วันเวลาปัจจุบัน 13 พ.ย. 2025, 22:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ตัวอย่างทางนามธรรม ก็เช่น


สภาวะ: ความโลภ คือสภาพจิตที่อยากได้อยากเอามาเพื่อตน อาจเป็นเหตุให้ทำการแสวงหาต่างๆ อาจถึงกับทำให้ไปเอาทรัพย์สินของคนอื่น ทำการลักขโมย เป็นต้น โทสะ คือภาวะจิตที่เคืองแค้นมุ่งร้าย ทำให้ใจเร่าร้อน หัวใจเต้นเร็ว ใจเครียด กล้ามเนื้อเขม็งเกร็ง เลือดลมติดขัด กระบวนการเผาผลาญในร่างกายทำงานหนัก ทรุดโทรมแก่เร็วขึ้น ง่ายที่จะก่อความขัดแย้งกับผู้อื่น รุนเร้าขับดันให้ไปรังควาญคนที่ตนเกลียดชัง อาจถึงกับทำให้ไปทำร้ายทุบตีหรือฆ่าคนอื่น เมตตา คือ สภาพจิตที่รักปรารถนาดีอยากให้คนอื่นเป็นสุข ทำให้จิตใจสงบเย็น ทำให้ระบบของร่างกายผ่อนคลาย หายใจสบาย เลือดลมเดินดี เผาผลาญน้อย ทรุดโทรมแก่ช้า ทำให้มีความเป็นมิตรและอยากช่วยเหลือผู้อื่น ไปบำเพ็ญประโยชน์ เกื้อกูลสังคม ฯลฯ


จริยะ: ควรควบคุมความโลภไม่ให้ทำการแสวงหาเกินขอบเขตที่ถึงกับไปเอาของของคนอื่น ถึงกับเบียดเบียน หรือก่อความเดือดร้อนแก่สังคม ควรจัดการให้โลภะระบายออกในระบบการแสวงหาลาภด้วยการทำงาน ควรดับโทสะ เพื่อสุขภาพกายใจของตน ระงับยับยั้งโทสะไม่ให้ทำการประทุษร้ายผู้อื่น มิให้แสดงออกมาในการก่อความเดือดร้อนเบียดเบียนสังคม ควรเจริญเมตตาให้เอื้อต่อสุขภาพกายใจ ควรพัฒนาตนในทางมีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูล ควรหาทางแสดงน้ำใจไมตรี ไปร่วมมือกัน ไปบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ฯลฯ


บัญญัติ: ตรากฎหมายห้ามลักขโมย ตรากฎหมายวางบทบัญญัติเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย วางระเบียบการจัดอบรมผู้ต้องขัง อบรมเด็กมีปัญหา จัดตั้งค่ายคุณธรรมเพื่อพัฒนาเมตตาธรรม ให้ซื่อสัตย์ ให้กตัญญู จัดตั้งชมรมสุขภาพกายสุขภาพใจ ฯลฯ



ตามตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นได้ไม่ยากว่า สภาวะ เป็นความจริงของธรรมชาติ และจริยะ ก็เป็นความจริงเกี่ยวกับความต้องการของชีวิตของคน ไม่ว่าที่ไหน เมื่อใด ทุกกาลเทศะ ก็เป็นอย่างนั้น

ดังนั้น สภาวธรรม และจริยธรรม ซึ่งสืบเนื่องต่อกันมา จึงอยู่ในระดับที่เป็นสัจธรรมด้วยกัน

ส่วนบัญญัตินั้น กำหนดหรือจัดตั้งวางขึ้น เพื่อให้จริยะมีผลเป็นจริง หรือให้ได้ผลตามจริยะ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมมติ หรือสมมติธรรม คือไม่มีอยู่จริง แต่เป็นเรื่องของการตกลงหรือยอมรับร่วมกันของมนุษย์


ดังนั้น บัญญัติธรรม ซึ่งแต่ละสังคมก็พยายามจัดวางให้ได้ผลมากที่สุด แต่มีความรู้ความเห็นความต้องการความสามารถ มากน้อยไม่เท่ากัน ไม่ตรงกัน เช่น ประเทศนี้ มีกฎหมายว่าด้วยการเก็บ การเคลื่อนย้าย การใช้ เชื่อเพลิงประเภทต่างๆ เช่น แก๊ส น้ำมัน ถ่านหิน ฯลฯ อย่างหนึ่ง แต่อีกประเทศหนึ่ง มีข้อกำหนดอีกแบบหนึ่ง และสำหรับเชื่อเพลิงแต่ละประเภทนั้นๆ ก็มีข้อบัญญัติที่เป็นรายละเอียดแตกต่างกันไปมากมาย หรือแม้ในประเทศเดียวกัน แต่ต่างยุคสมัย ก็มีเหตุให้บัญญัติแผกกันไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ่อีกหน่อย




บางที บัญญัติธรรม ก็ต่างกันมาก จนอาจจะตรงข้ามกันเลย คือ เรื่องที่ในสังคมนี้บัญญัติให้เป็นการถูกต้อง แต่อีกสังคมหนึ่งบัญญัติให้เป็นการไม่ถูกต้อง หรือในสังคมเดียวกันต่างกาละ เรื่องที่เคยบัญญัติว่าผิด ก็บัญญัติใหม่เป็นถูก เรื่องที่เคยว่าถูก ก็เอาเป็นผิด

ข้อที่พึงทราบอีกอย่างหนึ่ง คือ จะเห็นชัดเช่นกันว่า สภาวะ หรือ สภาวธรรม เป็นเรื่องของปัญญา คือขึ้นต่อความรู้ ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ ส่วนจริยะ เป็นเรื่องของเจตนา คือขึ้นต่อเจตจำนง ความตั้งใจ

ในการบัญญัติจัดตั้งบัญญัติธรรม จะทำได้ผลดี ก็ต้องมีปัญญาที่รู้เข้าใจเข้าถึงสภาวะ และมีเจตนาที่สะอาดประกอบด้วยเมตตา ปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ต่อสังคม เป็นต้น อย่างจริงจังและจริงใจ

ท้ายสุด ในขั้นปฏิบัติตามบัญญัติธรรม การที่จะปฏิบัติตามหรือไม่ และปฏิบัติได้ผลมากน้อยเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับปัญญา และเจตนาเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการพัฒนามนุษย์ ด้วยการศึกษา ที่จะให้มนุษย์นั้นมีปัญญารู้เข้าใจสภาวธรรมเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้เขาพัฒนาจิตใจให้มีเจตนาที่ประกอบด้วยคุณสมบัติดีงามทั้งหลาย เช่น เมตตา กรุณา สติ สมาธิ ฯลฯ เพื่อจะได้มีจริยธรรม ที่จะเอาเจตนานั้นไปนำพฤติกรรมทางกายวาจา โดยอาศัยบัญญัติธรรมช่วย เกื้อหนุน ให้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงามเกื้อกูลเป็นคุณเป็นประโยชน์ แก่ชีวิต แก่สังคม และแก่โลกที่แวดล้อมทั้งหมด ให้อยู่ดีมีสันติสุขแท้จริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 14:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ต่อ่อีกหน่อย




บางที บัญญัติธรรม ก็ต่างกันมาก จนอาจจะตรงข้ามกันเลย คือ เรื่องที่ในสังคมนี้บัญญัติให้เป็นการถูกต้อง แต่อีกสังคมหนึ่งบัญญัติให้เป็นการไม่ถูกต้อง หรือในสังคมเดียวกันต่างกาละ เรื่องที่เคยบัญญัติว่าผิด ก็บัญญัติใหม่เป็นถูก เรื่องที่เคยว่าถูก ก็เอาเป็นผิด

ข้อที่พึงทราบอีกอย่างหนึ่ง คือ จะเห็นชัดเช่นกันว่า สภาวะ หรือ สภาวธรรม เป็นเรื่องของปัญญา คือขึ้นต่อความรู้ ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ ส่วนจริยะ เป็นเรื่องของเจตนา คือขึ้นต่อเจตจำนง ความตั้งใจ

ในการบัญญัติจัดตั้งบัญญัติธรรม จะทำได้ผลดี ก็ต้องมีปัญญาที่รู้เข้าใจเข้าถึงสภาวะ และมีเจตนาที่สะอาดประกอบด้วยเมตตา ปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ต่อสังคม เป็นต้น อย่างจริงจังและจริงใจ

ท้ายสุด ในขั้นปฏิบัติตามบัญญัติธรรม การที่จะปฏิบัติตามหรือไม่ และปฏิบัติได้ผลมากน้อยเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับปัญญา และเจตนาเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการพัฒนามนุษย์ ด้วยการศึกษา ที่จะให้มนุษย์นั้นมีปัญญารู้เข้าใจสภาวธรรมเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้เขาพัฒนาจิตใจให้มีเจตนาที่ประกอบด้วยคุณสมบัติดีงามทั้งหลาย เช่น เมตตา กรุณา สติ สมาธิ ฯลฯ เพื่อจะได้มีจริยธรรม ที่จะเอาเจตนานั้นไปนำพฤติกรรมทางกายวาจา โดยอาศัยบัญญัติธรรมช่วย เกื้อหนุน ให้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงามเกื้อกูลเป็นคุณเป็นประโยชน์ แก่ชีวิต แก่สังคม และแก่โลกที่แวดล้อมทั้งหมด ให้อยู่ดีมีสันติสุขแท้จริง

ชอบจริงๆ เอาสัก3กัปล์ดีมั้ย อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากผู้มีปัญญามองพระพุทธศาสนา คือมองจากข้างในออกไปข้างนอก (สังคมมนุษย์) หรือมองจากข้างนอก เข้ามาข้างใน คือ ที่ตัวสภาวะเอง (ที่สมมติเรียกว่า คน) จะเห็นโล่งตลอดเลย ไม่ติดไม่ตัน ไม่สุดโต่งอย่างที่เห็นๆทั่วๆไป ใช่ไหมขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ต่อ่อีกหน่อย




บางที บัญญัติธรรม ก็ต่างกันมาก จนอาจจะตรงข้ามกันเลย คือ เรื่องที่ในสังคมนี้บัญญัติให้เป็นการถูกต้อง แต่อีกสังคมหนึ่งบัญญัติให้เป็นการไม่ถูกต้อง หรือในสังคมเดียวกันต่างกาละ เรื่องที่เคยบัญญัติว่าผิด ก็บัญญัติใหม่เป็นถูก เรื่องที่เคยว่าถูก ก็เอาเป็นผิด

ข้อที่พึงทราบอีกอย่างหนึ่ง คือ จะเห็นชัดเช่นกันว่า สภาวะ หรือ สภาวธรรม เป็นเรื่องของปัญญา คือขึ้นต่อความรู้ ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ ส่วนจริยะ เป็นเรื่องของเจตนา คือขึ้นต่อเจตจำนง ความตั้งใจ

ในการบัญญัติจัดตั้งบัญญัติธรรม จะทำได้ผลดี ก็ต้องมีปัญญาที่รู้เข้าใจเข้าถึงสภาวะ และมีเจตนาที่สะอาดประกอบด้วยเมตตา ปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ต่อสังคม เป็นต้น อย่างจริงจังและจริงใจ

ท้ายสุด ในขั้นปฏิบัติตามบัญญัติธรรม การที่จะปฏิบัติตามหรือไม่ และปฏิบัติได้ผลมากน้อยเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับปัญญา และเจตนาเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการพัฒนามนุษย์ ด้วยการศึกษา ที่จะให้มนุษย์นั้นมีปัญญารู้เข้าใจสภาวธรรมเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้เขาพัฒนาจิตใจให้มีเจตนาที่ประกอบด้วยคุณสมบัติดีงามทั้งหลาย เช่น เมตตา กรุณา สติ สมาธิ ฯลฯ เพื่อจะได้มีจริยธรรม ที่จะเอาเจตนานั้นไปนำพฤติกรรมทางกายวาจา โดยอาศัยบัญญัติธรรมช่วย เกื้อหนุน ให้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงามเกื้อกูลเป็นคุณเป็นประโยชน์ แก่ชีวิต แก่สังคม และแก่โลกที่แวดล้อมทั้งหมด ให้อยู่ดีมีสันติสุขแท้จริง

ชอบจริงๆ เอาสัก3กัปล์ดีมั้ย อิอิ



นี่ท่านกำลังพูดถึงอะไรขอรับ 3 กัปล์ หมายถึงอะไร หรือกำลังไปไม่เป็นขอรับฮี่ๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 14:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ต่อ่อีกหน่อย




บางที บัญญัติธรรม ก็ต่างกันมาก จนอาจจะตรงข้ามกันเลย คือ เรื่องที่ในสังคมนี้บัญญัติให้เป็นการถูกต้อง แต่อีกสังคมหนึ่งบัญญัติให้เป็นการไม่ถูกต้อง หรือในสังคมเดียวกันต่างกาละ เรื่องที่เคยบัญญัติว่าผิด ก็บัญญัติใหม่เป็นถูก เรื่องที่เคยว่าถูก ก็เอาเป็นผิด

ข้อที่พึงทราบอีกอย่างหนึ่ง คือ จะเห็นชัดเช่นกันว่า สภาวะ หรือ สภาวธรรม เป็นเรื่องของปัญญา คือขึ้นต่อความรู้ ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ ส่วนจริยะ เป็นเรื่องของเจตนา คือขึ้นต่อเจตจำนง ความตั้งใจ

ในการบัญญัติจัดตั้งบัญญัติธรรม จะทำได้ผลดี ก็ต้องมีปัญญาที่รู้เข้าใจเข้าถึงสภาวะ และมีเจตนาที่สะอาดประกอบด้วยเมตตา ปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ต่อสังคม เป็นต้น อย่างจริงจังและจริงใจ

ท้ายสุด ในขั้นปฏิบัติตามบัญญัติธรรม การที่จะปฏิบัติตามหรือไม่ และปฏิบัติได้ผลมากน้อยเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับปัญญา และเจตนาเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการพัฒนามนุษย์ ด้วยการศึกษา ที่จะให้มนุษย์นั้นมีปัญญารู้เข้าใจสภาวธรรมเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้เขาพัฒนาจิตใจให้มีเจตนาที่ประกอบด้วยคุณสมบัติดีงามทั้งหลาย เช่น เมตตา กรุณา สติ สมาธิ ฯลฯ เพื่อจะได้มีจริยธรรม ที่จะเอาเจตนานั้นไปนำพฤติกรรมทางกายวาจา โดยอาศัยบัญญัติธรรมช่วย เกื้อหนุน ให้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงามเกื้อกูลเป็นคุณเป็นประโยชน์ แก่ชีวิต แก่สังคม และแก่โลกที่แวดล้อมทั้งหมด ให้อยู่ดีมีสันติสุขแท้จริง

ชอบจริงๆ เอาสัก3กัปล์ดีมั้ย อิอิ



นี่ท่านกำลังพูดถึงอะไรขอรับ 3 กัปล์ หมายถึงอะไร หรือกำลังไปไม่เป็นขอรับฮี่ๆ :b32:

เห็นชอบอะไรแบบยาว ก็อปความรู้คนอื่นมาวาง รู้สึกกรัชกายชอบอ่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซี่ซั่วอีกแล้วกรัชกายเอ๋ย มันมีเยี่ยงอย่างที่ไหน ถามหน่อยเถอะ
เป็นพุทธหรือเปล่า ไตรสิกขาในศาสนาพุทธพจน์ต้องเอาพุทธพจน์เป็นหลัก
การอธิบายความถ้าอ้างอิง ถ้าไม่เป็นพระไตรปิฎกก็ควรจะเป็นอรรถกถา นี่ดันไปเอาตำราเรียน
ที่เป็นโลกียะมาโพส รู้หรือเปล่าว่ามันเปลื้องหน้ากระทู้

หัวข้อกระทู้ก็บอกอยู่ทนโท่ว่า .....พุทธพจน์ห้ามเอาไปแปลซี่ซั่ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ซี่ซั่วอีกแล้วกรัชกายเอ๋ย มันมีเยี่ยงอย่างที่ไหน ถามหน่อยเถอะ
เป็นพุทธหรือเปล่า ไตรสิกขาในศาสนาพุทธพจน์ต้องเอาพุทธพจน์เป็นหลัก
การอธิบายความถ้าอ้างอิง ถ้าไม่เป็นพระไตรปิฎกก็ควรจะเป็นอรรถกถา นี่ดันไปเอาตำราเรียน
ที่เป็นโลกียะมาโพส รู้หรือเปล่าว่ามันเปลื้องหน้ากระทู้

หัวข้อกระทู้ก็บอกอยู่ทนโท่ว่า .....พุทธพจน์ห้ามเอาไปแปลซี่ซั่ว

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ต่อ่อีกหน่อย




บางที บัญญัติธรรม ก็ต่างกันมาก จนอาจจะตรงข้ามกันเลย คือ เรื่องที่ในสังคมนี้บัญญัติให้เป็นการถูกต้อง แต่อีกสังคมหนึ่งบัญญัติให้เป็นการไม่ถูกต้อง หรือในสังคมเดียวกันต่างกาละ เรื่องที่เคยบัญญัติว่าผิด ก็บัญญัติใหม่เป็นถูก เรื่องที่เคยว่าถูก ก็เอาเป็นผิด

ข้อที่พึงทราบอีกอย่างหนึ่ง คือ จะเห็นชัดเช่นกันว่า สภาวะ หรือ สภาวธรรม เป็นเรื่องของปัญญา คือขึ้นต่อความรู้ ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ ส่วนจริยะ เป็นเรื่องของเจตนา คือขึ้นต่อเจตจำนง ความตั้งใจ

ในการบัญญัติจัดตั้งบัญญัติธรรม จะทำได้ผลดี ก็ต้องมีปัญญาที่รู้เข้าใจเข้าถึงสภาวะ และมีเจตนาที่สะอาดประกอบด้วยเมตตา ปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ต่อสังคม เป็นต้น อย่างจริงจังและจริงใจ

ท้ายสุด ในขั้นปฏิบัติตามบัญญัติธรรม การที่จะปฏิบัติตามหรือไม่ และปฏิบัติได้ผลมากน้อยเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับปัญญา และเจตนาเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการพัฒนามนุษย์ ด้วยการศึกษา ที่จะให้มนุษย์นั้นมีปัญญารู้เข้าใจสภาวธรรมเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้เขาพัฒนาจิตใจให้มีเจตนาที่ประกอบด้วยคุณสมบัติดีงามทั้งหลาย เช่น เมตตา กรุณา สติ สมาธิ ฯลฯ เพื่อจะได้มีจริยธรรม ที่จะเอาเจตนานั้นไปนำพฤติกรรมทางกายวาจา โดยอาศัยบัญญัติธรรมช่วย เกื้อหนุน ให้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงามเกื้อกูลเป็นคุณเป็นประโยชน์ แก่ชีวิต แก่สังคม และแก่โลกที่แวดล้อมทั้งหมด ให้อยู่ดีมีสันติสุขแท้จริง

ชอบจริงๆ เอาสัก3กัปล์ดีมั้ย อิอิ



นี่ท่านกำลังพูดถึงอะไรขอรับ 3 กัปล์ หมายถึงอะไร หรือกำลังไปไม่เป็นขอรับฮี่ๆ :b32:

เห็นชอบอะไรแบบยาว ก็อปความรู้คนอื่นมาวาง รู้สึกกรัชกายชอบอ่ะ



มันเป็นความจริง เป็นธรรมะ ไม่ใช่ของใครโดยเฉพาะดอก มันเป็นธรรมซาติ คิกๆ ไปนั่งคิดเพ้อเอาเองแล้วมันเป็นอะไรล่ะน่า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับเอ้ย คุณไม่ไ้ด้เข้าใจพระพุทธศาสนาอะไรเลย เพ้อเจ้อ นี่พูดจากใจจริงนะขอรับเนี่ย :b1:

พี่นั่นแหละที่ไม่เข้าใจอะไรเลย แม้แต่ความรู้สึกของคนอื่น ดีแต่พุดจาปลอบใจแต่ให้คำแนะนำใครได้มั่ง
อ่อและอีกอย่างพี่ชอบที่จะทำตัวเป็นอาจารย์สอนผู้อื่น พี่ก็ควรปฏิบัติให้ก้าวหน้ากว่านี้ ไม่ใช่แต่ว่ากอปข้อความของคนอื่นมาลง หนังสือธรรมมะมีให้อ่านเยอะแยะ เข้ากูเกิลหาอ่านที่ไหนก็ได้ คุณน้องไม่ค่อยเห็นพี่แสดงความเห็นที่มาจากปัญญาของพี่เองเลย พุดจริงๆนะ อยากจะให้ผู้อื่นตามก็ทำตัวเป็นผู้นำบ้างสิ
ไม่ใช่ถามอยู่นั่นแหละ อะไรธรรมมะ อะไรปัญญา อะไรสภาวะ รู้ป่าวคุณน้องสังเกตุหลายครั้งแล้วนะ
คุณน้องว่าการกระทำของพี่มันน่ารำคาญกว่าพี่โอฮับอีก เพราะพี่แสดงความเห็นไม่ก่อให้เกิดปัญญาเลย พุดจริงๆ พี่กอปความเห็นคนอื่นมาแล้วบอกว่าพี่มีปัยญาคุณน้องไม่ยอมรับหรอกนะ เพราะเวลาคนอื่นแสดงความเห็นจากภูมิธรรมของตนพี่ก็เกรียนถามเค้าว่า ทำยังไง ปฏิบัติอย่างไร ไม่ดูบ้างว่าไอ้ที่ตัวเองกอปปี้มาให้ผู้อื่น จริยะธรรม บัญญัติธรรม อะไรอีกมากมาย มันจะลงมือปฏิบัติยังไง อ่านแล้วคุณน้องจะหลับ บอกตรงๆ จะอธิบายให้เห็นเข้าใจง่ายๆว่า เหมือนคนกำลังเพ้อเรื่อง กินปลาทูน่ามันมีประโยชน์นะ มีไอโอดีน ทำให้ฉลาด เพราะมันมีโอเมก้า3 :b32: แต่ไม่รู้วิธีจับปลาทูน่า แล้วเขาจะได้กินปลาทูน่า ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไหมหละ เค้าก็ต้องไปหาปลาเองอยู่ดี คริคริ แต่พอคนอื่นมาบอกวิธีตกปลา เค้าบอกว่าต้องมีไส้เดือน และก็มีเส้นด้าย และก็มีตะขอ พี่กรัชกายก็จะงงเป็นไก่ตาแตกและถามว่า อะไรตะขอ เอาไว้ทำไร อะไรด้ายเอาไว้ทำไม ไส้เดือนอีกเอามาไว้ทำอะไร 555 นี่แหละตัวตนของพี่กรัชกาย คริคริ :b32: :b32:

ใครจะมองว่าพี่โฮฮับเป็นยังงัยเป็นศรีธนญชัยหรืออะไรก็ตาม ยังงัยคุณน้องก็ยังระลึกถึงความดีของพี่เค้านะ เพราะคนเราอยากให้คนอื่นดีกับตนแต่ตนเคยทำดีให้ผู้อื่นเห็นยัง หรือต้องการแค่คำหวานๆแสแสร้งยกยอปอปั้น พี่โฮฮับชอบชี้ให้คุณน้องเห็นเสมอว่า ตอนนี้คุณน้องกำลังเหยียบขี้และก็เหม็นหึ่ง น่ารังเกียจ ถ้าเราก้มลงไปดูว่าเราเหยียบขี้จริงไหม แล้วมันเหม็นจริงไหม เออถ้ามันจริงและเหม็นจริง คนอื่นไม่อยากเข้าใกล้ เราก็ต้องรู้ตัวเองและรีบไปล้างขี้ออกก็แค่นั้น ไม่ใช่มาโกรธหรือด่าคนที่เค้าชี้ให้ตนเองเห็นว่า เหยียบขี้อยู่ ถ้าเค้าจะเหม็นก็ไม่ผิดนี่หน่า แต่ชาวพุทธก็เป็นแบบนี้แหละ ใครว่ากระทบกระเทียบชี้ให้เห็นโทษของตนมักจะรับความจริงไม่ค่อยได้ 555 :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับรู้สึกดีไหมสบายใจขึ้นบ้างหรือยังมีคนเข้าข้างแล้ว :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมาย "สภาวธรรม" "จริยธรรม" "บัญญัติธรรม" นี่เป็นระบบของพระพุทธศาสนา ใครนำมาพูด ควรเข้าใจความหมายให้ชัดเจน นำมาลงไว้เป็นแนวทางแล้ว :b1: อย่าพูดซี้ซั่ว :b31:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2013, 03:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ความหมาย "สภาวธรรม" "จริยธรรม" "บัญญัติธรรม" นี่เป็นระบบของพระพุทธศาสนา ใครนำมาพูด ควรเข้าใจความหมายให้ชัดเจน นำมาลงไว้เป็นแนวทางแล้ว :b1: อย่าพูดซี้ซั่ว :b31:


กรัชกายนี่มันไม่ยอมที่จะเข้าใจอะไรเลย ถกกันมาตั้งนานมันก็ยังจะย่ำอยู่กับที่
ไอ้นิสัยเซ้าซี้ถามน่ะไม่มีใครว่าหรอก แต่ไม่ใช่ถามเพื่อบังคับให้เขาตอบในสิ่งที่ตัวเองคิด
ที่แย่กว่านั้นก็คือ ต้องให้ตรงกับคำบัญญัติที่ตัวเองไปท่องจำมา
ไม่พิจารณาเลยว่า ที่ตัวจำมามันเป็นภาษาที่ใช้กันในสังคมที่เรียกว่าภาษาเฉพาะถิ่น

สาเหตุใหญ่ที่ทำให้ศาสนาพุทธแบ่งแยกแตกแขนง ไปเป็นนิกายลัทธิต่างๆมากมาย
ก็เพราะ การที่มีคนเอาพุทธพจน์ไปตีความ แล้วก็สร้างเป็นบัญญัติขึ้นใหม่ ผู้รู้หลายท่านจึงไม่ยอมรับ

สรุปก็คือ อย่าได้เอาพุทธพจน์ที่เป็นปรมัตถ์บัญญัติ มาแปลหรือให้ความหมายแบบตรงตัวเป็นอันขาด
เพราะการกระทำแบบนั้นจะเป็นการไปบัญญัติคำขึ้นมาใหม่ มันผิดหลักพุทธศาสนา
เพราะมันไปลบล้างสิ่งที่เป็นพุทธพจน์

เคยบอกหลายครั้งหลายหนแล้วว่า พุทธพจน์เป็นภาษากลาง
ที่ทุกคนต้องทำให้เข้าใจด้วยตัวเอง จะไปฟังคำแปลหรือคำอธิบายในตัวปรมัตถ์ไม่ได้




หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ คำว่าภาษากลาง ภาษากลางที่ผมยกมา อยากให้เปรียบเทียบ
ระหว่างภาษาทางกายกับภาษาคำพูด
การใช้ภาษาทางกายมันเป็นสันชาติญานของมนุษย์ ที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้
เพราะมันสื่่อลงไปที่กายใจของคนที่ได้รับการสื่อสาร การที่จะเข้าใจพุทธพจน์
เราต้องเข้าใจด้วยอาการแบบนี้

ส่วนภาษาคำพูดหรือบัญญัติคำแปล ที่กรัชกายบอกว่า ต้องเข้าใจตรงกัน
บอกได้คำเดียวว่า มันผิดเพี้ยนทั้งตัวบุคคลและคำสอนสอน

กรัชกายบอกว่า...ต้องเข้าใจความหมายให้ชัดเจน ถูกต้องครับ
แต่ความหมายนั้นต้องยึดหลักแห่งพุทธพจน์
การที่กรัชกายไปเอาคำแปลมาพูด มันมีความหมายที่ชัดเจนตรงไหนของใคร
กรัชกายกำลังเอาผู้ที่แปลบัญญัตินั้น มาเป็นศาสดานะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2013, 03:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ที่ติดค้างก่อนหน้า นำมาให้ดูพอเห็นเค้า

จริยะ / จริยธรรมนั้น สำคัญมากทีเดียว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสอนสำแดงธรรมนั้น มิได้ทรงสอนเพียงธรรมที่เป็นสภาวะ หรือความจริงของธรรมดาเท่านั้น แต่ทรงสอนธรรมทีเป็นภาคจริยะควบคู่กันไปเลยทีเดียว

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น นั่นก็คือพิสัยอันพิเศษของมนุษย์อีกด้านหนึ่งที่ว่าในฐานะเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเลิศได้ด้วยการฝึก เขาสามารถเอาจริยะมาเป็นเครื่องช่วยในการที่จะศึกษาพัฒนาตัวเองขึ้นไป (แม้แต่ในการปฏิบัติตามบัญญัติ) ให้มีปัญญาแจ่มแจ้ง และมีเจตนาที่ดีจริง จนเข้าถึงธรรม ทั้งรู้แจ้งสภาวะ และมีจริยะอย่างเป็นปกติของเขาเอง

ระหว่างทางก่อนถึงจุดหมาย จริยะเป็นเครื่องคุ้มครองช่วยให้การรักษาปฏิบัติตามบัญญัติดำเนินไปได้อย่างมั่นคง และเป็นเครื่องช่วยให้บัญญัติมีความหมายที่แท้จริงและบรรลุจุดหมายได้จริง
มีต่อ


หลักการที่พระพุทธองค์ทรงต้องการชี้ให้สาวกเห็นถึงแก่นธรรม พระองค์เน้นให้หาเหตุแห่งธรรม
มันไม่ใช่การมาเน้นที่ผล เพราะการมาเน้นที่ผลมันเป็นการขยายความปรุงแต่งธรรม

กรัชกายเอาบทความแบบเรียนมาพูด มันผิดหลักคำสอนของพระพุทธองค์
อย่างเช่น การเอาคำว่าจริยธรรมมาอธิบายขยายความ แบบนี้หาใช่สิ่งที่ถูกต้อง

พระพุทธองค์ทรงเน้นเรื่อง จิตหรือจิตสังขาร จริยธรรมเป็นเรื่องกายสังขาร
กายสังขารเป็นผลแห่งจิตสังขาร จริยหรือจริยธรรมมันไม่ได้เกิดของมันเอง
เราจะดูการกระทำทางกายอย่างเดียวไม่ได้ เพราะการแสดงทางกายมันเกิดจากจิต
พระพุทธองค์ทรงเน้นหาเหตุ หมายความว่า ...จริยะหรือจริยธรรมต้องเกิดจากจิตที่เป็นกุศล

แก่นธรรมของจริยะมันอยู่ตรงกุศลจิต มันไม่ได้อยู่ที่การกระทำทางกาย
เห็นใครเขาทำดีในสังคมมากมาย ก็ไม่ได้หมายความว่า คนๆนั้นจะมีจริยธรรม
ถ้าจิตใจยังเป็นอกุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2013, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ต่อ
ตัวอย่างทางนามธรรม ก็เช่น


สภาวะ: ความโลภ คือสภาพจิตที่อยากได้อยากเอามาเพื่อตน อาจเป็นเหตุให้ทำการแสวงหาต่างๆ อาจถึงกับทำให้ไปเอาทรัพย์สินของคนอื่น ทำการลักขโมย เป็นต้น โทสะ คือภาวะจิตที่เคืองแค้นมุ่งร้าย ทำให้ใจเร่าร้อน หัวใจเต้นเร็ว ใจเครียด กล้ามเนื้อเขม็งเกร็ง เลือดลมติดขัด กระบวนการเผาผลาญในร่างกายทำงานหนัก ทรุดโทรมแก่เร็วขึ้น ง่ายที่จะก่อความขัดแย้งกับผู้อื่น รุนเร้าขับดันให้ไปรังควาญคนที่ตนเกลียดชัง อาจถึงกับทำให้ไปทำร้ายทุบตีหรือฆ่าคนอื่น เมตตา คือ สภาพจิตที่รักปรารถนาดีอยากให้คนอื่นเป็นสุข ทำให้จิตใจสงบเย็น ทำให้ระบบของร่างกายผ่อนคลาย หายใจสบาย เลือดลมเดินดี เผาผลาญน้อย ทรุดโทรมแก่ช้า ทำให้มีความเป็นมิตรและอยากช่วยเหลือผู้อื่น ไปบำเพ็ญประโยชน์ เกื้อกูลสังคม ฯลฯ


นี่เป็นตัวอย่างที่เคยบอกว่า เอาตำราเรียนมาโพสผลก็คือมันเป็นการปรุงแต่ง
จนพุทธพจน์ผิดเพี้ยน การอธิบายความที่ยกมาเป็นการขยายความ จนทำให้
ธรรมที่เป็นสภาวะผิดไปจากความเป็นจริง

แทนที่จะรู้แล้วละสังขารลง นี้ดันมาขยายกองสังขารให้เพิ่มพูน
เห็นเอาปรมัตถ์บัญญํติมาอธิบายแล้วก็ต้องพูดว่า...ทำไปได้อย่างไร

จะอธิบายให้ฟัง .....ความโลภที่เป็นสภาวะ มันเป็นความอยากในอารมณ์
นั้นคือต้องการให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นคงอยู่ มันไม่ใช่การโขมยอะไรนั้น
การโขมยมันเกิดจากการเอาสัญญาไปปรุงแต่งเกิดธัมมารมณ์ จนเกิดเจตนาขึ้น
ตัวเจตนาเป็นจิตสังขาร ไปบ่งการให้เกิดกายสังขาร เพื่อการโขมย

โทสะ...ที่เป็นสภาวะ มันเป็นความไม่อยากในอารมณ์ นั้นคือความไม่ต้องการอารมณ์
ที่เกิดขึ้น
อาจจะไม่เข้าใจว่า อารมณืที่เกิดขึ้นหมายถึงอะไร มันก็คือเวทนานั้นเอง
ถ้าเป็นทุกขเวทนา จิตสังขารจะเป็น โทสะ ถ้าเป็นสุขเวทนา จิตสังขารจะเป็นโลภะ


โทสะ........ไม่ได้ทำให้เกิดการแค้นเคืองหรือเกิดทำร้ายผู้อื่น โทสะเป็นแค่จิตสังขาร
ที่ไม่อยากในอารมณ์ที่เป็นทุกขเวทนา

สิ่งที่บ่งการให้เกิดกาย ทำร้ายผู้อื่น เรียกว่า...ปฏิฆะ
ปฏิฆะจะเกิดที่ธัมมารมณ์ จนเป็นเจตนา ดังนั้นตัวเจตนาเป็นจิตสังขารที่ไปทำให้เกิดการทำร้ายขึ้น


เมตตา....เมตตาไม่ใช่จิตหรือจิตสังขาร เมตตาเป็นเพียงสิ่งที่มาเป็นลักษณะของธัมมารมณ์
มันไม่ใช่จิตหรือเจตสิกหรือจิตสังขาร
มันเป็นสังโยชน์ตัวหนึ่ง ที่ทำให้เกิด...ความกรุณาหรือมุทิตา

ที่แสดงเป็นเบื้องตนเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า การเอาคำแปลมาพูดธรรมที่เป็นปรมัตถ์
ทำให้ความหมายผิดเพี้ยนอย่างไร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร