วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 06:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2013, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ลุงหมาน เขียน:
อุปาทาน ไม่ใช่ "ทิฏฐิเจตสิก" นะครับ อุปาทาน องค์ธรรมตัวเดียวกันกับ"โลภะเจตสิก"อย่าสับสน
อาจทำให้คนอื่นที่อ่านอาจเข้าใจผิดด้วย เป็นการเอาความเห็นผิดของตนไปยื่นให้คนอื่น นี่แหละที่เขาว่ามีความเห็นผิด หรือเป็น มิจฉาทิฏฐิ หละ ธรรมะอย่าตีความเอาเองต้องศึกษาให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็นมิจฉาทิฎฐิครับ เป็นโทษที่น่ากลัวคือเป็นการบิดเบือนคำสอนและเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวนะครับ ผมบอกให้รู้แต่คำพูดก็คงอาจจะแรงไป แต่ก็ไม่สามารถหาคำพูดที่นุ่มนวลกว่านี้ได้ แต่เห็นว่าน่าจะได้รับประโยชน์พอ



อืมส์ ลุงหมาน จะตำหนิ ตัวเอง อย่างไร ดีน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

ในเมื่อผม ไปค้นให้ละเอียดขึ้นมาแล้ว

อุปาทาน มีองค์ธรรม 2 อย่างคือ ทิฏฐิเจตสิก และ โลภะเจตสิก

ผมนั้นแค่ พูดไม่ครบ
แต่ลุงหมาน ฟันธงว่า ทิฏฐิเจตสิก ไม่มีในอุปาทาน อุปาทานไม่ใช่ทิฏฐิเจตสิก

ลุงหมานกล้าว่าคนอื่น
ตัวลุงหมานเอง จะรับผิดชอบ อย่างไรดี
อย่าบอกนะว่า จะทำไม่รู้ไม่ชี้

ไม่งั้น ทีหลัง ลุงหมาน อย่าไปว่าใครสุ่มสี่สุ่มห้าอีกล่ะ ไม่มีสิทธิ์ เพราะตัวเองนั้นไม่มีคุณค่าพอ

จะรอ ฟัง ลุงหมาน ขอโทษ หรือไม่ก็ตำหนิตัวเอง ชดเชย ที่ว่าผมเสียหาย นะ 555

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2013, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
อุปาทาน ไม่ใช่ "ทิฏฐิเจตสิก" นะครับ อุปาทาน องค์ธรรมตัวเดียวกันกับ"โลภะเจตสิก"อย่าสับสน
อาจทำให้คนอื่นที่อ่านอาจเข้าใจผิดด้วย เป็นการเอาความเห็นผิดของตนไปยื่นให้คนอื่น นี่แหละที่เขาว่ามีความเห็นผิด หรือเป็น มิจฉาทิฏฐิ หละ ธรรมะอย่าตีความเอาเองต้องศึกษาให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็นมิจฉาทิฎฐิครับ เป็นโทษที่น่ากลัวคือเป็นการบิดเบือนคำสอนและเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวนะครับ ผมบอกให้รู้แต่คำพูดก็คงอาจจะแรงไป แต่ก็ไม่สามารถหาคำพูดที่นุ่มนวลกว่านี้ได้ แต่เห็นว่าน่าจะได้รับประโยชน์พอ



อืมส์ ลุงหมาน จะตำหนิ ตัวเอง อย่างไร ดีน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

ในเมื่อผม ไปค้นให้ละเอียดขึ้นมาแล้ว

อุปาทาน มีองค์ธรรม 2 อย่างคือ ทิฏฐิเจตสิก และ โลภะเจตสิก

ผมนั้นแค่ พูดไม่ครบ
แต่ลุงหมาน ฟันธงว่า ทิฏฐิเจตสิก ไม่มีในอุปาทาน อุปาทานไม่ใช่ทิฏฐิเจตสิก

ลุงหมานกล้าว่าคนอื่น
ตัวลุงหมานเอง จะรับผิดชอบ อย่างไรดี
อย่าบอกนะว่า จะทำไม่รู้ไม่ชี้

ไม่งั้น ทีหลัง ลุงหมาน อย่าไปว่าใครสุ่มสี่สุ่มห้าอีกล่ะ ไม่มีสิทธิ์ เพราะตัวเองนั้นไม่มีคุณค่าพอ

จะรอ ฟัง ลุงหมาน ขอโทษ หรือไม่ก็ตำหนิตัวเอง ชดเชย ที่ว่าผมเสียหาย นะ 555


แสดงว่าไม่เข้าใจนะ คำว่า อุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ เช่น
ยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจรวมกันว่าเป็น"ตัวตน" และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วยว่าเป็น"ของตน"
ความยึดมั่นมี ๔ อย่าง
1.กามุปาทาน ยึดติดในกาม
2.ทิฏฐุปาทาน ยึดถือในทิฏฐิ
3.สีลัพพัตตุปาทาน ติดยึดในศีลวัตรที่งมงาย
4.อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นในตัวเอง ของตัวเอง

พุทธภาษิตมีอยู่ว่า "เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์"

ดังนั้น เบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้นหาเป็นทุกข์ไม่ ฉะนั้น คำว่าบริสุทธิ์หรือหลุดพ้นจึงหมายถึง การหลุดพ้นจากอุปาทานว่า"ตัวเรา" ว่า"ของเรา"นี้โดยตรง ดังมีพุทธภาษิตว่า "คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน"

อธิบายข้อ ๒
ทิฎฐุปาทาน หมายความว่ายึดมั่นในความเห็นผิด ( ทิฏฐิ + อุปาทาน ) อุปาทานก็อย่างหนึ่ง ทิฎฐิก็อย่างหนึ่ง ในเมื่อ องค์ธรรมของอุปาทาน เป็นทิฏฐิเจตสิก ไปเสียเเล้ว จะไปยึดมั่นเจตสิกอีกทำไม ข้อนี้แหละที่ท่านกำลังเป็นอยู่ ยึดมั่นในความเห็นของตนว่าถูกต้องอย่างไม่เสื่อมคลาย

และถ้ามีคำว่าทิฏฐิตัวเดียวนั้นหมายความว่า ความเห็นเฉยๆ ไม่เห็นผิดและไม่เห็นถูก แต่ถ้ามีสัมมาทิฎฐิขึ้นมาก็หมายความว่ามีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงก็ได้แก่ตัวปัญญานั่นเอง

ฮ่าๆๆ จะให้ขอโทษโถๆๆ ช่างร่วมสมัยจริงๆนะ....
และไปค้นมาแต่ไหน ว่าองค์ธรรมมี ๒ อย่าง COPY มาให้ดูซักหน่อยจะเป็นไร จะได้อธิบายให้ฟัง หรือจะจบกันเพียงแค่นี้ ไม่อยากให้กระทู้โดนล๊อค

http://www.br.ac.th/elearning/social/ji ... 2_1_4.html

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2013, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อย่าลืม ตำหนิ ตัวเองล่ะลุงหมาน

ว่าลุงนั้น เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ว่าข้าแน่กว่า ............ ขอโทษครับ

..............................................................

อ้างคำพูด:
รวมอุปาทาน มี ๔ แต่องค์ธรรมมีเพียง ๒ คือ โลภเจตสิก และทิฏฐิเจตสิก

http://abhidhamonline.org/aphi/p7/008.htm



ผมนั้น ลอกตำรามาพูด ถ้าผิดก็ไปว่า ตำรา นะลุงหมาน ผมไม่เกี่ยว
แค่อ่าน แล้วเอามาบอกอีกที

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




เพื่อแก้ไขคนเห็นผิด.gif
เพื่อแก้ไขคนเห็นผิด.gif [ 42.15 KiB | เปิดดู 4519 ครั้ง ]
govit2552 เขียน:
อย่าลืม ตำหนิ ตัวเองล่ะลุงหมาน

ว่าลุงนั้น เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ว่าข้าแน่กว่า ............ ขอโทษครับ

..............................................................

อ้างคำพูด:
รวมอุปาทาน มี ๔ แต่องค์ธรรมมีเพียง ๒ คือ โลภเจตสิก และทิฏฐิเจตสิก

http://abhidhamonline.org/aphi/p7/008.htm



ผมนั้น ลอกตำรามาพูด ถ้าผิดก็ไปว่า ตำรา นะลุงหมาน ผมไม่เกี่ยว
แค่อ่าน แล้วเอามาบอกอีกที


ผมกล่าวธรรมนั้นต้องคำนึงความถูกต้องตามคำสอนเสมอ ไม่เคยอนุมานหรือคิดเอง
เพราะความห่วงใยตัวเอง และเพื่อนสมาชิกที่กล่าวธรรมผิด นั่นหมายถึง ความเข้าใจผิด
ย่อมนำไปถึงมิจฉาทิฎฐิ ที่ต้องนำไปสู่อบายภูมิสถานเดียว ที่นำมาเตือนมาบอกกันก็เพื่อแก้ไข
เหมือนเพื่อนๆที่กำลังจะจมน้ำ ผมก็ยื่นไม้ไปให้จับตามกำลังความสามารถที่พอจะทำได้
แต่เพื่อนไม่จับ ผมเองก็หมดความสามารถที่จะช่วยอะไรได้ ดีกว่าเห็นเพื่อนจมลงไปต่อหน้าต่อตา
โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยจริงไหม?

ที่เอาลิ้งมาให้ดูนั้นถูกต้องแล้วแต่ความเข้าใจของคนอ่านแล้วก็ยังเข้าใจผิดอยู่ดี
อุปาทานมี ๔ แต่องค์ธรรมมี ๒ ดูนะ

๑. กามุปาทาน (อธ.ได้แก่ โลภะ กับ ทิฎฐิ)
๒. ทิฎฐุปาทาน (อธ. ได้แก่ โลภะ กับ ทิฎฐิ)
๓. สีลัพพตุปาทาน ( อธ. ได้แก่ โลภะ กับ ทิฎฐิ)
๔. อัตตวาทุปาทาน (อธ. ได้แก่ โลภะ กับ ทิฎฐิ)

เมื่อรวม อธ. ของอุปาทานนั้น ก็มีแค่ ๒ ดังที่กล่าวมานั้นคือ โลภะ กับ ทิฎฐิ
โลภะ ได้แก่ตัว อุปาทาน ความยึดมั่นก็ได้แก่ตัว ทิฎฐิ หวังว่าคงเข้าใจนะครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 06:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


[๑๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่ารูป เพราะสลายไป จึงเรียกว่า รูป
สลายไปเพราะอะไร สลายไปเพราะหนาวบ้าง เพราะร้อนบ้าง เพราะหิวบ้าง เพราะกระหายบ้าง
เพราะสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ
อะไร จึงเรียกว่า เวทนา เพราะเสวย จึงเรียกว่า เวทนา เสวยอะไร เสวยอารมณ์สุขบ้าง เสวย
อารมณ์ทุกข์บ้าง เสวยอารมณ์ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียก
ว่า สัญญา เพราะจำได้หมายรู้ จึงเรียกว่า สัญญา จำได้หมายรู้อะไร จำได้หมายรู้สีเขียวบ้าง
สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า สังขาร เพราะ
ปรุงแต่งสังขตธรรม จึงเรียกว่า สังขาร ปรุงแต่งสังขตธรรมอะไร ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ รูป
โดยความเป็นรูป ปรุงแต่ง สังขตธรรม คือ เวทนา โดยความเป็นเวทนา ปรุงแต่งสังขตธรรม
คือ สัญญา โดยความเป็นสัญญา ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สังขาร โดยความเป็นสังขาร
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ วิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียก
ว่า วิญญาณ เพราะรู้แจ้ง จึงเรียกว่า วิญญาณ รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง
รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง รสเค็มบ้าง รสไม่เค็มบ้าง
.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=1955&Z=2041&pagebreak=0

ผู้รจนา พระไตรปิฏกท่อนนี้ สมควรถูกตำหนิหรือไม่

เพราะวิญญาณ นั้นไม่ได้รู้ รส แค่เพียงอย่างเดียว สิ่งที่ยังขาดคือ รู้รูป รู้เสียง รู้กระทบสัมผัส รู้ธรรมารมณ์ ด้วย

............ ยังไม่เคยมีใคร ตำหนิพระไตรปิฏก ท่อนนี้เลยนะ .............................

ลองเทียบกันดูครับ
ผมเคย กล่าวว่า อุปาทาน คือ ทิฏฐิเจตสิก

ผมสมควรถูกตำหนิหรือไม่

เพราะอุปาทาน นั้น ไม่ได้ มีแค่ ทิฏฐิเจตสิก เพียงอย่างเดียว สิ่งที่ยังขาดคือ โลภเจตสิก ด้วย

.............. ผมว่า ไม่ควรจะมีใคร ตำหนิ ผมได้.....................เข้าใจนะครับ


หวังว่าคงเข้าใจ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเข้าใจอุปาทาน อุปาทานคืออะไร?
อุปาทาน แปลว่าความยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นอะไรจึงเป็นอุปาทาน
คือการยึดมั่น ๔ อย่าง
๑. กามุปาทาน ยึดมั่นในกามคุณอารมณ์ มีรูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น
๒. ทิฎฐุปาทาน ยึดมั่นในความเห็นผิด เช่นเห็นว่าบาปบุญไม่มี โลกนี้โลกหน้าไม่มี เป็นต้น
๓. สีลัพพตุปาทาน ยึดมั่นในข้อวัตรปฏิบัติผิด เช่น ปฏิบัติเยี่ยงสุนัข เยี่ยงโค เป็นต้น
๔. อัตตาทุปาทาน ยึดมั่นในอัตตา คือถือว่ามีอัตตาตัวตน หรือตัวตนมีในขันธ์ ๕

ยึดมั่นเพราะความอยากได้ (โลภะ) เพราะด้วยอำนาจของความเห็นผิด (ทิฎฐิ)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 07:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
อุปาทาน มี ๔ ประการ คือ

๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในวัตถุกามทั้ง ๖ มี รูปารมณ์ เป็นต้น องค์ธรรม ได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘

๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในการเห็นผิด มี นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ และ ทิฏฐิ ๖๒ (ที่นอกจาก สีลัพพตทิฏฐิ และสักกายทิฏฐิ ซึ่งจะกล่าวต่อไปเป็นข้อ ๓ และ ข้อ ๔) องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔

๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในการปฏิบัติที่ผิด มีการปฏิบัติเยี่ยงโค และ สุนัข เป็นต้น อันเป็นการปฏิบัติที่นอกไปจาก มัชฌิมาปฏิปทา การยึดมั่นในการ ปฏิบัติที่ผิดเช่นนี้ บางทีก็เรียกว่า สีลัพพตทิฏฐิ องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่ใน ทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔

๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตน หรือว่ามีตัว มีตนอยู่ในเบ็ญจขันธ์ ซึ่งได้แก่ สักกายทิฏฐิ นั่นเอง องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔

รวมอุปาทาน มี ๔ แต่องค์ธรรมมีเพียง ๒ คือ โลภเจตสิก และทิฏฐิเจตสิก
http://abhidhamonline.org/aphi/p7/008.htm

ลุงหมาน เขียน:
อุปาทาน ไม่ใช่ "ทิฏฐิเจตสิก" นะครับ อุปาทาน องค์ธรรมตัวเดียวกันกับ"โลภะเจตสิก"อย่าสับสน



การที่ลุงหมาน บอกว่า อุปาทาน ไม่ใช่ทิฏฐิเจตสิก

................. คาดว่า คงไม่ต้อง ตำหนิ ล่ะกระมัง...........


ส่วนที่ผม เคย กล่าวอุปาทาน คือ ทิฏฐิเจตสิก

................. สมาชิกท่านอื่น คงจะวินิจฉัย ได้นะ ว่าควรถูกตำหนิ หรือไม่...



หวังว่า ลุงหมาน คงจะระวังขึ้นนะครับ ในโอกาสหน้า

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




สาธุๆๆ.jpg
สาธุๆๆ.jpg [ 17.18 KiB | เปิดดู 4507 ครั้ง ]
govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
อุปาทาน มี ๔ ประการ คือ

๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในวัตถุกามทั้ง ๖ มี รูปารมณ์ เป็นต้น องค์ธรรม ได้แก่ โลภเจตสิก ที่ในโลภมูลจิต ๘

๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในการเห็นผิด มี นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ และ ทิฏฐิ ๖๒ (ที่นอกจาก สีลัพพตทิฏฐิ และสักกายทิฏฐิ ซึ่งจะกล่าวต่อไปเป็นข้อ ๓ และ ข้อ ๔) องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔

๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในการปฏิบัติที่ผิด มีการปฏิบัติเยี่ยงโค และ สุนัข เป็นต้น อันเป็นการปฏิบัติที่นอกไปจาก มัชฌิมาปฏิปทา การยึดมั่นในการ ปฏิบัติที่ผิดเช่นนี้ บางทีก็เรียกว่า สีลัพพตทิฏฐิ องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่ใน ทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔

๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตน หรือว่ามีตัว มีตนอยู่ในเบ็ญจขันธ์ ซึ่งได้แก่ สักกายทิฏฐิ นั่นเอง องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔

รวมอุปาทาน มี ๔ แต่องค์ธรรมมีเพียง ๒ คือ โลภเจตสิก และทิฏฐิเจตสิก
http://abhidhamonline.org/aphi/p7/008.htm

ลุงหมาน เขียน:
อุปาทาน ไม่ใช่ "ทิฏฐิเจตสิก" นะครับ อุปาทาน องค์ธรรมตัวเดียวกันกับ"โลภะเจตสิก"อย่าสับสน



การที่ลุงหมาน บอกว่า อุปาทาน ไม่ใช่ทิฏฐิเจตสิก

................. คาดว่า คงไม่ต้อง ตำหนิ ล่ะกระมัง...........


ส่วนที่ผม เคย กล่าวอุปาทาน คือ ทิฏฐิเจตสิก

................. สมาชิกท่านอื่น คงจะวินิจฉัย ได้นะ ว่าควรถูกตำหนิ หรือไม่...



หวังว่า ลุงหมาน คงจะระวังขึ้นนะครับ ในโอกาสหน้า


สาธุในธรรมที่ควรเจริญขึ้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
govit2552 เขียน:
Quote Tipitaka:
[๒๗๙] อุปาทานขันธ์ ๕ อย่าง
๑. รูปูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ รูป)
๒. เวทนูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ เวทนา)
๓. สัญญูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สัญญา)
๔. สังขารูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สังขาร)
๕. วิญญาณูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ วิญญาณ) ฯ

http://www.tipitaka.com/tipitaka11.htm

ข้อที่น่าสังเกตุ

คำว่า เป็นที่ตั้ง

บางที เวลาอ่าน อาจคิดไปว่า

อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ รูป
อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ เวทนา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สัญญา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สังขาร
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ วิญญาณ

ทั้งๆ ที่
อุปาทาน ไปปรุงแต่ง(ยึดมั่น) รูป
อุปาทาน ไปยึดมั่น เวทนา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สัญญา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สังขาร
อุปาทาน ไปยึดมั่น วิญญาณ


เพราะ ในความเป็นจริง อุปาทาน เป็นตัวทิฏฐิเจตสิก ที่จัดอยู่ใน สังขารขันธ์นั่นแหละ
เพียงแต่แผ่อำนาจ ออกไปทำหน้าที่ยึด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้นเอง

ไม่ได้ไปตั้งอยู่ จริงๆ


อุปาทาน ไม่ใช่ "ทิฏฐิเจตสิก" นะครับ อุปาทาน องค์ธรรมตัวเดียวกันกับ"โลภะเจตสิก"อย่าสับสน
อาจทำให้คนอื่นที่อ่านอาจเข้าใจผิดด้วย เป็นการเอาความเห็นผิดของตนไปยื่นให้คนอื่น นี่แหละที่เขาว่ามีความเห็นผิด หรือเป็น มิจฉาทิฏฐิ หละ ธรรมะอย่าตีความเอาเองต้องศึกษาให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็นมิจฉาทิฎฐิครับ เป็นโทษที่น่ากลัวคือเป็นการบิดเบือนคำสอนและเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวนะครับ ผมบอกให้รู้แต่คำพูดก็คงอาจจะแรงไป แต่ก็ไม่สามารถหาคำพูดที่นุ่มนวลกว่านี้ได้ แต่เห็นว่าน่าจะได้รับประโยชน์พอ

อุปาทาน แปลว่าความยึดมั่น เช่นยึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน โดยอาศัยอำนาจจากความเห็นจึงยึดมั่น ท่านเปรียบเหมือนงูกำลังกินกบนั่นแหละโดยที่ไม่ยอมปล่อย อุปาทานไม่มีองค์ธรรมโดยเฉพาะ ถ้าดูในเจตสิก ๕๒ จะไม่ว่ามีตัวอุปาทานเลย ฉะนั้นอุปาทานจึงจัดเข้ากันกับโลภะเจตสิก ถ้าจะว่าอุปาทานเป็นสังขารก็ได้แต่ว่าไม่มีหน้าที่เด่นชัดเหมือนกับโลภะเจตสิก เช่นเดียวกับโลภะเจตสิกที่มีความอยากได้แต่ก็ไม่ถึงกับความยึดมั่นเป็นเพียงแค่อยากได้เฉยๆ แต่ถ้าอุปาทานเกิดร่วมด้วยความอยากได้ก็จะมีความอยากได้ที่เพิ่มขึ้นมาอีก คือหมายความว่าอยากแล้วต้องเอาให้ได้ไม่ว่าจะเป็นสุจริตหรือทุจริตก็แล้วแต่ช่องทางใดทางหนึ่งที่เปิดโอกาส

อุปาทาน ยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา ถ้าขันธ์ทั้ง ๕ ไม่มีไม่เป็นที่ตั้งให้ให้อุปาทานเข้าไปยึด อุปาทานก็ต้องดับ แต่ถ้ายังมีขันธ์ ๕ อยู่อุปาทานก็มีที่ตั้งอยู่ ถ้าขันธ์ ๕ ดับ ตัณหาก็ดับ(ตัณหาก็คือโลภะเจตสิกที่มีตัวอุปาทานร่วมด้วย)


ตัณหา เป็นปัจจัยให้ อุปาทาน

ตัณหาคือโลภะที่มีกำลังอ่อน
อุปาทาน คือ โลภะที่มีกำลังแรงกล้า(เพราะถูกอุปาทานครอบงำ)

เป็นโลภะเหมือนกันแต่เกิดต่างขณะกันค่ะ อย่าปล่อยให้ตัณหาพัฒนาเป็นอุปาทานได้ค่ะ


ตัณหาไม่ใช่โลภะ ตัณหาเป็นธรรมชาติ เมื่อจิตไปยึดเอาธรรมชาติตัวนี้.....
จะทำให้จิตหลง (โมหะ) แล้วจะแปรเปลี่ยนเป็น...โทสะหรือโลภะ ตามแต่สัญญาของจิตนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น เกิดการกระทบเป็นเสียง จิตจะไปยึดตัณหาแล้วก็จะเกิดขันธ์ขึ้น รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ
ในกระบวนการขันธ์ จะเป็นโทสะหรือโลภะได้ขึ้นอยู่กับสัญญาขันธ์ในอดีต

ถ้าจิตไปจำได้หมายรู้สุขเวทนา.....ก็จะเกิดเป็น โลภะ
ถ้าจิตไปจำได้หมายรู้ในทุกขเวทนา....ก็จะเกิดเป็น โทสะ
ต้องไม่ลืมว่าการจะเกิด โทสะหรือโลภะได้ จะต้องเกิดโมหะเสียก่อน

อยากเตือน ถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่อย่าเอาหลัก ปฏิจจ์สมุบาท มาพิจารณาร่วมกับกระบวนการขันธ์ห้า
มันจะทำให้สับสน การจะเข้าใจปฏิจจ์สมุบาทได้ บุคคลจะต้องเห็นสภาวะธรรมของขันธ์ห้าเสียก่อน

ทั้งตัณหาและอุปาทาน เป็นปฏิจจ์สมุบาทที่มีเหตุปัจจัยร่วมกันอยู่
มีสิ่งนี้ย่อมมีสิ่งนี้ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ตามหลักอิทัปจยตา
ถ้าเราจะดูในปฏิจจ์ฯ จะกล่าวเหตุปัจจัยไว้๑๒เหตุ นี้หมายความว่า....
ในเหตุปัจจัยทั้งหมดอาศัยกันและกันอยู่ จะขาดเหตุปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไม่ได้

ดังนั้นการกล่าวว่า.."อย่าปล่อยให้ตัณหาพัฒนาเป็นอุปาทานได้"
การกล่าวเช่นนี้เป็นการกล่าวที่ผิดหลัก..ปฏิจจ์สมุบาท และอิทัปจยตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2013, 06:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด.jpg
ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด.jpg [ 33.92 KiB | เปิดดู 4475 ครั้ง ]
ขอสนทนากับ คุณโกวิทย์
พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัส อุปาทาน ไว้ที่เดียว อุปาทาน ยังตรัสไว้ในปฏิจจสมุปบาท ดังนี้
อวิชชา - สังขาร - วิญญาณ - นามรูป - สฬายตนะ - ผัสสะ - เวทนา - ตัณหา - อุปาทาน- ภพ -ชาติ - ชรามรณะ
ถ้าจะกล่าวให้ละเอียด คงเขียนอธิบายไม่ไหว แม้จะเข้าใจก็แสนจะยาก ถ้าจะให้เข้าใจเชิญไปในห้องเรียนนะครับ ขอเริ่มตรง ตัณหา ก็แล้วกัน ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิด การทำกรรม จึงให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชรา มรณะ เมื่อสิ้นสุดตรงมรณะ อาสวะยังไม่ขาดอาสวะก็เป็นปัจจัยให้แก่อวิชชาอีก ซึ่งจะย้อนเข้าวงจรใหม่
ที่มีปัญหากันในขณะนี้คือ อุปาทาน และอุปาทานตัวนี้ได้อาศัยตัณหาเป็นปัจจัย ขอยกตัวอย่าง เช่น เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เขาวางขาย และเห็นว่าสวยดีชอบใจก็เกิดความอยากได้ เมื่ออยากได้ก็ควักตังส์ซื้อ เมื่อซื้อมาแล้ว อุปาทานก็เกิดขึ้น คือเห็นว่าเสื้อผ้าเป็นของเราทันที และก็ยังหวงแหนในเสื้อผ้านั้นด้วย ตัณหากับอุปาทาน จึงมีองค์ธรรมตัวเดียวกันคือโลภะ การควักตังส์ชื้อนั้น เป็นการกระทำกรรมจึงทำให้เกิด ภพ - ชาติ - ชรามรณะ เป็นต้นดังนี้ ตามสายเกิดของวงจรปฏิจจสมุปบาท

อุปาทาน ๔ ที่กล่าวข้างต้นไว้ก่อนหน้านั้น เป็นการเห็นผิดที่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย เป็นโทษคือลงอบายภูมิสถานเดียว ดังนั้น อุปาทานที่กล่าวไว้ในปฏิจจสมุปบาทมิใช่จะเป็นโทษอย่างเดียว ยังมีคุณได้ เช่นให้เกิดเป็นมนุษย์ เทวดาพรหม เหล่านี้ได้
ขอกล่าวเพียงแค่นี้เพื่อป้องกันกระทบกระทั่งจนถึงถูกล๊อคกระทู้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2013, 07:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ก็คำนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เรากล่าวอธิบายดัง
ต่อไปนี้-
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้
กล่าวไว้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าอุปาทานมิได้มี
แก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน
สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน เมื่ออุปาทานไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะ
อุปาทานดับไป ภพจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งภพ
ก็คืออุปาทานนั่นเอง ฯ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2013, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ก็คำนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เรากล่าวอธิบายดัง
ต่อไปนี้-
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้
กล่าวไว้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าอุปาทานมิได้มี
แก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน
สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน เมื่ออุปาทานไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะ
อุปาทานดับไป ภพจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งภพ
ก็คืออุปาทานนั่นเอง ฯ

ตัณหา องค์ธรรมก็คือ โลภะ
โลภะถ้าว่าโดยสัจจะก็ได้แก่ สมุทยสัจจะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2013, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ถ้าอย่างนั้น เธอจงนั่งลงยังอาสนะ
ของตน ประสงค์จะถามปัญหาข้อใด ก็ถามเถิด ฯ
[๑๒๑] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปนั้นนั่งยังอาสนะของตนแล้ว ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปาทานขันธ์ คือ รูปูปาทานขันธ์
เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์
มี ๕ ประการเท่านี้หรือหนอแล ฯ
พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานขันธ์ มี ๕ ประการเท่านี้ คือ รูปูปาทานขันธ์
เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์ ฯ
ภิกษุนั้นกล่าว ชื่นชม ยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า แล้วทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ มีอะไรเป็นมูล ฯ
พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ มีฉันทะเป็นมูล ฯ
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ นั้นอย่างเดียวกัน
หรือ หรือว่าอุปาทานอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕ ฯ
พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ นั้น จะอย่างเดียวกันก็มิใช่
อุปาทานจะอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕ ก็มิใช่
ดูกรภิกษุ ความกำหนัดพอใจ ใน
อุปาทานขันธ์ ๕ นั่นแล เป็นตัวอุปาทานในอุปาทานขันธ์ ๕ นั้น ฯ
[๑๒๒] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความต่างแห่งความกำหนัด พอใจ
ในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ พึงมีหรือ ฯ
พระผู้มีพระภาคทรงรับว่า มี แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ บุคคลบางคนใน
โลกนี้ มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ เวทนาอย่างนี้ สัญญา
อย่างนี้ สังขารอย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้ ในอนาคตกาลเถิด ดูกรภิกษุ อย่างนี้แล
เป็นความต่างแห่งความกำหนัดพอใจในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ฯ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2013, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ถ้าอย่างนั้น เธอจงนั่งลงยังอาสนะ
ของตน ประสงค์จะถามปัญหาข้อใด ก็ถามเถิด ฯ
[๑๒๑] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปนั้นนั่งยังอาสนะของตนแล้ว ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปาทานขันธ์ คือ รูปูปาทานขันธ์
เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์
มี ๕ ประการเท่านี้หรือหนอแล ฯ
พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานขันธ์ มี ๕ ประการเท่านี้ คือ รูปูปาทานขันธ์
เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์ ฯ
ภิกษุนั้นกล่าว ชื่นชม ยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า แล้วทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ มีอะไรเป็นมูล ฯ
พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ มีฉันทะเป็นมูล ฯ
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ นั้นอย่างเดียวกัน
หรือ หรือว่าอุปาทานอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕ ฯ
พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ นั้น จะอย่างเดียวกันก็มิใช่
อุปาทานจะอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕ ก็มิใช่
ดูกรภิกษุ ความกำหนัดพอใจ ใน
อุปาทานขันธ์ ๕ นั่นแล เป็นตัวอุปาทานในอุปาทานขันธ์ ๕ นั้น ฯ
[๑๒๒] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความต่างแห่งความกำหนัด พอใจ
ในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ พึงมีหรือ ฯ
พระผู้มีพระภาคทรงรับว่า มี แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ บุคคลบางคนใน
โลกนี้ มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ เวทนาอย่างนี้ สัญญา
อย่างนี้ สังขารอย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้ ในอนาคตกาลเถิด ดูกรภิกษุ อย่างนี้แล
เป็นความต่างแห่งความกำหนัดพอใจในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ฯ


จากพุทธพจน์ตัวแดง.... "อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ นั้น จะอย่างเดียวกันก็มิใช่
อุปาทานจะอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕ ก็มิใช่"


ที่ว่า อุปาทานกับอุปาทานขันธ์๕ มันไม่ใช่อย่างเดียวกัน
มันมีความหมายว่า อุปาทานเป็นเหตุให้เกิด.....ขันธ์ห้า

เหตุที่บอกว่า อุปาทานไม่ใช่อุปาทานขันธ์ห้าเป็นเพราะ อุปาทานเกิดพร้อมกับผัสสะ
มันมากับอายตนะภายนอก เมื่อเกิดเป็นผัสสะแล้วย่อมดับไป อุปาทานย่อมดับไปด้วย
แต่เป็นเพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดเป็นขันธ์ห้ามาแทนที่

ดังนั้นอุปาทานกับอุปาทานขันธ์ห้าจึงเป็นคนล่ะสภาวะกัน อย่าลืมว่า สังขารทั้งหลายที่เกิดขึ้น
มันเกิดขึ้น และดับไปในทันทีทันใด

ความหมายของอุปาทานขันธ์ห้า ไม่ได้หมายถึงอุปาทานเป็นขันธ์ห้า
แต่ความหมายที่แท้ อุปาทานเป็นเหตุแห่งขันธ์ห้า เหตุเมื่อเกิดแล้วก็ดับ
สิ่งที่เหลือจึงไม่ใช่เหตุแต่เป็นผล นั้นก็คือขันธ์ห้า ไม่ใช่อุปาทานขันธ์ห้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2013, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ความแตกต่างกันระหว่างตัณหากับอุปาทาน

ในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา ว่า เอตฺถ จ ทุพฺพลตณฺหา นาม พลวติ อุปาทานานํ แปลความว่า
ในที่นี้ตัณหาที่มีกำลังน้อยเรียกว่า ตัณหา ตัณหาที่มีกำลังมาก เรียกว่า อุปาทาน
อีกนัยหนึ่งว่า ปริเยสนทุกฺขมูลํ ตณฺหา อารกฺขมูลํ อุปาทานํ อยเมเตสํ วิเสโส

แปลความว่า ตัณหามีทุกข์ในการแสวงหาเป็นมูล อุปาทานมีทุกข์ในการ ระวังรักษาเป็นมูล
ตัณหา คือ ความพอใจในอารมณ์ที่ตนได้พบครั้งแรก อุปาทาน คือความติดใจ ในอารมณ์
ที่ตนได้พบนั้นไม่หาย ครุ่นคิดอยู่เสมอ
ตัณหา คือ ความอยากได้ในอารมณ์ที่ตนยังไม่ได้ อุปาทาน คือ ความยึดมั่น ในอารมณ์ที่ตน
ได้มาแล้ว โดยไม่ยอมปล่อยวาง
จึงได้มีข้ออุปมาไว้ว่า ตัณหา เหมือนต้นไม้ที่ยังเล็ก ๆ อยู่ ถอนทิ้งได้ง่าย อุปาทาน เหมือนต้นไม้
ที่ใหญ่โตแล้ว ย่อมยากแก่การถอน เพราะรากแก้วยึดมั่นเสียแล้ว
อัปปิจฉตาคุณ คือ มีความปรารถนาน้อย ที่เรียกกันว่า ไม่มีความอยากใหญ่ เป็นปฏิปักษ์แก่ตัณหา
ทำให้ตัณหามีกำลังลดน้อยถอยลง
สันตุฏฐิคุณ คือ ความมีสันโดษ ก็เป็นปฏิปักษ์แก่อุปาทาน สันโดษ หรือ สันตุฏฐี ได้แก่
มีความพอใจเท่าที่ตนมีอยู่ พอใจแสวงหาตามควรแก่กำลัง และ พอใจแสวงหาโดยสุจริต
เพียงแต่มีสันโดษเท่านี้ ก็เป็นคุณแก่ตนเองและแก่ผู้อื่นเป็นอย่างมาก

ปัจจัย ๒๔ เกี่ยวแก่ตัณหา

ในบท ตัณหา เป็นปัจจัยแก่อุปาทานนี้ เมื่อกล่าวโดยปัจจัย ๒๔ แล้ว ก็เป็น ไปได้ด้วยอำนาจ
แห่งปัจจัยดังต่อไปนี้
ก. ตัณหาเป็นปัจจัยแก่ กามุปาทาน ด้วยอำนาจแห่งอุปนิสสยปัจจัย ปัจจัย เดียวเท่านั้น
ข. ตัณหาเป็นปัจจัยแก่ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน นั้น ด้วยอำนาจ
แห่งปัจจัย ๗ ปัจจัย คือ
๑. เหตุปัจจัย ๒. สหชาตปัจจัย ๓. อัญญมัญญปัจจัย
๔. นิสสยปัจจัย ๕. สัมปยุตตปัจจัย ๖. อัตถิปัจจัย
๗. อวิคตปัจจัย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร