วันเวลาปัจจุบัน 14 พ.ย. 2025, 03:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 07:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตัวอย่างนี้ คาดว่า อเมสซิ่ง พอเข้าใจ :b1:


อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิแล้วมีภาพเจ้ากรรมนายเวรลอยมาให้เห็นครับ

เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย

มีคำถามสองข้อที่สงสัย

1.เกิดอะไรขึ้นกับการทำสมาธิของผมครับ
2.แล้วต้องทำอย่างไรเมื่อเจอแบบนี้อีกครับ



กรัชกายจะยกมาทำไมเพื่ออะไร ผมไม่เห็นมีอะไร บอกไปหมดแล้ว กรัชกายมองธรรมชาติไม่ออกก็ต้องคิดว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ กรักายรู้ก็บอกเขาสิดูสิเขาจะทำอย่างไร



กรัชกายจะยกมาทำไมเพื่ออะไร ผมไม่เห็นมีอะไร

amazing ไม่มีทางมองสังขารธรรม คือ รูปนามออก ถึงว่าคุณมองติดตันอยู่ที่คำว่าคน มองไม่ทะลุคนถึงธรรมะ :b32:

อ้อ แล้วเคยบอกอีกว่า ถ้ามองภาคปฏิบัิิติไม่ออก อย่าตั้งสำนักวิปัสสนา หรือในป้ายชื่ออื่นๆ เพราะอะไร ? เพราะจะทำให้คนเสียคน


กรัชกายหรือผมมองไม่ออก ผมผ่านการดับสังขารมาแล้วผมย่อมเข้าใจกว่าการนึกคิดอย่างกรัชกายหรอก ใครครับจะไปตั้งสำนักวิปัสนาทุกวันนี้ก็มากมายแล้ว


ดูออกก็เขาเป็นอะไรงั้น :b1: :b14:


กรัชกายคนเราสะสมการปรุงแต่งมาต่างกัน กรรมก็สะสมมาต่างกัน มันยากที่เราจะเข้าใจเรื่องราวได้ว่าอะไรเกิดกับเขา แล้วเขาจะเข้าสู่ตรงวิถีทางได้อย่างไร แม้แต่เราสองคนก็พูดกันคนละแนว แล้วเราจะทำอย่างไรเราคงต้องทำตามความเชื่อที่เรามี เท่าที่ปัญญาและวิบากของกรรม ขนาดคนที่เกิดในยุกของพระพุทธองค์อยู่ใกล้ท่านบางคนท่านก็ช่วยให้พ้นทกข์ไม่ได้ แล้วเราจะทำอะืไรได้ ทุกวันนี้เราจะทำแบบคนนั้นได้มั้ยคงไมได้ เราก็คงทำแบบที่เราเป็น. สมมุติสิ่งที่กรัชกายคิดมันถูกเปลี่ยนผมให้ทำแบบกรัชกายได้ป่าว


บอกหลายรอบว่า อเมสซิ่ง ไม่เข้าใจธรรมะระดับปรมัตถธรรม (นามรูป) คห. นั้น ยังอยู่ระดับชาวบ้าน จึงมองสภาวธรรมที่ปรากฏไม่ผ่าน

อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย


สิ่งเหล่านั้นเกิดจากจิต (มโนกรรมฝ่ายอกุศล) ที่สั่งสมการกระทำไว้เมื่ออดีต (เมื่อตอนเด็ก) ปกติมันนอนก้นสงบนิ่งอยู่ภายใน เมื่อมีเหตุปัจจัย (มันเกิดของมันเองตามเหตปัจจัย) มันก็โผล่ขึ้นมา

ดังนั้น ผู้ฝึกอบรมจิต เมื่อสภาวะใดก็ตามปรากฏอย่างนี้ ทำนองนี้ๆ พึงกำหนดรู้ตามเป็นจริงหรือตามที่มันเป็น เป็นยังไง รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น ทุกครั้งทุกขณะ มิใช่ปล่อยไปเฉยๆ
มันไม่ได้สะสมแต่ตอนเด็กหรอกมันสะสมอดีตชาตินับไม่ถ้วน ถ้ากรัชจะแก้ก็ให้เขารู้ว่านั้แหล่ะสังขารของเขาที่สะสมมา เข้าใจง่ายๆมีแต่รูปนามที่ปรากฎอย่าไปให้ความสนใจมัน ให้เฝ้าดูความรู้สึกที่เกิดด้วยใจเป็นกลางเราจงใช้มันให้เป็นประโยชน์


เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น

ถ้ามองออกแล้ว ก็ไม่ยาก แต่ถ้ามอง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เป็นกุศลกรรม และ อกุศลกรรม ในปัจจุบันไม่ออกแล้ว ก็อย่างที่อเมสซึ่งว่านั้นแหละ

ถึงว่า ที่อเมสซึ่ง บอกว่า ดับนั่น ดับนี่ ดับกายสังขารอะไรนั่นน่ะ เป็นความเข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฐ เป็นมิจฉาปฏิปทา :b13:
เรื่องกรรมทีสะสมมาในอดีตนั้นดับได้โดยมรรค คือออกจากระบบขันธ์5คือดับรูปนาม หรือดับสังขารทั้งหลาย วิธีดับก็บอกไปแล้ว สังขตะธรรมคือระบบขัน5ออกจากสังขตะได้ด้วย. การแทงตลอดบรมสัจจะด้วยกายและปัญญา


เอาว่าไป ไม่อยากถามรายละเอียดแล้ว เบื่อถามไปก็มั่ว ระบบระบับขันธ์ 5 ขันอะไรต่ออะไร พูดไปเรื่อยเปื่อย เหมือนคนอยู่ในที่มืดมองเห็นอะไรรางๆ ไม่ชัด ถือว่าผ่านไปแล้วกัน รำคาญ :b32:
แค่นี้ก็มองไม่ออก กรัชกาถึงต้องอ่านเป็นโกดังก็ยังไม่ข้าใจ ก็ในเมื่อขันมันทุกก็ดับมันซะ พระองค์บอกว่าการดับสังขารทั้งหลายเป็นความสุขอย่างยิ่ง


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:



แค่นี้ก็มองไม่ออก กรัชกาถึงต้องอ่านเป็นโกดังก็ยังไม่ข้าใจ ก็ในเมื่อขันมันทุกก็ดับมันซะ พระองค์บอกว่าการดับสังขารทั้งหลายเป็นความสุขอย่างยิ่ง



ััดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ฯลฯ ฟังจนเบือแล้ว ถามเข้าจริงเละ รำคาญ เบื่อม๊อบ อยากดับไงก็ดับเถอะ แต่อย่าแขวนคอตายแล้วกัน ฮี่ๆ :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
คุณวลัยพร มีจิตสะอาด ละเอียดอ่อน บริสุทธิ์ และมีบุญเก่าสะสมมามากพอ จึงสามารถสัมผัสรู้อาการที่ละเอียดอ่อนภายในกายได้.....จงอย่าหลงออกจากทางที่ดีนี้ไปตามคำบอกของคนที่ไม่รู้จริง

ปิติ กับอาการของ Vibration นี้เป็นคนละอันกันนะครับ

ปีติเป็นผลของสมาธิ เขามาตามกัน ตามลำดับคือ

ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต สุข เอกัคตา อุเบกขา นี่เป็นผลของสมาธิ

แต่การรู้ Vibration นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีจิตใจสงบ ละเอียดอ่อน สติปัญญาคมกล้า

ปุถุชน คนใจบาป หยาบช้า หรือนักสมถะภาวนา อาจไม่สามารถสังเกตรู้อาการที่ละเอียดอ่อทนในร่างกายเช่นนี้




คุณเป็นคนปากหวาน การใช้คำพูด มักจะชอบยกยอปอปั้น คนสติไม่ทัน ก็ลุมหลง

นับว่าเป็นเหตุของวลัยพรที่ทำมา เพิ่งมาเจอคุณในตอนนี้
ถ้าเจอก่อนหน้านี้ ขออภัยนะ "หลงตายห่า"

หลงในมธุรสวาจา หลงในการสรรหาคำเรียกของสภาวะ




asoka เขียน:

วิธีการที่จะเข้าไปดูหรือไปรู้สภาวะที่ละเอียดอ่อนในกายเหล่านี้ทำได้ง่ายๆโดย

นั่งสงบกายสงบใจ ตั้งใจที่จะสำรวมกาายใจให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้ แล้วเอาสติ ปัญญามาตั้งรู้ตั้งสังเกตดูเข้าไปในกายดีๆ

เมื่อจิตสงบลงไปๆ จนถึงระดับที่ 1 ลมหายใจเขาจะชัดขึ้นมาเอง.....นิ่งรู้อยู่ในระดับนี้สักพักหลังจากนั้นปล่อยความรู้ชัดลมหายใจ

ทำตัวทำใจให้นิ่งลงไปกว่านี้อีก จนเมื่อนิ่งได้ที่ถึงระดับที่ 2 หัวใจเต้นตึกๆ จะชัดขึ้นมา ทรงความรู้ชัดนี้ไว้สักระยะหนึ่งแล้วก็ปล่อยความรู้หัวใจเต้น

ทำตัวทำใจให้นิ่งยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อนิ่งถึงระดับที่ 3 ชีพจรจะชัดขึ้นมาเป็นจุดๆ ตามส่วนต่างๆของร่างกาย จนเมื่อนิ่งได้ที่ถึงระดับ ชีพจรจะรู้ชัดหมดทั่วร่าง ทรงอารมณ์นีไว้สักระยะหนึ่ง แล้ว

ทำตัวทำใจให้นิ่งลงไปให้ถึงที่สุด สังเกตให้ดี เมื่อนิ่งถึงระดับที่ 4 ท่านจะได้สัมผัสรู้อากรสั่นสะเทือนของร่างกาย โดยจะเริ่มรู้ชัดเป็นจุดๆ หรือส่วนๆไปก่อนแล้วค่อยขยายชัดไปจนทั่วร่าง.....



เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะมีสภาวะใดเกิดขึ้นก็ตาม

สภาวะที่คุณนำมาพูด ที่คุณแนะนำมา

วลัยพรไม่ต้องไปทำอะไรแบบนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ จะยืน เดิน นั่ง นอน
ทั้งกลางวัน และกลางคืน สภาวะเหล่านี้ เกิดขึ้นเนืองๆ กับวลัยพร เกิดเป็นปกติ
โดยไม่ต้องพยายามทำเพื่อให้เกิดสภาวะนี้
และไม่เคยรู้สึกปลื้มปีติกับสภาวะเหล่านี้ด้วย

เจ้านายของวลัยพร ก็มีสภาวะแบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
เขาเองก็ไม่ได้ต้องไปพยายามทำให้เกิดขึ้นด้วย และก็ไม่ได้รู้สึกปลื้มปีติกับสภาวะที่เกิดขึ้นด้วย
เพราะเขารู้จากคำบอกเล่าของวลัยพรว่า เป็นเรื่องปกติของสภาวะที่เกิดขึ้น แค่รู้ไปอย่างเดียว



asoka เขียน:
ผู้ปฏิบัติในสายของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า จะนับถือความนิ่งละเอียดของสติปัญญาถึงระดับนี้ ถ้าทรงอารมณ์นี้ไว้ได้นานๆ บ่อยๆ ไม่ช้าผู้ฝึกหัดจะได้พบการล่มสลายของความรู้สึกว่าเป็นตัวตน แขน ขา หัว มือ เท้าต่างๆ จะพังทะลายหายไปหมดเหลือแต่จิตรู้ลอยเด่นรู้อยู่โดดๆเป็นหนึ่งเดียว ทางสายท่านโกเอ็นก้าท่านเรียกว่า "ภังคญาณ"

เอ้า แซมเปิ้ล ลองทำกันดูนะครับแล้วได้ผลเป็นอย่างไรค่อยมาสนทนากันต่อ



โดยเฉพาะสภาวะนี้ เป็นการนับถือแบบสีลลัพตปรามาส คือ แค่ลูบคลำ
คาดเดาเอาเองว่า สามารถกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

ทั้งๆที่ โดยตัวสภาวะที่แท้จริง เกิดเป็นปกติ
ขณะที่จิตเป็นสมาธิในระดับหนึ่ง มีสติ สัมปชัญญะรู้อยู่

เจ้านายของวลัยพร ไม่ต้องมาทำอะไรให้ดูเว่อๆแบบนี้(คำพูดที่คุณพูดมา)
เขาทำความเพียร ตามเหตุปัจจัยของเขา คือ ทำสมาธิเวลานอน อาศัยการนอนหลับน่ะแหละ

การเดิน อาศัยเดินก่อนถึงที่ทำงาน หนึ่งกิโล ไปกลับ สองกิโล
ก่อนถึงห้องอีก เดินกลับมาอีก หนึ่งกิโล
กลับถึงที่พัก เดินขึ้นบันได ๑๕ ชั้น(อยู่คอนโด ชั้น ๑๕)

ถ้ามีเวลาว่างในวันไหน ช่วงไหน ก็จะนั่งสมาธิบ้าง
โดยเฉพาะ สภาวะที่เรียกว่า พังๆ อะไรน่ะ เกิดเป็นปกติอยู่แล้ว

"การล่มสลายของความรู้สึกว่าเป็นตัวตน แขน ขา หัว มือ เท้าต่างๆ จะพังทะลายหายไปหมด
เหลือแต่จิตรู้ลอยเด่นรู้อยู่โดดๆเป็นหนึ่งเดียว"

อ่านแล้วเท่นะ แต่ไม่สามารถทำให้เกิดปัญญา ที่จะหยุดสร้างเหตุนอกตัวได้
เห็นแต่ละคำพูดที่คุณแสดงออกมา มีแต่ตัวกู ของกูอย่างหนาแน่น

ก่อนที่จะสอนคนอื่น
เอาตัวเองให้รอดก่อน

เหมือนมุมเมอแรงน่ะ
คุณขวี้ยงออกมามากเท่าไหร่(เหตุของการกระทำ)
แรงเหวี่ยงก็สะท้อนกลับไปหาคุณ(ผลของเหตุที่กระทำลงไป)

เหตุนี้ ผ่านมาตั้งนานแล้ว
สภาวะของคุณ จึงเวียนวนเกาะกับคำเรียกเหล่านี้

เพียงคุณหยุดที่คิดจะสอนคนอื่นๆ
แล้วหมั่นสร้างเหตุในการรู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตเนืองๆ
คุณจะหลุดจากสภาวะเหล่านี้เอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 17 ต.ค. 2013, 08:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 08:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:



แค่นี้ก็มองไม่ออก กรัชกาถึงต้องอ่านเป็นโกดังก็ยังไม่ข้าใจ ก็ในเมื่อขันมันทุกก็ดับมันซะ พระองค์บอกว่าการดับสังขารทั้งหลายเป็นความสุขอย่างยิ่ง



ััดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ดับกายสังขาร ฯลฯ ฟังจนเบือแล้ว ถามเข้าจริงเละ รำคาญ เบื่อม๊อบ อยากดับไงก็ดับเถอะ แต่อย่าแขวนคอตายแล้วกัน ฮี่ๆ :b9:

ทำไมเบื่อในสิ่งที่พระองค์กล่าวล่ะครับ


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 08:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
คุณวลัยพร มีจิตสะอาด ละเอียดอ่อน บริสุทธิ์ และมีบุญเก่าสะสมมามากพอ จึงสามารถสัมผัสรู้อาการที่ละเอียดอ่อนภายในกายได้.....จงอย่าหลงออกจากทางที่ดีนี้ไปตามคำบอกของคนที่ไม่รู้จริง

ปิติ กับอาการของ Vibration นี้เป็นคนละอันกันนะครับ

ปีติเป็นผลของสมาธิ เขามาตามกัน ตามลำดับคือ

ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต สุข เอกัคตา อุเบกขา นี่เป็นผลของสมาธิ

แต่การรู้ Vibration นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีจิตใจสงบ ละเอียดอ่อน สติปัญญาคมกล้า

ปุถุชน คนใจบาป หยาบช้า หรือนักสมถะภาวนา อาจไม่สามารถสังเกตรู้อาการที่ละเอียดอ่อทนในร่างกายเช่นนี้




คุณเป็นคนปากหวาน การใช้คำพูด มักจะชอบยกยอปอปั้น คนสติไม่ทัน ก็ลุมหลง

นับว่าเป็นเหตุของวลัยพรที่ทำมา เพิ่งมาเจอคุณในตอนนี้
ถ้าเจอก่อนหน้านี้ ขออภัยนะ "หลงตายห่า"

หลงในมธุรสวาจา หลงในการสรรหาคำเรียกของสภาวะ




asoka เขียน:

วิธีการที่จะเข้าไปดูหรือไปรู้สภาวะที่ละเอียดอ่อนในกายเหล่านี้ทำได้ง่ายๆโดย

นั่งสงบกายสงบใจ ตั้งใจที่จะสำรวมกาายใจให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้ แล้วเอาสติ ปัญญามาตั้งรู้ตั้งสังเกตดูเข้าไปในกายดีๆ

เมื่อจิตสงบลงไปๆ จนถึงระดับที่ 1 ลมหายใจเขาจะชัดขึ้นมาเอง.....นิ่งรู้อยู่ในระดับนี้สักพักหลังจากนั้นปล่อยความรู้ชัดลมหายใจ

ทำตัวทำใจให้นิ่งลงไปกว่านี้อีก จนเมื่อนิ่งได้ที่ถึงระดับที่ 2 หัวใจเต้นตึกๆ จะชัดขึ้นมา ทรงความรู้ชัดนี้ไว้สักระยะหนึ่งแล้วก็ปล่อยความรู้หัวใจเต้น

ทำตัวทำใจให้นิ่งยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อนิ่งถึงระดับที่ 3 ชีพจรจะชัดขึ้นมาเป็นจุดๆ ตามส่วนต่างๆของร่างกาย จนเมื่อนิ่งได้ที่ถึงระดับ ชีพจรจะรู้ชัดหมดทั่วร่าง ทรงอารมณ์นีไว้สักระยะหนึ่ง แล้ว

ทำตัวทำใจให้นิ่งลงไปให้ถึงที่สุด สังเกตให้ดี เมื่อนิ่งถึงระดับที่ 4 ท่านจะได้สัมผัสรู้อากรสั่นสะเทือนของร่างกาย โดยจะเริ่มรู้ชัดเป็นจุดๆ หรือส่วนๆไปก่อนแล้วค่อยขยายชัดไปจนทั่วร่าง.....



เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะมีสภาวะใดเกิดขึ้นก็ตาม

สภาวะที่คุณนำมาพูด ที่คุณแนะนำมา

วลัยพรไม่ต้องไปทำอะไรแบบนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ จะยืน เดิน นั่ง นอน
ทั้งกลางวัน และกลางคืน สภาวะเหล่านี้ เกิดขึ้นเนืองๆ กับวลัยพร เกิดเป็นปกติ
โดยไม่ต้องพยายามทำเพื่อให้เกิดสภาวะนี้
และไม่เคยรู้สึกปลื้มปีติกับสภาวะเหล่านี้ด้วย

เจ้านายของวลัยพร ก็มีสภาวะแบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
เขาเองก็ไม่ได้ต้องไปพยายามทำให้เกิดขึ้นด้วย และก็ไม่ได้รู้สึกปลื้มปีติกับสภาวะที่เกิดขึ้นด้วย
เพราะเขารู้จากคำบอกเล่าของวลัยพรว่า เป็นเรื่องปกติของสภาวะที่เกิดขึ้น แค่รู้ไปอย่างเดียว



asoka เขียน:
ผู้ปฏิบัติในสายของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า จะนับถือความนิ่งละเอียดของสติปัญญาถึงระดับนี้ ถ้าทรงอารมณ์นี้ไว้ได้นานๆ บ่อยๆ ไม่ช้าผู้ฝึกหัดจะได้พบการล่มสลายของความรู้สึกว่าเป็นตัวตน แขน ขา หัว มือ เท้าต่างๆ จะพังทะลายหายไปหมดเหลือแต่จิตรู้ลอยเด่นรู้อยู่โดดๆเป็นหนึ่งเดียว ทางสายท่านโกเอ็นก้าท่านเรียกว่า "ภังคญาณ"

เอ้า แซมเปิ้ล ลองทำกันดูนะครับแล้วได้ผลเป็นอย่างไรค่อยมาสนทนากันต่อ



โดยเฉพาะสภาวะนี้ เป็นการนับถือแบบสีลลัพตปรามาส คือ แค่ลูบคลำ
คาดเดาเอาเองว่า สามารถกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

ทั้งๆที่ โดยตัวสภาวะที่แท้จริง เกิดเป็นปกติ
ขณะที่จิตเป็นสมาธิในระดับหนึ่ง มีสติ สัมปชัญญะรู้อยู่

เจ้านายของวลัยพร ไม่ต้องมาทำอะไรให้ดูเว่อๆแบบนี้(คำพูดที่คุณพูดมา)
เขาทำความเพียร ตามเหตุปัจจัยของเขา คือ ทำสมาธิเวลานอน อาศัยการนอนหลับน่ะแหละ

การเดิน อาศัยเดินก่อนถึงที่ทำงาน หนึ่งกิโล ไปกลับ สองกิโล
ก่อนถึงห้องอีก เดินกลับมาอีก หนึ่งกิโล
กลับถึงที่พัก เดินขึ้นบันได ๑๕ ชั้น(อยู่คอนโด ชั้น ๑๕)

ถ้ามีเวลาว่างในวันไหน ช่วงไหน ก็จะนั่งสมาธิบ้าง
โดยเฉพาะ สภาวะที่เรียกว่า พังๆ อะไรน่ะ เกิดเป็นปกติอยู่แล้ว

"การล่มสลายของความรู้สึกว่าเป็นตัวตน แขน ขา หัว มือ เท้าต่างๆ จะพังทะลายหายไปหมด
เหลือแต่จิตรู้ลอยเด่นรู้อยู่โดดๆเป็นหนึ่งเดียว"

อ่านแล้วเท่นะ แต่ไม่สามารถทำให้เกิดปัญญา ที่จะหยุดสร้างเหตุนอกตัวได้
เห็นแต่ละคำพูดที่คุณแสดงออกมา มีแต่ตัวกู ของกูอย่างหนาแน่น

ก่อนที่จะสอนคนอื่น
เอาตัวเองให้รอดก่อน

เหมือนมุมเมอแรงน่ะ
คุณขวี้ยงออกมามากเท่าไหร่(เหตุของการกระทำ)
แรงเหวี่ยงก็สะท้อนกลับไปหาคุณ(ผลของเหตุที่กระทำลงไป)

เหตุนี้ ผ่านมาตั้งนานแล้ว
สภาวะของคุณ จึงเวียนวนเกาะกับคำเรียกเหล่านี้

เพียงคุณหยุดที่คิดจะสอนคนอื่นๆ
แล้วหมั่นสร้างเหตุในการรู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตเนืองๆ
คุณจะหลุดจากสภาวะเหล่านี้เอง

หลุดเองเหมือนตอนกินเจอยู่นานอยู่ๆแล้วเลิกกินเหรอครับ อิอิ. มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองผลของสมาธิไม่เกิดปัญญา. เพราะสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา.


แก้ไขล่าสุดโดย amazing เมื่อ 17 ต.ค. 2013, 08:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

เหตุนี้ ผ่านมาตั้งนานแล้ว
สภาวะของคุณ จึงเวียนวนเกาะกับคำเรียกเหล่านี้

เพียงคุณหยุดที่คิดจะสอนคนอื่นๆ
แล้วหมั่นสร้างเหตุในการรู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตเนืองๆ
คุณจะหลุดจาก "ความลุ่มหลง" สภาวะเหล่านี้เอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 08:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองไม่เห็นปัญญาจากผลของสมธิ


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุทั้งหลาย ! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย
บุคคล บางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้น นำเขาไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว
กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย…

ภิกษุทั้งหลาย ! ใครกล่าวว่า
คนทำกรรม อย่างใดๆ ย่อมเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้นๆ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ไม่ปรากฏ

ส่วนใครกล่าวว่า
คนทำกรรมอันจะพึงให้ผล อย่างใดๆ ย่อมเสวยผลของกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ย่อมปรากฏ.
ติก. อํ. ๒๐/๓๒๐/๕๔๐.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 08:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ภิกษุทั้งหลาย ! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย
บุคคล บางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้น นำเขาไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว
กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย…

ภิกษุทั้งหลาย ! ใครกล่าวว่า
คนทำกรรม อย่างใดๆ ย่อมเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้นๆ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ไม่ปรากฏ

ส่วนใครกล่าวว่า
คนทำกรรมอันจะพึงให้ผล อย่างใดๆ ย่อมเสวยผลของกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ย่อมปรากฏ.
ติก. อํ. ๒๐/๓๒๐/๕๔๐.
คำพระพุทธองค์ไพเราะเสมอ


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
walaiporn เขียน:
ภิกษุทั้งหลาย ! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย
บุคคล บางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้น นำเขาไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว
กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย…

ภิกษุทั้งหลาย ! ใครกล่าวว่า
คนทำกรรม อย่างใดๆ ย่อมเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้นๆ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ไม่ปรากฏ

ส่วนใครกล่าวว่า
คนทำกรรมอันจะพึงให้ผล อย่างใดๆ ย่อมเสวยผลของกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ย่อมปรากฏ.
ติก. อํ. ๒๐/๓๒๐/๕๔๐.



คำพระพุทธองค์ไพเราะเสมอ


หรอฮี่ๆๆ :b35: ซาบซุ้งๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
จริง ๆ อยากติดตามอ่านว่า
ท่านมูมีทัศนะอย่างไร ถึงได้ว่า vibra คือ ปิติ
ท่านอ๊บซ์ก็ด้วย...


cool cool cool แหม สาวๆ เรียกร้องอะนะ ฮิฮิ :b22: :b22: :b22:

คืองี้นะ... สมัยนี้ ถ้าเราคิดตามดีๆ เราจะพบว่า การบรรยายเรื่องฌาณแบบสมถะน่ะ ค่อนข้างจะเลอะเทอะ. มันบ่งบอกไปในตัวว่า คนที่บรรยาย (ไม่ว่าเราจะเรียกเขาว่าอย่างไรก็ตาม) ยังสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อลูกศิษย์เรียกร้อง ลูกศิษย์เชื่อว่าเรารู้ เราก็เลยต้องพยายามบอกออกไปให้ได้.

:b6: ขอยกตัวอย่างว่า มีการอธิบาย เอกัคคตา (องค์ประกอบตัวสุดท้ายของปฐมฌาณ) ว่าคือ มีอารมณ์เดียว. แต่มันจะมีอารมณ์เดียวได้อย่างไร ในเมื่อปฐมฌาณมีทั้ง วิตก วิจาร ปิติ และสุข รวมอยู่ด้วย.
การดัดแปลงก็เกิดขึ้น กลายเป็นว่า วิตกวิจาร คือฌาณ 1, เจอปิติคือฌาณ 2 ไปเรื่อยๆ.
แต่จะดัดแปลงแบบนี้ มันก็ดูประหลาดไปหน่อย, เอาไปบอกลูกศิษย์ก็ได้อยู่ แต่เอาไปคุยกับพวกเปรียญคงยาก. ก็เลยเกิดการบัญญัติคำใหม่ ขั้นตอนใหม่ กลายเป็น ขณิกะ อุปจาระ อัปปนา อะไรขึ้นมา.

:b6: คำว่า ปิติ ก็เหมือนกัน. ปิติแปลว่าความอิ่มเอิบ แล้วมันคืออะไรฟะ :b10: :b10: :b10:
เมื่อไม่เข้าใจ เราก็เลยเอา อาการที่เกิดขึ้น ไปใช้เป็นความหมายของปิติ เช่น ตัวสั่น ตัวเย็น ตัวลอย น้ำตาไหล ฯลฯ
ปิติ แปลด้วยคำสมัยใหม่ก็คือ รู้สึกดี. เข้าใจง่ายกว่า รู้สึกอิ่มเอิบ ดื่มด่ำ ไม๊ :b1:

:b6: เมื่อสัมปชัญญะเริ่มตื่นตัวน้อยลง, อาการที่จะเกิดขึ้นนั้น บอกแน่นอนไม่ได้. เพียงแต่อาการที่เจอบ่อย จะเป็นพวกตัวลอย ตัวบวม ขนลุก แต่ทั้งหมดนั้น จะเป็นอาการทางร่างกายที่จะเกิดขึ้นหลังจากเราเพ่งไปในจุดใดจุดหนึ่งนานๆ.
ลองสำรวจความรู้สึกของตนให้ละเอียดว่า ในขณะที่เกิดอาการเหล่านี้ เรารู้สึกดีไหม, นั่นแหล่ะคือ ปิติ

ถ้าวันใด เรา ละ ความรู้สึกดีนั้นได้, ไม่นานหรอก อาการที่จะนำความรู้สึกดีนั้นมา จะไม่เกิดขึ้นอีก.

:b6: การฝึกในแบบสติปัฎฐาน จะไม่พบเรื่องราวเหล่านี้, เพราะเราจะมี สัมปชัญญะ ครบถ้วน.
รู้สึกจะเคยบรรยายไปก่อนหน้านี้นานแล้วว่า ในการฝึกวิปัสสนา (สติปัฏฐาน) ถ้าจะเข้าถึงระดับฌาณ จะเป็น ลักขณูปนิชฌาน
หากฝึกสมถะร่วมไปด้วย จะเป็นปฐมฌาณในช่วงสั้นๆ แล้วจะเข้าถึงระดับฌาณ 4 เลย.
หากฝึกสติปัฏฐานอย่างเดียว จะเข้าถึงระดับฌาณ 4 ในทีเดียว. ตรงนี้คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะตั้งบัญญัติใหม่ว่าเป็น สุกขวิปัสสโก. เพราะไม่ผ่านขั้นตอน ปิติ สุข (แสงสว่าง) อะไรใดๆ เลย.

ซึ่งถ้าเราไม่เกรงใจกับคำว่า อรรถกถา. เราจะพบว่า สุกขวิปัสสโก ขัด ต่อไตรปิฏกชัดเจน. พระอรหันต์ย่อมเข้าถึงฌาณทุกรูป ไม่มีคำว่าแห้งแล้ง.

:b6: ส่วมสมถะนั้น ก็อย่างที่เคยบรรยายไป.
สมถะจะอยู่ในปฐมฌาณอย่างยาวนาน, นานจนวิตกวิจารดับ, นานจนปิติดับ, นานจนสุขดับ สุดท้ายเป็น ภวังคุปัจเฉท กลายเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง.
ลองสังเกตดู พวกสมถะนี้จะบรรยาย อรูปฌาณ ด้วยข้อความที่เราอ่านไม่เข้าใจ เพราะเขาก็ไม่เข้าใจด้วย.

:b6: อรูปฌาณ จะเข้าถึงได้ก็ด้วย ลักขณูปนิชฌาน. อรูปฌาณคือฌาณ 4 ที่ใช้การพิจารณาต่างๆ กัน หรือพูดในอีกแบบหนึ่ง รูปฌาณ 4 ก็คืออรูปฌาณ 1 นั่นเอง.
แต่ฌาณ 4 ในสมถะเป็น ภวังคุปัจเฉท เป็นก้อนหิน. บรรดาผู้ที่เป็นก้อนหิน ก็เลยต้องบัญญัติขั้นตอนใหม่, ว่าต้อง ถอย ออกจากความเป็นก้อนหิน, มาเป็นอุปจาระอะไรๆ ไปตามเรื่อง.

s002 จากปิติ ก็บรรยายมาไกลขนาดนี้ :b9: นี่ถ้าสาวๆ ไม่เรียกร้อง ไม่มาตอบนะนี่ ฮิฮิ :b22: :b22: :b22:


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 10:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:

ถ้าวันใด เรา ละ ความรู้สึกดีนั้นได้, ไม่นานหรอก อาการที่จะนำความรู้สึกดีนั้นมา จะไม่เกิดขึ้นอีก.



:b1: ...

:b1: :b1: :b1:

:b8:

:b12: :b12: :b12:

ความหมาย...ประมาณว่า
ไม่เกิดขึ้นอีกเมื่อไร ค่อยมาคุยกันใหม่...

ซึ่งถ้ายังปรากฎซ้ำซากอยู่ ... นั่นล่ะ คือ ต้องพิจารณามันดี ๆ
ว่าทำไมสภาวะธรรมนี้ยังปรากฎวนเวียนอยู่ซ้ำซาก
คือ...ทำไมจิตยังดำเนินไปโดยที่ไม่คลายจากสภาวะนี้ สักที...

ดังนั้น...
นักปฏิบัติที่ยังไม่คลายจากสภาวะนี้ เขาก็เห็นอย่าง พูดอย่าง
ส่วนนักปฏิบัติที่คลายจากสภาวะนี้แล้ว เขาก็เห็นอย่าง พูดอย่าง

มั๊ย...

:b1: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 12:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คราวนี้ เหลือแต่อ๊บซ์...ที่ยังไม่แสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่อง Vibra-

:b6: :b6: :b6:


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 13:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การฝึกในแบบสติปัฎฐาน จะไม่พบเรื่องราวเหล่านี้, เพราะเราจะมี สัมปชัญญะ ครบถ้วน.
รู้สึกจะเคยบรรยายไปก่อนหน้านี้นานแล้วว่า ในการฝึกวิปัสสนา (สติปัฏฐาน) ถ้าจะเข้าถึงระดับฌาณ จะเป็น ลักขณูปนิชฌาน


พอดี เห็น ลักขณูปนิชฌาน

ซึ่งเอกอนก็ไม่เข้าใจ ศัพท์คำนี้นักว่าเป็นเช่นไร
พอดีไปค้นหาเจอ ก็เลยเอามาแปะไว้

http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... sd-232.htm

ลักขณูปนิชฌาน

(ฌาน) โดย ›››››สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


อันนี้ต้องอาศัยฌานคือความเพ่ง เพ่งจิตลงไปที่อารมณ์ของสมาธิ หรือที่อารมณ์กรรมฐานดั่งที่กล่าวนั้น นี่คือฌานความเพ่ง เพ่งเพื่อให้จิตเป็นสมาธิคือตั้งมั่น อันเป็นตัวฌานคือตัวความเพ่ง และเมื่อได้ฌานคือความเพ่งดั่งนี้ ต้องการจะเลื่อนชั้นของการปฏิบัติเป็นวิปัสสนา ก็นำเอาความเพ่งที่เป็นสมาธินี้มาเพ่งลักษณะ

อันหมายถึงไตรลักษณ์ คือลักษณะที่เป็นเครื่องกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง มีเกิดดับ เรียกว่าอนิจจลักขณะ หรืออนิจจลักษณะ เพ่งที่ทุกข์ลักษณะหรือทุกขลักขณะ กำหนดหมายว่าเป็นทุกข์ ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เพ่งที่อนัตตลักขณะหรืออนัตตลักษณะ เครื่องกำหนดหมายว่าอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ก็คือเพ่งที่องค์ฌาน หรือองค์ของสมาธิดังกล่าวแล้วนั้นเอง เพ่งดู วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

เมื่อรวมเข้าแล้วก็เป็นนามรูป สิ่งที่รู้เป็นรูป รู้เป็นนาม เพราะว่าทั้งหมดนั้นก็รวมอยู่ในความรู้ของจิต ตัวความเพ่งเอง หรือตัวสมาธิเอง ก็อยู่ในความรู้ของจิต และความรู้ของจิตนั้นก็แยกได้เป็น ๒ คือเป็นสิ่งที่รู้อัน ๑ ตัวความรู้อัน ๑ สิ่งที่รู้นั้นก็เป็นรูป ตัวความรู้ก็เป็นนาม หรือว่าแยกออกไปเป็นขันธ์ ๕ คือสิ่งที่รู้นั้นก็เป็นรูปขันธ์กองรูป

อันหมายถึงรูปที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ หรือว่ารูปที่เป็นสิ่ง คือสิ่งที่รู้ แม้จะไม่ใช่เป็นรูปจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่รู้ อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่รู้ ก็เป็นรูปทั้งนั้น และนามนั้นก็แยกออกไปเป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นขันธ์ ๕ รวมเข้าก็เป็นสิ่งที่รู้คือรูป ความรู้คือนาม

ก็เพ่งดูลักษณะของรูปนามดังกล่าวมานี้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ อันเรียกว่าไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่ไม่ตั้งอยู่ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เป็นทุกข์ และเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ จึงไม่ควรจะยึดถือเป็นตัวเราของเรา และก็พิจารณารวมเข้ามาว่า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เป็นอันว่าอนิจจะทุกขะอนัตตารวมอยู่เป็นจุดเดียวกัน รวมอยู่เป็นเกิดดับ รวมอยู่เป็นความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ไม่ตั้งอยู่คงที่ รวมอยู่เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน

ดั่งนี้ก็เรียกว่าเพ่งลักษณะ ลักขณูปนิชฌานทำให้ได้ปัญญาคือความรู้ทั่วถึงในลักษณะ อันเป็นเครื่องกำจัดความยึดถือ ทำให้เกิดความปล่อยวาง (ตทังค) วิมุติหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ เพราะว่าเมื่อรู้ในลักษณะที่เรียกว่าตามเป็นจริงคือธรรมตามที่เป็นแล้ว ก็ย่อมจะเกิดความหน่ายไม่เพลิดเพลินติดอยู่ในสิ่งที่รู้นั้น เมื่อหน่ายก็สิ้นความติดใจยินดี เมื่อสิ้นความติดใจยินดีก็หลุดพ้นเป็นวิมุติ นี่เป็นการปฏิบัติในทางลักขณูปนิชฌานอันเป็นทางปัญญา

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า ฌานคือความเพ่งย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีฌานคือความเพ่ง ฌานความเพ่งและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าปฏิบัติใกล้นิพพาน ดั่งนี้


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

:b17: :b17: :b17: :b17: :b17:

:b1:


โพสต์ เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง
บัญญัตินิพพานอันยวดยิ่งในปัจจุบัน มีอยู่


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความหลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น
เพราะรู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษ
และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งผัสสายตนะ ๖ ประการ

เลิศกว่าการบัญญัตินิพพานอันยอดยิ่งในปัจจุบันแห่งสมณพราหมณ์


..............................................................

เมื่อมีสภาวะใดเกิดขึ้นก็ตามทั้งภายนอกและภายใน


อุบายเครื่องสลัดออกแห่งผัสสายตนะ ๖ ประการ


[๙๑] พ. ดูกรภิกษุ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน จักษุเที่ยง หรือไม่เที่ยง ฯ

ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯลฯ
พ. หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส แม้สุขเวทนาทุกขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ หนอที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในจักษุ ฯลฯ
แม้ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีวิญญาณ
หยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความ เป็นอย่างนี้มิได้มีฉะนี้ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุนั้นชื่นชม ยินดีภาษิตของ
พระผู้มีพระภาค ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิต ของภิกษุนั้นหลุดพ้นจาก
อาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๒


http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%AA ... _%E0%B9%92





พ. ดีแล้วๆ ภิกษุ เป็นการถูกต้องดีแล้ว
ที่เธอรู้ทั่วถึงธรรมอันเรา แสดงแล้วเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน
เพราะว่าธรรมที่เราแสดงแล้ว ล้วนมีอนุปาทาปรินิพพานเป็นความมุ่งหมายฯ



คำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทั้งหมด จบลงที่ คือ การไม่เกิดอีกต่อไป


แม้กระทั่ง ความเป็นโสดาบัน ยังชื่อว่า มีความประมาทอยู่
เพราะ ยังมีเหตุปัจจัยให้เกิดอีก(สัตตานัง)


บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว
ก็ชื่อว่าปฏิสนธิของสัตว์ ผู้ยังไม่เห็นสัจจะ เป็นภาระหนัก


http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=19&p=8

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร