วันเวลาปัจจุบัน 13 พ.ย. 2025, 22:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 15:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
amazing เขียน:
nongkong เขียน:
amazing เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
ขอถามแบบคนธรรมดาหน่อยนะเจ้าค่ะ :b10:
ฉันทะ คือ หมายถึง มีความพอใจหรือมีความอยากจะ...ยกตัวอย่าง ฉันทะประกอบกับเหตุปัจจัยแล้วเป็นไปในทางกุศล..หรือฉันทะประกอบกับเหตุปัจจัยเป็นไปในทางอกุศล แบบนี้พอได้ไหมเจ้าค่ะทำไมฉันทะอย่างเดียว แยกไปหลายอย่างมันทำให้คนสติปัญญาน้อยอย่างคุณน้องงงนะเจ้าค่ะ สงสารกันหน่อย :b6: คุณน้องไม่ชอบให้อธิบายยาวๆ ขี้เกียจอ่านสรุปประเด็นสั้นๆได้ใจความไม่ได้หรอ ที่คุณน้องขี้เกียจเรียนหนังสือก็เพราะว่าเบื่อพวกที่ชอบเทศชอบพูดไม่จบจับใจความไม่ได้แล้วมันทำให้คุณน้องอยากจะหลับ 555+
ปล.ประโยคนี้เลยทำคุณน้องเข้าป่าเข้าพงหมด กัตตุกัมยตาฉันทะซึ่งคุณน้องไ่ม่มีความเข้าใจกับศัพท์นี้อ่ะนะ 555+



อย่ารู้มากเลย รู้มากแล้วยากนาน คิกๆๆ

คุณน้องรู้ในสิ่งที่รู้เพราะปัญญาของตน คุณน้องสามารถช่วยแนะนำผู้อื่นในการดำรงชีวิตได้ สามารถบอกเค้าในการปรับทัศนะ และปรับเปลี่ยนทัศนคติของเค้าไปในทางที่ดีขึ้นหรือสามารถชี้ให้เห็นจุดที่เป็นรอยโหว่ ของเค้า และให้หาวิธีอุดหลุมนั้นซะเพื่อจะได้หายทุกข์จากสิ่งนั้น ปัญญาของคุณน้องเป็นไปเพื่อการดำรงชีวิตตามสภาพความเป็นจริงและเพื่อช่วยแนะนำผุ้อื่น เพื่อไม่ให้เค้าติดอยู่ในทุกข์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อศึกษาเพื่อให้รู้และเข้าใจในคำศัพท์หรือความหมายของศัพอภิธรรมสำนวนบาหลี คุณน้องมีปัญญาในลักษณะนี้ก็เพื่ออะไรกันแน่นะ เพื่อให้เกิดสันติสุขและเสรีภาพในเบื้องหน้าหรือเปล่า.. :b13:

คุณน้องเก่งจังเลย ยังเที่ยวเทคอยู่ป่าว เปนห่วงนะ

:b9: ไม่อยากไปคือเบื่อนะง่วงนอน :b14: แต่ว่าเหตุปัจจัยมันพาไปก็เลยตามนั้นอ่ะ :b12: ทำให้คุณน้องเห็นอีกสังคมหนึ่งซึ่งทำให้คุณน้องสามารถเอาประสบการณ์นั้นมาพิจารณาให้เกิดปัญญายิ่งๆขึ้นไปอ่ะนะ :b13:
เก่งขึ้น ว่างั้น อิอิ ยิ้ม

อย่างอะเมซิ่งหลบอยู่แต่ในโพรง จะรู้อะไร โลกภายนอกมันเป็นยังไงเร้าใจแค่ไหน :b32: อะเมซิ่งลองไปเที่ยวซักคืนแล้วลองสังเกตุดูสิว่า อะเมซิ่งเอากิเลศออกได้จริงหรือ หรือแค่เป็นประเภทหินกดทับหญ้า คิคิ ระวังหัวใจเต้นตุ๊บตับเพราะเจอสาวสวยๆมายั่วนะ :b13:
ไม่อ่ะเดี๋ยวเสีย ความบริสุทธิ์


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 04:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:

มีเยี่ยงอย่างที่ไหน "ฉันทะคือตัณหา" ตัณหาก็คือตัณหา ฉันทะก็คือฉันทะ
ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดขันธ์ห้า ฉันทะเป็นหนึ่งในขันธ์ห้า
ตัณหาไม่ได้เป็นฝ่ายชั่วหรืออะไรทั้งนั้น
ความดีความชั่ว กุศลและอกุศลมันเกิดขึ้นภายหลัง มันเป็นผลมาจากการปรุงแต่งของจิต

สรุปความดี ชั่ว กุศล อกุศล ล้วนเกิดจากตัณหาทั้งสิ้น
ธรรมที่ไม่ได้เกิดจากตัณหาเรียกว่า อัพยากตธรรม ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล
ซึ่งผู้จะมีธรรมนี้ได้ต้องเป็นพระอรหันต์



อ้างคำพูด:
มีเยี่ยงอย่างที่ไหน "ฉันทะคือตัณหา" ตัณหาก็คือตัณหา ฉันทะก็คือฉันทะ



ดังว่า "ตัณหาก็คือตัณหา ฉันทะก็คือฉันทะ" นึกถึงคำพูดของ...ว่า "นิพพานก็คือนิพพาน"

ที่ว่า "ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดขันธ์ห้า" ขันธ์ห้า ไม่ต้องบอกทั้งหมดก็ไ้้ด้เอาตัวเดียวพอ "รูป" ชี้ลงไปชัดๆ สิครับ ไหนรูป เอาชัดๆ ไม่เหมารวมว่า "ขันธ์ห้าๆๆๆๆ"


พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้อย่างนั้น บัญญัติที่เป็นปรมัตถ์ จะมีความหมายที่เป็นเฉพาะ
ตัณหาก็อย่างหนึ่ง...ฉันทะก็อย่างหนึ่ง สรุปง่ายก็คือ มันเป็นคนล่ะสภาวะมันต่างกันด้วยเหตุปัจจัย

การอธิบายพุทธพจน์ที่เป็นปรมัตถ์ ห้ามเอาพุทธพจน์นั้นไปแปล เพราะมันจะทำให้เกิดคำใหม่
และผลที่ตามมาก็คือ ความหมายที่พระพุทธองคืต้องการสื่อผิดเพี้ยนไป

การอธิบายความพุทธพจน์ เป็นปรมัตถ์บัญญัติ เราต้องหาสิ่งที่เป็นจริงในกายใจ
มาเป็นหลักเสียก่อน แล้วจึงค่อยหาเหตุในาพุทธพจน์ที่เป็นปรมัตถ์บัญญัตินั้นๆ


กรัชกายบอกว่า.."ฉันทะคือตัณหา" แบบนี่เขาเรียกว่าตอบแบบกำปั่นทุบดิน
ขาดปัญญามองเห็นสภาพธรรม การอธิบายความเลยเป็นไปในลักษณะแปลคำศัพท์กลับไปกลับมา

การพูดการอธิบายความที่ตรงตามพุทธพจน์ จะต้องบอกเหตุที่มาของบัญญัตินั้นๆ
การถามถึงบัญญัติที่เป็นพุทธพจน์ก็เช่นกัน อย่าถามในลักษณะที่ว่า บัญญัติหรือพุทธพจน์นั้น
แปลว่าอะไรคืออะไร
การถามที่ถูกต้อง จะต้องถามว่า เหตุแห่งบัญญัตินั้นมาอย่างไร

ตามที่ได้เคยบอกมาหลายหนแล้วว่า พุทธพจน์ที่เป็นปรมัตถ์บัญญัติ
มันไม่มีคำแปลที่เป็นบัญญัติหรือตัวหนังสือ พุทธพจน์หรือปรมัตถ์บัญญัติเป็นภาษากลาง
ดังนั้นอย่าได้ไปหาคำแปลจากผู้อื่น คำแปลของปรมัตถ์บัญญัติมันอยู่ที่กายใจตนเองเท่านั้น
.....(มีต่อ)


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 04:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อจากความเห็นที่แล้ว)

และที่กรัชกายถามเรื่อง...รูป
จิตของปุถุชนจะมีกองสังขาร(กองทุกข์ขันธ์ห้า) ติดมาพร้อมกับการปฏิสนธิ์
เมื่อเกิดเป็นบุคคลหรือเป็นปุถุชน จิตของบุคคลย่อมมีตัณหา มันเป็นธรรมชาติของจิต
และโดยธรรมชาติของตัณหา จะมีอำนาจได้จะต้องมีการกระทบเกิดขึ้นที่รูป(ปสาทรูปหก)
และเมื่อเกิดการกระทบจิตหรือวิญญานจะไปรู้การกระทบนั้น เมื่อวิญญานไปรู้การกระทบนั้น
เราเรียกว่า......รูป
เหตุเพราะว่าวิญานไปรู้สิ่งที่เกิดขึ้นที่ปสาทรูป จึงเรียกว่ารู้รูปหรือรูป

และเป็นเพราะรูปที่เกิดขึ้นมีตัณหาเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย รูปที่เกิดจึงมีความเป็นขันธ์
เรียกว่า......รูปขันธ์

การจะศึกษาเรื่องขันธ์ห้า จะต้องเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุบาท อิทัปปัจจยตาควบคู่ไปด้วย
และที่สำคัญจะต้องมีปัญญาเห็นไตรลักษณ์แล้วเท่านั้น มันจึงจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
มีเยี่ยงอย่างที่ไหน "ฉันทะคือตัณหา" ตัณหาก็คือตัณหา ฉันทะก็คือฉันทะ



โฮฮับว่า "ฉันทะก็คือฉันทะ" แล้วในนิวรณ์ 5 ข้อ 1 ว่า "กามฉันทะ" โฮฮับจะออกทางไหน :b10:

เมื่อว่ "ตัณหาก็คือตัณหา" แล้วในอริยสัจ ข้อ สมุทัย ทำไมทานจึงว่าได้แก่ตัณหา ล่ะ ทำไม่ไม่ว่าแบบโฮฮับ ตัณหาก็คือตัณหา สมุทัยก็คือสมุทัย เออๆๆ โฮฮับจะออกทางไหน :b10: :b14: :b36:



มองไม่ชัดคิดว่าตอบคำถามนี้ ^ แล้ว ยังไม่ตอบ เอาช้าๆชัดๆครับ :b1:


โฮฮับว่า "ฉันทะก็คือฉันทะ" แล้วในนิวรณ์ 5 ข้อ 1 ว่า "กามฉันทะ" จะว่ายังไง

แล้วที่ว่า "ตัณหาก็คือตัณหา" แล้วในอริยสัจ ข้อ สมุทัย ทำไมท่านจึงว่าได้แก่ตัณหาล่ะ ทำไมไม่ว่าแบบโฮฮับ สมุทัยก็คือสมุทัย ตัณหาก็คือตัณหา โฮฮับจะว่ายังไง

หรือเขาเขียน/ตอบแบบกำปั้นทุบดินอีก :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
มีเยี่ยงอย่างที่ไหน "ฉันทะคือตัณหา" ตัณหาก็คือตัณหา ฉันทะก็คือฉันทะ



โฮฮับว่า "ฉันทะก็คือฉันทะ" แล้วในนิวรณ์ 5 ข้อ 1 ว่า "กามฉันทะ" โฮฮับจะออกทางไหน :b10:

เมื่อว่ "ตัณหาก็คือตัณหา" แล้วในอริยสัจ ข้อ สมุทัย ทำไมทานจึงว่าได้แก่ตัณหา ล่ะ ทำไม่ไม่ว่าแบบโฮฮับ ตัณหาก็คือตัณหา สมุทัยก็คือสมุทัย เออๆๆ โฮฮับจะออกทางไหน :b10: :b14: :b36:



มองไม่ชัดคิดว่าตอบคำถามนี้ ^ แล้ว ยังไม่ตอบ เอาช้าๆชัดๆครับ :b1:


โฮฮับว่า "ฉันทะก็คือฉันทะ" แล้วในนิวรณ์ 5 ข้อ 1 ว่า "กามฉันทะ" จะว่ายังไง

แล้วที่ว่า "ตัณหาก็คือตัณหา" แล้วในอริยสัจ ข้อ สมุทัย ทำไมท่านจึงว่าได้แก่ตัณหาล่ะ ทำไมไม่ว่าแบบโฮฮับ สมุทัยก็คือสมุทัย ตัณหาก็คือตัณหา โฮฮับจะว่ายังไง

หรือเขาเขียน/ตอบแบบกำปั้นทุบดินอีก :b9:


ไม่รู้ศึกษาธรรมปะสาอะไร ไม่ได้รู้ไตรสิกขาเอาเสียเลย มัวแต่ท่องจำคำศัพท์
พอเห็นคำที่เหมือนกันก็งงเป็นไก่ตาแตก

กรัชกายไม่รู้ไม่เข้าใจถึงกระบวนการขันธ์ ต่อให้พูดจนปากฉีกถึงรูหู กรัชกายก็ยังคงไม่รู้

ฉันทะเป็นอาการของจิต มันเป็นสภาวะที่บ่งบอกให้รู้ว่า จิตเกิดความยินดียินร้ายขึ้นแล้ว
กามกับฉันทะเป็นสภาวะคนล่ะตัวกัน กามก็คือกามคุณห้า มันเป็นเหตุให้เกิดฉันทะ

ฉันทะถ้ากล่าวโดยขันธ์ห้า มันเป็นสังขารขันธ์ อันเกิดจากการกระทบที่ทวารทั้งห้า
กามหรือกามคุณห้าเกิดขึ้นที่ ทวารทั้งห้า แล้วจึงส่งผลให้เกิดการทำงานของมโนทวาร
เมื่อมโนทวารเกิดการกระทบ เป็นขันธ์ห้าตัวใหม่ ฉันทะเกิดที่มโนทวารตัวนี้

ดังนั้นเมื่อพิจารณาตามเหตุปัจจัยแล้ว กามคุณห้าเป็นเหตุให้เกิดฉันทะ
มันจึงมีบัญญัติว่า.....กามฉันทะ

เมื่อเกิดกามฉันทะต่อทวารทั้งห้าแล้ว จิตจะหมายรู้จนเป็นสัญญา(ไม่ใช่สัญญาขันธ์)
แต่เป็นความจำของสมอง ดังนั้นการเกิดของฉันทะจึงเกิดที่มโนทวาร

ยามเมื่อเราต้องการสมาธิ จิตจะมุ่งไปที่กามคุณที่เกิดกับทวารทั้งห้าในอดีต
เราเรียกสิ่งนี้ว่า......นิวรณ์ในส่วนของกามฉันทะ

ต้องแยกแยะให้ดีว่า ฉันทะเกิดจากกามคุณห้าเป็นเหตุปัจจัย
ดังนั้นกามหรือกามคุณห้าเป็นคนล่ะสภาวะกับฉันทะ

ส่วนกามฉันทะที่เป็นนิวรณ์ กามฉันทะตัวนี้ เป็นกระบวนการขันธ์ที่ทำให้เกิด
กามฉันทะหรือฉันทะในอดีต

กระบวนการแรกอธิบายการเกิดฉันทะ
ส่วนอีกกระบวนการก็คืออธิบายการเกิด กามฉันทะ


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แล้วที่ว่า "ตัณหาก็คือตัณหา" แล้วในอริยสัจ ข้อ สมุทัย ทำไมท่านจึงว่าได้แก่ตัณหาล่ะ ทำไมไม่ว่าแบบโฮฮับ สมุทัยก็คือสมุทัย ตัณหาก็คือตัณหา โฮฮับจะว่ายังไง

หรือเขาเขียน/ตอบแบบกำปั้นทุบดินอีก :b9:


รู้จักบุคลาธิษฐานเทศนาหรือเปล่า สมุทัยเป็น เป็นบุคลาธิษฐานเทศนา
พูดง่ายๆก็คือ มันเป็นภาษาพูด มันไม่ได้เป็นสภาวะหรือปรมัตถ์บัญญัติ

ส่วนตัณหาเป็นธัมมาธิษฐาน เป็นปรมัตถ์บัญญัติ

สมุทัยจึงเป็นบัญญัติที่ใช้อธิบายความให้รู้ถึงเหตุปัจจัยในปรมัตถ์บัญญัติ


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แล้วที่ว่า "ตัณหาก็คือตัณหา" แล้วในอริยสัจ ข้อ สมุทัย ทำไมท่านจึงว่าได้แก่ตัณหาล่ะ ทำไมไม่ว่าแบบโฮฮับ สมุทัยก็คือสมุทัย ตัณหาก็คือตัณหา โฮฮับจะว่ายังไง

หรือเขาเขียน/ตอบแบบกำปั้นทุบดินอีก :b9:


รู้จักบุคลาธิษฐานเทศนาหรือเปล่า สมุทัยเป็น เป็นบุคลาธิษฐานเทศนา
พูดง่ายๆก็คือ มันเป็นภาษาพูด มันไม่ได้เป็นสภาวะหรือปรมัตถ์บัญญัติ

ส่วนตัณหาเป็นธัมมาธิษฐาน เป็นปรมัตถ์บัญญัติ

สมุทัยจึงเป็นบัญญัติที่ใช้อธิบายความให้รู้ถึงเหตุปัจจัยในปรมัตถ์บัญญัติ



อ้ออ เป็นเช่นนี้เอง wink

แล้วทุกข์ล่ะ ท่านว่าเป็นผลของสมุทัย (สมุทัยเป็นเหตุแห่งทุกข์) ในเมื่อสมุทัยเป็นภาษาพูด ที่นี้ทุกข์ที่เป็นผลของสมุทัย ก็คงเป็นภาษาพูดด้วย หรืออย่างไร :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าด้วยธรรมทั้งปวง ~ มูลกสูตร

[๑๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พึงถามอย่างนี้ว่า
.ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นมูล
มีอะไรเป็นแดนเกิดมีอะไรเป็นสมุทัย
มีอะไรเป็นที่ประชุมลง
มีอะไรเป็นประมุข
มีอะไรเป็นใหญ่มีอะไรยิ่งกว่า
มีอะไรเป็นแก่น

เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์แก่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นว่าอย่างไร ฯ

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมแห่งข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นมูล มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ
มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส
ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเถิด
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคจักทรงจำไว้ ฯ

ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเหล่าอัญเดียรถีย์ ปริพาชก พึงถามอย่างนี้ว่า

อาวุโสทั้งหลาย ธรรมทั้งปวงมีอะไรเป็นมูล?
มีอะไรเป็นแดนเกิด?
มีอะไรเป็นที่หยั่งลง?
มีอะไรเป็นที่สุด?

พวกเธอถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบชี้แจงแก่อัญเดียรถีย์ ปริพาชก เหล่านั้นอย่างนี้ว่า
แน่ะ ท่านมีอายุ
๑. ธรรมทั้งปวงมี ฉันทะเป็นมูล (ฉนฺทมูลกา อาวุโส สพฺเพ ธมฺมา)
๒. ธรรมทั้งปวงมี มนสิการเป็นแดนเกิด (มนสิการสมฺภวา สพฺเพ ธมฺมา)
๓. ธรรมทั้งปวงมี ผัสสะเป็นที่ก่อตัวขึ้น-เป็นเหตุ (ผสฺสสมุทยา สพฺเพ ธมฺมา)
๔. ธรรมทั้งปวงมี เวทนาเป็นที่ประชุมลง-ที่รวมลง (เวทนาสโมสรณา สพฺเพ ธมฺมา)
๕. ธรรมทั้งปวงมี สมาธิเป็นประมุข (สมาธิปมุขา สพฺเพ ธมฺมา)
๖. ธรรมทั้งปวงมี สติเป็นใหญ่ (สตาธิปเตยฺยา สพฺเพ ธมฺมา)
๗. ธรรมทั้งปวงมี ปัญญาเป็นยอดยิ่ง (ปฺุตฺตรา สพฺเพ ธมฺมา)
๘. ธรรมทั้งปวงมี วิมุตติเป็นแก่นสาร (วิมุตฺติสารา สพฺเพ ธมฺมา)
๙. ธรรมทั้งปวงมี อมตะเป็นที่หยั่งลง (อมโตคธา สพฺเพ ธมฺมา)
๑๐. ธรรมทั้งปวงมี นิพพานเป็นสุดท้าย (นิพฺพานปริโยสานา สพฺเพ ธมฺมาติ)

พระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต 24/58/128-129 มูลกสูตร



ฉันทะ

ความพอใจ, ความชอบใจ,
ความยินดี , ความต้องการ , ความรักใคร่ ใฝ่ปรารถนาในสิ่งนั้นๆ
เป็นกลางๆ เป็นอกุศลก็ได้ เป็นกุศลก็ได้,

เป็น อัญญสมานาเจตสิกข้อ ๑๓,

ที่เป็นอกุศล
เช่นในคำว่า กามฉันทะ


ที่เป็นกุศล
เช่น ในคำว่า อวิหิงสาฉันทะ

2. ฉันทะที่ชี่อเป็นความเฉพาะ มาเดี่ยวๆ โดยทั่วไปหมายถึงกุศลฉันทะ
หรือธรรมฉันทะ ได้แก่ กัตตุ กัมยตาฉันทะ

อ่านต่อในนี้ ในหมวด ฉ. ว่าด้วยฉันทะ

http://thammapedia.com/pdf/Dict_sadda.p ... e&zoom=100

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แล้วที่ว่า "ตัณหาก็คือตัณหา" แล้วในอริยสัจ ข้อ สมุทัย ทำไมท่านจึงว่าได้แก่ตัณหาล่ะ ทำไมไม่ว่าแบบโฮฮับ สมุทัยก็คือสมุทัย ตัณหาก็คือตัณหา โฮฮับจะว่ายังไง

หรือเขาเขียน/ตอบแบบกำปั้นทุบดินอีก :b9:


รู้จักบุคลาธิษฐานเทศนาหรือเปล่า สมุทัยเป็น เป็นบุคลาธิษฐานเทศนา
พูดง่ายๆก็คือ มันเป็นภาษาพูด มันไม่ได้เป็นสภาวะหรือปรมัตถ์บัญญัติ

ส่วนตัณหาเป็นธัมมาธิษฐาน เป็นปรมัตถ์บัญญัติ

สมุทัยจึงเป็นบัญญัติที่ใช้อธิบายความให้รู้ถึงเหตุปัจจัยในปรมัตถ์บัญญัติ



อ้ออ เป็นเช่นนี้เอง wink

แล้วทุกข์ล่ะ ท่านว่าเป็นผลของสมุทัย (สมุทัยเป็นเหตุแห่งทุกข์) ในเมื่อสมุทัยเป็นภาษาพูด ที่นี้ทุกข์ที่เป็นผลของสมุทัย ก็คงเป็นภาษาพูดด้วย หรืออย่างไร :b10:


มามุกปัญญาอ่อนอีกแล้ว ท้าให้เขามาตั้งกระทู้ เสร็จแล้วก็แถออกนอกเรื่อง
นี่มาอีกแล้วหน้าทนตะบี้ตะบันถามไม่หวังคำตอบ
เหลือทนจริงนิสัยไม่เปลี่ยน :b32:

ทุกข์เป็นทั้งบุคลาธิษฐานและธัมมาธิษฐาน ทุกข์ที่เป็นปัญญาไตรลักษณ์
เป็นปรมัตถ์ธรรมหรือธัมมาธิษฐาน

ทุกขอริยสัจจ์ เป็นบุคลาธิษฐาน

กล่าวโดยรวมทุกข์ในไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นธัมมาธิษฐาน
เป็นสมุทัยของ ทุกขอริยสัจจ์ ซึ่งเป็นบุคคลาธิษฐาน


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แล้วที่ว่า "ตัณหาก็คือตัณหา" แล้วในอริยสัจ ข้อ สมุทัย ทำไมท่านจึงว่าได้แก่ตัณหาล่ะ ทำไมไม่ว่าแบบโฮฮับ สมุทัยก็คือสมุทัย ตัณหาก็คือตัณหา โฮฮับจะว่ายังไง

หรือเขาเขียน/ตอบแบบกำปั้นทุบดินอีก :b9:


รู้จักบุคลาธิษฐานเทศนาหรือเปล่า สมุทัยเป็น เป็นบุคลาธิษฐานเทศนา
พูดง่ายๆก็คือ มันเป็นภาษาพูด มันไม่ได้เป็นสภาวะหรือปรมัตถ์บัญญัติ

ส่วนตัณหาเป็นธัมมาธิษฐาน เป็นปรมัตถ์บัญญัติ

สมุทัยจึงเป็นบัญญัติที่ใช้อธิบายความให้รู้ถึงเหตุปัจจัยในปรมัตถ์บัญญัติ



อ้ออ เป็นเช่นนี้เอง wink

แล้วทุกข์ล่ะ ท่านว่าเป็นผลของสมุทัย (สมุทัยเป็นเหตุแห่งทุกข์) ในเมื่อสมุทัยเป็นภาษาพูด ที่นี้ทุกข์ที่เป็นผลของสมุทัย ก็คงเป็นภาษาพูดด้วย หรืออย่างไร :b10:


มามุกปัญญาอ่อนอีกแล้ว ท้าให้เขามาตั้งกระทู้ เสร็จแล้วก็แถออกนอกเรื่อง
นี่มาอีกแล้วหน้าทนตะบี้ตะบันถามไม่หวังคำตอบ
เหลือทนจริงนิสัยไม่เปลี่ยน :b32:

ทุกข์เป็นทั้งบุคลาธิษฐานและธัมมาธิษฐาน ทุกข์ที่เป็นปัญญาไตรลักษณ์
เป็นปรมัตถ์ธรรมหรือธัมมาธิษฐาน

ทุกขอริยสัจจ์ เป็นบุคลาธิษฐาน

กล่าวโดยรวมทุกข์ในไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นธัมมาธิษฐาน
เป็นสมุทัยของ ทุกขอริยสัจจ์ ซึ่งเป็นบุคคลาธิษฐาน



อ๋อ มันเป็นยังงั้นเอง :b1:

ใครบอกไม่สนใจคำตอบ สนใจมากด้วยนะขอรับเนี่ย :b1:

จบแล้วอริยสัจ 4 แบบนี้ บุคคาธิษฐานมั่ง ธรรมาธิษฐานมั่งว่ากันไป

นิโรธก็คือนิโรธ นิพพานก็คือนิพพาน ทุกข์ก็คือทุกข์ สมุทัยก็คือสมุทัย มรรคก็คือมรรค จบขอรับ พระพุทธศาสนา :b1:

ไม่มีถามแล้วขอรับ จะไปไหนก็ไป คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะฉะนั้น พระพุทธนิมิตนั้น จึงตรัสถามว่า

ฉันทะในโลก มีอะไรเป็นนิทาน และความตัดสินใจมีมาแต่อะไร
อนึ่งความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และความสงสัยมีมาแต่อะไร
และ ธรรมเหล่าใด อันพระสมณะตรัสไว้แล้ว ธรรมเหล่านั้นมีมาแต่อะไร.

[๔๖๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า) บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวธรรมใด คือ
ความดีใจ ความเสียใจในโลก ฉันทะย่อมมีมาเพราะอาศัยธรรมนั้น
ชันตุชน เห็นความไม่มีและความมีในรูปทั้งหลาย ย่อมทำความตัดสินใจในโลก.

[๔๖๗] คำว่า ความดีใจ ในคำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรมใด คือ
ความดีใจ ความเสียใจ ในโลก ได้แก่ สุขเวทนาและวัตถุที่น่าปรารถนา.

คำว่า ความเสียใจ ได้แก่ ทุกขเวทนาและวัตถุที่ไม่น่าปรารถนา.

คำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรมใด ... ในโลก คือ
บัณฑิตทั้งหลายกล่าว บอก พูด แสดง แถลงธรรมใด
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรมใด
คือ ความดีใจ ความเสียใจในโลก.


[๔๖๘] คำว่า ฉันทะย่อมมีมาเพราะอาศัยธรรมนั้น ความว่า ฉันทะย่อมมีมา คือ
มีทั่วไป เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ เพราะอาศัยความดีใจและความเสียใจ คือ
อาศัยสุขและทุกข์ โสมนัสและโทมนัส วัตถุที่น่าปรารถนาและวัตถุที่ไม่น่าปรารถนา ความยินดี
และความยินร้าย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ฉันทะย่อมมีมาเพราะอาศัยธรรมนั้น.


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r ... 1%AC%D2%B9

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ติดค้างก่อนหน้า นำมาให้ดูพอเห็นเค้า

จริยะ / จริยธรรมนั้น สำคัญมากทีเดียว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสอนสำแดงธรรมนั้น มิได้ทรงสอนเพียงธรรมที่เป็นสภาวะ หรือความจริงของธรรมดาเท่านั้น แต่ทรงสอนธรรมทีเป็นภาคจริยะควบคู่กันไปเลยทีเดียว

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น นั่นก็คือพิสัยอันพิเศษของมนุษย์อีกด้านหนึ่งที่ว่าในฐานะเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเลิศได้ด้วยการฝึก เขาสามารถเอาจริยะมาเป็นเครื่องช่วยในการที่จะศึกษาพัฒนาตัวเองขึ้นไป (แม้แต่ในการปฏิบัติตามบัญญัติ) ให้มีปัญญาแจ่มแจ้ง และมีเจตนาที่ดีจริง จนเข้าถึงธรรม ทั้งรู้แจ้งสภาวะ และมีจริยะอย่างเป็นปกติของเขาเอง

ระหว่างทางก่อนถึงจุดหมาย จริยะเป็นเครื่องคุ้มครองช่วยให้การรักษาปฏิบัติตามบัญญัติดำเนินไปได้อย่างมั่นคง และเป็นเครื่องช่วยให้บัญญัติมีความหมายที่แท้จริงและบรรลุจุดหมายได้จริง


มีต่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แยกความหมายจริยธรรมบัดนี้ กับ ของพุทธศาสนาด้วย ดูการใช้/ความหมายบัญญัติ ด้วย



จริยธรรม ในความหมายที่เป็นศัพท์บัญญัติใหม่ ซึ่งถือตามความหมายของคำฝรั่ง คือ ethic


ส่วน จริยธรรม ในความหมายทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ จริยะ คือธรรม การดำเนินชีวิตถูกต้องดีงาม ซึ่งมีองค์ประกอบประสานสัมพันธ์กันทั้ง ๓ ด้าน ทั้ง กายวาจา จิตใจและปัญญา ที่มีชื่อเดิมว่า “พรหมจริยะ”

จะเห็นชัดว่า สาระทั้งหมดในชีวิตของมนุษย์ ขยายไปถึงสังคม ที่จะเป็นอยู่กันอย่างถูกต้องดีงามเป็นสุข ก็คือ “จริยธรรม” ในความหมายที่เป็นพรหมจริยะนี่แหละ

พร้อมกันนั้น การจัดการกับชีวิตทั้ง ๓ ด้านดังว่านั่น โดยฝึกหัดพัฒนาปรับแก้ให้คนดำเนินชีวิตได้ดียิ่งขึ้นไปๆ จนมีชีวิตที่ดีงาม เป็นประโยชน์มีความสุขอย่างสมบูรณ์ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “การศึกษา” คำพระเรียกการศึกษานี้ ในฐานะมีองค์ประกอบ ๓ ด้านว่า ไตรสิกขา

ถ้าเราถือหลักคามความหมายของพระพุทธศาสนา ก็จะเห็นว่า สาระหรือแกนของอารยธรรมมนุษย์ ก็มีเพียงการดำเนินชีวิตและสังคมให้ดีด้วยจริยธรรม (พรหมจริยะ) และพัฒนาคนให้ดำเนินชีวิตและสังคมให้ดีจนมีพรหมจริยะอย่างนั้นด้วยการศึกษา (ไตรสิกขา)

แต่เมื่อขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และมัวไปสับสนคลางแคลงอยู่กับถ้อยคำที่พร่าคลุมเครือ วิถีของชีวิตและสังคม ก็ยิ่งหมักหมมปัญหาและเพิ่มทวีความทุกข์

ไม่ได้แกล้งว่า ขอให้ดูสังคมของเรานี้ ที่เป็นอยู่และเป็นมากับความไม่ชัดเจนในเรื่องจริยะ แล้วมีสภาพสับสนกะพร่องกะแพร่งอย่างไร


มีต่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


สรุปไว้ในที่นี้ว่า “จริยะ” คือการดำเนินชีวิตของคน เป็นระบบอันหนึ่ง ที่มีองค์ประกอบ ๓ แดน (จะเรียกว่าด้าน หรือส่วน ก็ได้) คือ

๑. แดนพฤติกรรม (กาย-วาจา) ที่แสดงออก ติดต่อสัมพันธ์ และกระทำต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม *

๒. แดนจิตใจ ที่เป็นเหมือนเจ้าของพฤติกรรมทั้งหมด ตั้งแต่เป็นผู้ต้องการ บงการหรือสั่งการ ขับเคลื่อน ตลอดจนเสวยผลของพฤติกรรมทั้งหมดนั้น โดยมีตัวประกอบที่ร่วมในการทำงานแต่งสรรมากมาย ภายใต้การน้ำของเจตนา ที่เป็นทั้งหัวหน้าและเป็นตัวแทน ที่ทำงานเชื่อมต่อสั่งการออกมาให้มีผลเป็นพฤติกรรมออกไป ทั้งนี้ ตัวประกอบที่ทำงานนั้น แยกได้เป็น ๓ แดน คือ

- ตัวแต่สรรฝ่ายดี กับฝ่ายร้าย ที่พึงคัดเอาไว้แต่ฝ่ายดี ซึ่งมักเรียกกันแบบรวมๆง่ายๆว่า “คุณธรรม” หรือ “คุณภาพจิต”

- ตัวทำงานที่ทำให้ก้าวไปอย่างแน่วแน่เข้มแข็งมั่นคง เรียกพอรู้กันว่า “สมรรถภาพจิต)

- ตัวแสดงผล ซึ่งเหมือนกับวัดผลไปในตัว เพราะจะมีอิทธิพลในการที่จะเลือกพฤติกรรมว่าจะทำจะเอาหรือไม่ คือฝ่ายสุข กับ ฝ่ายทุกข์ โดยจะมุ่งไปหาไปพบฝ่ายสุข ที่เรียกพอรู้กันว่า “สุขภาพจิต)

๓. แดนปัญญา ที่เอื้ออำนวยข้อมูล ชี้ช่อง ส่องทาง บอกทิศขยายขอบเขตและโอกาส ปรับแก้ ตลอดจนปล่อยให้เกิดอิสรภาพ แก่พฤติกรรมและจิตใจ

นี่คือ “จริยะ” หรือระบบการดำเนินชีวิตของคน ซึ่งประกอบด้วยทั้งกาย-วาจา ทั้งใจ ทั้งปัญญา ถ้าไม่ครบ ๓ อย่างนี้ ชีวิตจะดำเนินไปไม่ได้ แต่ที่จริงก็คือ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ แต่เรานี่แหละ ถ้ามองและปฏิบัติจัดการกับมันไม่ครบส่วน ไม่ครบด้าน เราก็ทำการที่มุ่งหมายไม่สำเร็จ และจะเกิดปัญหาแก่ตัวเอง



....................

* นี้พูดอย่างง่าย แต่ถ้าจะให้ครบจริง ด้านที่ ๑ ที่สัมพันธ์กับโลกภายนอก คือสังคมและสิ่งแวดล้อมนี้ ต้องแยกย่อยเป็น ๒ ด้าน คือ ติดต่อสัมพันธ์โดยการรับรู้ ด้วยผัสสทวาร ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย (ไปรวมที่ใจ) และติดต่อสัมพันธ์โดยการแสดงออก ด้วยกรรมทวาร คือ กาย และวาจา (ออกมาจากเจตนาในใจ)


มีต่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

สภาวธรรม - หลักหรือแบบแผนที่เป็นอยู่เป็นไปในธรรมชาติตามธรรมดาของมัน

จริยธรรม - ข้อที่เสมือนเป็นเงื่อนไขที่ธรรมชาติเรียกร้องต่อมนุษย์ว่า ถ้ามนุษย์ต้องการผลดี จะต้องปฏิบัติอย่างไร

บัญญัติธรรม - หลักหรือแบบแผนที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเพื่อสนองตามเงื่อนไขของธรรมชาติ



ถ้าเรียกให้สั้น ก็คือ สภาวะ จริยะ และ บัญญัติ (ใช้คำว่า ธรรมต่อท้าย เพื่อให้รู้ว่าอยู่ในระบบแห่งธรรม หรือเป็นส่วนของระบบแห่งธรรมนั้น)


ความสัมพันธ์ระหว่างธรรม ๓ อย่าง

ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมเป็นเชิงเปรียบเทียบ เพื่อให้เข้าใจง่าย

สภาวะ (ความจริงตามธรรมชาติ) ไฟเป็นของร้อน มีอำนาจเผาไหม้ ทำให้เกิดแสงสว่างและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากน้อย ตามระดับของอุณหภูมิ (มองในแง่ของมนุษย์ มีทั้งที่เป็นคุณ และเป็นโทษแก่ตน)


จริยะ (เงื่อนไขหรือข้อพึงประพฤติที่มนุษย์ต้องปฏิบัติเมื่อต้องการผลดีแก่ตน) พึงเข้าไปเกี่ยวข้องและปฏิบัติต่อไฟด้วยความระมัดระวัง สอดส่องป้องกันมิให้เกิดอุบัติภัย ไม่เอาไฟไปใช้ทำร้ายใคร หรือทำลายสิ่งใด รู้จักใช้ทำประโยชน์ต่างๆ นำมาใช้ประโยชน์ภายใต้การควบคุม ฯลฯ


บัญญัติ (จัดตั้งวางระเบียบกฎกติกาและมาตรการที่ให้มั่นใจว่าจะเกิดผลดีตามจริยะ) วางกฎมิให้ปล่อยเด็กเล็กอายุเท่านั้นๆ ไว้ในที่ใกล้ระยะเท่านั้นๆ จากวัตถุก่อไฟ วางข้อห้ามมิให้ผู้ใดนำไฟหรือวัตถุสื่อไฟเข้าไปในเขตรัศมีเท่านั้นๆ จากโรงเก็บวัตถุระเบิด ตั้งข้อกำหนดมิให้ก่อกองไฟเผาหญ้าหรือผิงไฟเป็นต้น ใกล้สิ่งก่อสร้างในระยะเท่านั้นๆ วางระเบียบในการสร้างครัวและโรงครัวว่าจะต้องใช้วัสดุอะไรสำหรับส่วนประกอบ ใด ต้องจัดวางส่วนประกอบภายในที่ตรงไหน อย่างไรได้ อย่างไรไม่ได้ ฯลฯ


มีต่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร