วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 05:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ย. 2013, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปาทาน คือ ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส มี ๔ คือ
๑. กามุปาทาน ความถือมั่นในกาม
๒. ทิฏฐุปาทาน ความถือมั่นในทิฏฐิ
๓. สีลัพพตุปาทาน ความถือมั่นในศีลและพรต
๔. อัตตวาทุปาทาน ความถือมั่นวาทะว่าตน

อุปาทานขันธ์ ๕

มี รูปูปาทานขันธ์
เวทนูปาทานขันธ์
สัญญูปาทานขันธ์
สังขารูปาทานขันธ์
วิญญาณูปาทานขันธ์

ขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นโดยมีความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสหรือความพึงพอใจหรือสุขของตนเองเป็นหลัก
แอบแฝงหรือนอนเนื่องอยู่ในขันธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น ถ้ามองในมุมของปฏิจจสมุปบาท
ก็คือขันธ์ ๕ ที่เกิดใน"ชาติและชรา" อันผ่านการครอบงําหรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของอุปาทานแล้วนั่นเอง

ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน, ขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทานได้แก่ ขันธ์ในเบญจขันธ์ คือ
รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ที่ล้วนประกอบด้วยอาสวะ หรือมีอาสวะหรืออุปาทานแฝงอยู่นั่นเอง
เมื่อประกอบด้วยอุปาทานแล้ว เรียกใหม่เป็น รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์
สังขารูปาทานขันธ์ และวิญญาณูปาทานขันธ์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ย. 2013, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขันธ์5

รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร ........................ อุปาทาน อยู่ในนี้
วิญญาณ



อุปาทาน ทำหน้าที่ อย่างไร

Quote Tipitaka:
[๑๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่ารูป เพราะสลายไป จึงเรียกว่า รูป
สลายไปเพราะอะไร สลายไปเพราะหนาวบ้าง เพราะร้อนบ้าง เพราะหิวบ้าง เพราะกระหายบ้าง
เพราะสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ
อะไร จึงเรียกว่า เวทนา เพราะเสวย จึงเรียกว่า เวทนา เสวยอะไร เสวยอารมณ์สุขบ้าง เสวย
อารมณ์ทุกข์บ้าง เสวยอารมณ์ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียก
ว่า สัญญา เพราะจำได้หมายรู้ จึงเรียกว่า สัญญา จำได้หมายรู้อะไร จำได้หมายรู้สีเขียวบ้าง
สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า สังขาร เพราะ
ปรุงแต่งสังขตธรรม จึงเรียกว่า สังขาร ปรุงแต่งสังขตธรรมอะไร ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ รูป
โดยความเป็นรูป ปรุงแต่ง สังขตธรรม คือ เวทนา โดยความเป็นเวทนา ปรุงแต่งสังขตธรรม
คือ สัญญา โดยความเป็นสัญญา ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สังขาร โดยความเป็นสังขาร
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ วิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียก
ว่า วิญญาณ เพราะรู้แจ้ง จึงเรียกว่า วิญญาณ รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง
รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง รสเค็มบ้าง รสไม่เค็มบ้าง.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=1955&Z=2041&pagebreak=0



อุปาทาน ทำหน้าที่ ยึดมั่น ในรูป ยึดมั่น ในเวทนา ยึดมั่นในสัญญา ยึดมั่นในสังขาร ยึดมั่นในวิญญาณ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ย. 2013, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




1375241010-1370203825-o.gif
1375241010-1370203825-o.gif [ 497.16 KiB | เปิดดู 9000 ครั้ง ]
govit2552 เขียน:
ขันธ์5

รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร ........................ อุปาทาน อยู่ในนี้
วิญญาณ



อุปาทาน ทำหน้าที่ อย่างไร

Quote Tipitaka:
[๑๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่ารูป เพราะสลายไป จึงเรียกว่า รูป
สลายไปเพราะอะไร สลายไปเพราะหนาวบ้าง เพราะร้อนบ้าง เพราะหิวบ้าง เพราะกระหายบ้าง
เพราะสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ
อะไร จึงเรียกว่า เวทนา เพราะเสวย จึงเรียกว่า เวทนา เสวยอะไร เสวยอารมณ์สุขบ้าง เสวย
อารมณ์ทุกข์บ้าง เสวยอารมณ์ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียก
ว่า สัญญา เพราะจำได้หมายรู้ จึงเรียกว่า สัญญา จำได้หมายรู้อะไร จำได้หมายรู้สีเขียวบ้าง
สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า สังขาร เพราะ
ปรุงแต่งสังขตธรรม จึงเรียกว่า สังขาร ปรุงแต่งสังขตธรรมอะไร ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ รูป
โดยความเป็นรูป ปรุงแต่ง สังขตธรรม คือ เวทนา โดยความเป็นเวทนา ปรุงแต่งสังขตธรรม
คือ สัญญา โดยความเป็นสัญญา ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สังขาร โดยความเป็นสังขาร
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ วิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียก
ว่า วิญญาณ เพราะรู้แจ้ง จึงเรียกว่า วิญญาณ รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง
รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง รสเค็มบ้าง รสไม่เค็มบ้าง.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=1955&Z=2041&pagebreak=0



อุปาทาน ทำหน้าที่ ยึดมั่น ในรูป ยึดมั่น ในเวทนา ยึดมั่นในสัญญา ยึดมั่นในสังขาร ยึดมั่นในวิญญาณ

ห๊า.............เป็นงั้นเหรอ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ย. 2013, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
govit2552 เขียน:
ขันธ์5

รูป
เวทนา
สัญญา
สังขาร ........................ อุปาทาน อยู่ในนี้
วิญญาณ



อุปาทาน ทำหน้าที่ อย่างไร

Quote Tipitaka:
[๑๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่ารูป เพราะสลายไป จึงเรียกว่า รูป
สลายไปเพราะอะไร สลายไปเพราะหนาวบ้าง เพราะร้อนบ้าง เพราะหิวบ้าง เพราะกระหายบ้าง
เพราะสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ
อะไร จึงเรียกว่า เวทนา เพราะเสวย จึงเรียกว่า เวทนา เสวยอะไร เสวยอารมณ์สุขบ้าง เสวย
อารมณ์ทุกข์บ้าง เสวยอารมณ์ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไร จึงเรียก
ว่า สัญญา เพราะจำได้หมายรู้ จึงเรียกว่า สัญญา จำได้หมายรู้อะไร จำได้หมายรู้สีเขียวบ้าง
สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า สังขาร เพราะ
ปรุงแต่งสังขตธรรม จึงเรียกว่า สังขาร ปรุงแต่งสังขตธรรมอะไร ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ รูป
โดยความเป็นรูป ปรุงแต่ง สังขตธรรม คือ เวทนา โดยความเป็นเวทนา ปรุงแต่งสังขตธรรม
คือ สัญญา โดยความเป็นสัญญา ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สังขาร โดยความเป็นสังขาร
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ วิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียก
ว่า วิญญาณ เพราะรู้แจ้ง จึงเรียกว่า วิญญาณ รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง
รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง รสเค็มบ้าง รสไม่เค็มบ้าง.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=1955&Z=2041&pagebreak=0



อุปาทาน ทำหน้าที่ ยึดมั่น ในรูป ยึดมั่น ในเวทนา ยึดมั่นในสัญญา ยึดมั่นในสังขาร ยึดมั่นในวิญญาณ

ห๊า.............เป็นงั้นเหรอ


รูปภาพ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ย. 2013, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Quote Tipitaka:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า สังขาร เพราะ
ปรุงแต่งสังขตธรรม จึงเรียกว่า สังขาร ปรุงแต่งสังขตธรรมอะไร ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ รูป
โดยความเป็นรูป ปรุงแต่ง สังขตธรรม คือ เวทนา โดยความเป็นเวทนา ปรุงแต่งสังขตธรรม
คือ สัญญา โดยความเป็นสัญญา ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สังขาร โดยความเป็นสังขาร
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ วิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ


เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า สังขตธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เลย ลองจัด คำพูดใหม่

สังขาร ปรุงแต่งรูป โดยความเป็นรูป
........ ปรุงแต่งเวทนา โดยความเป็นเวทนา
........ ปรุงแต่งสัญญา โดยความเป็นสัญญา
........ ปรุงแต่งสังขาร โดยความเป็นสังขาร
........ ปรุงแต่งวิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ

ซึ่งความจริง

สังขาร ปรุงแต่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ......... แค่นี้เข้าใจดีแล้ว

แต่พอเพิ่ม คำว่า โดยความเป็น.... เข้ามา

เกิดอาการ ทะแม่งทะแม่ง

จึงขอตั้งเป็นข้อสังเกตุว่า

พระไตรปิฏก บางส่วนเริ่มอ่านไม่รู้เรื่องเต็ม 100 เปอร์เซนต์
นี่คือ ส่วนที่จะอันตรธานไปก่อน

พระไตรปิฏก จะอันตรธาน ไปเรื่อยๆ
จนสุดท้าย ก็จะเหลืออยู่ไม่มาก

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสต์ เมื่อ: 07 พ.ย. 2013, 22:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน, ขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทานได้แก่ ขันธ์ในเบญจขันธ์ คือ
รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ที่ล้วนประกอบด้วยอาสวะ หรือมีอาสวะหรืออุปาทานแฝงอยู่นั่นเอง

เมื่อประกอบด้วยอุปาทานแล้ว เรียกใหม่เป็น รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์
สังขารูปาทานขันธ์ และวิญญาณูปาทานขันธ์


มีอาสวะแฝงในขันธ์....นี้...เป็นความเห็นของลุงหมานเองหรือเอามาจากไหนหรือครับ..ช่วยแนะนำด้วยครับ
คือ..ขันธ์บางตัวมันมีความรู้สึกนึกคิดเองได้รึงัย..จึงมีกิเลสในตัวมันได้...
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 08 พ.ย. 2013, 05:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:

ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน, ขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทานได้แก่ ขันธ์ในเบญจขันธ์ คือ
รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ที่ล้วนประกอบด้วยอาสวะ หรือมีอาสวะหรืออุปาทานแฝงอยู่นั่นเอง

เมื่อประกอบด้วยอุปาทานแล้ว เรียกใหม่เป็น รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์
สังขารูปาทานขันธ์ และวิญญาณูปาทานขันธ์


มีอาสวะแฝงในขันธ์....นี้...เป็นความเห็นของลุงหมานเองหรือเอามาจากไหนหรือครับ..ช่วยแนะนำด้วยครับ
คือ..ขันธ์บางตัวมันมีความรู้สึกนึกคิดเองได้รึงัย..จึงมีกิเลสในตัวมันได้...
:b8:

เช่น รูปูปาทานขันธ์ เมื่อแยกบทแล้วจะได้ รูป + อุปาทาน + ขันธ์
บาลีบางแห่งเรียกว่า รูปูปาทานักขันโธ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ในทำนองเดียวกัน
ขันธ์ทั้ง ๕ ไม่ใช่ทำหน้าที่นึกคิด แต่ทำหน้าที่ปรุงแต่ง เช่น เวทนา ก็ทำหน้าที่เสวยอารมณ์ สัญญา ก็ทำหน้าที่จำอารมณ์ สังขาร ก็ทำหน้าที่ปรุงแต่งอารมณ์ วิญญาณก็มืหน้าที่รู้อารมณ์ แต่สำหรับรูปนั้นไม่สามารถรู้อะไรได้เลย

ลองคิดเรื่องปฏิจจสมุปบาทนะครับ สายนี้เป็นสายเกิดย่อมมีอวิชชาอยู่ตลอดสาย จนถึงมรณะ เมื่อถึงมรณะอาสวะก็ยังไม่ขาดสาย เมื่อเป็นเช่นนั้นอาสวะก็ย่อมเป็นปัจจัยให้อวิชชาอีก เมื่ออวิชชาและอาสวะเกิดขึ้น ก็ย่อมทำให้ขันธ์ทั้ง ๕ เกิดขึ้นในภพใหม่อีกต่อไป จนหาที่สุดมิได้ ตามวงจรของปฏิจจสมุปบาทสายเกิด
เมื่อจะถามหาอาสวะแฝงอยู่ในขันธ์ ก็อาสวะเป็นปัจจัยให้อวิชชาหรือเป็นอาหารของอวิชชา ในเมื่อยังมีอวิชชา อาสวะก็ย่อมเป็นปัจจัยอยู่ ภพใหม่เกิดขึ้นได้เพราะอวิชชาเป็นเหตุให้เกิด ดังที่สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ที่เกิดมา ก็เพราะอวิชชากับตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทั้งสิ้น

ยังไง ๆ ถ้าเผื่อยังไม่เข้าใจก็ถามมาใหม่นะครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 08 พ.ย. 2013, 06:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
Quote Tipitaka:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า สังขาร เพราะ
ปรุงแต่งสังขตธรรม จึงเรียกว่า สังขาร ปรุงแต่งสังขตธรรมอะไร ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ รูป
โดยความเป็นรูป ปรุงแต่ง สังขตธรรม คือ เวทนา โดยความเป็นเวทนา ปรุงแต่งสังขตธรรม
คือ สัญญา โดยความเป็นสัญญา ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สังขาร โดยความเป็นสังขาร
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ วิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ


เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า สังขตธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เลย ลองจัด คำพูดใหม่

สังขาร ปรุงแต่งรูป โดยความเป็นรูป
........ ปรุงแต่งเวทนา โดยความเป็นเวทนา
........ ปรุงแต่งสัญญา โดยความเป็นสัญญา
........ ปรุงแต่งสังขาร โดยความเป็นสังขาร
........ ปรุงแต่งวิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ

ซึ่งความจริง

สังขาร ปรุงแต่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ......... แค่นี้เข้าใจดีแล้ว

แต่พอเพิ่ม คำว่า โดยความเป็น.... เข้ามา

เกิดอาการ ทะแม่งทะแม่ง

จึงขอตั้งเป็นข้อสังเกตุว่า

พระไตรปิฏก บางส่วนเริ่มอ่านไม่รู้เรื่องเต็ม 100 เปอร์เซนต์
นี่คือ ส่วนที่จะอันตรธานไปก่อน

พระไตรปิฏก จะอันตรธาน ไปเรื่อยๆ
จนสุดท้าย ก็จะเหลืออยู่ไม่มาก


ที่ต้องตั้งข้อสังเกตุ ตรงไหนหรือ ที่ส่วนของพระไตรปิฎกหายไป
ที่ว่าอ่านไม่รู้เรื่องเพราะเราไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกให้ท่องแท้ต่างหาก
ถ้าอ่านไม่เข้าใจก็ลองไปหาอ่านในส่วนที่เขาขยายความในพระไตรปิฎกเสียก่อน
แล้วค่อยกลับมาอ่านพระไตรปิฎกต่อไป เช่น ของ
พระอนุรุทธาจารย์ อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ อนุฎีกาจารย์ เหล่านี้ครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ แต่อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าพระไตรปิฎกขาดหายไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 08 พ.ย. 2013, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ฝากให้ท่านโฮฮับ

Quote Tipitaka:
[๗๐๑] ธรรมมีปัจจัย เป็นไฉน?
ขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมมีปัจจัย.
ธรรมไม่มีปัจจัย เป็นไฉน?
อสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีปัจจัย.
[๗๐๒] ธรรมเป็นสังขตะ เป็นไฉน?
ธรรมที่มีปัจจัยเหล่านั้นอันใดเล่า ธรรมเหล่านั้นนั่นแหละชื่อว่า ธรรมเป็นสังขตะ.
ธรรมเป็นอสังขตะ นั้น เป็นไฉน?
ธรรมที่ไม่มีปัจจัยนั้นอันใดเล่า ธรรมนั้นนั่นแหละชื่อว่า ธรรมเป็นอสังขตะ.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=34&A=6193&Z=6260&pagebreak=0

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสต์ เมื่อ: 08 พ.ย. 2013, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ฝากให้ท่านโฮฮับ

Quote Tipitaka:
[๗๐๑] ธรรมมีปัจจัย เป็นไฉน?
ขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมมีปัจจัย.
ธรรมไม่มีปัจจัย เป็นไฉน?
อสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีปัจจัย.
[๗๐๒] ธรรมเป็นสังขตะ เป็นไฉน?
ธรรมที่มีปัจจัยเหล่านั้นอันใดเล่า ธรรมเหล่านั้นนั่นแหละชื่อว่า ธรรมเป็นสังขตะ.
ธรรมเป็นอสังขตะ นั้น เป็นไฉน?
ธรรมที่ไม่มีปัจจัยนั้นอันใดเล่า ธรรมนั้นนั่นแหละชื่อว่า ธรรมเป็นอสังขตะ.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=34&A=6193&Z=6260&pagebreak=0


หลักในการสนทนาธรรม เมื่ออ้างอิงเนื้อใดขึ้นมา สมควรที่จะอธิบายให้คู่สนทนาทราบด้วยว่า
สิ่งที่เอามาอ้างอิงจะสื่อให้เห็นถึงอะไร อาทิเช่นจะเอามาแย้งข้อความไหนของคู่สนทนา
ไม่ใช่อ้างขึ้นมาลอยๆ แบบนี้คู่สนทนาจะไม่ทราบว่า คุณเข้าใจหรือไม่เข้าใจอย่างไร

เข้าใจธรรมไปในทางไหนอย่างไร พูดออกมาเลยไม่ต้องกลัวผิด
ผิดถูกไม่ใช่ประเด็น ความสำคัญมันอยู่ที่การโต้แย้งเพื่อให้เห็นธรรมที่หลากหลาย :b13:


ผมพอสันนิฐานเอาเองว่า คุณคงสับสนกับบัญญัติที่ว่า......ธรรมเป็นสังตะ

ก่อนอื่นอยากแนะนำคุณโกวิทครับ อย่าเอาบัญญัติที่เป็นพุทธพจน์ ไปประสมคำจนเกิดเคำใหม่
แบบนี้มันทำให้พุทธพจน์ผิดเพี้ยน

คุณโกวิทครับ....ธรรมที่เป็นสังขตะกับสังขตธรรมเป็นธรรมคนล่ะอย่างกันครับ

ธรรมที่เป็นสังขตะ คือตัวธรรมตรงๆ อย่างเช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

สังขตธรรม เป็นลักษณะของธรรมที่เป็นสังขตะครับ เช่น ....


[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓
ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขต-
*ธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ


โพสต์ เมื่อ: 09 พ.ย. 2013, 01:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านข้อความของแต่ละท่านก็ช่วยทำให้เราเกิดการพิจารณาได้ดีมาก อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 09 พ.ย. 2013, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Quote Tipitaka:
[๒๗๙] อุปาทานขันธ์ ๕ อย่าง
๑. รูปูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ รูป)
๒. เวทนูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ เวทนา)
๓. สัญญูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สัญญา)
๔. สังขารูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สังขาร)
๕. วิญญาณูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ วิญญาณ) ฯ

http://www.tipitaka.com/tipitaka11.htm

ข้อที่น่าสังเกตุ

คำว่า เป็นที่ตั้ง

บางที เวลาอ่าน อาจคิดไปว่า

อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ รูป
อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ เวทนา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สัญญา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สังขาร
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ วิญญาณ

ทั้งๆ ที่
อุปาทาน ไปปรุงแต่ง(ยึดมั่น) รูป
อุปาทาน ไปยึดมั่น เวทนา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สัญญา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สังขาร
อุปาทาน ไปยึดมั่น วิญญาณ


เพราะ ในความเป็นจริง อุปาทาน เป็นตัวทิฏฐิเจตสิก ที่จัดอยู่ใน สังขารขันธ์นั่นแหละ
เพียงแต่แผ่อำนาจ ออกไปทำหน้าที่ยึด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้นเอง

ไม่ได้ไปตั้งอยู่ จริงๆ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสต์ เมื่อ: 09 พ.ย. 2013, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
Quote Tipitaka:
[๒๗๙] อุปาทานขันธ์ ๕ อย่าง
๑. รูปูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ รูป)
๒. เวทนูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ เวทนา)
๓. สัญญูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สัญญา)
๔. สังขารูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สังขาร)
๕. วิญญาณูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ วิญญาณ) ฯ

http://www.tipitaka.com/tipitaka11.htm

ข้อที่น่าสังเกตุ

คำว่า เป็นที่ตั้ง

บางที เวลาอ่าน อาจคิดไปว่า

อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ รูป
อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ เวทนา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สัญญา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สังขาร
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ วิญญาณ

ทั้งๆ ที่
อุปาทาน ไปปรุงแต่ง(ยึดมั่น) รูป
อุปาทาน ไปยึดมั่น เวทนา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สัญญา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สังขาร
อุปาทาน ไปยึดมั่น วิญญาณ


เพราะ ในความเป็นจริง อุปาทาน เป็นตัวทิฏฐิเจตสิก ที่จัดอยู่ใน สังขารขันธ์นั่นแหละ
เพียงแต่แผ่อำนาจ ออกไปทำหน้าที่ยึด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้นเอง

ไม่ได้ไปตั้งอยู่ จริงๆ


อุปาทาน ไม่ใช่ "ทิฏฐิเจตสิก" นะครับ อุปาทาน องค์ธรรมตัวเดียวกันกับ"โลภะเจตสิก"อย่าสับสน
อาจทำให้คนอื่นที่อ่านอาจเข้าใจผิดด้วย เป็นการเอาความเห็นผิดของตนไปยื่นให้คนอื่น นี่แหละที่เขาว่ามีความเห็นผิด หรือเป็น มิจฉาทิฏฐิ หละ ธรรมะอย่าตีความเอาเองต้องศึกษาให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็นมิจฉาทิฎฐิครับ เป็นโทษที่น่ากลัวคือเป็นการบิดเบือนคำสอนและเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวนะครับ ผมบอกให้รู้แต่คำพูดก็คงอาจจะแรงไป แต่ก็ไม่สามารถหาคำพูดที่นุ่มนวลกว่านี้ได้ แต่เห็นว่าน่าจะได้รับประโยชน์พอ

อุปาทาน แปลว่าความยึดมั่น เช่นยึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน โดยอาศัยอำนาจจากความเห็นจึงยึดมั่น ท่านเปรียบเหมือนงูกำลังกินกบนั่นแหละโดยที่ไม่ยอมปล่อย อุปาทานไม่มีองค์ธรรมโดยเฉพาะ ถ้าดูในเจตสิก ๕๒ จะไม่ว่ามีตัวอุปาทานเลย ฉะนั้นอุปาทานจึงจัดเข้ากันกับโลภะเจตสิก ถ้าจะว่าอุปาทานเป็นสังขารก็ได้แต่ว่าไม่มีหน้าที่เด่นชัดเหมือนกับโลภะเจตสิก เช่นเดียวกับโลภะเจตสิกที่มีความอยากได้แต่ก็ไม่ถึงกับความยึดมั่นเป็นเพียงแค่อยากได้เฉยๆ แต่ถ้าอุปาทานเกิดร่วมด้วยความอยากได้ก็จะมีความอยากได้ที่เพิ่มขึ้นมาอีก คือหมายความว่าอยากแล้วต้องเอาให้ได้ไม่ว่าจะเป็นสุจริตหรือทุจริตก็แล้วแต่ช่องทางใดทางหนึ่งที่เปิดโอกาส

อุปาทาน ยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา ถ้าขันธ์ทั้ง ๕ ไม่มีไม่เป็นที่ตั้งให้ให้อุปาทานเข้าไปยึด อุปาทานก็ต้องดับ แต่ถ้ายังมีขันธ์ ๕ อยู่อุปาทานก็มีที่ตั้งอยู่ ถ้าขันธ์ ๕ ดับ ตัณหาก็ดับ(ตัณหาก็คือโลภะเจตสิกที่มีตัวอุปาทานร่วมด้วย)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 09 พ.ย. 2013, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
govit2552 เขียน:
Quote Tipitaka:
[๒๗๙] อุปาทานขันธ์ ๕ อย่าง
๑. รูปูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ รูป)
๒. เวทนูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ เวทนา)
๓. สัญญูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สัญญา)
๔. สังขารูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สังขาร)
๕. วิญญาณูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ วิญญาณ) ฯ

http://www.tipitaka.com/tipitaka11.htm

ข้อที่น่าสังเกตุ

คำว่า เป็นที่ตั้ง

บางที เวลาอ่าน อาจคิดไปว่า

อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ รูป
อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ เวทนา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สัญญา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สังขาร
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ วิญญาณ

ทั้งๆ ที่
อุปาทาน ไปปรุงแต่ง(ยึดมั่น) รูป
อุปาทาน ไปยึดมั่น เวทนา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สัญญา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สังขาร
อุปาทาน ไปยึดมั่น วิญญาณ


เพราะ ในความเป็นจริง อุปาทาน เป็นตัวทิฏฐิเจตสิก ที่จัดอยู่ใน สังขารขันธ์นั่นแหละ
เพียงแต่แผ่อำนาจ ออกไปทำหน้าที่ยึด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้นเอง

ไม่ได้ไปตั้งอยู่ จริงๆ


อุปาทาน ไม่ใช่ "ทิฏฐิเจตสิก" นะครับ อุปาทาน องค์ธรรมตัวเดียวกันกับ"โลภะเจตสิก"อย่าสับสน
อาจทำให้คนอื่นที่อ่านอาจเข้าใจผิดด้วย เป็นการเอาความเห็นผิดของตนไปยื่นให้คนอื่น นี่แหละที่เขาว่ามีความเห็นผิด หรือเป็น มิจฉาทิฏฐิ หละ ธรรมะอย่าตีความเอาเองต้องศึกษาให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็นมิจฉาทิฎฐิครับ เป็นโทษที่น่ากลัวคือเป็นการบิดเบือนคำสอนและเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวนะครับ ผมบอกให้รู้แต่คำพูดก็คงอาจจะแรงไป แต่ก็ไม่สามารถหาคำพูดที่นุ่มนวลกว่านี้ได้ แต่เห็นว่าน่าจะได้รับประโยชน์พอ

อุปาทาน แปลว่าความยึดมั่น เช่นยึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน โดยอาศัยอำนาจจากความเห็นจึงยึดมั่น ท่านเปรียบเหมือนงูกำลังกินกบนั่นแหละโดยที่ไม่ยอมปล่อย อุปาทานไม่มีองค์ธรรมโดยเฉพาะ ถ้าดูในเจตสิก ๕๒ จะไม่ว่ามีตัวอุปาทานเลย ฉะนั้นอุปาทานจึงจัดเข้ากันกับโลภะเจตสิก ถ้าจะว่าอุปาทานเป็นสังขารก็ได้แต่ว่าไม่มีหน้าที่เด่นชัดเหมือนกับโลภะเจตสิก เช่นเดียวกับโลภะเจตสิกที่มีความอยากได้แต่ก็ไม่ถึงกับความยึดมั่นเป็นเพียงแค่อยากได้เฉยๆ แต่ถ้าอุปาทานเกิดร่วมด้วยความอยากได้ก็จะมีความอยากได้ที่เพิ่มขึ้นมาอีก คือหมายความว่าอยากแล้วต้องเอาให้ได้ไม่ว่าจะเป็นสุจริตหรือทุจริตก็แล้วแต่ช่องทางใดทางหนึ่งที่เปิดโอกาส

อุปาทาน ยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา ถ้าขันธ์ทั้ง ๕ ไม่มีไม่เป็นที่ตั้งให้ให้อุปาทานเข้าไปยึด อุปาทานก็ต้องดับ แต่ถ้ายังมีขันธ์ ๕ อยู่อุปาทานก็มีที่ตั้งอยู่ ถ้าขันธ์ ๕ ดับ ตัณหาก็ดับ(ตัณหาก็คือโลภะเจตสิกที่มีตัวอุปาทานร่วมด้วย)


ตัณหา เป็นปัจจัยให้ อุปาทาน

ตัณหาคือโลภะที่มีกำลังอ่อน
อุปาทาน คือ โลภะที่มีกำลังแรงกล้า(เพราะถูกอุปาทานครอบงำ)

เป็นโลภะเหมือนกันแต่เกิดต่างขณะกันค่ะ อย่าปล่อยให้ตัณหาพัฒนาเป็นอุปาทานได้ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสต์ เมื่อ: 09 พ.ย. 2013, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
Quote Tipitaka:
[๒๗๙] อุปาทานขันธ์ ๕ อย่าง
๑. รูปูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ รูป)
๒. เวทนูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ เวทนา)
๓. สัญญูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สัญญา)
๔. สังขารูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ สังขาร)
๕. วิญญาณูปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน คือ วิญญาณ) ฯ

http://www.tipitaka.com/tipitaka11.htm

ข้อที่น่าสังเกตุ

คำว่า เป็นที่ตั้ง

บางที เวลาอ่าน อาจคิดไปว่า

อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ รูป
อุปาทาน ไปตั้ง อยู่ที่ เวทนา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สัญญา
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ สังขาร
อุปาทาน ไปตั้งอยู่ที่ วิญญาณ

ทั้งๆ ที่
อุปาทาน ไปปรุงแต่ง(ยึดมั่น) รูป
อุปาทาน ไปยึดมั่น เวทนา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สัญญา
อุปาทาน ไปยึดมั่น สังขาร
อุปาทาน ไปยึดมั่น วิญญาณ


เพราะ ในความเป็นจริง อุปาทาน เป็นตัวทิฏฐิเจตสิก ที่จัดอยู่ใน สังขารขันธ์นั่นแหละ
เพียงแต่แผ่อำนาจ ออกไปทำหน้าที่ยึด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้นเอง

ไม่ได้ไปตั้งอยู่ จริงๆ


คุณโกวิทกับอีกหลายท่านยังขาดความเข้าใจ......เรื่องธรรมฐิติ ธรรมนิยาม

ธรรมชาติมันมีธรรมที่ตั้งอยู่ ต่อให้คุณโกวิทจะสำเร็จอรหันต์และจากไปแล้ว
ตัวธรรมบิติ ธรรมนิยามก็ยังคงอยู่ ที่มันคงอยู่ก็เพราะมันเป็นธรรมชาติของโลก

ความหมายของธรรมฐิติ คือธรรมชาติที่ตั้งอยู่ของมัน พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในธรรมนี้
จึงทรงให้นิยามธรรมนี้ว่า..........

สัพเพสังขารา อนิจจัง
สัพเพสังขารา ทุกข์ขัง
สัพเพธัมมา อนัตตา


สังขารก็คือสังขาร ......มันก็ตั้งอยู่ของมัน มีเหตุปัจจัยให้เกิดมันก็เกิด
อย่างเช่น เมื่อมีการกระทบ การกระทบเป็นเหตุปัจจัย ย่อมต้องมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต ยังมีรูปนาม นั้นย่อมต้องมีการกระทบ เมื่อมีการกระทบย่อมเป็นเหตุปัจจัย
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อมต้องเกิด มันเป็นธรรมชาติ

หลายคนมักจะสับสน คิดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นขันธ์
แท้จริงแล้วไม่ใช่ ขันธ์เกิดจากการกระทำของจิต ในความเป็นสภาวะของจิต
จิตจะเป็นผู้รู้ แต่ถ้าจิตหลงหน้าทีรู้จะแปลเปลี่ยนเป็นผู้ยึด


จิตยึดอะไร ในความเป็นจริงแล้วจิตไม่ได้ยึด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
แต่สิ่งที่จิตไปยึดก็คือ......ตัณหา เมื่อจิตไปยึดตัณหาจึงเกิดอุปาทานที่จิต
เมื่อจิตเป็นอุปาทาน
จึงเป็นเหตุให้จิตวนเวียนปรุงแต่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเกิดจากผัสสะในอดีต
การวนเวียนปรุงแต่งผัสสะหรือปัญจทวารในอดีต เกิดที่มโนทวาร ซึ่งความจริงก็คือความคิด
การคิดในสิ่งที่เป็นอดีตหรือสังขารที่ดับไปแล้ว......มันทำให้เกิดทุกข์ที่เรียกว่า...ขันธ์ห้า
หรืออุปาทานขันธ์ห้า


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron