วันเวลาปัจจุบัน 14 พ.ย. 2025, 00:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 14 ต.ค. 2013, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในวงการพระพุทธศาสนาบ้านเราพูดถึง อุเบกขๆๆ กันบ่อยๆ แต่แค่ไหนเพียงใด อุเบกขา ข้างบนก็อ้างอิงถึง รายนี้ก็งงงง กับความหมายอุเบกขา คิกๆๆ


อ้างคำพูด:
เนื่องจากรู้จักคนที่เลี้ยง สุนัขและแมวจำนวนมาก จนบางคนไม่มีเงินเลยก็มี

ญาติบางคนก็มีหมาแมวที่บ้าน แต่คนในบ้านก็เกี่ยงกันเลี้ยง หมา แมว มันก็ต้องทนหิวทุกวัน ต่างก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ มันมาอยู่เอง ส่วนตัวไหนใครเอามาก็เลี้ยงไป ที่บ้านญาติไม่ได้ร่ำรวย แต่ไม่ได้ ไม่มีจะกิน ฐานะก็กลางๆ คนอื่นๆในบ้านก็ออกไปทำงานแต่เช้า เหลือ แต่ป้าๆในบ้านที่ไม่ได้ทำงาน คนอยู่บ้านก็เกี่ยง กัน

มีเมตตา กรุณา ก็ดี แต่ อุเบกขาเนี่ยควรอยู่ในขอบเขตไหนคะ
แบบไหนถึงจะไม่บาป ไม่ทรมานสัตว์

บอกตรงๆ สับสนมาก คนเลี้ยงก็เลี้ยง คนไม่เลี้ยงก็ว่า เนี่ยทำตัวเองจนลำบากเพราะ หมาแมว ปวดหัวจริงๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 14 ต.ค. 2013, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
...นั้นอยู่บนทางแห่งการปฏิบัติจริงมามากพอสมควร จนสัมผัสรู้ Vibration ในกายได้แล้ว ก็ถือว่ามีจิตละเอียดอ่อน มีสติปัญญาคมกล้า ลึกซึ้งถึงระดับที่เอาความเห็นผิด ออกจากใจได้โดยไม่ยาก ...


cool cool อาจจะดูก้าวร้าวนิดหน่อย แต่จะบอกว่า...
นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ของการหลงใหลในสมถะฌาณ เป็นการปฏิบัติที่ผิด
เพราะสภาพแปลกๆ ในขณะที่อัตตา (ร่างกาย) ถูกทำให้หยุดลง, ทำให้คนที่อยู่ในสมถะ พากันหลงว่า นี่คือการบรรลุธรรม ยิ่งถ้าสามารถใช้ตาที่สามด้วยแล้ว ก็จะยิ่งหลงไปมากกว่านี้

รู้ไหม ในบรรดาพวกตาที่สาม เขาหลงกันขนาดว่า ใครซ่อนตัวจากคนอื่นได้ดีกว่า คนนั้นมีธรรมสูงกว่า ถ้าไม่มีใครเห็นเลย ก็เป็นอรหันต์ ว่างั้น

:b6: ปัญหาคือ เขาคิดว่า สิ่งที่เขาเป็น เป็นสิ่งที่ถูก. และเขาจะจมอยู่กับความเห็นผิดนี้ตลอดไป.
เคยอ่านเจอในที่หนึ่ง, มีพระรูปหนึ่ง ใช้เวลาเกือบ 20 ปี กว่าจะรู้สึกสะกิดใจในสภาพสมถะที่เป็นอยู่.

ไม่มีใคร สามารถช่วยคนที่อยู่ในภาวะ หลงผิด ได้


โพสต์ เมื่อ: 14 ต.ค. 2013, 11:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ต้องเอาของจริงบ้าง เอาแต่ตัวหนังสือวางให้อ่านแล้วเพ้อฝันไกลเกินชีวิตปัจจุบันไป กลายเป็นธรรมะในจินตนาการไป


อเมสซิ่ง กับ อโศก ครับ คุณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

http://www.youtube.com/watch?v=qWOCXCSQFJ8


http://www.youtube.com/watch?v=-ckTCIrPwvw



ต้องเปิดไ้ด้สักคลิปหรอกน่า

คุณอโศก คงเปิดไ้ด้นะครับ :b1:
มันเกี่ยวอะไรกับผมอะกักกาย. มันแก้อะไรได้ล่ะความเห็นผิด. พระพุทธก็ทรงพล้ำสอนอยู่ทุกวันตลอด45ปี จนท่านดับขันธ์จากเราไป ก็มีบ้างทั้งคนเห็นถูกคนที่เห็นผิดแม้แต่กัดกายเองก็ยังเห็นผิดเลย กัดกายจะบอกว่านี่ความรู้อย่างฉันมันถุกต้องเรียนอย่างนี้. ไม่มีใครปฎิเสธความรู้หรกแต่นั้นมันแค่แผนที่การเดินทางเท่านั้น กัดกายกอดแผนที่ไว้อย่างเดียวจะถึงมั้ยเชียงใหม่นะเจ๊า!


แก้ไขล่าสุดโดย amazing เมื่อ 15 ต.ค. 2013, 06:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 14 ต.ค. 2013, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ต้องเอาของจริงบ้าง เอาแต่ตัวหนังสือวางให้อ่านแล้วเพ้อฝันไกลเกินชีวิตปัจจุบันไป กลายเป็นธรรมะในจินตนาการไป


อเมสซิ่ง กับ อโศก ครับ คุณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

http://www.youtube.com/watch?v=qWOCXCSQFJ8


http://www.youtube.com/watch?v=-ckTCIrPwvw



ต้องเปิดไ้ด้สักคลิปหรอกน่า

คุณอโศก คงเปิดไ้ด้นะครับ :b1:


มันเกี่ยวอะไรกับผมอะกักกาย. มันแก้อะไรได้ล่ะความเห็นผิด. พระพุทธก็ทรงพล้ำสอนอยู่ทุกวันตลอด45ปี จนท่านดับขันธ์จากเราไป ก็มีบ้างทั้งคนเห็นถูกคนที่เห็นผิดแม้แต่กัดกายเองก็ยังเห็นผิดเลย กัดกายจะบอกว่านี่ความรู้อย่างฉันมันถุกต้องเรียนอย่างนี้. ไม่มีใครปฎิเสธความรู้หรกแต่นั้นมันแค่แผนที่กานเดินทางเท่านั้น กัดกายกอดแนที่ไว้อย่างเดียวจะถึงมั้ยเชียงใหม่นะ
เจ๊า!



ดูธรรมจากตัวหนังสือมามากแล้ว ต้องการให้ดูธรรมะ ในคนบ้าง :b1: :b13: เห็นมั้ยน่ะ ธรรมะๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 15 ต.ค. 2013, 02:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ในวงการพระพุทธศาสนาบ้านเราพูดถึง อุเบกขๆๆ กันบ่อยๆ แต่แค่ไหนเพียงใด อุเบกขา ข้างบนก็อ้างอิงถึง รายนี้ก็งงงง กับความหมายอุเบกขา คิกๆๆ


อ้างคำพูด:
เนื่องจากรู้จักคนที่เลี้ยง สุนัขและแมวจำนวนมาก จนบางคนไม่มีเงินเลยก็มี

ญาติบางคนก็มีหมาแมวที่บ้าน แต่คนในบ้านก็เกี่ยงกันเลี้ยง หมา แมว มันก็ต้องทนหิวทุกวัน ต่างก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ มันมาอยู่เอง ส่วนตัวไหนใครเอามาก็เลี้ยงไป ที่บ้านญาติไม่ได้ร่ำรวย แต่ไม่ได้ ไม่มีจะกิน ฐานะก็กลางๆ คนอื่นๆในบ้านก็ออกไปทำงานแต่เช้า เหลือ แต่ป้าๆในบ้านที่ไม่ได้ทำงาน คนอยู่บ้านก็เกี่ยง กัน

มีเมตตา กรุณา ก็ดี แต่ อุเบกขาเนี่ยควรอยู่ในขอบเขตไหนคะ
แบบไหนถึงจะไม่บาป ไม่ทรมานสัตว์

บอกตรงๆ สับสนมาก คนเลี้ยงก็เลี้ยง คนไม่เลี้ยงก็ว่า เนี่ยทำตัวเองจนลำบากเพราะ หมาแมว ปวดหัวจริงๆ


ทั้งคนถามและกรัชกาย นี่มันมั่วได้ใจ
ถามหน่อย มันเกี่ยวกับพรหมวิหารสี่ตรงไหน
บอกกรัชกายหลายครั้งแล้วว่า ให้มีสมาธิในการอ่านหรือพิจารณาธรรม
นี่ไม่รู้จักแยกแยะธรรม
เริ่มตั้งแต่คนถามแล้ว ดันเอาเรื่องของคนอื่น เอาเรื่องของแมวมาถาม
แล้วบอกว่า.....ฉันจะวางอุเบกขาได้อย่างไร

จะถามปัญหาธรรม อยากรู้ว่าตัวเองติดขัดธรรมใด อยากให้ช่วยแก้
มันต้องเป็นผู้กระทำกรรมนั้น.......ตัวอย่างเรื่องนี้ก็เช่นกัน
ปวดหัวกับเรื่องของคนอื่น ในเรื่องที่เขาจะเลี้ยงหรือไม่เลี้ยงแมว

การที่ผู้ถามเอาพรหมวิหารสี่มาถาม โดยบอกว่าตัวเองจะวางอุเบกขาอย่างไร
แบบนี้มันมั่วหรือเปล่า ถามหน่อยมันเกี่ยวกับพรหมวิหารสี่ตรงไหน

คนที่เกี่ยวข้องกับพรหมวิหารสี่โดยตรง ต้องเป็นผู้เลี้ยงแมว
มันไม่ใช่ทั้งผู้ที่ไม่อยากเลี้ยงและผู้ที่เอาเรื่องนี้มาถาม


ธรรมในเรื่องพรหมวิหารสี่ มีไว้สำหรับดับทุกข์กับคนที่มีใจ......
เมตตา กรุณา มุทิตา คนที่มีใจทั้งสามนี้มันจะทำให้เกิดทุกข์
พระพุทธองค์จึงสอนให้รู้จักวางอุเบกขา เมื่อเกิดธรรมตัวใดตัวหนึ่ง

ดังนั้นพรหมวิหารสี่จะต้องเกิดกับคนเลี้ยงแมว
ที่มีใจเมตตา กรุณา มุทิตา เกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง
แล้วจะวางอุเบกขาอย่างไร ดังนั้นคนที่ถามจะต้องมีลักษณะตามที่กล่าวมา
ไม่ใช่มาถามสะเป่ะสะปะมั่วทั้งคนถามและมั่วทั้งคนที่เอามาอ้างอิง.....ไม่รู้จักแยกแยะธรรมเอาซะเลย



โพสต์ เมื่อ: 15 ต.ค. 2013, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ในวงการพระพุทธศาสนาบ้านเราพูดถึง อุเบกขๆๆ กันบ่อยๆ แต่แค่ไหนเพียงใด อุเบกขา ข้างบนก็อ้างอิงถึง รายนี้ก็งงงง กับความหมายอุเบกขา คิกๆๆ


อ้างคำพูด:
เนื่องจากรู้จักคนที่เลี้ยง สุนัขและแมวจำนวนมาก จนบางคนไม่มีเงินเลยก็มี

ญาติบางคนก็มีหมาแมวที่บ้าน แต่คนในบ้านก็เกี่ยงกันเลี้ยง หมา แมว มันก็ต้องทนหิวทุกวัน ต่างก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ มันมาอยู่เอง ส่วนตัวไหนใครเอามาก็เลี้ยงไป ที่บ้านญาติไม่ได้ร่ำรวย แต่ไม่ได้ ไม่มีจะกิน ฐานะก็กลางๆ คนอื่นๆในบ้านก็ออกไปทำงานแต่เช้า เหลือ แต่ป้าๆในบ้านที่ไม่ได้ทำงาน คนอยู่บ้านก็เกี่ยง กัน

มีเมตตา กรุณา ก็ดี แต่ อุเบกขาเนี่ยควรอยู่ในขอบเขตไหนคะ
แบบไหนถึงจะไม่บาป ไม่ทรมานสัตว์

บอกตรงๆ สับสนมาก คนเลี้ยงก็เลี้ยง คนไม่เลี้ยงก็ว่า เนี่ยทำตัวเองจนลำบากเพราะ หมาแมว ปวดหัวจริงๆ


ทั้งคนถามและกรัชกาย นี่มันมั่วได้ใจ
ถามหน่อย มันเกี่ยวกับพรหมวิหารสี่ตรงไหน
บอกกรัชกายหลายครั้งแล้วว่า ให้มีสมาธิในการอ่านหรือพิจารณาธรรม
นี่ไม่รู้จักแยกแยะธรรม
เริ่มตั้งแต่คนถามแล้ว ดันเอาเรื่องของคนอื่น เอาเรื่องของแมวมาถาม
แล้วบอกว่า.....ฉันจะวางอุเบกขาได้อย่างไร

จะถามปัญหาธรรม อยากรู้ว่าตัวเองติดขัดธรรมใด อยากให้ช่วยแก้
มันต้องเป็นผู้กระทำกรรมนั้น.......ตัวอย่างเรื่องนี้ก็เช่นกัน
ปวดหัวกับเรื่องของคนอื่น ในเรื่องที่เขาจะเลี้ยงหรือไม่เลี้ยงแมว

การที่ผู้ถามเอาพรหมวิหารสี่มาถาม โดยบอกว่าตัวเองจะวางอุเบกขาอย่างไร
แบบนี้มันมั่วหรือเปล่า ถามหน่อยมันเกี่ยวกับพรหมวิหารสี่ตรงไหน

คนที่เกี่ยวข้องกับพรหมวิหารสี่โดยตรง ต้องเป็นผู้เลี้ยงแมว
มันไม่ใช่ทั้งผู้ที่ไม่อยากเลี้ยงและผู้ที่เอาเรื่องนี้มาถาม


ธรรมในเรื่องพรหมวิหารสี่ มีไว้สำหรับดับทุกข์กับคนที่มีใจ......
เมตตา กรุณา มุทิตา คนที่มีใจทั้งสามนี้มันจะทำให้เกิดทุกข์
พระพุทธองค์จึงสอนให้รู้จักวางอุเบกขา เมื่อเกิดธรรมตัวใดตัวหนึ่ง

ดังนั้นพรหมวิหารสี่จะต้องเกิดกับคนเลี้ยงแมว
ที่มีใจเมตตา กรุณา มุทิตา เกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง
แล้วจะวางอุเบกขาอย่างไร ดังนั้นคนที่ถามจะต้องมีลักษณะตามที่กล่าวมา
ไม่ใช่มาถามสะเป่ะสะปะมั่วทั้งคนถามและมั่วทั้งคนที่เอามาอ้างอิง.....ไม่รู้จักแยกแยะธรรมเอาซะเลย




อุเบกชา เป็นไงลองว่ามาสิเพ่โฮ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 04:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
asoka เขียน:
...นั้นอยู่บนทางแห่งการปฏิบัติจริงมามากพอสมควร จนสัมผัสรู้ Vibration ในกายได้แล้ว ก็ถือว่ามีจิตละเอียดอ่อน มีสติปัญญาคมกล้า ลึกซึ้งถึงระดับที่เอาความเห็นผิด ออกจากใจได้โดยไม่ยาก ...


cool cool อาจจะดูก้าวร้าวนิดหน่อย แต่จะบอกว่า...
นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ของการหลงใหลในสมถะฌาณ เป็นการปฏิบัติที่ผิด
เพราะสภาพแปลกๆ ในขณะที่อัตตา (ร่างกาย) ถูกทำให้หยุดลง, ทำให้คนที่อยู่ในสมถะ พากันหลงว่า นี่คือการบรรลุธรรม ยิ่งถ้าสามารถใช้ตาที่สามด้วยแล้ว ก็จะยิ่งหลงไปมากกว่านี้

รู้ไหม ในบรรดาพวกตาที่สาม เขาหลงกันขนาดว่า ใครซ่อนตัวจากคนอื่นได้ดีกว่า คนนั้นมีธรรมสูงกว่า ถ้าไม่มีใครเห็นเลย ก็เป็นอรหันต์ ว่างั้น

:b6: ปัญหาคือ เขาคิดว่า สิ่งที่เขาเป็น เป็นสิ่งที่ถูก. และเขาจะจมอยู่กับความเห็นผิดนี้ตลอดไป.
เคยอ่านเจอในที่หนึ่ง, มีพระรูปหนึ่ง ใช้เวลาเกือบ 20 ปี กว่าจะรู้สึกสะกิดใจในสภาพสมถะที่เป็นอยู่.

ไม่มีใคร สามารถช่วยคนที่อยู่ในภาวะ หลงผิด ได้

:b12:
คุณ murano สังเกตข้อความท่อนนี้ให้ดีและละเอียดถี่ถ้วนนะครับ

ถือว่ามีจิตละเอียดอ่อน มีสติปัญญาคมกล้า ลึกซึ้งถึงระดับที่เอาความเห็นผิด ออกจากใจได้โดยไม่ยาก ...
:b11:
การสัมผัส Vibration ในกายได้ไม่ใช่ของง่ายที่ควรดูถูกดูแคลน คุณ murano ทำได้หรือเปล่าล่ะครับ จิตที่ละเอียด สติปัญญาที่มีความคมกล้าระดับนี้

คนที่เก่งชำนาญแล้ว จะรู้สึก Vibration นี้ได้ทันที ตลอดเวลาเลยนะครับ

จากฐานระดับนี้เมื่อยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนาแล้ว ญาณ 16 จบลงไม่ยากเลยนะครับ

:b11:
วิจารณ์ผิด วิตกเสียใหม่ แล้ววิจารณ์ใหม่ได้นะครับ
:b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 05:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




41_1736.jpg
41_1736.jpg [ 27.79 KiB | เปิดดู 3262 ครั้ง ]
:b12: :b12: :b12:
กรัชกาย
อ้างคำพูด:
เห็นแต่ท่องนี่ประจำ
อ้างคำพูด:
ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู
นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย
กู จะถอยหรือตายดับ ไปจากใจ



ท่องนานมั้ยครับกว่าจะจำไ้ด้ คิกๆๆ

ไม่ต่างอะไรกับที่เขาให้อุเบกขาๆๆๆๆๆ หรอกครับ

:b16: :b16:
ที่พูด ถกเถียงวิตกวิจารณ์ใครต่อใครไปทั่วนี่หนะ ..........เคยสังเกตเห็น "กู"ที่อยู่ในจิตของตนหรือไม่ครับ

"กู กรัชกาย"

ฟังก็ใช้ กู ฟัง โต้ตอบ ก็ใช้ กู โต้ตอบ.......สรรหาเหตุผลมาประกอบก็เพื่อ .....ความดัง เด่น ของ กู

ทั้ง กูพี่......สักกายทิฏฐิ และ กูน้อง......มานะทิฏฐิ......ยังอ้วนท้วนสมบูรณ์อยู่ในใจทั้ง 2 ตัว เพราะกรัชกาย ไม่มีเวลาได้ลงมือสู้กูอย่างจริงๆจังๆสักที กู ไม่ผอม มันจึงมากวาที.....ตัวปิสุณาวาจากับ สัปปลับผลาวาจา จะมีเยอะ อยู่เรื่อยๆ ถึงแม่จะไม่เห็น ผรุสะวาจาก็ตามที.....ส่วนมุสาวาจานั้น เมื่อไหร่แสดงธรรมที่ไม่ใช่ธรรมนั่นคือ มุสาวาจาทั้งหมด มุสาใหญ่ด้วย เพราะหลอกลวงคนในเวบไซด์นี่มันหลอกคนทั้งโลกเชียวนะครับ .นี่แสดงว่า กู ยังอ้วนอยู่นะ คุณกรัชกาย

ส่วนหนังที่เอามาคะยั้นคะยอให้ดู เป็นอดีตที่จำแม่น เพราะยกมาเป็นคำถามลองภูมิใครต่อใครอยู่หลายปีนั้น ผมว่าน่าจะได้รับคำตอบแล้วละกระมังครับ ผมก็ตอบและบอกวิธีไปบ้างแล้วในกระทู้นี้ ลองกลับไปอ่านทบทวน สังเกต พิจารณาดูดีๆอีกหลายๆครั้งนะครับ ถ้าจะถามเอาคำตอบจากผมอีกก็อยากจะบอกว่า

โยคีผู้ปฏิบัติ จะมีอารมณ์ แปลก พิสดารแค่ไหน ก็อย่าได้หวั่นไหว วิตกกังวล นี่เป็นเรื่องธรรมดาของสำนักปฏิบัติธรรมที่อิงสมถะมากๆมักจะเป็นเช่นนี้

แต่ถ้าเป็นสำนักวิปัสสนาภาวนาจริงๆ เขาจะปูพื้นฐาน ให้ความรู้ที่ถูกต้องในวิชาวิปัสสนาภาวนา หรือการเจริญมรรค 8 แก่ศิษย์เสียก่อน แล้วจึงค่อยให้ลงมือทำทั้งเบื้องต้น สมาธิและวิปัสสนาภาวนาในเบื้องปลาย สมาธิก็เป็นสมาธิเชิงวิปัสสนา ไม่ใช่สมถะล้วนๆ ซึ่งจะหนีเรื่องของปีติ นิมิต วิปริต วิปลาศ ไม่ค่อยจะได้ แก้ไขกันยุ่งยาก


ถ้าจะต้องแก้โยคีที่มีอารมณ์แปลกๆ ต้องแยกสอนเฉพาะคน เป็นพิเศษ ตัวต่อตัว กำกับเป็นพี่เลี้ยงจนเขาผ่านญาณชั้นนี้ไป อย่เอาไปนั่งรวมกับคนหมู่มากเพราะยิ่งจะทำให้วุ่นวายสับสนในใจของศิษย์ท่านอื่นๆ

วิธีแก้ต้องมาเรียนเอากันตัวต่อตัวตามเหตุ ปัจจัย และสถานการณ์นะครับ อธิบายสู่สารธารณะในเวทีเปิดอย่างนี้ คนไม่รู้ มากมานะ อาจวิตกวิจารณืให้เสียหายก็ได้ กลายเป็นวิวาทะในลานธรรม ไม่งามกันทุกฝ่าย หนักใจผู้รักษากฎนะครับ

:b12: :b12: :b12:

ส่งท้าย

"รู้ถูกต้อง สำคัญที่สุด".....และจะหยุดปัญหาปลีกย่อยที่ตามมาได้เกือบทั้งหมด
onion
:b4: :b4: :b4:
โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
กรัชกาย
อ้างคำพูด:
เห็นแต่ท่องนี่ประจำ
อ้างคำพูด:
ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู
นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ มิยอมถอย
ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย
กู จะถอยหรือตายดับ ไปจากใจ



ท่องนานมั้ยครับกว่าจะจำไ้ด้ คิกๆๆ

ไม่ต่างอะไรกับที่เขาให้อุเบกขาๆๆๆๆๆ หรอกครับ

:b16: :b16:
ที่พูด ถกเถียงวิตกวิจารณ์ใครต่อใครไปทั่วนี่หนะ ..........เคยสังเกตเห็น "กู"ที่อยู่ในจิตของตนหรือไม่ครับ

"กู กรัชกาย"

ฟังก็ใช้ กู ฟัง โต้ตอบ ก็ใช้ กู โต้ตอบ.......สรรหาเหตุผลมาประกอบก็เพื่อ .....ความดัง เด่น ของ กู

ทั้ง กูพี่......สักกายทิฏฐิ และ กูน้อง......มานะทิฏฐิ......ยังอ้วนท้วนสมบูรณ์อยู่ในใจทั้ง 2 ตัว เพราะกรัชกาย ไม่มีเวลาได้ลงมือสู้กูอย่างจริงๆจังๆสักที กู ไม่ผอม มันจึงมากวาที.....ตัวปิสุณาวาจากับ สัปปลับผลาวาจา จะมีเยอะ อยู่เรื่อยๆ ถึงแม่จะไม่เห็น ผรุสะวาจาก็ตามที.....ส่วนมุสาวาจานั้น เมื่อไหร่แสดงธรรมที่ไม่ใช่ธรรมนั่นคือ มุสาวาจาทั้งหมด มุสาใหญ่ด้วย เพราะหลอกลวงคนในเวบไซด์นี่มันหลอกคนทั้งโลกเชียวนะครับ .นี่แสดงว่า กู ยังอ้วนอยู่นะ คุณกรัชกาย

ส่วนหนังที่เอามาคะยั้นคะยอให้ดู เป็นอดีตที่จำแม่น เพราะยกมาเป็นคำถามลองภูมิใครต่อใครอยู่หลายปีนั้น ผมว่าน่าจะได้รับคำตอบแล้วละกระมังครับ ผมก็ตอบและบอกวิธีไปบ้างแล้วในกระทู้นี้ ลองกลับไปอ่านทบทวน สังเกต พิจารณาดูดีๆอีกหลายๆครั้งนะครับ ถ้าจะถามเอาคำตอบจากผมอีกก็อยากจะบอกว่า

โยคีผู้ปฏิบัติ จะมีอารมณ์ แปลก พิสดารแค่ไหน ก็อย่าได้หวั่นไหว วิตกกังวล นี่เป็นเรื่องธรรมดาของสำนักปฏิบัติธรรมที่อิงสมถะมากๆมักจะเป็นเช่นนี้

แต่ถ้าเป็นสำนักวิปัสสนาภาวนาจริงๆ เขาจะปูพื้นฐาน ให้ความรู้ที่ถูกต้องในวิชาวิปัสสนาภาวนา หรือการเจริญมรรค 8 แก่ศิษย์เสียก่อน แล้วจึงค่อยให้ลงมือทำทั้งเบื้องต้น สมาธิและวิปัสสนาภาวนาในเบื้องปลาย สมาธิก็เป็นสมาธิเชิงวิปัสสนา ไม่ใช่สมถะล้วนๆ ซึ่งจะหนีเรื่องของปีติ นิมิต วิปริต วิปลาศ ไม่ค่อยจะได้ แก้ไขกันยุ่งยาก


ถ้าจะต้องแก้โยคีที่มีอารมณ์แปลกๆ ต้องแยกสอนเฉพาะคน เป็นพิเศษ ตัวต่อตัว กำกับเป็นพี่เลี้ยงจนเขาผ่านญาณชั้นนี้ไป อย่เอาไปนั่งรวมกับคนหมู่มากเพราะยิ่งจะทำให้วุ่นวายสับสนในใจของศิษย์ท่านอื่นๆ

วิธีแก้ต้องมาเรียนเอากันตัวต่อตัวตามเหตุ ปัจจัย และสถานการณ์นะครับ อธิบายสู่สารธารณะในเวทีเปิดอย่างนี้ คนไม่รู้ มากมานะ อาจวิตกวิจารณืให้เสียหายก็ได้ กลายเป็นวิวาทะในลานธรรม ไม่งามกันทุกฝ่าย หนักใจผู้รักษากฎนะครับ

:b12: :b12: :b12:

ส่งท้าย

"รู้ถูกต้อง สำคัญที่สุด".....และจะหยุดปัญหาปลีกย่อยที่ตามมาได้เกือบทั้งหมด


:b32: ก็ใครไปเถียงเล่า ก็แน่ล่ะ รู้ถูกต้องสำคัญที่สุด รู้ไม่ถูกต้องใช้ไม่ไ้ด้ คิกๆ

คุณอโศก น่าจะเป็นนักเทศน์นะขอรับ สร้างวาทกรรมสวยๆสร้างประโยคหรูๆ ให้ติดตาติดใจคนฟัง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

การสัมผัส Vibration ในกายได้ไม่ใช่ของง่ายที่ควรดูถูกดูแคลน... ...จิตที่ละเอียด สติปัญญาที่มีความคมกล้าระดับนี้

คนที่เก่งชำนาญแล้ว จะรู้สึก Vibration นี้ได้ทันที ตลอดเวลาเลยนะครับ

จากฐานระดับนี้เมื่อยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนาแล้ว ญาณ 16 จบลงไม่ยากเลยนะครับ



ดูจากการชื่นชมอาการที่เรียกว่า ปิติ. เราก็พอจะอนุมานได้ว่า, asoka ไม่เคยรู้จักอาการปิติ

:b6: อาการที่เรียกว่าปิติ มีหลายลักษณะ ไม่แน่นอน, เป็นอาการที่เกิดขึ้นทางกายภาพ ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าตัวสั่น ตัวใหญ่ ตัวลอย ตัวเบา เป็นอาการที่จิตเริ่มคลายจากการยึดร่างกายอย่างเหนียวแน่น
อาการปิติ จะเกิดหลังจากการเพ่งในจุดใดจุดหนึ่งนานๆ. ว่าง่ายๆ คือ สัมปชัญญะ เริ่มไม่สมบูรณ์

คนฝึกสมถะมักคิดว่า เมืื่อเจอปิติแล้ว ก็เป็นฌาณ ซึ่งไม่ใช่. ปฐมฌาณ จะต้องไปถึงขั้นแสงสว่างด้วย.

:b6: จริงๆ แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปิติ แต่อยู่ที่ ความติดอกติดใจ ในอาการที่เกิดขึ้น.
คนที่ฝึกสมถะจนเกิดปิติ (ซึ่งไม่ถึงระดับฌาณใดๆ เลย) มักจะเล่าเรื่อง บรรยายเสียจนคนอื่นๆ รู้สึก
ว่า เป็นอาการที่น่าทึ่ง
คนที่ฝึกวิปัสสนาจนผ่านอาการเหล่านี้แล้ว จะบอกว่า ไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวมันก็หายไป.
ส่วนคนที่ฝึกสมถะแท้ๆ จะมี 2 แบบ หนึ่งคือ เป็นผู้ฝึกใหม่ จะรู้สึก กลัว หรือ ตกใจ ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับตัวเรา. แบบที่สองคือ คนที่เจออาการนี้จนเคยชิน เขาจะเริ่ม โอ้อวด และเริ่ม หลงผิด ว่า นี่คือการบรรลุธรรมอันวิเศษ

เราไม่เคยพบว่า จะมีใคร ชื่นชม อาการปิติแบบที่ asoka ทำ. บางทีนี่อาจเป็นคนแรกก็ได้ :b32:

:b6: อันที่จริง ความรู้สึกติดอกติดใจ ในอาการปิติ เป็นสิ่งที่คนทั่วไปน่าจะเคยพบเจอเป็นระยะๆ.
ลองดูแบบนี้, ให้นอนบนพื้นแข็งสัก 1 เดือน แล้ววันหนึ่ง ให้ไปนอนบนเตียงหนาที่แสนนุ่ม, ความรู้สึกพึงพอใจอย่างมากนี่แหล่ะ คือความรู้สึกที่เกิดในขณะที่มีอาการปิติ.
หรือถ้าเราทำงานกลางแจ้งในอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาก ทำงานอยู่หลายชั่วโมงจนร่างกายร้อนระอุ แล้วปรากฎว่า มีลมพัดอ่อนๆ เข้ามากระทบตัว.

เราไม่รู้สึกว่า นี่คือการบรรลุธรรม เพราะเรารู้ว่ามันคืออะไร และที่สำคัญ เรารับรู้ผ่าน ระบบประสาทสัมผัส ซึ่งร่างกายเรา จะยอมให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจอย่างมากนั้น เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น.

ปัญหาคือ ในคนที่ฝึกสมถะแท้ๆ ความรู้สึกพึงพอใจนี้ เกิดจากระบบประสาทส่วนกลาง ไม่ได้รับรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัส (ซึ่งก็ค่อยๆ ลดความตื่นตัวลง)
คนที่เกิดอาการปิติ จึงไม่รู้สาเหตุที่แน่นอนว่า มันเกิดขึ้นจากอะไร. และแย่ไปกว่านั้น เพราะไม่ได้เกิดจากระบบประสาทสัมผัส ความรู้สึกพึงพอใจนี้ จึงเกิดขึ้นตลอดเวลา (ระบบประสาทสัมผัสจะมีการระงับ เมื่อไม่มีการกระตุ้นใดๆ เพิ่มเติม. ลองจับมือใครสักคน แล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น สักพัก มือจะหายไป)

ความไม่รู้ในสาเหตุที่เกิด ทำให้เมื่อจมอยู่กับปิตินี้นานๆ, อัตตาของเรา จะทำให้เราเริ่มคิดว่า นี่เรามีคุณวิเศษแน่แล้ว ซึ่งมันก็จะไปเพิ่มความรู้สึกพึงพอใจให้มากขึ้นไปอีก และสุดท้าย เขาก็จะเริ่ม โอ้อวด บ้างก็เริ่มคิดว่าตนเป็นผู้วิเศษ เป็นเทพ เป็นผู้บรรลุแล้วต่างๆ นานา

จิตเป็นปุถุชน ไม่ได้ละเอียดอ่อน
สติปัญญาปุถุชน ไม่ได้คมกล้า.

onion onion onion เทศน์เหมือนด่า คิคิ :b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 13:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
[q
การสัมผัส Vibration ในกายได้ไม่ใช่ของง่ายที่ควรดูถูกดูแคลน คุณ murano ทำได้หรือเปล่าล่ะครับ จิตที่ละเอียด สติปัญญาที่มีความคมกล้าระดับนี้

คนที่เก่งชำนาญแล้ว จะรู้สึก Vibration นี้ได้ทันที ตลอดเวลาเลยนะครับ

จากฐานระดับนี้เมื่อยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนาแล้ว ญาณ 16 จบลงไม่ยากเลยนะครับ

:b11:
วิจารณ์ผิด วิตกเสียใหม่ แล้ววิจารณ์ใหม่ได้นะครับ
:b4: :b4:


มู...พูดไปแล้ว...ไม่พูดซ้ำละ....

แค่สังเกตว่า...อโสกะ...ที่ผ่านมาจะเน้น..ปัญญา....แต่ไฉนจึงเป้นปลื้มกับอาการสั่น....

ที่บอกว่าน้อยราย..จะพบอาการนี้...แสดงว่าอโสกะไม่เข้าใจอาการปีติ

ยิ่งไปท้า..ว่า...ทำได้อย่างนี้หรือเปล่า..มีจิตละเอียดได้อย่างนี้มั้ย..นี้นะ..มันแสดงความอะไรของผู้ไปท้าคนอื่นอย่างนี้..หนอ

อาการปีติ...นักปฏิบัติจะต้องเจอกันทุกคน...ไม่เว้น...แต่อาการของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามสิ่งที่ตนสะสมมาในอดีต..
ครูบาอาจารย์ท่านสรุปย่อๆตามอาการได้ 5 อย่าง...อาการแต่ละอย่างไม่ได้หมายความว่ามันจะวิเศษไปกว่าอันอื่นอย่างที่อโสกะกำลังเป็น...มันธรรมดา

หากสำคัญผิดในปีติ.....มันก็จะกลับมาเป้นกิเลสเรียกวิปัสสนูกิเลสเข้าให้


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 16 ต.ค. 2013, 13:58, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 13:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


และ..อโสกะ....ลองไปดูเพื่อนซิว่า...ดับอุปาทานได้ตั้ง 2 ครั้ง....นี้นะ..จะแนะนำเพื่อนว่ายังงัย???


โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


s004 เอ่อ ขอแก้นิดหนึ่งนะ

ความรู้สึกติดอกติดใจ คือสิ่งที่ตำราใช้คำว่า สุข เป็นองค์ประกอบหนึ่งในปฐมฌาณ

คือ... :b6: อยู่ในปิตินานๆ ก็เริ่ม สุข แล้วก็เริ่ม เพี้ยน น่ะ


โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่งรู้นะว่า อาการรู้ชัด ของการเต้นชีพจร ตามจุดต่างๆของร่างกาย เป็นอาการปีติ
แรกๆเกิดอาการนี้ เซ็งมากกก


เพราะทำให้ไม่หลับไม่นอน รู้สึกอยู่อย่างนั้น
บางครั้ง รู้ทั้งหมดเลย ชีพจรตามจุดต่างๆของร่างกาย เช่น
ตามแขน ขา ก้น หลัง หัว หูฯลฯ รู้ทั้งตัว
เสียงหัวใจเต้น ดังก้องอยู่ในหู รำคาญมาก

ตะแคงซ้ายก็เจอ
ตะแคงขวาก็เจอ
นอนหงายก็เจอ
ลุกนั่งก็เจอ

แค่นอนต่อ เลือกท่าที่ได้ยินเสียงดังน้อยกว่าท่านอนอื่น
รู้ไปเรื่อยๆ เสียงการเต้นของชีพจร จะค่อยๆเบาลงไปเอง


แค่รู้ไปเรื่อยๆ เกิดทั้งกลางวัน และกลางคืน
เจอจนชิน ความรู้สึกก็ปรับไปเอง จากรำคาญ ก็ไม่รำคาญ
ทุกวันนี้ก็เป็นอยู่ แต่รู้สึกเฉยๆ

ตอนนี้มีสภาวะใหม่เกิดขึ้นแทน
เสียงชีพจรข้างหูเต้น ดังก้องอยู่ในหู
รำคาญมากๆ ต้องเอานิ้วกดตรงจุดชีพจรนั้นไว้
เจอบ่อยๆ เริ่มชิน อาการนี้ก็เกิดห่างขึ้น

เรื่องของสภาวะ มีแต่การเรียนรู้

ถ้าไม่ไปแต่งตัวหรือเสริมเติมแต่งให้กับสภาวะ จะเหลือแค่รู้

เมื่อสภาวะนั้นๆ เกิดขึ้นเนืองๆ ทำให้รู้ว่า เป็นความปกติของสภาวะ

อย่างลมหายใจนี่ บางครั้ง หายใจเหมือนรถกำลังจะออกตัว บรื้น บรื้น

รู้สึกถึงความตึงตามใบหน้า สักพักหายไปเอง แล้วจิตก็เป็นสมาธิ
ตอนที่ยังไม่รู้ ก็ทำให้เกิดความรำคาญ รำคาญลักษณะการหายใจ
เจอบ่อยๆ เริ่มชิน เลิกรำคาญ แล้วสภาวะหายใจแบบนั้น ก็หายไปเอง

นั่งแล้ว หัวทิ่มหัวตำ สัปหงกงึกๆ ทั้งๆที่รู้สึกตัว ไม่ได้หลับ
มารู้ภายหลัง เป็นอาการปีติอย่างหนึ่ง(ได้ยินตอนปฏิบัติที่วัด)
ฟังแล้ว รู้สึกเฉยๆ เพราะรู้ว่า มีแต่การเรียนรู้

แม้กระทั่ง กายหายหมด ภายในกลวงโบ๋
สุดท้ายก็รู้ด้วยตัวเอง เป็นเรื่องปกติของสมาธิ

ที่ว่าว่างๆๆๆ แค่ว่างชั่วคราว เกิดจากกำลังของสมาธิ ที่เกิดขึ้น
พอสมาธิคลาย ก็งั้นๆเอง

บางครั้งเจอแบบฟลุ๊ก ที่เรียกว่า ฟลุ๊ก เพราะเจอสองครั้ง
นั่งแล้ว เห็นความดับไปทีละส่วนของร่างกาย จากเท้า ตัว หัว จิตสุดท้าย หมดความรู้สึกไปชั่วคราว

บางครั้ง เจอสภาวะหุ่นยนต์
เมื่อผัสสะต่างๆเกิด กระเด้งออกหมด ไม่มีความรู้สึกชอบชังเกิด มีแค่รู้

บางครั้งขับมอไซค์อยู่ ต้องจอดข้างทาง
เพราะความรู้สึกเหมือนไม่มี แขน ขา
การรับรู้ของ แขนขา เริ่มหายไปทีละส่วน

คือ ระบบประสาทการรับรู้ ไม่ทำงาน
ต้องเอารถจอดข้างทาง ไปต่อไม่ได้

ปล่อยให้จิตเป็นสมาธิไปสักพัก
จนรู้สึกว่า อาการรับรู้ของกายกลับมาปกติแล้ว ค่อยไปต่อ

ขนาดใส่รองเท้าอยู่ เวลาเดิน เหมือนเท้าสัมผัสพื้น แบบไม่ได้รองเท้า

ที่ว่าเดินแต่ละก้าว ระยะแต่ละการย่างก้าว ขาดออกเป็นส่วนๆ
นั่นก็เรื่องปกตินะ

สารพัดสภาวะมาให้เรียนรู้ มีเยอะนะ เล่าแค่นี้พอ :b32:


ตัวสภาวะที่แท้จริงน่ะ ไม่มีอะไรหรอกนะ
เกิดขึ้นปกติ ดับหายไปปกติ

ที่ทำให้มีมีเกิดขึ้นต่างๆนานาน่ะ
ล้วนเกิดจาก การยึดติดในคำเรียก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 16 ต.ค. 2013, 14:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนเป็นเด็กคุณน้องก็เคยเกิดสภาวะบางอย่าง ตอนนั้นตนเองนอนอยู่และรู้สึกตัวกลางดึก ตอนนั้นเป็นเด็กมมากเลยนะ มีความรู้สึกว่าร่างกายเหมือนเด่วตัวเล็กเด่วตัวใหญ่ เหมือนเด่วพองขึ้นเด่วยุบลง ตอนนั้นเราก็นอนหลับตาแต่รู้ตัวไม่ได้หลับนะ บางทีก็รู้สึกว่าตัวลอยขึ้นทั้งที่เรานอนอยู่แท้ๆจนต้องสะดุ้งลุกขึ้นมา เอ๋ร่างกายเราก็ปกติ พอทิ้งตัวลงนอนซักพักเอาอีกแล้ว เหอๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆและบ่อยมาก แต่พอโตขึ้นมารู้ความหน่อย คุณน้องก็ไม่เคยเกิดอาการแบบนั้นเลย คืออาการตัวลอยและอาการที่ตัวพองขึ้นแล้วหดลง เหอๆ :b6:
ปล.การที่เราเป็นเด็กก็ดีตรงที่ จิตของเราไม่ได้คิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านเหมือนผู้ใหญ่ ทำให้แค่หลับตาเราก็เข้าถึงอาการของปิติได้อย่างรวดเร็ว..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร