้นถูก
แบบนี้มันปัญญาอ่อนครับ


จะบอกให้อังสะในสมัยพุทธกาล พวกภิกษุณีเขาใส่กัน
เป็นการปิดหน้าอกเพื่อไม่ให้อุดจาด

:b12: :b12: :b12:
ความเห็นความยึดอย่างที่โฮฮับเป็นนี่แหละเขาเรียกว่า [color=#FF0040]"พรต" คือยึดแน่นเกินไป ไม่เอื้อธรรม

โฮฮับ คงเป็นนักพรตกลับชาติมาเกิดแน่ๆ ถึงได้ขวางโลกตะพึดตะพืออยู่อย่างนี้

แค่มีความเห็นผิดเรื่องการเจริญมรรค 8 ต้องเป็นของพระอริยะบุคคลขึ้นไปเท่านั้น ปุถุชนคนธรรมดาเจริญไม่ได้

และยังไม่เข้าใจลึกซึ้งอีกว่า การเจริญโพธิปักขิยะธรรมทั้ง 37 ประการนั้นก็คือการเจริญมรรค 8 นั้นเอง

เท่านี้ก็เห็นความต่ำค่า ปัญญาเฉโก และการเดินหลงทางของโฮฮับแล้ว

โฮฮับหมดค่าแล้วในสายตาของผู้รู้ กู่อย่างไรคงไม่กลับเพราะหลงตัวตนและหลงทางดังนักพรตทั้งหลายยากไถ่ถอน


โพสต์ เมื่อ: 14 ธ.ค. 2013, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
ความเห็นความยึดอย่างที่โฮฮับเป็นนี่แหละเขาเรียกว่า "พรต" คือยึดแน่นเกินไป ไม่เอื้อธรรม

โฮฮับ คงเป็นนักพรตกลับชาติมาเกิดแน่ๆ ถึงได้ขวางโลกตะพึดตะพืออยู่อย่างนี้

แค่มีความเห็นผิดเรื่องการเจริญมรรค 8 ต้องเป็นของพระอริยะบุคคลขึ้นไปเท่านั้น ปุถุชนคนธรรมดาเจริญไม่ได้

และยังไม่เข้าใจลึกซึ้งอีกว่า การเจริญโพธิปักขิยะธรรมทั้ง 37 ประการนั้นก็คือการเจริญมรรค 8 นั้นเอง

เท่านี้ก็เห็นความต่ำค่า ปัญญาเฉโก และการเดินหลงทางของโฮฮับแล้ว

โฮฮับหมดค่าแล้วในสายตาของผู้รู้ กู่อย่างไรคงไม่กลับเพราะหลงตัวตนและหลงทางดังนักพรตทั้งหลายยากไถ่ถอน


เลอะเทอะน่าโสกะ ไปไม่ถูกก็มั่วด่าพรึ่บพรำเป็นคนแก่ ไอ้ทียึดน่ะมันโสกะ
ยึดเลอะเทอะเสียด้วย มันมีเยียงอย่างที่ไหน เห็นคนอื่นทำอะไรผิดถูกไม่รู้
ฉันต้องเชื่อ เพราะเขาทำกัน......

มันต้องดูว่าทำไมเขาถึงทำ ก็ในเมื่อในพระวินัยท่านห้าม
ลองดูซิว่า มีเหตุผลพอมั้ยที่ฝ่าฝืนพระวินัย เรื่องบางอย่างพออนุโลมได้มั้ย
อย่างเช่น พระอาพาธจำเป็นต้องฉันข้าวเย็น หรือไม่ก็ฉันยาที่มีแอลกอฮอล์เป็นตัวยา
ส่วนเรื่องอังสะ ก็ต้องดูว่า เป็นเพราะอากาศหนาวเลยจำเป็นต้องใส่


ไม่ใช่มาตะบี้ตะบันเถียงว่า......เขาใส่กันทั้งนั้น
นี่มันตอบแบบปัญญาอ่อน
:b32:


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2013, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
แค่มีความเห็นผิดเรื่องการเจริญมรรค 8 ต้องเป็นของพระอริยะบุคคลขึ้นไปเท่านั้น ปุถุชนคนธรรมดาเจริญไม่ได้

และยังไม่เข้าใจลึกซึ้งอีกว่า การเจริญโพธิปักขิยะธรรมทั้ง 37 ประการนั้นก็คือการเจริญมรรค 8 นั้นเอง

เท่านี้ก็เห็นความต่ำค่า ปัญญาเฉโก และการเดินหลงทางของโฮฮับแล้ว

โฮฮับหมดค่าแล้วในสายตาของผู้รู้ กู่อย่างไรคงไม่กลับเพราะหลงตัวตนและหลงทางดังนักพรตทั้งหลายยากไถ่ถอน[/b]


โสกะผมว่าคุณ กลับไปเรียนหนังสือใหม่ดีกว่า ถ้าเข้าไม่รับคนแก่เข้าเรียน
ผมแนะนำให้ไปเรียก ก.ศ.น. โสกะจะได้อ่านหนังสือได้ถูกต้องและอ่านด้วยความเข้าใจ

โสกะรู้มั้ยว่า ความเห็นของโสกะมันก็แค่ คนที่พออ่านหนังสือออก แต่ไม่เข้าใจความหมาย
โสกะก็แค่หยิบคำศัพท์โน้นนี่นั้นมาวาง อ่านแล้วมันได้แค่เป็นคำพูดของคนๆหนึ่ง
แต่คำพูดนั้นจับใจความไม่ได้ โสกะเอาบัญญัติมาวางผิดลักษณะของเหตุผล
เอาผลมาเป็นเหตุ สรุปสั้นๆก็คือ.......มันมั่ว

โสกะจะบอกให้ วิปัสสนากรรมฐาน โพธิปักขิยธรรม
มันเป็นคนล่ะเรื่อง

หลักการปฏิบัติ มันเป็นคนล่ะอย่าง มันเอามาใช้ร่วมกันไม่ได้

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติ มันเป็นโพธิปักฯ

ส่วนเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน เป็นคำสอนของพระอนุรุทธาจารย์

พระพุทธองค์เพียงแค่บอกให้รู้ถึงสภาวะของวิปัสสนาเพียงแค่นั้น


สาวกของพระพุทธองค์ส่วนใหญ่ ก็ผ่านวิปัสสนาญานมาเองทั้งนั้น
พระพุทธองค์ไม่ได้ไปบอกว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้
.....เข้าใจมั้ยโสกะ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2013, 12:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb (2).jpg
กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb (2).jpg [ 69.17 KiB | เปิดดู 3005 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
แค่มีความเห็นผิดเรื่องการเจริญมรรค 8 ต้องเป็นของพระอริยะบุคคลขึ้นไปเท่านั้น ปุถุชนคนธรรมดาเจริญไม่ได้

และยังไม่เข้าใจลึกซึ้งอีกว่า การเจริญโพธิปักขิยะธรรมทั้ง 37 ประการนั้นก็คือการเจริญมรรค 8 นั้นเอง

เท่านี้ก็เห็นความต่ำค่า ปัญญาเฉโก และการเดินหลงทางของโฮฮับแล้ว

โฮฮับหมดค่าแล้วในสายตาของผู้รู้ กู่อย่างไรคงไม่กลับเพราะหลงตัวตนและหลงทางดังนักพรตทั้งหลายยากไถ่ถอน[/b]


โสกะผมว่าคุณ กลับไปเรียนหนังสือใหม่ดีกว่า ถ้าเข้าไม่รับคนแก่เข้าเรียน
ผมแนะนำให้ไปเรียก ก.ศ.น. โสกะจะได้อ่านหนังสือได้ถูกต้องและอ่านด้วยความเข้าใจ

โสกะรู้มั้ยว่า ความเห็นของโสกะมันก็แค่ คนที่พออ่านหนังสือออก แต่ไม่เข้าใจความหมาย
โสกะก็แค่หยิบคำศัพท์โน้นนี่นั้นมาวาง อ่านแล้วมันได้แค่เป็นคำพูดของคนๆหนึ่ง
แต่คำพูดนั้นจับใจความไม่ได้ โสกะเอาบัญญัติมาวางผิดลักษณะของเหตุผล
เอาผลมาเป็นเหตุ สรุปสั้นๆก็คือ.......มันมั่ว

โสกะจะบอกให้ วิปัสสนากรรมฐาน โพธิปักขิยธรรม
มันเป็นคนล่ะเรื่อง

หลักการปฏิบัติ มันเป็นคนล่ะอย่าง มันเอามาใช้ร่วมกันไม่ได้

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติ มันเป็นโพธิปักฯ

ส่วนเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน เป็นคำสอนของพระอนุรุทธาจารย์

พระพุทธองค์เพียงแค่บอกให้รู้ถึงสภาวะของวิปัสสนาเพียงแค่นั้น


สาวกของพระพุทธองค์ส่วนใหญ่ ก็ผ่านวิปัสสนาญานมาเองทั้งนั้น
พระพุทธองค์ไม่ได้ไปบอกว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้
.....เข้าใจมั้ยโสกะ :b13:

Onion_L
ข้อความที่คาดสีแดงไว้ให้เห็นชัดนั้นนะ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจธรรมภาคปฏิบัติของโฮฮับ เพราะปฏิบัติน้อยหรือย่อหย่อนการปฏิบัติ

โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นแหละคือ การเจริญวิปัสสนาภาวนา อันเป็นชื่อย่อของการเจริญมรรค 8
เป็นเรื่องเดียวอันเดียวกัน ไม่ใช่คนละเรื่องอย่างที่โฮฮับเข้าใจผิดอยู่

มรรค 8 สรุปลงมาแล้วก็คือการเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ (สติ) ควบคู่กันไปอย่างได้สัดส่วน

โพธิปักขิยธรรมก็คือ การเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ (สติ) ควบคู่กันไปอย่างได้สัดส่วน

วิปัสสนาภาวนา ก็คือ การเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ (สติ) ควบคู่กันไปอย่างได้สัดส่วน

เพื่อจุดมุ่งหมายสุดท้ายหนึ่งเดียวกัน คือ นิโรธ ความดับเย็นเสียซึ่งเหตุทุกข์ แล้วได้รับนิพพานเป็นผลสุดท้าย

วิปัสสนากรรมฐาน โพธิปักขิยธรรม
มันเป็นคนล่ะเรื่อง ดังที่โฮฮับว่านั้นมันเป็นความเข้าใจผิด เพราะจิตและสติปัญญาไม่ละเอียดอ่อนพอที่จะรู้ซึ้ังถึงความนัยของธรรมทั้ง 2 อย่างนี้

พึงไปเจริญธรรมะภาคปฏิบัติให้มากยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะถ่วงดุลย์ความรู้ในปริยัติฟุ้งเฝือเกินไปนี้ให้มาได้สัดส่วนกับการปฏิบัติ จึงจะได้ดี พ้นวิบากกรรมนะโฮฮับ

:b4: :b4: :b4:
ในกระทู้นี้พยายามจะนำสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถสงบ สยบนิวรณ์ 5 ได้อย่างรวดเร็ว อันจะเป็นอุปสรรคในการต่อยอดไปเจริญปัญญาวิปัสสนาภาวนา มานำเสนอเป็นแนวทางให้ผู้ที่กำลังเจริญเดินไปบนเส้นทางแห่งมรรค 8 ทั้งหลาย ได้ข้อคิดสะกิดใจ ได้เครื่องมือช่วยเสริมประสิทธิภาพการภาวนา

แต่ก็ถูกโฮฮับมาชักใบให้เรือออกนอกลู่นอกทางไปมากและนานพอสมควรแล้ว

มากพอแล้วความเห็นของโฮฮับ ต่อจากนี้ไปควรทำความสงบอกสงบใจ ขันติ อดทนต่อถ้อยคำ สำรวมกิริยาวาจา ตั้งหน้าพิจารณาข้อธรรมที่จะแสดงต่อไปด้วยใจเคารพ เพื่อจะให้เกิดประโยชน์กับหมู่ชนทุกฝ่าย นะโฮฮับนะ.....ทำตัวเป็นเด็กดีเสียบ้างนะ อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ขวางโลก ขวางธรรมอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ต่อไปอีก บาปกรรมมันจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆจนแผ่นดินนี้รองรับไว้ไม่ไหวนะ ดูตัวอย่างพระเทวทัตนั่นให้ดีๆ

:b34: :b34: :b34:
โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2013, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ข้อความที่คาดสีแดงไว้ให้เห็นชัดนั้นนะ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจธรรมภาคปฏิบัติของโฮฮับ เพราะปฏิบัติน้อยหรือย่อหย่อนการปฏิบัติ


ตลกดี! พูดเองเออเอง จะบอกให้คนไม่ปฏิบัติจะรู้ในสิ่งที่เรียก
วิชชาและอวิชาได้ทะลุปุโปร่งแบบนี้หรือ
ตอนผมเริ่มปฏิบัติผมว่าคุณโสกะ ยังเผาป่าสงวนปลูกผักหญ้าอยู่เลยมั้ง :b32:

asoka เขียน:
โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นแหละคือ การเจริญวิปัสสนาภาวนา อันเป็นชื่อย่อของการเจริญมรรค 8


นี่ก็สุดแสนจะมั่ว จะบอกให้แล้วก็เอาไปสำเหนียกด้วย...

อริยมรรคมีองค์๘...............เป็นส่วนหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม

โพธิปักขิยธรรม.......มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นองค์แห่งการตรัสรู้

หลักการปฏิบัติในเรื่องวิปัสสนากับการปฏิบัติ ในโพธิปักแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ที่สำคัญพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสอนวิธีทำวิปัสสนา พระองค์สอนแต่เรื่องของโพธิปักฯ

หลักคำสอนเรื่องอริยมรรคมีองค์๘ หรือหลักของโพธิปักขิยธรรมนั้น
พระพุทธองค์เน้นสอน ผู้ที่มีปัญญามีดวงตาเห็นธรรมแล้วเท่านั้น
หรือสอนแต่ผู้ที่มีปัญญาไตรลักษณ์


หลักการทำวิปัสสนาฯ ผู้สอนหรือผู้แต่งก็คือ ท่านอนุรุทธาจารย์
ท่านอนุรุทธาจารย์ ท่านเน้นสอนปุถุชนในแง่การปฏิบัติให้เกิดปัญญาไตรลักษณ์
หรือการทำให้ปุถุชนข้ามโครตเป็นอริยชน

ในแง่การปฏิบัติที่แตกต่างกันก็คือ.......วิปัสสนากรรมฐาน จะไม่มีความคิดมาร่วมด้วย

แต่การปฏิบัติในโพธิปักขิยธรรม จะต้องใช้ความคิดมาพิจารณาธรรม
แต่ในความคิดนั้นจะต้องมีปัญญาไตรลักษณ์เป็นองค์ประกอบ
:b13:


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2013, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นแหละคือ การเจริญวิปัสสนาภาวนา อันเป็นชื่อย่อของการเจริญมรรค 8
เป็นเรื่องเดียวอันเดียวกัน ไม่ใช่คนละเรื่องอย่างที่โฮฮับเข้าใจผิดอยู่


พูดส่งเดช การเจริญวิปัสสนา มันมีด้วยหรือ วิปัสสนามันเป็นการปฏิบัติ...
ท่านเรียกว่า...การเจริญสติ ผลของการเจริญสติ ก็คือปัญญาไตรลักษณ์

ส่วนอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นเพียงองค์ธรรมในโพธิปักขิยธรรม

หลักการปฏิบัติในโพธิปักขิยธรรม จะต้องอาศัยหลักของการพิจารณาธรรม
นั้นหมายความว่า.....จะต้องใช้ความคิด มาพิจารณาองค์โพธิปักขิยธรรม

ความคิดที่ว่า ไม่ใช่ความคิดแบบปุถุชน มันเป็นความคิดทีประกอบด้วยปัญญาไตรลักษณ์
โดยรวมแล้วสิ่งที่เป็นตัวปฏิบัติในโพธิปักขิยธรรมก็คือ....

วิริยะ....ศรัทธา...สติ...ปัญญา...สมาธิ


asoka เขียน:

มรรค 8 สรุปลงมาแล้วก็คือการเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ (สติ) ควบคู่กันไปอย่างได้สัดส่วน

โพธิปักขิยธรรมก็คือ การเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ (สติ) ควบคู่กันไปอย่างได้สัดส่วน

วิปัสสนาภาวนา ก็คือ การเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ (สติ) ควบคู่กันไปอย่างได้สัดส่วน

เพื่อจุดมุ่งหมายสุดท้ายหนึ่งเดียวกัน คือ นิโรธ ความดับเย็นเสียซึ่งเหตุทุกข์ แล้วได้รับนิพพานเป็นผลสุดท้าย


เนื้อหาข้างบนเป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้แล้วอวดรู้ ด้วยการเอาบัญญัติมาละเลง
จนธรรมไม่เป็นพระธรรม ดูแล้วเป็นเหมือนคำพูดของคนปัญญาอ่อน............

ไม่รู้เรื่องก็อย่ามั่ว ผู้รู้เขาอ่านแล้วเวียนหัว


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2013, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ในกระทู้นี้พยายามจะนำสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถสงบ สยบนิวรณ์ 5 ได้อย่างรวดเร็ว อันจะเป็นอุปสรรคในการต่อยอดไปเจริญปัญญาวิปัสสนาภาวนา มานำเสนอเป็นแนวทางให้ผู้ที่กำลังเจริญเดินไปบนเส้นทางแห่งมรรค 8 ทั้งหลาย ได้ข้อคิดสะกิดใจ ได้เครื่องมือช่วยเสริมประสิทธิภาพการภาวนา

แต่ก็ถูกโฮฮับมาชักใบให้เรือออกนอกลู่นอกทางไปมากและนานพอสมควรแล้ว

มากพอแล้วความเห็นของโฮฮับ ต่อจากนี้ไปควรทำความสงบอกสงบใจ ขันติ อดทนต่อถ้อยคำ สำรวมกิริยาวาจา ตั้งหน้าพิจารณาข้อธรรมที่จะแสดงต่อไปด้วยใจเคารพ เพื่อจะให้เกิดประโยชน์กับหมู่ชนทุกฝ่าย นะโฮฮับนะ.....ทำตัวเป็นเด็กดีเสียบ้างนะ อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ขวางโลก ขวางธรรมอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ต่อไปอีก บาปกรรมมันจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆจนแผ่นดินนี้รองรับไว้ไม่ไหวนะ ดูตัวอย่างพระเทวทัตนั่นให้ดีๆ:


ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย ปากก็บอกว่า อย่ายึดปริยัติ แต่ตัวเองกำลังเอาปริยัติมาพูดอย่างไม่รู้ตัว
และด้วยความไม่รู้ เลยทำให้ปริยัตินั้นผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง :b13:


โพสต์ เมื่อ: 16 ธ.ค. 2013, 11:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ในกระทู้นี้พยายามจะนำสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถสงบ สยบนิวรณ์ 5 ได้อย่างรวดเร็ว อันจะเป็นอุปสรรคในการต่อยอดไปเจริญปัญญาวิปัสสนาภาวนา มานำเสนอเป็นแนวทางให้ผู้ที่กำลังเจริญเดินไปบนเส้นทางแห่งมรรค 8 ทั้งหลาย ได้ข้อคิดสะกิดใจ ได้เครื่องมือช่วยเสริมประสิทธิภาพการภาวนา

แต่ก็ถูกโฮฮับมาชักใบให้เรือออกนอกลู่นอกทางไปมากและนานพอสมควรแล้ว

มากพอแล้วความเห็นของโฮฮับ ต่อจากนี้ไปควรทำความสงบอกสงบใจ ขันติ อดทนต่อถ้อยคำ สำรวมกิริยาวาจา ตั้งหน้าพิจารณาข้อธรรมที่จะแสดงต่อไปด้วยใจเคารพ เพื่อจะให้เกิดประโยชน์กับหมู่ชนทุกฝ่าย นะโฮฮับนะ.....ทำตัวเป็นเด็กดีเสียบ้างนะ อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ขวางโลก ขวางธรรมอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ต่อไปอีก บาปกรรมมันจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆจนแผ่นดินนี้รองรับไว้ไม่ไหวนะ ดูตัวอย่างพระเทวทัตนั่นให้ดีๆ:


ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย ปากก็บอกว่า อย่ายึดปริยัติ แต่ตัวเองกำลังเอาปริยัติมาพูดอย่างไม่รู้ตัว
และด้วยความไม่รู้ เลยทำให้ปริยัตินั้นผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง :b13:

Onion_L
ใครเขาไปบอกกันว่าอย่ายึดปริยัติ ฝึกใช้สติปัญญาดูและสังเกตพิจารณาให้ดีๆ

หัวข้อกระทู้นี้เขาบอกชัดเจนว่า "ปริยัติที่มากมายก็ไร้ค่า เมื่อนำมาปฏิบัติกายใจให้ปลอดจากนิวรณ์ธรรมไม่ได้ภายในครึ่งชั่วโมง"

อย่างที่โฮฮับกำลังเป็นอยู่ทุกวันนี่แหละ "ฟุ้งในปริยัติเสียจนปฏิบัติไม่ได้" แถมยังเอาปริยัติไปอ้างสนับสนุนความเห็นผิดของตนเองไปทับถมผู้อื่น

ปริยัตินั้นคนฉลาดเขาไม่ยึดแน่นไว้หรอก เขาเอามาใช้เป็นเครื่องมือทำงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างชาญฉลาดและแยบคาย ไม่ใช่ยึดแน่นจนเจียนตาย จนใครแตะต้องไม่ได้อย่างที่โฮฮับเป็น

การสนทนาพูดคุยกันมันต้องใช้ปริยัติเป็นของธรรมดา แต่เวลาลงมือปฏิบัติจริง ต้องเอาปริยัติและทฤษฎีทั้งหลายกองทิ้งไว้ข้างนอก เอาสติปัญญา สมาธิ ศีล ร่วมมือกัน มองและสังเกตเข้าไปข้างใน หยุดความคิดนึกไว้ชั่วครู่ จึงจะได้รู้ได้เห็นธรรมตามความเป็นจริง รู้ด้วยใจในทุกสิ่งแล้วจึงค่อยมาคิดวิตกวิจารณ์บรรรยายธรรมออกมาเป็นบัญญัติ ปริยัติ ภาษามนุษย์.......นี่เป็นขั้นตอนตามธรรม

:b34: :b34: :b34:
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 16 ธ.ค. 2013, 12:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นแหละคือ การเจริญวิปัสสนาภาวนา อันเป็นชื่อย่อของการเจริญมรรค 8
เป็นเรื่องเดียวอันเดียวกัน ไม่ใช่คนละเรื่องอย่างที่โฮฮับเข้าใจผิดอยู่


พูดส่งเดช การเจริญวิปัสสนา มันมีด้วยหรือ วิปัสสนามันเป็นการปฏิบัติ...
ท่านเรียกว่า...การเจริญสติ ผลของการเจริญสติ ก็คือปัญญาไตรลักษณ์

ส่วนอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นเพียงองค์ธรรมในโพธิปักขิยธรรม

หลักการปฏิบัติในโพธิปักขิยธรรม จะต้องอาศัยหลักของการพิจารณาธรรม
นั้นหมายความว่า.....จะต้องใช้ความคิด มาพิจารณาองค์โพธิปักขิยธรรม

ความคิดที่ว่า ไม่ใช่ความคิดแบบปุถุชน มันเป็นความคิดทีประกอบด้วยปัญญาไตรลักษณ์
โดยรวมแล้วสิ่งที่เป็นตัวปฏิบัติในโพธิปักขิยธรรมก็คือ....

วิริยะ....ศรัทธา...สติ...ปัญญา...สมาธิ


asoka เขียน:

มรรค 8 สรุปลงมาแล้วก็คือการเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ (สติ) ควบคู่กันไปอย่างได้สัดส่วน

โพธิปักขิยธรรมก็คือ การเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ (สติ) ควบคู่กันไปอย่างได้สัดส่วน

วิปัสสนาภาวนา ก็คือ การเจริญ ปัญญา ศีล สมาธิ (สติ) ควบคู่กันไปอย่างได้สัดส่วน

เพื่อจุดมุ่งหมายสุดท้ายหนึ่งเดียวกัน คือ นิโรธ ความดับเย็นเสียซึ่งเหตุทุกข์ แล้วได้รับนิพพานเป็นผลสุดท้าย


เนื้อหาข้างบนเป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้แล้วอวดรู้ ด้วยการเอาบัญญัติมาละเลง
จนธรรมไม่เป็นพระธรรม ดูแล้วเป็นเหมือนคำพูดของคนปัญญาอ่อน............

ไม่รู้เรื่องก็อย่ามั่ว ผู้รู้เขาอ่านแล้วเวียนหัว

Onion_L
ใครมั่วและทำให้ผู้อ่านเวียนหัวกันแน่โฮฮับ ตรองดูให้ดีๆ
:b3:

อ้างคำพูด:
โดยรวมแล้วสิ่งที่เป็นตัวปฏิบัติในโพธิปักขิยธรรมก็คือ....

วิริยะ....ศรัทธา...สติ...ปัญญา...สมาธิ


ทั้ง 5 อย่างที่โฮฮับอ้างมานี้ มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อยู่ในหมมวดของอินทรีย์ 5 และ พละ 5

ภาพรวมของโพธิปักขิยธรรม คือการเจริญ ปัญญามมรรค ศีลมรรคและสมาธิมรรค อันเป็นองค์ของมรรค 8 นั้นเอง ปุถุชนกัลยาณชนทั้งหลายก็รู้ได้ เอามาประพฤติปฏิบัติได้ไม่เหลือวิสัย

อย่างที่โฮฮับยกมาลองวิเคราะห์ดูให้ดีสิ

วิริยะ...อยู่ในสมาธิมรรค คือตัว สัมมาวายามะ

ศรัทธา....อยู่ในปัญญามรรค ที่เกิดจากการได้ยินได้ฟังได้ศึกษาข้อธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า คิดไตร่ตรองพิจารณาตามแล้วเห็นจริงอย่างซาบซึ้งจึงเกิดศรัทธา

สติ....อยู่ในสมาธิมรรค อันได้แก่สัมมาสติ...สัมมาสติ

คือสติที่ไปเจริญสติปัฏฐาน 4 อยู่นั่นแหละคือสัมมาสติ

สติที่รู้ทันปัจจุบัน...ระลึกได้...ไม่ลืม...ที่จะควบคุมกายใจให้เดินอยู่ในเส้นทางแห่งอริยสัจ 4 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการ นั่นแหละคือ สัมมาสติ ....

สติที่ได้รับการอบรมอบร่ำมาด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน นั่นแหละคือ สัมมาสติ

สมาธิ....คือความตั้งมั่นของจิตต่องานเจริญวิปัสสนาภาวนาหรือเจริญมรรค 8 หรือเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการ นั่นแหละคือสัมมาสมาธิ

สมาธิ คือความที่จิตสงบจากนิวรณ์ธรรมไปชั่วครู่ชั่วยามด้วยอำนาจสมถะภาวนา นั่นแหละคือสัมมาสมาธิ

สมาธิ คือความที่จิตเบาบาง หรือหมดจดจากนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาภาวนา นั่นแหละคือ สัมมาสมาธิ

ปัญญา....ในองค์แห่งปัญญามรรค คือ

สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบหรือเห็นถูกต้อง คือความเห็นตามอริยสัจทั้ง 4 เริ่มต้นจากถูกต้องโดยทฤษฎี มาจนกระทั่งเห็นถูกต้องโดยผลปฏิบัติ นั่นแหละคือ สัมมาทิฏฐิ

สัมมาทิฏฐิปัญญามรรค เวลาทำงานจริง เขาจะทำหน้าที่....ดู....เห็น.....รู้

สัมมาสังกัปปะปัญญามรรค ความดำริชอบ หรือคิดถูกต้อง คือคิดออกจากกาม ความพยาบาท ความเบียดเบียน
คิดจะอยู่อย่างเป็นกลางๆ เป็นอโหสิกรรมอยู่ตลอดเวลา

สัมมาสังกัปปะปัญญามรรค เวลาทำงานจริง เขาจะทำหน้าที่ ....สังเกต....พิจารณา ที่ ปัจจุบันอารมณ์

ตามวิเคราะและแยกแยะให้เห็นนี้ ก็เพื่อให้รู้ว่า โพธิปักขิยธรรมทุกข้อนั้นคือการเจริญมรรค มีองค์ 8 นั่นเอง

ไม่มีข้อไหนเลยที่อยู่นอกเหนือไปจากมรรคมีองค์ 8

โฮฮับก็ควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามธรรมดังที่ชี้แจงมานี้ด้วย จะได้ไม่มัวหลงทาง ยึดและแปลความหมายของปริยัติธรรมไปใช้ผิด มนุษย์มนา ผิดท่าผิดทาง แตกต่างจากทางอันเรียบง่ายที่พระบรมศาสดาทรงแนะนำสั่งสอนไว้

:b34: :b34: :b34:
:b38:
:b37:


โพสต์ เมื่อ: 16 ธ.ค. 2013, 12:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ทรงโปรด.jpg
ทรงโปรด.jpg [ 85.19 KiB | เปิดดู 2964 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ข้อความที่คาดสีแดงไว้ให้เห็นชัดนั้นนะ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจธรรมภาคปฏิบัติของโฮฮับ เพราะปฏิบัติน้อยหรือย่อหย่อนการปฏิบัติ


ตลกดี! พูดเองเออเอง จะบอกให้คนไม่ปฏิบัติจะรู้ในสิ่งที่เรียก
วิชชาและอวิชาได้ทะลุปุโปร่งแบบนี้หรือ
ตอนผมเริ่มปฏิบัติผมว่าคุณโสกะ ยังเผาป่าสงวนปลูกผักหญ้าอยู่เลยมั้ง :b32:

asoka เขียน:
โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการนั้นแหละคือ การเจริญวิปัสสนาภาวนา อันเป็นชื่อย่อของการเจริญมรรค 8


นี่ก็สุดแสนจะมั่ว จะบอกให้แล้วก็เอาไปสำเหนียกด้วย...

อริยมรรคมีองค์๘...............เป็นส่วนหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม

โพธิปักขิยธรรม.......มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นองค์แห่งการตรัสรู้

หลักการปฏิบัติในเรื่องวิปัสสนากับการปฏิบัติ ในโพธิปักแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ที่สำคัญพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสอนวิธีทำวิปัสสนา พระองค์สอนแต่เรื่องของโพธิปักฯ

หลักคำสอนเรื่องอริยมรรคมีองค์๘ หรือหลักของโพธิปักขิยธรรมนั้น
พระพุทธองค์เน้นสอน ผู้ที่มีปัญญามีดวงตาเห็นธรรมแล้วเท่านั้น
หรือสอนแต่ผู้ที่มีปัญญาไตรลักษณ์


หลักการทำวิปัสสนาฯ ผู้สอนหรือผู้แต่งก็คือ ท่านอนุรุทธาจารย์
ท่านอนุรุทธาจารย์ ท่านเน้นสอนปุถุชนในแง่การปฏิบัติให้เกิดปัญญาไตรลักษณ์
หรือการทำให้ปุถุชนข้ามโครตเป็นอริยชน

ในแง่การปฏิบัติที่แตกต่างกันก็คือ.......วิปัสสนากรรมฐาน จะไม่มีความคิดมาร่วมด้วย

แต่การปฏิบัติในโพธิปักขิยธรรม จะต้องใช้ความคิดมาพิจารณาธรรม
แต่ในความคิดนั้นจะต้องมีปัญญาไตรลักษณ์เป็นองค์ประกอบ
:b13:

Onion_L
ที่สาธยายมาทั้งหมดในท่อนนี้นั้น แสดงถึงความฟั่นเฟือนธรรมของโฮฮับออกมาอย่างแจ่มชัด

พระอนุรุธเถระ พุทธโกศาจารย์ ท่านมีเมตตาและกรุณาอันยิ่งใหญ่ได้นำเอาธรรมะคำสอนอันลึกซึ้งของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแจกแจงแสดงให้เห็นถึงความละเอียดลึกซึ้งของขั้นตอนแห่งญาณปัญญาอันเกิดจากธรรมะภาคปฏิบัติตามคำสอนของพระพระพุทธเจ้า คือการเจริญมรรค 8 ถ้าเดินมาถูกต้องจะเกิดผลเป็นญาณปัญญา 16 ขั้นตอนดังรจนามา

ไม่มีอะไรนอกเหนือคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเข้าไปถึงจุดหมายเดี่ยวกัน แต่อธิบายต่างกันในรายละเอียด
พระบรมศาสดาบอกไว้แค่ 9 ข้อ แต่พระพุทธโกศาจารย์กรุณาขยายรายละเอียดออกมาให้ครบเป็น 16 ข้อ

การสอนมรรค 8 ถ้าบอกว่าสอนเฉพาะผู้มีดวงตาเห็นธรรม โฮฮับก็กล่าวผิดสวนทางกับความเปนจริงที่พระับรมศาสดาทรงทำอยู่แล้ว เพราะวันปฐมเทศนาด้วยธัมมจักกัปปวัตนสูตร พระพุทธบิดาก็ทรงสอนแก่ปุถุชน กัลยาณชนคือปัญญจวัคคีย์ทั้ง 5 และทรงสอนแก่เทวดาและพรหมทั้งที่เป็นปุถุ และกัลลยาชน อีกนับโกฏินับอสงขัยให้บรรลุธรรมตาม มิใช่เป็นอริยชนผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมเท่านั้นอย่างที่โฮฮับเข้าใจผิดและเห็นผิด

เพิกถอนเสียเถอะนะความเห็นผิด ยึดผิด ที่ติดแน่นในใจมาหลายภพชาติของโฮฮับ

ชาตินี้เป็นชาติที่โฮฮับสมควรจะได้พ้นเวรพ้นกรรม ทำชีวิตมนุษย์ของตนเองให้คุ้มค่าแล้ว อย่าปล่อยให้ชวดเชยตกนรกหมกไหม้ไปตั้งต้นใหม่ด้วยบาปจากวจีกรรม มโนกรรมและกายกรรมอันหนักต่อไปอีกเลย

onion onion onion onion
โพสต์ เมื่อ: 16 ธ.ค. 2013, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ใครเขาไปบอกกันว่าอย่ายึดปริยัติ ฝึกใช้สติปัญญาดูและสังเกตพิจารณาให้ดีๆ

หัวข้อกระทู้นี้เขาบอกชัดเจนว่า "ปริยัติที่มากมายก็ไร้ค่า เมื่อนำมาปฏิบัติกายใจให้ปลอดจากนิวรณ์ธรรมไม่ได้ภายในครึ่งชั่วโมง"


โสกะยังไม่รู้ตัวอีกว่า โสกะไม่ได้มีความรู้ในปริยัติและไม่ได้มีความรู้ในการปฏิบัติ
พูดให้ชัดไปเลยว่า โสกะกำลังมั่วทั้งปริยัติและมั่วทั้งปฏิบัติ

โสกะเข้าใจผิดว่า วิปัสสนากรรมฐานกับโพธิปักขิยธรรม เป็นการปฏิบัติแนวเดียวกัน
ในความเป็นจริงมันเป็นคนล่ะอย่าง อีกทั้งผู้สอนก็เป็นคนล่ะท่านกัน

วิปัสสนากรรมฐานเป็นเรื่องของ.....พระอนุรุทธาจารย์

โพธิปักขิยธรรมเป็นของ......พระพุทธเจ้า


หลักของโพธิปักขิยธรรม จะต้องอาศัยปัญญาไตรลักษณ์ไปพิจารณาธรรม(คิด)
เพื่อละสังโยชน์ วางอุเบกขา

การพิจารณาธรรมนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยปริยัติ เพื่อเอาไว้เทียบเคียง
และนำทางในการปฏิบัติ


นี่คือหลักการปฏิบัติของอริยบุคคล เป็นการปฏิบัติ
เพื่ออริยมรรคมีองค์๘(มรรคสมังคี)


ส่วนการทำวิปัสสนากรรมฐาน มันเป็นคนล่ะเรื่อง
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นการปฏิบัติของ..ปุถุชน
หลักของวิปัสสนากรรมฐาน ท่านห้ามใช้ความคิด

เมื่อท่านห้ามใช้ความคิด เป็นอยู่เองเมื่อไม่ใช้ความคิดนิวรณ์ก็จะเข้าครอบงำ
จึงต้องอาศัยสมถกรรมฐานเข้าช่วย


ที่กล่าวมาข้างบน เป็นการอธิบายให้ฟังคร่าวๆ
แค่จะบอกให้รู้ว่าโสกะ กำลังเอาธรรม ที่มันเป็นคนล่ะเรื่องมามั่ว
ทำซ่ะพระธรรมของพระพุทธเจ้าและธรรมของพระอนุรุทธาจารย์
กลายเป็นแกงโฮ๊ะจับฉ่ายไปในบัดดล
:b32:


โพสต์ เมื่อ: 17 ธ.ค. 2013, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนของพระพุทธเจ้า

วิธีปฏิบัติ เพื่อบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ตามคำสอนพระพุทธเจ้า



อุปัชฌายสูตร


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า

เราทั้งหลายจักเป็นผู้คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย

เป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ

ประกอบความเพียร เป็นเครื่องตื่นอยู่ เห็นแจ้งกุศลธรรมทั้งหลาย

ประกอบการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งหลาย ทุกวัน ทุกคืน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 603&Z=1648




หมายเหตุ:

การเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งหลาย ได้แก่
ขณะที่ผัสสะเกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่างนานา

ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น(หยุดสร้างเหตุนอกตัว)
ชั่วขณะที่ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
เป็นเหตุให้ สภาวะโพธิปักขิยธรรม จึงเกิดขึ้น ชั่วขณะ

ประกอบการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งหลาย ทุกวัน ทุกคืน

การหยุดสร้างเหตุนอกตัวเนืองๆ เป็นการเจริญโพธิปักขิยธรรม



แท้กับเทียม

พระไตรปิฎกแท้ จะมีแการถ่ายทอดคำสอน ของพระพุทธเจ้า

พระไตรปิฎกเทียม หรือ สอดไส้ แอบอ้างเข้ามา
จะมีแต่คำสอนของ อรรกถาจารย์ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

ญาณ ๑

ญาณ ๒ http://84000.org/tipitaka/read/?31/94-98

ญาณ ๓ http://84000.org/tipitaka/read/?31/99-102

ญาณ ๔ http://84000.org/tipitaka/read/?31/103-111

ญาณ ๕ http://84000.org/tipitaka/read/?31/112-114

ญาณ ๖ - ๘ http://84000.org/tipitaka/read/?31/115-119

ญาณ ๙ ๑๒ http://84000.org/tipitaka/read/?31/120-135

ญาณ ๑๓ http://84000.org/tipitaka/read/?31/136-142

ญาณ ๑๔ http://84000.org/tipitaka/read/?31/143-147

ญาณ ๑๕ http://84000.org/tipitaka/read/?31/148-151

ญาณ ๑๖ http://84000.org/tipitaka/read/?31/152-159


เรื่อง ญาณ ๑๖ ทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้ว
เป็นความปกติของสภาวะ ของจิตเป็นสมาธิ ที่มีความรู้สึกตัว เกิดขึ้นร่วมด้วย

ไม่ใช่ความวิเศษอันใดเลย

เหตุของความไม่รู้ ขาดผู้แนะนำ ที่รู้ชัดในสภาวะ

เป็นเหตุให้ เกิดความหลง ในเรื่องราวของสิ่งที่เรียกว่า ญาณ ๑๖

ทั้งๆที่ เป็นความปกติของสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะจิตเป็นสมาธิ มีความรู้สึกตัว เกิดขึ้น ขณะนั้นๆอยู่

เมื่อไม่รู้ และมีเหตุปัจจัยร่วมกับผู้แนะนำ ซึ่งไม่รู้ชัดในสภาวะเช่นเดียวกัน
จึงกอดคอกันตาย(หลงสภาวะ) ทั้งผู้ให้คำแนะนำและผู้รับคำแนะนำ

สภาวะจึงไม่ก้าวหน้า จมแช่ ติดอยู่ในอุปกิเลส
ยึดติดในสิ่งที่เรียกว่า ญาณ ๑๖

ถ้ามาอ่านเจอแบบนี้ แล้วคิดว่า เรื่องญาณ ๑๖ นี้ มีอยู่ในพระไตรปิฎกจริง
ตายทันทีเลย(หลง) เพราะหลงคิดว่า เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

แท้จริงแล้ว เป็นคำสอนของ อรรถกถาจารย์

ที่นำคำสอนของพระพุทธเจ้า จับประยุคขึ้นมาใหม่
แล้วสอดไส้ลงไปในพระไตรปิฎก ทำเหมือนกับว่า เป็นพระไตรปิฎก

เป็นสัทธรรมปฏิรูป แบบสมบูรณ์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 17 ธ.ค. 2013, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเนียนของกิเลส


ชอบแช่ง



asoka เขียน:

นรกกินหัวโฮฮับเสียแล้ว ด้วยความอหังการ มนังการ ทำปรามาส ปราศจาก หิริโอตัปปะ




ชอบเหน็บแนม ทั้งๆที่ ไม่ใช่ตามความเป็นจริง

asoka เขียน:

โฮฮับหมดค่าแล้วในสายตาของผู้รู้ กู่อย่างไรคงไม่กลับเพราะหลงตัวตนและหลงทางดังนักพรตทั้งหลายยากไถ่ถอน




asoka เขียน:

มากพอแล้วความเห็นของโฮฮับ ต่อจากนี้ไปควรทำความสงบอกสงบใจ ขันติ อดทนต่อถ้อยคำ สำรวมกิริยาวาจา ตั้งหน้าพิจารณาข้อธรรมที่จะแสดงต่อไปด้วยใจเคารพ เพื่อจะให้เกิดประโยชน์กับหมู่ชนทุกฝ่าย นะโฮฮับนะ.....ทำตัวเป็นเด็กดีเสียบ้างนะ อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ขวางโลก ขวางธรรมอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ต่อไปอีก บาปกรรมมันจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆจนแผ่นดินนี้รองรับไว้ไม่ไหวนะ ดูตัวอย่างพระเทวทัตนั่นให้ดีๆ



พระพุทธเจ้า ทรงทำนายพระเทวทัติ ไว้ว่าอย่างไร ช่างไม่รู้อะไร ซะบ้างเลย

ไปพูดแบบนั้น อีกหน่อย คนจทำเลียนแบบพระเทวทัติมากขึ้น

เพราะอยากเป็นดังคำที่พระพุทธเจ้า ทรงทำนายพระเทวทัติไว้

หรือว่า อโสกะ คิดจะทำแบบนั้นอยู่ :b32:





ชอบข่มขู่ ทั้งๆที่ คำที่นำมาขู่นั้น ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

เรียกว่า มีสภาวะสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส เต็มตัว


asoka เขียน:

อย่ามัวงมโข่งอยู่กับตำรา และอัตตา มานะทิฏฐิ จนสำคัญผิดว่าตนเองรู้ถูกต้องมากกว่าพระเณร จนเกิดอหังการ มนังการ ลืมตัวลืมตน จนทำสังฆปรามาส...อริยุวาทตันตราย ทำลายโอกาสดีที่ได้เกิดมาเป็นคนของตนไปเสียสิ้น




พระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนไว้ว่า

ภิกษุทั้งหลาย ! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย
บุคคล บางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้น นำเขาไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว
กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย…

ภิกษุทั้งหลาย ! ใครกล่าวว่า
คนทำกรรม อย่างใดๆ ย่อมเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้นๆ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ไม่ปรากฏ

ส่วนใครกล่าวว่า

คนทำกรรม อันจะพึงให้ผล อย่างใดๆ
ย่อมเสวยผลของกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ย่อมปรากฏ.
ติก. อํ. ๒๐/๓๒๐/๕๔๐.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 17 ธ.ค. 2013, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ภาพรวมของโพธิปักขิยธรรม คือการเจริญ ปัญญามมรรค ศีลมรรคและสมาธิมรรค อันเป็นองค์ของมรรค 8 นั้นเอง ปุถุชนกัลยาณชนทั้งหลายก็รู้ได้ เอามาประพฤติปฏิบัติได้ไม่เหลือวิสัย


มันจะปฏิบัติอย่างไร ในเมื่อมันยังไม่มีปัญญา (ไตรลักษณ์)
การปฏิบัติในโพธิปักฯ จะต้องอาศัยปัญญาไตรลักษณ์
ไปวางอุเบกขาของธรรมที่พิจารณา การวางอุเบกขาจึงจะได้องค์อริยมรรคในแต่ล่ะองค์

asoka เขียน:
อย่างที่โฮฮับยกมาลองวิเคราะห์ดูให้ดีสิ

วิริยะ...อยู่ในสมาธิมรรค คือตัว สัมมาวายามะ


เลอะเทอะ วิริยะเป็นอาการของจิต เป็นสิ่งที่จิตใช้เพื่อให้เกิดความเพียรพยายาม
ในการพิจารรมธรรมเพื่อให้ถึงจุดหมาย นั้นก็คือ....มรรคสมังคี

asoka เขียน:
ศรัทธา....อยู่ในปัญญามรรค ที่เกิดจากการได้ยินได้ฟังได้ศึกษาข้อธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า คิดไตร่ตรองพิจารณาตามแล้วเห็นจริงอย่างซาบซึ้งจึงเกิดศรัทธา


เละเทะ ศรัทธาคืออาการของจิตที่เชื่อในธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็นจริง
ความเชื่่อที่ว่า ไม่ได้เกิดจากการอบรมสั่งสอน แต่เป็นความเชื่อที่เกิดจาก
การได้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงมาแล้ว สภาพธรรมที่ว่าก็คือ ปัญญา(ไตรลักษณ์)
asoka เขียน:
สติ....อยู่ในสมาธิมรรค อันได้แก่สัมมาสติ...สัมมาสติ

คือสติที่ไปเจริญสติปัฏฐาน 4 อยู่นั่นแหละคือสัมมาสติ
.


มั่ว สติเป็นอาการระลึกรู้ของจิต การระลึกรู้คือไประลึกรู้สภาพธรรมที่เรียกว่าไตรลักษณ์
เอาไตรลักษณ์มา ทำสติปัฏฐาน เพื่อละวางสังโยชน์

asoka เขียน:
[
สติที่รู้ทันปัจจุบัน...ระลึกได้...ไม่ลืม...ที่จะควบคุมกายใจให้เดินอยู่ในเส้นทางแห่งอริยสัจ 4 มรรค 8 โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการ นั่นแหละคือ สัมมาสติ ....


คนล่ะเรื่อง สติรู้ทันปัจจุบัน มันเป็นเพียงการเจริญสติ
หลักการเจริญสติ เป็นเพียงฝึกให้จิตมีสัมปชัญญะและสมาธิ
มันเป็นแนวทางให้เกิดปัญญาไตรลักษณ์


ยังไม่จบ แต่จะบอกไว้ว่า สัมมาวิริยะหรือสัมมาสติ จะเกิดได้
มันต้องเป็นการวางอุเบกขาในธรรมที่พิจารณาเสียก่อน
นั้นก็หมายความว่า สัมมาวิริยะหรือสัมมาสติ เป็นผลของการปฏิบัติ
ไม่ใช่การปฏิบัติ ที่พูดมารวมถึงสัมมาตัวอื่นๆด้วย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร