วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 06:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 09:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




Prayim_resize.jpg
Prayim_resize.jpg [ 86.69 KiB | เปิดดู 4511 ครั้ง ]
walaiporn เขียน:
asoka เขียน:



แก้ไขก่อนนะครับ แล้วก็ตอบคำถามสั้นๆที่ถามให้ได้เสียก่อนนะครับ จึงค่อยสนทนากันต่อไป[/color]
:b8:





อ่านคราใด ฮ๊า ฮา หลงตัวเองชะมัด


ฉานจะตอบ หรือไม่ตอบ มานก็เรื่องของฉาน

ส่วนคุณจะสนทนากับฉานหรือไม่ ฉานไม่ใส่ใจหรอก


โอ๊ยยยยย ข้อยล่ะฮาจริงๆ :b32:

:b12:
"เพราะอัตตทิฏฐิ และ มานะทิฏฐิ ม...า...น ค....้า....ม....คอ ฉ...า....น อยู่" จึงตอบไม่ได้
พิสูจน์ธรรมง่ายๆ เรือ่งลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย และ สังขารุเปกขาญาณ
ม....่...า...ย เ...ป...น

ฉานก็เลยเปนฉานอยู่อย่างนี้ทุกวี่วัน อย่ามาฝันให้เปลี่ยนใจ ไปเชื่อคุณ
:b12: :b12: :b12: :b12:
:b36: :b37: :b38:

โฉลกธรรม
เพราะไม่รู้ จึงอยู่เช่น วัวควาย
กิน ขี้ สี่ นอน ไป เท่านี้
โกรธ โลภ หลง เต็มกาย ทั่วถ้วน
วนว่ายวัฏฏ์สุดลี้ ตราบชั่ว กัปกัลป์
จนกุศลส่งได้ เป็นคน
พบพุทธธรรมช่วยดล จิตให้
พลิกรู้สัจจ์ในตน จบแจ้ง
จึ่งจักอาจพ้นได้ ข่ายทุกข์ สงสาร

จงดูอริยสัจจ ๔ พิจรณ์ให้ดีอย่าข้าม เพียรสอบถามผู้รู้ ทางออกสู่เสรี มีอยู่แล้วในตน อย่าวกวนบัญญัติ อย่าผูกมัดสิ่งใด จงเป็นไทยทุกเมื่อ เชื่อคำพระชินวร คำสอนท่านสุดง่าย เฝ้ารู้กายและจิต อย่างพินิจ พิจารณา ณ เพลาปัจจุ จักรู้ลุทั่วตัว ความเมามัวจักหาย หลักใหญ่คืออัตตา อย่าให้มาเข้าร่วม ทิ้งความเห็นเป็นตน กมลมั่นกับธรรม ที่เกิดตามยถา ซึ่งบัญชาไม่ได้ ไร้ศัพท์ใดบัญญัติ จึ่งจักอาจเห็นจริง ตัดทิ้งซึ่งตัวข้า โคนเหง้าแห่งอวิชชา ขาดสิ้น สู่มรรค ผล นิพพาน

อโศกะ ๒๕๔๓
:b8:
:b27:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ตอบมาเสียยาวยืดเลยนะครับ แต่ก็ยังแสดงว่าโฮฮับไม่รู้จักหน้าที่ของสติอย่างครบถ้วนอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ

ทำตัวชวนหัวจริงๆ ก็อธิบายให้ฟัง ดันบอกว่าผม..ตอบมาเสียยาว
สู้อุตสาห์ไล่หาเหตุปัจจัยให้ฟัง เพราะเห็นว่าโสกะยังขาดซึ่งปัญญา ด้อยด้วยปริยัติ
ขื่นพูดสิ่งที่เป็นพุทธพจน์สั้นๆจะไม่เข้าใจ ผลมันก็มาอีหรอบเดิม ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

asoka เขียน:

ถามง่ายๆอีกสักข้อก่อน

คำว่า "ทัน" เนี้ยะ เข้าใจไหม ว่าสภาวธรรมจริงๆนั้นมันเป็นอย่างไร?

คุณเคยวิ่งแข่งกันกับเพื่อนๆไหม เวลาวิ่งตาม เป็นอย่างไร? .......เวลาวิ่งทัน เป็นอย่างไร?.....เวลาวิ่งแซงได้แล้วเป็นอย่างไร?


โสกะไม่รู้เรื่องขาดความเข้าใจแต่แรก แล้วยังมายกตัวอย่างให้ประเด็นยิ่งไกลออกไปอีก
ดันเอาบัญญัติที่มีความหมายแตกต่างจากสภาวธรรมมาเปรียบเทียบ

ถามหน่อยรู้จักผัสสะหรือเปล่า รู้จักการกระทบมั้ย เข้าใจกระบวนการขันธ์ห้าสักนิดมั้ย
จิตคืออะไร เจตสิกเป็นอย่างไร ถ้าไม่รู้ก็อย่าพยายามเลยโสกะ

ผมรู้สึกเวทนาโสกะ อย่าหาว่าผมดูถูกเลยน่ะครับ ไม่รู้ว่าคุณเรียนจบอะไรครับ
ทำไมหลักการใช้ภาษาหรือแม้แต่การเข้าใจภาษาคุณไม่ได้มีเอาเลยครับ

การยกตัวอย่างอะไรขึ้นมา คุณต้องกำหนดลงไปด้วยว่า อะไรเป็นอะไร
ไม่ใช่พูดขึ้นมาลออยว่า วิ่งแข่ง วิ่งตาม วิ่งทัน วิ่งแซง.....เลอะเทอะไปหมด

ผมจะเอาตัวอย่างที่คุณพูด มาพูดในทางที่ถูกให้ฟังน่ะ.......
[b]ยกตัวอย่าง เราวิ่งแข่งกับเพื่อนมันต้องกำหนดก่อนว่า อะไรเป็นอะไร
เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงเราจินตนาการขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบ

กำหนดให้ตัวเราเป็นจิต เพื่อนเป็นผัสสะที่มากระทบทางทวาร
ถ้าเราเห็นเพื่อนวิ่งไม่ว่าจะอยู่ในระยะไหน นั้นหมายความว่า เราหรือจิตรู้ทัน
การเพื่อน แต่เมื่อเราละสายตาไปจากเพื่อน ไปมองคนบนอัฒจรรย์
แบบนี้เรียกว่า หลง จิตหรือเรากำลังเกิดโมหะ แต่เมื่อจิตหรือเรา
หวนกลับไปคิดถึงการวิ่งแข่งกับเพื่อน แบบนี้เรียกสติ และเมื่อจิตไปอยู่กับ
การมองเพื่อน นี้เรียกว่าจิตกลับมารู้ทันปัจจุบันเหมือนเดิม

สังเกตุให้ดีว่าสติเกิดที่มโนทวารเพียงอย่างเดียว
ทวารที่จิตรู้ปัจจุบันกับทวารที่จิตไประลึกรู้(สติ) มันเป็นคนล่ะทวารกัน สังเกตุง่ายๆแค่นี้


asoka เขียน:
ความรู้ผัสสะนั้น วิญญาณรู้ก่อนนั่นถูกแล้ว.......แต่ผู้ที่ตามมารู้ทันนั้นคือสติและปัญญาเป็นเจตสิกหรือเงาที่ซ้อนตามหลังเข้ามาทันทียังไม่มีเจตสิกตัวอื่นแทรก อย่างนี้แหละที่เรียกว่า "รู้ทันปัจจุบันอารมณ์" เป็นงานและหน้าที่ของสติโดยแท้.....


โสกะพูดแบบคนที่ไม่รู้ไม่เคยเห็นสภาวะธรรม ไม่รู้จักการเกิดของขันธ์
เหตุนี้เลยหยิบโน้นหยิบนี้มาพูด หาสาระในธรรมไม่ได้ เหมือนคนเอาบัญญัติมาจินตนาเอาเอง

สติกับปัญญา เป็นเจตสิก มันเกิดเองไม่ได้ จะต้องมีเหตุปัจจัยให้มันเกิด
ซึ่งเหตุปัจจัยของสติและปัญญาก็คือ ผัสสะ
การจะเกิดสติหรือปัญญาในแต่ล่ะครั้ง จะต้องมีผัสสะเกิดนำก่อนทุกครั้ง
สติหรือปัญญาจะเกิดโดยไม่มีผัสสะไม่ได้[/b]

ซึ่งสติและปัญญาจะเกิดได้ จะต้องเป็นเรื่องของจิต
ไปรู้ทันมโนทวาร ดังนั้นกระบวนการขันธ์ห้าหรือจะเป็นเจตสิก
ทุกอย่างล้วนเกิดจากการกระทำของจิต สติหรือปัญญาเป็นเพียงอาการที่มีจิตเป็นเหตุปัจจัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
asoka เขียน:



แก้ไขก่อนนะครับ แล้วก็ตอบคำถามสั้นๆที่ถามให้ได้เสียก่อนนะครับ จึงค่อยสนทนากันต่อไป[/color]
:b8:





อ่านคราใด ฮ๊า ฮา หลงตัวเองชะมัด


ฉานจะตอบ หรือไม่ตอบ มานก็เรื่องของฉาน

ส่วนคุณจะสนทนากับฉานหรือไม่ ฉานไม่ใส่ใจหรอก


โอ๊ยยยยย ข้อยล่ะฮาจริงๆ :b32:

:b12:
"เพราะอัตตทิฏฐิ และ มานะทิฏฐิ ม...า...น ค....้า....ม....คอ ฉ...า....น อยู่" จึงตอบไม่ได้
พิสูจน์ธรรมง่ายๆ เรือ่งลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย และ สังขารุเปกขาญาณ
ม....่...า...ย เ...ป...น

ฉานก็เลยเปนฉานอยู่อย่างนี้ทุกวี่วัน อย่ามาฝันให้เปลี่ยนใจ ไปเชื่อคุณ




ตัวหนังสือ สื่อคำพูด ตรงไหนหนอ ที่วลัยพร แสดงอาการออกแบบนั้น "อย่ามาฝันให้เปลี่ยนใจ ไปเชื่อคุณ

"เรื่องลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย และ สังขารุเปกขาญาณ"
ก็เป็นความหลงยึดติด ในสภาวะที่เกิดขึ้น
ก็เลยหยุดอยู่ที่ ลูบคลำแค่อาการหัวใจเต้น




แล้วตกลง ที่คุณนำมาสนทนามาเรื่อย จุดประสงค์แท้จริง มีเพียงแค่เรื่องนี้เองหรือ?
"ให้เปลี่ยนใจ ไปเชื่อคุณ"

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ ความความยึดมั่นถือมั่น ที่คุณยึดติดอย่างหนาแน่น

เพราะไม่รู้ชัดในเหตุปัจจัย ของเรื่องเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน
จึงทำให้ การสนทนากลับกลายเป็นแบบนั้นไป "มุ่งพูดให้คนอื่นเชื่อตน"



asoka เขียน:
โฉลกธรรม
เพราะไม่รู้ จึงอยู่เช่น วัวควาย
กิน ขี้ สี่ นอน ไป เท่านี้
โกรธ โลภ หลง เต็มกาย ทั่วถ้วน
วนว่ายวัฏฏ์สุดลี้ ตราบชั่ว กัปกัลป์
จนกุศลส่งได้ เป็นคน
พบพุทธธรรมช่วยดล จิตให้
พลิกรู้สัจจ์ในตน จบแจ้ง
จึ่งจักอาจพ้นได้ ข่ายทุกข์ สงสาร





หนึ่งนิ้วชี้ออก นอกตัว

สี่นิ้วที่เหลือ :b12:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ถามอีกหน่อยว่า...วิญญาณนั้นนะ ไปรู้นามขันธ์เช่นเดียวกับมันอีก 3 ขันธ์หรือเปล่า คือ เวทนา สัญญา สังขาร


วิญญานคือจิตผู้รู้ นั้นก็คือ......จิต
เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเพียง.......เจตสิก

การจะรู้ เวทนา สัญญา สังขารได้ จะต้องอาศัยจิตหรือวิญญานไปรู้
เวทนา สัญญา สังขาร เกิดตามเหตุปัจจัย เมื่อเกิดแล้วก็ดับ
ปุถุชนไม่สามารถรู้ได้ เพราะมีอวิชามาบดบังอยู่

อริยชนสามารถรู้เจตสิกเหล่านี้ได้ ด้วยความเป็นวิชชา
เอาปัญญาไตรลักษณ์มาพิจารณาหาเหตุปัจจัย

ที่พูดแบบนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ปุถุชนไม่สามารถปฏิบัติในเรื่องอริยมรรคมีองค์๘ได้
โสกะหยิบยกมามั่วๆ


asoka เขียน:

ถ้ารู้ทันปัจจุบันไม่มี ที่คุณเดินไปมาขับรถเลี่ยวขวาซ้ายหรือตรงไปได้ไม่ชนใครนี่ เป็นวิญญาณหรือที่ควบคุมสั่งการให้ไม่ชนใคร

หรือเป็นสติกันแน่ ที่เห็นรถ หรือคนข้างหน้าสวนมา แล้วสติก็สั่งการให้กายหลบหลีก คุณเอาวิญญาณไปสั่งหรือ
ระวังจะเหลือแต่วิญญาณนะถ้าใช้สติไม่เป็น


การขับรถจะต้องอาศัยหลักของการกำหนดรู้มาก่อน นั้นก็คือการรู้วิธีขับรถให้ถูกต้อง
เมื่อถึงเวลาเลี้ยว จิตก็สั่งให้เลี้ยว แต่บ้างครั้งถึงเวลาเลี้ยวแล้วเราไม่เลี้ยว เพราะว่าจิตกำลังหลง
เหตุนี้จึงต้องอาศัยสติไประลึกถึงอดีตว่า เมื่อกี้ถึงเวลาเลี้ยวแล้วเราไม่เลียว
เมื่อรู้แล้วก็ให้กลับไปที่เดิมเพื่อเลี้ยว

การกำหนดรู้แล้วเรานำมาใช้ การกำหนดรู้นั้นจะเป็นมโนผัสสะ
จิตจะรู้ตามไปกับมโนผัสสะนั้น ไม่ใช่รู้ตามสติ สติจะเกิดเมื่อเราลืมสิ่งที่ไปกำหนดรู้ไว้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เพราะใช้สติไม่เป็นไม่ถูกต้องอย่างนี้ คุณโฮฮับจะปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาไปให้ก้าวหน้าไม่ได้ เพราะไม่รู้จักการสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์.....รู้แต่พิจารณา อดีต อนาคต จึงคงยังต้องฟุ้งอยู่ในบัญญัติ ปริยัติอย่างเช่นทุกวันนี้

ไม่เห็นอาการป่วยของตนเองหรือ ที่จะวิตกวิจารณ์อะไร ก็ต้องอธิบายยาวๆ ยกตัวอย่างมามากมายล้วนแล้วแต่คัดลอกในคัมภีร์มาอ้างมาตอบ พิมพ์เสียจนเมื่อยมือเมื่อยตาทุกวัน

พูดสั้นๆแต่ได้ใจความเป็นไหม? บัณฑิตนั่นเขาทำให้ยาวเป็นสั้น มากเป็นน้อย ยากเป็นง่าย เอาสิ่งที่อยู่ในกายในใจ หรือใกล้ตัวใกล้มือมาแสดงเป็นธรรมะได้หมด อุปมาอุปมัยกับอะไรก็ได้ที่ใกล้ตัว ไม่ต้องคอยไปค้นพระสูตร พระธรรม พระวินัย ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์มาตอบ

พระธรรมทั้งหมดนั้นเขาศึกษาแล้วก็จับประเด็น สรุปขั้นตอนวิธีการ จนได้หลักการและหัวใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามาไว้ใช้เป็นคู่มือ หลักยึด ประพฤติปฏิบัติแล้วลงมือทำ พิสูจน์ทำเลย ไม่มัวแต่ไปท่องอยู่ในคัมภีร์เอาแต่ความรู้ในคัมภีร์ มาแสดง สนทนา โต้ตอบอวดภูมิรู้ของตนเอง

คัมภีร์เล่มที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบนี่ อ่านจบหรือยัง เอามาใช้ประโยชน์เป็นหรือเปล่า โฮฮับ

:

เลอะไปใหญ่แล้ว มันเป็นตัวเองขาดซึ่งสติและสมาธิ ไม่สามารถอ่านข้อความยาวๆได้
ดันมาว่าคนอื่น.....โสกะเคยได้ยินคำที่เขาประชดคนโง่มั้ยว่า...อ่านอะไรได้ไม่เกิน๓บรรทัด :b32:

ถามจริงคุณเลอะเลื่อนอะไรหรือเปล่า เป็นอัลไซเมอร์ใช่มั้ย
ทำไมชอบแถกแถไปเรื่อย อ้างอะไรก็ไม่รู้ ตะบี้ตะบันอ้าง ไม่รู้ก็บอกไม่รู้
ยังน่าไม่อายดูถูกพระธรรมคัมภีร์

ทุกเรื่องที่คุณอวดอ้าง คนอื่นเขาก็เอาเหตุผลมาโต้แย้งแล้ว
แต่เป็นเพราะทิฐิที่หนายิ่งกว่าเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ ทำให้คุณไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจ
กับสิ่งที่เขาบอก.......ถึงว่า อ่านอะไรไม่เกิน๓บรรทัด


การอ้างเรื่องการปฏิบัติของคุณก็เช่นกัน ขนาดเด็กรุ่นหลังอย่างน้องคิงคอง
ยังเอาเรื่องการปฏิบัติมาโต้แย้งคุณได้ คุณเคยเอามาสำเหนียกมั้ย
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
asoka เขียน:



แก้ไขก่อนนะครับ แล้วก็ตอบคำถามสั้นๆที่ถามให้ได้เสียก่อนนะครับ จึงค่อยสนทนากันต่อไป[/color]
:b8:





อ่านคราใด ฮ๊า ฮา หลงตัวเองชะมัด


ฉานจะตอบ หรือไม่ตอบ มานก็เรื่องของฉาน

ส่วนคุณจะสนทนากับฉานหรือไม่ ฉานไม่ใส่ใจหรอก


โอ๊ยยยยย ข้อยล่ะฮาจริงๆ :b32:

:b12:
"เพราะอัตตทิฏฐิ และ มานะทิฏฐิ ม...า...น ค....้า....ม....คอ ฉ...า....น อยู่" จึงตอบไม่ได้
พิสูจน์ธรรมง่ายๆ เรือ่งลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย และ สังขารุเปกขาญาณ
ม....่...า...ย เ...ป...น

ฉานก็เลยเปนฉานอยู่อย่างนี้ทุกวี่วัน อย่ามาฝันให้เปลี่ยนใจ ไปเชื่อคุณ
:b12: :b12: :b12: :b12:
:b36: :b37: :b38:

โฉลกธรรม
เพราะไม่รู้ จึงอยู่เช่น วัวควาย
กิน ขี้ สี่ นอน ไป เท่านี้
โกรธ โลภ หลง เต็มกาย ทั่วถ้วน
วนว่ายวัฏฏ์สุดลี้ ตราบชั่ว กัปกัลป์
จนกุศลส่งได้ เป็นคน
พบพุทธธรรมช่วยดล จิตให้
พลิกรู้สัจจ์ในตน จบแจ้ง
จึ่งจักอาจพ้นได้ ข่ายทุกข์ สงสาร

จงดูอริยสัจจ ๔ พิจรณ์ให้ดีอย่าข้าม เพียรสอบถามผู้รู้ ทางออกสู่เสรี มีอยู่แล้วในตน อย่าวกวนบัญญัติ อย่าผูกมัดสิ่งใด จงเป็นไทยทุกเมื่อ เชื่อคำพระชินวร คำสอนท่านสุดง่าย เฝ้ารู้กายและจิต อย่างพินิจ พิจารณา ณ เพลาปัจจุ จักรู้ลุทั่วตัว ความเมามัวจักหาย หลักใหญ่คืออัตตา อย่าให้มาเข้าร่วม ทิ้งความเห็นเป็นตน กมลมั่นกับธรรม ที่เกิดตามยถา ซึ่งบัญชาไม่ได้ ไร้ศัพท์ใดบัญญัติ จึ่งจักอาจเห็นจริง ตัดทิ้งซึ่งตัวข้า โคนเหง้าแห่งอวิชชา ขาดสิ้น สู่มรรค ผล นิพพาน

อโศกะ ๒๕๔๓
:b8:
:b27:


เอาแล้วโสกะสติแตก อ้างบทกลอนด่าชาวบ้าน
พูดแล้วไม่เชื่อ การกระทำของโสกะ มันก็แค่เสแสร้งสร้างภาพ
แป้งที่ทาไว้หลุดออกก็เห็นแต่โรคเรื้อนเต็มตัวไปหมด :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
ที่โฮฮับพยายามจะอธิบายธรรมตามที่อ้างอิงมานี้ก็พอฟังได้บ้างเป็นบางส่วน

แต่มีที่มันทะแม่งๆ ผิดธรรมก็ดังเช่นข้อความที่คาดสีไว้

การปฏิบัติเพื่อให้เกิด ไตรลักษณ์

การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา นี่ทำให้เกิด ไตรลักษณ์ ใช่หรือ?

ไม่ใช่การทำให้สติปัญญาให้รู้เห็นไตรลักษณ์ หรือ รู้ธรรมตามความเป็นจริงหรือครับ

คุณใช้บัญญัติผิดธรรมไปหรือเปล่า โปรดแก้ไข


คุณงมโข่งแบบนี้ไง อธิบายมาตั้งยืดยาว หลายกระทู้แล้ว
ไอ้ที่บอกว่า สติปัญญาให้รู้ไตรลักษณ์ อยากถามหน่อย ปัญญาที่คุณพูดน่ะ
เอามาจากไหน ปัญญาไม่ใช่ความคิดความจำน่ะ

การได้เห็นธรรม....เน้นว่าเป็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง
สภาวธรรมนั้นแหล่ะคือ ปัญญา

ซึ่งปัญญานี้ ..ครูบาอาจารย์รุ่นหลังให้บัญญัติไว้ว่า ไตรลักษณ์(เอาไว้จะมาขยายความในส่วนนี้)

asoka เขียน:
s004

ผลจากการวางอุเบกขา จะทำให้เกิดมรรคสมังคีหรืออริยมรรคมีองค์๘[/color]

ผลจากการวางความยินดียินร้าย จึงเป็นเหตุให้เกิด อุเบกขา นี่พอฟังได้ เพราะเมื่ออุเบกขาได้ชำนาญจนเข้าถึง .."สังขารุเปกขาญาณ" ได้ จึงจะเป็นเหตุให้เกิด "มรรคสมังคี"


สังขารุเปกขาญาน เป็น๑ในวิปัสนาญาน๑๖ เป็นเพียงการปฏิบัติเพื่อ มรรคผลญาน
มรรคผลญานที่ว่าก็คือการก้าวข้ามจากปุถุชนเป็นอริยบุคคล

อุเบกขาในสังขารุเปกขาญานเป็นการวางแค่รูปนาม(ยังติดกิเลสสังโยชน์)
อุเบกขาในโพชฌงค์เป็นการวางสิ้นซึ่งธรรมทั้งมวล(ปราศจากกิเลสสังโยชน์)

asoka เขียน:
s004
อริยมรรคมีองค์ 8 นั้น เป็นทางดำเนินของปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชน มีการเรียงลำดับไว้ดี ว่า ปัญญา(มรรค)....ศีล(มรรค)....สมาธิ(มรรค)....พระบรมศาสดาทรงเอาปัญญามรรคขึ้นหน้าก่อน และทรงเน้นที่มรรคตัวที่ 1 คือ "สัมมาทิฏฐิปัญญามรรค เพราะถ้ามรรคข้อที่ 1 เป็นสัมมาเสียแล้ว มรรคตัวที่เหลือก็จะเป็นสัมมาตามกันหมด แต่ถ้ามรรคตัวที่ 1 ผิดแต่เริ่มต้น มรรคที่เหลืออีก 7 ข้อ ก็จะผิดตามกันหมด (อย่างเช่นที่โฮฮับกำลังเป็นอยู่ขณะนี้)


การปฏิบัติของปุถุชนเพื่ออริยชน ต้องใช้หลักของ...วิปัสสนาญาน๑๖

การปฏิบัติของอริชน ไม่ใช่การปฏิบัติที่ตัวองค์อริยมรรค๘
แต่อริยชนปฏิบัติเพื่อให้ได้อริยมรรคมีองค์ ตัวอย่างที่อริยชนปฏิบัติเพื่ออริยมรรคมีองค์๘
ก็ได้แก่.....สติปัฏฐาน๔....โพชฌงค์๗ ฯลฯ
asoka เขียน:
s004
การทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นนั้น ต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องปัญญา 3

1.สุตตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการฟังการศึกษา จะมาแก้ความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นความเห็นถูกต้อง สัมมาทิฏฐิ ก่อนเป็นเบื้องต้น นี่เรียกว่าเห็นถูกต้องโดยทฤษฎีก่อน

2.จินตมยปัญญา จะมาคิดพิจารณา วิจารณ์ วิจัย ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรื่องอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา นั้น เรื่องสัมมาทิฏฐิที่พระพุทธองค์ทรงสอนจนเห็นจริงเห็นจังเห็นถูกต้องด้วยความคิด เป็น เห็นถูกต้องระดับที่ 2 อันจะส่งให้ศรัทธามีพละกำลังมากจนน้อมนำไปสู่การทำให้เกิดปัญญาที่ 3 คือ

3.ภาวนามยปัญญา....ปัญญาที่เกิดจากการลงมือทำจริง พิสูจน์ธรรม คือลงมือเดินทางไปตามมัชฌิมาปฏิปทาอริยมรรคมีองค์ 8 โดยเอาปัญญานำหน้า สติเป็นผู้นำทางและคอยตามสนับสนุน โดยมีสมาธิและศีลมรรคทั้ง 3 ข้อ เป็นกองหนุน เป็นรากฐานรองรับไว้ไม่ให้ตกไปสู่ที่ต่ำ ไม่ให้แฉลบตกข้างทาง เดินไปกลางๆ จนถึงที่หมายคือ พระนิพพานอันเป็นบรมสุข

โพธิปักขิยะธรรมทั้ง 37 ประการนั้นคือหลักธรรม ประมวลธรรมที่สำคัญ ที่รู้แล้ว จำได้ เข้าใจความหมายอย่างละเอียดลึกซึ้ง ทุกข้อ แล้วนำมาลงมือประพฤติปฏิบัติ ทั้่งหมดนั้นแหละรวมเรียกว่าการเจริญมรรค 8 ชื่อย่อเรียกว่า การเจริญวิปัสสนาภาวนา

ย่อลงไปให้สั้นกว่านั้นเป็นเทคนิคปฏิบัติก็คือ

"ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิธรามนุพรูหเย"

แปลว่าอะไรโฮฮับผู้เชี่่ยวชาญในคัมภีร์ไปหาความหมายที่ถูกต้องลึกซึ้งเอาเองนะครับ


ในส่วนนี้ผมขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว ขนาดเอาพระไตรปิฎกมายัน ยังรั้นเถียง :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2013, 15:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
s004
ที่โฮฮับพยายามจะอธิบายธรรมตามที่อ้างอิงมานี้ก็พอฟังได้บ้างเป็นบางส่วน

แต่มีที่มันทะแม่งๆ ผิดธรรมก็ดังเช่นข้อความที่คาดสีไว้

การปฏิบัติเพื่อให้เกิด ไตรลักษณ์

การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา นี่ทำให้เกิด ไตรลักษณ์ ใช่หรือ?

ไม่ใช่การทำให้สติปัญญาให้รู้เห็นไตรลักษณ์ หรือ รู้ธรรมตามความเป็นจริงหรือครับ

คุณใช้บัญญัติผิดธรรมไปหรือเปล่า โปรดแก้ไข


คุณงมโข่งแบบนี้ไง อธิบายมาตั้งยืดยาว หลายกระทู้แล้ว
ไอ้ที่บอกว่า สติปัญญาให้รู้ไตรลักษณ์ อยากถามหน่อย ปัญญาที่คุณพูดน่ะ
เอามาจากไหน ปัญญาไม่ใช่ความคิดความจำน่ะ

การได้เห็นธรรม....เน้นว่าเป็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง
สภาวธรรมนั้นแหล่ะคือ ปัญญา

ซึ่งปัญญานี้ ..ครูบาอาจารย์รุ่นหลังให้บัญญัติไว้ว่า ไตรลักษณ์(เอาไว้จะมาขยายความในส่วนนี้)

asoka เขียน:
s004

ผลจากการวางอุเบกขา จะทำให้เกิดมรรคสมังคีหรืออริยมรรคมีองค์๘[/color]

ผลจากการวางความยินดียินร้าย จึงเป็นเหตุให้เกิด อุเบกขา นี่พอฟังได้ เพราะเมื่ออุเบกขาได้ชำนาญจนเข้าถึง .."สังขารุเปกขาญาณ" ได้ จึงจะเป็นเหตุให้เกิด "มรรคสมังคี"


สังขารุเปกขาญาน เป็น๑ในวิปัสนาญาน๑๖ เป็นเพียงการปฏิบัติเพื่อ มรรคผลญาน
มรรคผลญานที่ว่าก็คือการก้าวข้ามจากปุถุชนเป็นอริยบุคคล

อุเบกขาในสังขารุเปกขาญานเป็นการวางแค่รูปนาม(ยังติดกิเลสสังโยชน์)
อุเบกขาในโพชฌงค์เป็นการวางสิ้นซึ่งธรรมทั้งมวล(ปราศจากกิเลสสังโยชน์)

asoka เขียน:
s004
อริยมรรคมีองค์ 8 นั้น เป็นทางดำเนินของปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชน มีการเรียงลำดับไว้ดี ว่า ปัญญา(มรรค)....ศีล(มรรค)....สมาธิ(มรรค)....พระบรมศาสดาทรงเอาปัญญามรรคขึ้นหน้าก่อน และทรงเน้นที่มรรคตัวที่ 1 คือ "สัมมาทิฏฐิปัญญามรรค เพราะถ้ามรรคข้อที่ 1 เป็นสัมมาเสียแล้ว มรรคตัวที่เหลือก็จะเป็นสัมมาตามกันหมด แต่ถ้ามรรคตัวที่ 1 ผิดแต่เริ่มต้น มรรคที่เหลืออีก 7 ข้อ ก็จะผิดตามกันหมด (อย่างเช่นที่โฮฮับกำลังเป็นอยู่ขณะนี้)


การปฏิบัติของปุถุชนเพื่ออริยชน ต้องใช้หลักของ...วิปัสสนาญาน๑๖

การปฏิบัติของอริชน ไม่ใช่การปฏิบัติที่ตัวองค์อริยมรรค๘
แต่อริยชนปฏิบัติเพื่อให้ได้อริยมรรคมีองค์ ตัวอย่างที่อริยชนปฏิบัติเพื่ออริยมรรคมีองค์๘
ก็ได้แก่.....สติปัฏฐาน๔....โพชฌงค์๗ ฯลฯ
asoka เขียน:
s004
การทำสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นนั้น ต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องปัญญา 3

1.สุตตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการฟังการศึกษา จะมาแก้ความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นความเห็นถูกต้อง สัมมาทิฏฐิ ก่อนเป็นเบื้องต้น นี่เรียกว่าเห็นถูกต้องโดยทฤษฎีก่อน

2.จินตมยปัญญา จะมาคิดพิจารณา วิจารณ์ วิจัย ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรื่องอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา นั้น เรื่องสัมมาทิฏฐิที่พระพุทธองค์ทรงสอนจนเห็นจริงเห็นจังเห็นถูกต้องด้วยความคิด เป็น เห็นถูกต้องระดับที่ 2 อันจะส่งให้ศรัทธามีพละกำลังมากจนน้อมนำไปสู่การทำให้เกิดปัญญาที่ 3 คือ

3.ภาวนามยปัญญา....ปัญญาที่เกิดจากการลงมือทำจริง พิสูจน์ธรรม คือลงมือเดินทางไปตามมัชฌิมาปฏิปทาอริยมรรคมีองค์ 8 โดยเอาปัญญานำหน้า สติเป็นผู้นำทางและคอยตามสนับสนุน โดยมีสมาธิและศีลมรรคทั้ง 3 ข้อ เป็นกองหนุน เป็นรากฐานรองรับไว้ไม่ให้ตกไปสู่ที่ต่ำ ไม่ให้แฉลบตกข้างทาง เดินไปกลางๆ จนถึงที่หมายคือ พระนิพพานอันเป็นบรมสุข

โพธิปักขิยะธรรมทั้ง 37 ประการนั้นคือหลักธรรม ประมวลธรรมที่สำคัญ ที่รู้แล้ว จำได้ เข้าใจความหมายอย่างละเอียดลึกซึ้ง ทุกข้อ แล้วนำมาลงมือประพฤติปฏิบัติ ทั้่งหมดนั้นแหละรวมเรียกว่าการเจริญมรรค 8 ชื่อย่อเรียกว่า การเจริญวิปัสสนาภาวนา

ย่อลงไปให้สั้นกว่านั้นเป็นเทคนิคปฏิบัติก็คือ

"ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิธรามนุพรูหเย"

แปลว่าอะไรโฮฮับผู้เชี่่ยวชาญในคัมภีร์ไปหาความหมายที่ถูกต้องลึกซึ้งเอาเองนะครับ


ในส่วนนี้ผมขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว ขนาดเอาพระไตรปิฎกมายัน ยังรั้นเถียง :b6:
โอฮับมีเมียใหม่ยัง :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2013, 17:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s005
อ้างคำพูด:
"เพราะอัตตทิฏฐิ และ มานะทิฏฐิ ม...า...น ค....้า....ม....คอ ฉ...า....น อยู่" จึงตอบไม่ได้
พิสูจน์ธรรมง่ายๆ เรือ่งลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย และ สังขารุเปกขาญาณ
ม....่...า...ย เ...ป...น

ฉานก็เลยเปนฉานอยู่อย่างนี้ทุกวี่วัน อย่ามาฝันให้เปลี่ยนใจ ไปเชื่อคุณ




ตัวหนังสือ สื่อคำพูด ตรงไหนหนอ ที่วลัยพร แสดงอาการออกแบบนั้น "อย่ามาฝันให้เปลี่ยนใจ ไปเชื่อคุณ

"เรื่องลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย และ สังขารุเปกขาญาณ"
ก็เป็นความหลงยึดติด ในสภาวะที่เกิดขึ้น
ก็เลยหยุดอยู่ที่ ลูบคลำแค่อาการหัวใจเต้น

:b12: :b12: :b12:
ก็เป็นความหลงยึดติด ในสภาวะที่เกิดขึ้น
:b13:
เชื่อไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะครับมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล ห้ามหรือบังคับกันไม่ได้ แต่ที่เขียนห้อยท้ายมานั้น กลอนมันพาไปเพราะประจวบเหมาะกับสถานะการณ์ สถานะจิตปัจจุบันพอดี

เรื่องลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกายนี่ ได้บอกไว้หลายครั้งหลายที่แล้วว่า เป็นเพียงเครื่องมือ ที่จะไปเสริมประสิทธิภาพของการเจริญวิปัสสนาภาวนา ยังหาใช่แก่นหรือสาระสำคัญที่ต้องไปยึดถืออะไร เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่จริต นิสัย สิ่งสร้างสมเดิมอำนวยให้มาใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เป็น 1 ขั้นตอนที่จะนำไปสู่สาระสำคัญของกระทู้นี้...โปรดเข้าใจด้วยนะครับทางเดินที่อโศกะเคยเดินไปมันยังไกลกว่านี้อีก ตั้ง 16 กิโลเมตร นี่เป็นเพียงเริ่มจะเข้ากิโลที่ 1 เท่านั้น อย่าเพิ่งด่วนตัดสินอะไร ยังมีสวนอุทธยานดอกไม้ข้างทางที่สวยงามอีกหลายสวนให้หย่อนใจวิตกวิจารณ์ ตลอดระยะทางสู่เป้าหมายของชาวพุทธทั้งหมดนะครับ โปรดอดใจ ติดตามดูต่อไปถ้ามีเวลาพอครับ
:b38:
:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2013, 18:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool :b13: :b13:
เริ่มขี้เกียจเถียงแล้วหรือครับ อาการคล้ายๆนิพพิทาญาณในญาณ 16 เลย แต่ไม่เหมือนกันเพราะนี่เกิดด้วย อนิษฐารมณ์ แต่โน่นเกิดด้วยสติ ปัญญาพบเห็นความจริง

ดีๆๆ ดีมาก กระทู้นี้ก็จะได้สงบร่มเย็นเสียที แต่น่าเสียดายเรตติ้งที่พรวดขึ้นมาเร็วมากจะแผ่วไปถ้าขาดโฮฮับนะครับ

:b4: :b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2013, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เรื่องลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกายนี่ ได้บอกไว้หลายครั้งหลายที่แล้วว่า เป็นเพียงเครื่องมือ ที่จะไปเสริมประสิทธิภาพของการเจริญวิปัสสนาภาวนา ยังหาใช่แก่นหรือสาระสำคัญที่ต้องไปยึดถืออะไร เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่จริต นิสัย สิ่งสร้างสมเดิมอำนวยให้มาใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เป็น 1 ขั้นตอนที่จะนำไปสู่สาระสำคัญของกระทู้นี้...โปรดเข้าใจด้วยนะครับทางเดินที่อโศกะเคยเดินไปมันยังไกลกว่านี้อีก ตั้ง 16 กิโลเมตร นี่เป็นเพียงเริ่มจะเข้ากิโลที่ 1 เท่านั้น อย่าเพิ่งด่วนตัดสินอะไร ยังมีสวนอุทธยานดอกไม้ข้างทางที่สวยงามอีกหลายสวนให้หย่อนใจวิตกวิจารณ์ ตลอดระยะทางสู่เป้าหมายของชาวพุทธทั้งหมดนะครับ โปรดอดใจ ติดตามดูต่อไปถ้ามีเวลาพอครับ[/color]


จินตนาการไปเรื่อย ยังตะบี้ตะบันเถียงน้ำขุ่นๆ การรที่เราไปรู้สึกการเต้นของหัวใจ
มันเป็นเพราะเราเอากิเลสไปปรุงแต่ง จนเกิดเป็นระดับการเต้นของหัวใจ
การเต้นของหัวใจมันเป็นผลของกิเลส

ยังเถียงว่าเป็นเครื่องมือ ช่างสรรหาคำมาแก้ตัว แล้วดูคำที่เอามาใช้ซิ...

การเต้นของหัวใจ มันเป็นเครื่องมือ......ชวนหัวจริงๆ :b9:


โสกะเลิกโม้ได้แล้วครับ เดียวบทสรุปจะเป็นอย่าง พี่หื่นบิกทู่
ต้องหลบลี้หนีหน้าเปลี่ยนชื่อแซ่
พูดถึงเรื่องนี้ยังไม่ตอบผมเลยว่าโพสข้อความยังไม่ถึง๔๐๐๐โพส
ทำไมถึงเป็นระสูงสุดหรือผู้ทรงคุณวุฒิ
สงสัยไปขอทางบอร์ดเปลี่ยนแค่ยูสเนมเพราะอาย แต่ยังงกจำนวนโพส
อัตตาเหนี่ยวแน่นจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 00:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ตอบมาเสียยาวยืดเลยนะครับ แต่ก็ยังแสดงว่าโฮฮับไม่รู้จักหน้าที่ของสติอย่างครบถ้วนอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ

ทำตัวชวนหัวจริงๆ ก็อธิบายให้ฟัง ดันบอกว่าผม..ตอบมาเสียยาว
สู้อุตสาห์ไล่หาเหตุปัจจัยให้ฟัง เพราะเห็นว่าโสกะยังขาดซึ่งปัญญา ด้อยด้วยปริยัติ
ขื่นพูดสิ่งที่เป็นพุทธพจน์สั้นๆจะไม่เข้าใจ ผลมันก็มาอีหรอบเดิม ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

asoka เขียน:

ถามง่ายๆอีกสักข้อก่อน

คำว่า "ทัน" เนี้ยะ เข้าใจไหม ว่าสภาวธรรมจริงๆนั้นมันเป็นอย่างไร?

คุณเคยวิ่งแข่งกันกับเพื่อนๆไหม เวลาวิ่งตาม เป็นอย่างไร? .......เวลาวิ่งทัน เป็นอย่างไร?.....เวลาวิ่งแซงได้แล้วเป็นอย่างไร?


โสกะไม่รู้เรื่องขาดความเข้าใจแต่แรก แล้วยังมายกตัวอย่างให้ประเด็นยิ่งไกลออกไปอีก
ดันเอาบัญญัติที่มีความหมายแตกต่างจากสภาวธรรมมาเปรียบเทียบ

ถามหน่อยรู้จักผัสสะหรือเปล่า รู้จักการกระทบมั้ย เข้าใจกระบวนการขันธ์ห้าสักนิดมั้ย
จิตคืออะไร เจตสิกเป็นอย่างไร ถ้าไม่รู้ก็อย่าพยายามเลยโสกะ

ผมรู้สึกเวทนาโสกะ อย่าหาว่าผมดูถูกเลยน่ะครับ ไม่รู้ว่าคุณเรียนจบอะไรครับ
ทำไมหลักการใช้ภาษาหรือแม้แต่การเข้าใจภาษาคุณไม่ได้มีเอาเลยครับ

การยกตัวอย่างอะไรขึ้นมา คุณต้องกำหนดลงไปด้วยว่า อะไรเป็นอะไร
ไม่ใช่พูดขึ้นมาลออยว่า วิ่งแข่ง วิ่งตาม วิ่งทัน วิ่งแซง.....เลอะเทอะไปหมด

ผมจะเอาตัวอย่างที่คุณพูด มาพูดในทางที่ถูกให้ฟังน่ะ.......
[b]ยกตัวอย่าง เราวิ่งแข่งกับเพื่อนมันต้องกำหนดก่อนว่า อะไรเป็นอะไร
เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงเราจินตนาการขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบ

กำหนดให้ตัวเราเป็นจิต เพื่อนเป็นผัสสะที่มากระทบทางทวาร
ถ้าเราเห็นเพื่อนวิ่งไม่ว่าจะอยู่ในระยะไหน นั้นหมายความว่า เราหรือจิตรู้ทัน
การเพื่อน แต่เมื่อเราละสายตาไปจากเพื่อน ไปมองคนบนอัฒจรรย์
แบบนี้เรียกว่า หลง จิตหรือเรากำลังเกิดโมหะ แต่เมื่อจิตหรือเรา
หวนกลับไปคิดถึงการวิ่งแข่งกับเพื่อน แบบนี้เรียกสติ และเมื่อจิตไปอยู่กับ
การมองเพื่อน นี้เรียกว่าจิตกลับมารู้ทันปัจจุบันเหมือนเดิม

สังเกตุให้ดีว่าสติเกิดที่มโนทวารเพียงอย่างเดียว
ทวารที่จิตรู้ปัจจุบันกับทวารที่จิตไประลึกรู้(สติ) มันเป็นคนล่ะทวารกัน สังเกตุง่ายๆแค่นี้


asoka เขียน:
ความรู้ผัสสะนั้น วิญญาณรู้ก่อนนั่นถูกแล้ว.......แต่ผู้ที่ตามมารู้ทันนั้นคือสติและปัญญาเป็นเจตสิกหรือเงาที่ซ้อนตามหลังเข้ามาทันทียังไม่มีเจตสิกตัวอื่นแทรก อย่างนี้แหละที่เรียกว่า "รู้ทันปัจจุบันอารมณ์" เป็นงานและหน้าที่ของสติโดยแท้.....


โสกะพูดแบบคนที่ไม่รู้ไม่เคยเห็นสภาวะธรรม ไม่รู้จักการเกิดของขันธ์
เหตุนี้เลยหยิบโน้นหยิบนี้มาพูด หาสาระในธรรมไม่ได้ เหมือนคนเอาบัญญัติมาจินตนาเอาเอง

สติกับปัญญา เป็นเจตสิก มันเกิดเองไม่ได้ จะต้องมีเหตุปัจจัยให้มันเกิด
ซึ่งเหตุปัจจัยของสติและปัญญาก็คือ ผัสสะ
การจะเกิดสติหรือปัญญาในแต่ล่ะครั้ง จะต้องมีผัสสะเกิดนำก่อนทุกครั้ง
สติหรือปัญญาจะเกิดโดยไม่มีผัสสะไม่ได้[/b]

ซึ่งสติและปัญญาจะเกิดได้ จะต้องเป็นเรื่องของจิต
ไปรู้ทันมโนทวาร ดังนั้นกระบวนการขันธ์ห้าหรือจะเป็นเจตสิก
ทุกอย่างล้วนเกิดจากการกระทำของจิต สติหรือปัญญาเป็นเพียงอาการที่มีจิตเป็นเหตุปัจจัย

:b7:
เป็นโฮฮับเองที่ไม่เข้าใจเรื่องการทำงานของจิตและเจตสิก

จิตเหมือนน้ำใสๆ เจตสิกเปรียบเหมือนสีต่างๆที่ไปย้อมน้ำจิต ให้เปลี่ยนไปเป็นสีต่างๆตามไป แต่การเปลี่ยนสีของน้ำจิตนั้นรวดเร็วมาก ใน 1 วินาที น้ำจิตเกิดดับเปลี่ยนไปเป็นสีต่างๆได้ตั้งหลายล้านดวง มีคำสอนในสำนักหนึ่งท่านยกตัวอย่างมาเทียบให้ฟังเป็นเชิงวิทยาศาสตร์ว่า ใน 1 วินาที จิตเกิดดับเป็นจำนวนเท่ากับ 1 เติมด้วยเลข 0 ....22ตัว ครั้ง

เพราะฉนั้นการที่จิตเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ต่างๆนั้นมันเร็วมาก จิตใม่ใช่ทำหน้าที่แต่เป็น วิญญาณ การรู้สัมผัสแต่เพียงอย่างเดียว ตอนที่ถูกสตินทรีย์เจตสิกย้อม จิตก็ทำหน้าที่ของสติ ตอนที่ถูกปัญญินทรีย์เจตสิกย้อม จิตก็ทำหน้าที่ของปัญญาซึ่งยังแยกย่อยออกเป็น

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ

ทั้งหมดเป็นการทำงานของจิตไปตามเจตสิกที่ย้อม จึงเกิดเป็นการปรุงแต่ง(สังขาร)ขึ้นมา
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เป็นโฮฮับเองที่ไม่เข้าใจเรื่องการทำงานของจิตและเจตสิก

จิตเหมือนน้ำใสๆ เจตสิกเปรียบเหมือนสีต่างๆที่ไปย้อมน้ำจิต ให้เปลี่ยนไปเป็นสีต่างๆตามไป แต่การเปลี่ยนสีของน้ำจิตนั้นรวดเร็วมาก ใน 1 วินาที น้ำจิตเกิดดับเปลี่ยนไปเป็นสีต่างๆได้ตั้งหลายล้านดวง มีคำสอนในสำนักหนึ่งท่านยกตัวอย่างมาเทียบให้ฟังเป็นเชิงวิทยาศาสตร์ว่า ใน 1 วินาที จิตเกิดดับเป็นจำนวนเท่ากับ 1 เติมด้วยเลข 0 ....22ตัว ครั้ง


เอาเข้าไป จินตนาการเข้าระดับของความฟุ้งซ่านแล้วโสกะ
พูดมั่วหลักธรรม เพ้อเจ้อหยิบโนน้นผสมนี่ จนพระธรรมกลายเป็นนิทานอีสปไปซะแล้ว

เอาจิต เจตสิกไปเปรียบอะไรก็ไม่รู้เลอะเทอะไปหมด

จิตคือผู้รู้ แล้วรู้อะไรก็คือเจตสิก เมื่อรู้แล้วก็ดับไป พร้อมกันทั้งจิตและเจตสิกตัวนั้น
มันจะไปย้อมเปลี่ยนสีอะไรของคุณครับ.....อยากตะโกนใส่หูโสกะหน่อยว่า......"บ้าบอคอแตก" :b32:


คุณโสกะครับ คุณไม่ได้รู้เรื่องพระอภิธรรมเลย
ขอร้องคุณล่ะครับ กรุณาอย่าเอาพระอภิธรรมไปทำให้เสื่อมเลยครับ


asoka เขียน:
เพราะฉนั้นการที่จิตเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ต่างๆนั้นมันเร็วมาก จิตใม่ใช่ทำหน้าที่แต่เป็น วิญญาณ การรู้สัมผัสแต่เพียงอย่างเดียว ตอนที่ถูกสตินทรีย์เจตสิกย้อม จิตก็ทำหน้าที่ของสติ ตอนที่ถูกปัญญินทรีย์เจตสิกย้อม จิตก็ทำหน้าที่ของปัญญาซึ่งยังแยกย่อยออกเป็น

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ

ทั้งหมดเป็นการทำงานของจิตไปตามเจตสิกที่ย้อม จึงเกิดเป็นการปรุงแต่ง(สังขาร)ขึ้นมา


นี่ก็เลอะเทอะ ......ทั้งจิตและเจตสิก เกิดตามเหตุปัจจัยและเหตุปัจจัยที่ว่าก็คือ..
ธรรมชาติภายนอกที่มากระทบกับกายหรือรูปธรรม จนเป็นเหตุให้เกิดเป็นสังขาร
ทั้งจิตและเจตสิก.....เป็นสังขาร อันมีต้นเหตุมาจากธรรมชาติที่เรียกว่า...อวิชา


จิตและเจตสิก ไม่ใช่อาแป๊ะป๋องแป๋งรับย้อมผ้า
มันถึงจะได้ย้อมกันไปย้อมกันมา......สงสัยเป็นอาชีพเก่าของโสกะมั้ง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 13:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
เป็นโฮฮับเองที่ไม่เข้าใจเรื่องการทำงานของจิตและเจตสิก

จิตเหมือนน้ำใสๆ เจตสิกเปรียบเหมือนสีต่างๆที่ไปย้อมน้ำจิต ให้เปลี่ยนไปเป็นสีต่างๆตามไป แต่การเปลี่ยนสีของน้ำจิตนั้นรวดเร็วมาก ใน 1 วินาที น้ำจิตเกิดดับเปลี่ยนไปเป็นสีต่างๆได้ตั้งหลายล้านดวง มีคำสอนในสำนักหนึ่งท่านยกตัวอย่างมาเทียบให้ฟังเป็นเชิงวิทยาศาสตร์ว่า ใน 1 วินาที จิตเกิดดับเป็นจำนวนเท่ากับ 1 เติมด้วยเลข 0 ....22ตัว ครั้ง


เอาเข้าไป จินตนาการเข้าระดับของความฟุ้งซ่านแล้วโสกะ
พูดมั่วหลักธรรม เพ้อเจ้อหยิบโนน้นผสมนี่ จนพระธรรมกลายเป็นนิทานอีสปไปซะแล้ว

เอาจิต เจตสิกไปเปรียบอะไรก็ไม่รู้เลอะเทอะไปหมด

จิตคือผู้รู้ แล้วรู้อะไรก็คือเจตสิก เมื่อรู้แล้วก็ดับไป พร้อมกันทั้งจิตและเจตสิกตัวนั้น
มันจะไปย้อมเปลี่ยนสีอะไรของคุณครับ.....อยากตะโกนใส่หูโสกะหน่อยว่า......"บ้าบอคอแตก" :b32:


คุณโสกะครับ คุณไม่ได้รู้เรื่องพระอภิธรรมเลย
ขอร้องคุณล่ะครับ กรุณาอย่าเอาพระอภิธรรมไปทำให้เสื่อมเลยครับ


asoka เขียน:
เพราะฉนั้นการที่จิตเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ต่างๆนั้นมันเร็วมาก จิตใม่ใช่ทำหน้าที่แต่เป็น วิญญาณ การรู้สัมผัสแต่เพียงอย่างเดียว ตอนที่ถูกสตินทรีย์เจตสิกย้อม จิตก็ทำหน้าที่ของสติ ตอนที่ถูกปัญญินทรีย์เจตสิกย้อม จิตก็ทำหน้าที่ของปัญญาซึ่งยังแยกย่อยออกเป็น

ปัญญาสัมมาสังกัปปะ

ปัญญาสัมมาทิฏฐิ

ทั้งหมดเป็นการทำงานของจิตไปตามเจตสิกที่ย้อม จึงเกิดเป็นการปรุงแต่ง(สังขาร)ขึ้นมา


นี่ก็เลอะเทอะ ......ทั้งจิตและเจตสิก เกิดตามเหตุปัจจัยและเหตุปัจจัยที่ว่าก็คือ..
ธรรมชาติภายนอกที่มากระทบกับกายหรือรูปธรรม จนเป็นเหตุให้เกิดเป็นสังขาร
ทั้งจิตและเจตสิก.....เป็นสังขาร อันมีต้นเหตุมาจากธรรมชาติที่เรียกว่า...อวิชา


จิตและเจตสิก ไม่ใช่อาแป๊ะป๋องแป๋งรับย้อมผ้า
มันถึงจะได้ย้อมกันไปย้อมกันมา......สงสัยเป็นอาชีพเก่าของโสกะมั้ง :b32:
โอฮับผู้น่าสงสารชอบด่าลูกน้องชอบเลิกกับเมีย โฮฮับจะรุ้อะไรเกี่ยวกับการที่สามารถรับรุ้ถึงการสั่นสะเทือนทั่วร่างกายไดนั้นคือ การได้เข้าสู่ความจริงขั้นภาวนาขั้นรับรุ้การเกิดดับของกลาปะ ใกล้เข้าถึงความจริงสุงสุดแล้วของภาวนามยปั ญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
โอฮับผู้น่าสงสารชอบด่าลูกน้องชอบเลิกกับเมีย โฮฮับจะรุ้อะไรเกี่ยวกับการที่สามารถรับรุ้ถึงการสั่นสะเทือนทั่วร่างกายไดนั้นคือ การได้เข้าสู่ความจริงขั้นภาวนาขั้นรับรุ้การเกิดดับของกลาปะ ใกล้เข้าถึงความจริงสุงสุดแล้วของภาวนามยปั ญญา


ข้าคือบิกหื่น ข้าบรรลุแล้ว ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ ข้าตั้งจะสภาหื่นแห่งประเทศไทย

เหล่ามวลมหาประชาหื่นทั้งหลายจงเชื่อฟังข้า...........

ท๊ากสิน......โฮ่งๆๆๆๆๆ ท๊ากสินแฮ่ๆๆๆๆๆๆ

http://www.youtube.com/watch?v=_nWmxoXeUFo


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร