วันเวลาปัจจุบัน 13 พ.ย. 2025, 22:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 16:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


พระใบลานเปล่า...

ในสมัยพุทธกาล มีพระสาวกองค์หนึ่งชื่อ ตุจโฉโปฏฐิละ เป็นผู้คงแก่เรียน แตกฉานในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อท่านอธิบายธรรม ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือเถียงท่าน เป็นที่นับหน้าถือตาโดยทั่วไปวันหนึ่ง ท่านไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ขณะก้มลงกราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า

"มาแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"
...
เมื่อท่านเสร็จกิจทูลลากลับ พระพุทธองค์ก็ตรัสอีกว่า

"กลับแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"

ท่านตุจโฉโปฎฐิละสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าจริง ท่านเป็นพระเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย เมื่อมองดูจิตใจของตน ก็ไม่ต่างจากฆราวาสเลย ฆราวาสยินดีอะไรอยากได้อะไร ตนก็เป็นเช่นนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย ท่านจึงสนใจจะปฏิบัติบ้าง เมื่อไปหาอาจารย์ตามที่ต่างๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเห็นว่าท่านร่ำเรียนมามาก ไม่มีใครกล้าสอน ในที่สุดท่านได้ไปขอปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งเป็นอริยบุคคล เณรจึงขอทดลองดูก่อน โดยสั่งให้ท่านห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้วิ่งลงไปลุยในหนองที่เป็นโคลนตม เมื่อเณรเห็นว่าท่านละทิฐิได้แล้ว จึงสอนวิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์ให้รู้จักจิตของตน โดยยกอุบายขึ้นว่า

"เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพลงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ยเข้าไปในนั้น ทำอย่างไรจึงจะจับเหี้ยได้?" เณรแนะอีกว่า

"จะจับเหี้ย ก็ต้องหาอะไรมาปิดรูไว้ก่อนห้ารู เหลือเพียงรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วคอยจ้องมองดูที่รูนั้น เมื่อเหี้ยวิ่งออกมาเมื่อไร ก็คอยจับเอาเท่านั้น"

การกำหนดจิตก็เหมือนกับการจับเหี้ย ต้องปิดทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียก่อน คงเหลือกำหนดแต่จิตหรือใจเพียงอย่างเดียว แล้วใช้สติเป็นตัวคอยควบคุม


แก้ไขล่าสุดโดย นายฏีกาน้อย เมื่อ 12 ต.ค. 2013, 16:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
....ลบชื่อสมาชิกที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหา


โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1375241010-1370203825-o.gif
1375241010-1370203825-o.gif [ 497.16 KiB | เปิดดู 5417 ครั้ง ]
อ่านไม่ทัน คิกๆๆ ไม่รู้ทั้งหมดมีอะไรบ้าง ถึงต้องแก้ไข :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
พระใบลานเปล่า...

ในสมัยพุทธกาล มีพระสาวกองค์หนึ่งชื่อ ตุจโฉโปฏฐิละ เป็นผู้คงแก่เรียน แตกฉานในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อท่านอธิบายธรรม ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือเถียงท่าน เป็นที่นับหน้าถือตาโดยทั่วไปวันหนึ่ง ท่านไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ขณะก้มลงกราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า

"มาแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"
...
เมื่อท่านเสร็จกิจทูลลากลับ พระพุทธองค์ก็ตรัสอีกว่า

"กลับแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"

ท่านตุจโฉโปฎฐิละสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าจริง ท่านเป็นพระเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย เมื่อมองดูจิตใจของตน ก็ไม่ต่างจากฆราวาสเลย ฆราวาสยินดีอะไรอยากได้อะไร ตนก็เป็นเช่นนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย ท่านจึงสนใจจะปฏิบัติบ้าง เมื่อไปหาอาจารย์ตามที่ต่างๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเห็นว่าท่านร่ำเรียนมามาก ไม่มีใครกล้าสอน ในที่สุดท่านได้ไปขอปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งเป็นอริยบุคคล เณรจึงขอทดลองดูก่อน โดยสั่งให้ท่านห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้วิ่งลงไปลุยในหนองที่เป็นโคลนตม เมื่อเณรเห็นว่าท่านละทิฐิได้แล้ว จึงสอนวิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์ให้รู้จักจิตของตน โดยยกอุบายขึ้นว่า

"เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพลงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ยเข้าไปในนั้น ทำอย่างไรจึงจะจับเหี้ยได้?" เณรแนะอีกว่า

"จะจับเหี้ย ก็ต้องหาอะไรมาปิดรูไว้ก่อนห้ารู เหลือเพียงรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วคอยจ้องมองดูที่รูนั้น เมื่อเหี้ยวิ่งออกมาเมื่อไร ก็คอยจับเอาเท่านั้น"

การกำหนดจิตก็เหมือนกับการจับเหี้ย ต้องปิดทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียก่อน คงเหลือกำหนดแต่จิตหรือใจเพียงอย่างเดียว แล้วใช้สติเป็นตัวคอยควบคุม


เป็นลักษณะของคนไปไม่เป็น ตันไปหมด วิ่งหนีเข้าซอย ก็ซอยตัน เหลียวซ้ายและขวา เห็นหน้าบ้านคนมีป้ายเขียนไว้ว่า "ระวังสุนัขดุ" กลัวหมากัดอีก ยิ่งร้อนรนใหญ่ จะออกปากซอย กรัชกายก็วิ่งตามมาติดๆ จึงไม่รู้จะเอายังไงดี ชีวิต กับ ธรรมะ บลาๆๆ :b32:

amazing บอกวิธีจับวรนุชสิ :b9: ว่าไป จับยังไง เอาชัดๆนะขอรับ เผื่อมีคนต้องการนำไปใช้จับมั่ง :b1: :b36: :b37:

ถามกี่รอบๆ ก็ไม่เคยมีรายละเอียดในการจับเลย ขออีกสักทีเถอะน่า :b35:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 19:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
พระใบลานเปล่า...

ในสมัยพุทธกาล มีพระสาวกองค์หนึ่งชื่อ ตุจโฉโปฏฐิละ เป็นผู้คงแก่เรียน แตกฉานในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อท่านอธิบายธรรม ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือเถียงท่าน เป็นที่นับหน้าถือตาโดยทั่วไปวันหนึ่ง ท่านไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ขณะก้มลงกราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า

"มาแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"
...
เมื่อท่านเสร็จกิจทูลลากลับ พระพุทธองค์ก็ตรัสอีกว่า

"กลับแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"

ท่านตุจโฉโปฎฐิละสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าจริง ท่านเป็นพระเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย เมื่อมองดูจิตใจของตน ก็ไม่ต่างจากฆราวาสเลย ฆราวาสยินดีอะไรอยากได้อะไร ตนก็เป็นเช่นนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย ท่านจึงสนใจจะปฏิบัติบ้าง เมื่อไปหาอาจารย์ตามที่ต่างๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเห็นว่าท่านร่ำเรียนมามาก ไม่มีใครกล้าสอน ในที่สุดท่านได้ไปขอปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งเป็นอริยบุคคล เณรจึงขอทดลองดูก่อน โดยสั่งให้ท่านห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้วิ่งลงไปลุยในหนองที่เป็นโคลนตม เมื่อเณรเห็นว่าท่านละทิฐิได้แล้ว จึงสอนวิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์ให้รู้จักจิตของตน โดยยกอุบายขึ้นว่า

"เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพลงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ยเข้าไปในนั้น ทำอย่างไรจึงจะจับเหี้ยได้?" เณรแนะอีกว่า

"จะจับเหี้ย ก็ต้องหาอะไรมาปิดรูไว้ก่อนห้ารู เหลือเพียงรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วคอยจ้องมองดูที่รูนั้น เมื่อเหี้ยวิ่งออกมาเมื่อไร ก็คอยจับเอาเท่านั้น"

การกำหนดจิตก็เหมือนกับการจับเหี้ย ต้องปิดทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียก่อน คงเหลือกำหนดแต่จิตหรือใจเพียงอย่างเดียว แล้วใช้สติเป็นตัวคอยควบคุม


เป็นลักษณะของคนไปไม่เป็น ตันไปหมด วิ่งหนีเข้าซอย ก็ซอยตัน เหลียวซ้ายและขวา เห็นหน้าบ้านคนมีป้ายเขียนไว้ว่า "ระวังสุนักดุ" กลัวหมากัดอีก ยิ่งร้อนรนใหญ่ จะออกปากซอย กรัชกายก็วิ่งตามมาติดๆ จึงไม่รู้จะเอายังไงดี ชีวิต กับ ธรรมะ บลาๆๆ :b32:

amazing บอกวิธีจับวรนุชสิ :b9: ว่าไป จับยังไง เอาชัดๆนะขอรับ เผื่อมีคนต้องการนำไปใช้จับมั่ง :b1: :b36: :b37:

ถามกี่รอบๆ ก็ไม่เคยมีรายละเอียดในการจับเลย ขออีกสักทีเถอะน่า :b35:
ทียกมาอยากถามกรัชกายทำไมพระที่เก่งปริยัติระดับไม่มีใครกล้าเถียงธรรมระดับความรุ้มากกว่ากรัชกายตั้งเยอะทำไมไม่บรรลุธรรมเลยล่ะและทำไมพระจุฬปันถกไม่รุ้เรื่องปริยัติเลยทำไมถึงบรรลุธรรมโดยเพียงท่องคาถาเพียงสี่ห้าคำ กรัชการลองพิจนานะ


โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
พระใบลานเปล่า...

ในสมัยพุทธกาล มีพระสาวกองค์หนึ่งชื่อ ตุจโฉโปฏฐิละ เป็นผู้คงแก่เรียน แตกฉานในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อท่านอธิบายธรรม ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือเถียงท่าน เป็นที่นับหน้าถือตาโดยทั่วไปวันหนึ่ง ท่านไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ขณะก้มลงกราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า

"มาแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"
...
เมื่อท่านเสร็จกิจทูลลากลับ พระพุทธองค์ก็ตรัสอีกว่า

"กลับแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"

ท่านตุจโฉโปฎฐิละสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าจริง ท่านเป็นพระเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย เมื่อมองดูจิตใจของตน ก็ไม่ต่างจากฆราวาสเลย ฆราวาสยินดีอะไรอยากได้อะไร ตนก็เป็นเช่นนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย ท่านจึงสนใจจะปฏิบัติบ้าง เมื่อไปหาอาจารย์ตามที่ต่างๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเห็นว่าท่านร่ำเรียนมามาก ไม่มีใครกล้าสอน ในที่สุดท่านได้ไปขอปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งเป็นอริยบุคคล เณรจึงขอทดลองดูก่อน โดยสั่งให้ท่านห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้วิ่งลงไปลุยในหนองที่เป็นโคลนตม เมื่อเณรเห็นว่าท่านละทิฐิได้แล้ว จึงสอนวิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์ให้รู้จักจิตของตน โดยยกอุบายขึ้นว่า

"เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพลงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ยเข้าไปในนั้น ทำอย่างไรจึงจะจับเหี้ยได้?" เณรแนะอีกว่า

"จะจับเหี้ย ก็ต้องหาอะไรมาปิดรูไว้ก่อนห้ารู เหลือเพียงรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วคอยจ้องมองดูที่รูนั้น เมื่อเหี้ยวิ่งออกมาเมื่อไร ก็คอยจับเอาเท่านั้น"

การกำหนดจิตก็เหมือนกับการจับเหี้ย ต้องปิดทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียก่อน คงเหลือกำหนดแต่จิตหรือใจเพียงอย่างเดียว แล้วใช้สติเป็นตัวคอยควบคุม


เป็นลักษณะของคนไปไม่เป็น ตันไปหมด วิ่งหนีเข้าซอย ก็ซอยตัน เหลียวซ้ายและขวา เห็นหน้าบ้านคนมีป้ายเขียนไว้ว่า "ระวังสุนักดุ" กลัวหมากัดอีก ยิ่งร้อนรนใหญ่ จะออกปากซอย กรัชกายก็วิ่งตามมาติดๆ จึงไม่รู้จะเอายังไงดี ชีวิต กับ ธรรมะ บลาๆๆ :b32:

amazing บอกวิธีจับวรนุชสิ :b9: ว่าไป จับยังไง เอาชัดๆนะขอรับ เผื่อมีคนต้องการนำไปใช้จับมั่ง :b1: :b36: :b37:

ถามกี่รอบๆ ก็ไม่เคยมีรายละเอียดในการจับเลย ขออีกสักทีเถอะน่า :b35:
ทียกมาอยากถามกรัชกายทำไมพระที่เก่งปริยัติระดับไม่มีใครกล้าเถียงธรรมระดับความรุ้มากกว่ากรัชกายตั้งเยอะทำไมไม่บรรลุธรรมเลยล่ะและทำไมพระจุฬปันถกไม่รุ้เรื่องปริยัติเลยทำไมถึงบรรลุธรรมโดยเพียงท่องคาถาเพียงสี่ห้าคำ กรัชการลองพิจนานะ


ไปถามคนแต่งเรื่องนี้ซี่ อยากรู้ก็ ปัดดโถ่ :b33:

ให้บอกวิธีจับวรนุชๆๆๆๆ จับไง เอาชัดๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 19:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
พระใบลานเปล่า...

ในสมัยพุทธกาล มีพระสาวกองค์หนึ่งชื่อ ตุจโฉโปฏฐิละ เป็นผู้คงแก่เรียน แตกฉานในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อท่านอธิบายธรรม ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือเถียงท่าน เป็นที่นับหน้าถือตาโดยทั่วไปวันหนึ่ง ท่านไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ขณะก้มลงกราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า

"มาแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"
...
เมื่อท่านเสร็จกิจทูลลากลับ พระพุทธองค์ก็ตรัสอีกว่า

"กลับแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"

ท่านตุจโฉโปฎฐิละสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าจริง ท่านเป็นพระเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย เมื่อมองดูจิตใจของตน ก็ไม่ต่างจากฆราวาสเลย ฆราวาสยินดีอะไรอยากได้อะไร ตนก็เป็นเช่นนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย ท่านจึงสนใจจะปฏิบัติบ้าง เมื่อไปหาอาจารย์ตามที่ต่างๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเห็นว่าท่านร่ำเรียนมามาก ไม่มีใครกล้าสอน ในที่สุดท่านได้ไปขอปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งเป็นอริยบุคคล เณรจึงขอทดลองดูก่อน โดยสั่งให้ท่านห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้วิ่งลงไปลุยในหนองที่เป็นโคลนตม เมื่อเณรเห็นว่าท่านละทิฐิได้แล้ว จึงสอนวิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์ให้รู้จักจิตของตน โดยยกอุบายขึ้นว่า

"เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพลงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ยเข้าไปในนั้น ทำอย่างไรจึงจะจับเหี้ยได้?" เณรแนะอีกว่า

"จะจับเหี้ย ก็ต้องหาอะไรมาปิดรูไว้ก่อนห้ารู เหลือเพียงรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วคอยจ้องมองดูที่รูนั้น เมื่อเหี้ยวิ่งออกมาเมื่อไร ก็คอยจับเอาเท่านั้น"

การกำหนดจิตก็เหมือนกับการจับเหี้ย ต้องปิดทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียก่อน คงเหลือกำหนดแต่จิตหรือใจเพียงอย่างเดียว แล้วใช้สติเป็นตัวคอยควบคุม


เป็นลักษณะของคนไปไม่เป็น ตันไปหมด วิ่งหนีเข้าซอย ก็ซอยตัน เหลียวซ้ายและขวา เห็นหน้าบ้านคนมีป้ายเขียนไว้ว่า "ระวังสุนักดุ" กลัวหมากัดอีก ยิ่งร้อนรนใหญ่ จะออกปากซอย กรัชกายก็วิ่งตามมาติดๆ จึงไม่รู้จะเอายังไงดี ชีวิต กับ ธรรมะ บลาๆๆ :b32:

amazing บอกวิธีจับวรนุชสิ :b9: ว่าไป จับยังไง เอาชัดๆนะขอรับ เผื่อมีคนต้องการนำไปใช้จับมั่ง :b1: :b36: :b37:

ถามกี่รอบๆ ก็ไม่เคยมีรายละเอียดในการจับเลย ขออีกสักทีเถอะน่า :b35:
ทียกมาอยากถามกรัชกายทำไมพระที่เก่งปริยัติระดับไม่มีใครกล้าเถียงธรรมระดับความรุ้มากกว่ากรัชกายตั้งเยอะทำไมไม่บรรลุธรรมเลยล่ะและทำไมพระจุฬปันถกไม่รุ้เรื่องปริยัติเลยทำไมถึงบรรลุธรรมโดยเพียงท่องคาถาเพียงสี่ห้าคำ กรัชการลองพิจนานะ


ไปถามคนแต่งเรื่องนี้ซี่ อยากรู้ก็ ปัดดโถ่ :b33:

ให้บอกวิธีจับวรนุชๆๆๆๆ จับไง เอาชัดๆ
ผมว่าเราเคยคุ่ยเรื่องนี้กันมาแล้วนะว่าอานาปานสตินี้ทำได้ทุกอย่าง ที่พระสตุรว่าให้เอากายเป็นเสาหลักเสาเขื่อนแล้วจับสตว์มามัดไว้เดียวมันก็สงบ. กรัชกายดุเหมือนท่านไม่ค่อยเชื่อในอานาปานสตินะ


โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
พระใบลานเปล่า...

ในสมัยพุทธกาล มีพระสาวกองค์หนึ่งชื่อ ตุจโฉโปฏฐิละ เป็นผู้คงแก่เรียน แตกฉานในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อท่านอธิบายธรรม ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือเถียงท่าน เป็นที่นับหน้าถือตาโดยทั่วไปวันหนึ่ง ท่านไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ขณะก้มลงกราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า

"มาแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"
...
เมื่อท่านเสร็จกิจทูลลากลับ พระพุทธองค์ก็ตรัสอีกว่า

"กลับแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"

ท่านตุจโฉโปฎฐิละสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าจริง ท่านเป็นพระเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย เมื่อมองดูจิตใจของตน ก็ไม่ต่างจากฆราวาสเลย ฆราวาสยินดีอะไรอยากได้อะไร ตนก็เป็นเช่นนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย ท่านจึงสนใจจะปฏิบัติบ้าง เมื่อไปหาอาจารย์ตามที่ต่างๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเห็นว่าท่านร่ำเรียนมามาก ไม่มีใครกล้าสอน ในที่สุดท่านได้ไปขอปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งเป็นอริยบุคคล เณรจึงขอทดลองดูก่อน โดยสั่งให้ท่านห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้วิ่งลงไปลุยในหนองที่เป็นโคลนตม เมื่อเณรเห็นว่าท่านละทิฐิได้แล้ว จึงสอนวิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์ให้รู้จักจิตของตน โดยยกอุบายขึ้นว่า

"เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพลงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ยเข้าไปในนั้น ทำอย่างไรจึงจะจับเหี้ยได้?" เณรแนะอีกว่า

"จะจับเหี้ย ก็ต้องหาอะไรมาปิดรูไว้ก่อนห้ารู เหลือเพียงรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วคอยจ้องมองดูที่รูนั้น เมื่อเหี้ยวิ่งออกมาเมื่อไร ก็คอยจับเอาเท่านั้น"

การกำหนดจิตก็เหมือนกับการจับเหี้ย ต้องปิดทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียก่อน คงเหลือกำหนดแต่จิตหรือใจเพียงอย่างเดียว แล้วใช้สติเป็นตัวคอยควบคุม


เป็นลักษณะของคนไปไม่เป็น ตันไปหมด วิ่งหนีเข้าซอย ก็ซอยตัน เหลียวซ้ายและขวา เห็นหน้าบ้านคนมีป้ายเขียนไว้ว่า "ระวังสุนักดุ" กลัวหมากัดอีก ยิ่งร้อนรนใหญ่ จะออกปากซอย กรัชกายก็วิ่งตามมาติดๆ จึงไม่รู้จะเอายังไงดี ชีวิต กับ ธรรมะ บลาๆๆ :b32:

amazing บอกวิธีจับวรนุชสิ :b9: ว่าไป จับยังไง เอาชัดๆนะขอรับ เผื่อมีคนต้องการนำไปใช้จับมั่ง :b1: :b36: :b37:

ถามกี่รอบๆ ก็ไม่เคยมีรายละเอียดในการจับเลย ขออีกสักทีเถอะน่า :b35:
ทียกมาอยากถามกรัชกายทำไมพระที่เก่งปริยัติระดับไม่มีใครกล้าเถียงธรรมระดับความรุ้มากกว่ากรัชกายตั้งเยอะทำไมไม่บรรลุธรรมเลยล่ะและทำไมพระจุฬปันถกไม่รุ้เรื่องปริยัติเลยทำไมถึงบรรลุธรรมโดยเพียงท่องคาถาเพียงสี่ห้าคำ กรัชการลองพิจนานะ


ไปถามคนแต่งเรื่องนี้ซี่ อยากรู้ก็ ปัดดโถ่ :b33:

ให้บอกวิธีจับวรนุชๆๆๆๆ จับไง เอาชัดๆ
ผมว่าเราเคยคุ่ยเรื่องนี้กันมาแล้วนะว่าอานาปานสตินี้ทำได้ทุกอย่าง ที่พระสตุรว่าให้เอากายเป็นเสาหลักเสาเขื่อนแล้วจับสตว์มามัดไว้เดียวมันก็สงบ. กรัชกายดุเหมือนท่านไม่ค่อยเชื่อในอานาปานสตินะ



ไม่เชื่อลมเข้าลมออกก็แย่เต็มทนขอรับ หายใจเข้าออกตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ก็ยังหายใจอยู่ แล้วไงอ่ะ โฆษณาชวนเชื่อสะจริง :b26:

หรือเหมือนกรัชกายเคยบอกนะว่า คุณปฏิบัิิติผิดเดินทางผิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 20:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
พระใบลานเปล่า...

ในสมัยพุทธกาล มีพระสาวกองค์หนึ่งชื่อ ตุจโฉโปฏฐิละ เป็นผู้คงแก่เรียน แตกฉานในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อท่านอธิบายธรรม ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือเถียงท่าน เป็นที่นับหน้าถือตาโดยทั่วไปวันหนึ่ง ท่านไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ขณะก้มลงกราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า

"มาแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"
...
เมื่อท่านเสร็จกิจทูลลากลับ พระพุทธองค์ก็ตรัสอีกว่า

"กลับแล้วหรือ พระใบลานเปล่า"

ท่านตุจโฉโปฎฐิละสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าจริง ท่านเป็นพระเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย เมื่อมองดูจิตใจของตน ก็ไม่ต่างจากฆราวาสเลย ฆราวาสยินดีอะไรอยากได้อะไร ตนก็เป็นเช่นนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย ท่านจึงสนใจจะปฏิบัติบ้าง เมื่อไปหาอาจารย์ตามที่ต่างๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเห็นว่าท่านร่ำเรียนมามาก ไม่มีใครกล้าสอน ในที่สุดท่านได้ไปขอปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งเป็นอริยบุคคล เณรจึงขอทดลองดูก่อน โดยสั่งให้ท่านห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้วิ่งลงไปลุยในหนองที่เป็นโคลนตม เมื่อเณรเห็นว่าท่านละทิฐิได้แล้ว จึงสอนวิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์ให้รู้จักจิตของตน โดยยกอุบายขึ้นว่า

"เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพลงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ยเข้าไปในนั้น ทำอย่างไรจึงจะจับเหี้ยได้?" เณรแนะอีกว่า

"จะจับเหี้ย ก็ต้องหาอะไรมาปิดรูไว้ก่อนห้ารู เหลือเพียงรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วคอยจ้องมองดูที่รูนั้น เมื่อเหี้ยวิ่งออกมาเมื่อไร ก็คอยจับเอาเท่านั้น"

การกำหนดจิตก็เหมือนกับการจับเหี้ย ต้องปิดทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียก่อน คงเหลือกำหนดแต่จิตหรือใจเพียงอย่างเดียว แล้วใช้สติเป็นตัวคอยควบคุม


เป็นลักษณะของคนไปไม่เป็น ตันไปหมด วิ่งหนีเข้าซอย ก็ซอยตัน เหลียวซ้ายและขวา เห็นหน้าบ้านคนมีป้ายเขียนไว้ว่า "ระวังสุนักดุ" กลัวหมากัดอีก ยิ่งร้อนรนใหญ่ จะออกปากซอย กรัชกายก็วิ่งตามมาติดๆ จึงไม่รู้จะเอายังไงดี ชีวิต กับ ธรรมะ บลาๆๆ :b32:

amazing บอกวิธีจับวรนุชสิ :b9: ว่าไป จับยังไง เอาชัดๆนะขอรับ เผื่อมีคนต้องการนำไปใช้จับมั่ง :b1: :b36: :b37:

ถามกี่รอบๆ ก็ไม่เคยมีรายละเอียดในการจับเลย ขออีกสักทีเถอะน่า :b35:
ทียกมาอยากถามกรัชกายทำไมพระที่เก่งปริยัติระดับไม่มีใครกล้าเถียงธรรมระดับความรุ้มากกว่ากรัชกายตั้งเยอะทำไมไม่บรรลุธรรมเลยล่ะและทำไมพระจุฬปันถกไม่รุ้เรื่องปริยัติเลยทำไมถึงบรรลุธรรมโดยเพียงท่องคาถาเพียงสี่ห้าคำ กรัชการลองพิจนานะ


ไปถามคนแต่งเรื่องนี้ซี่ อยากรู้ก็ ปัดดโถ่ :b33:

ให้บอกวิธีจับวรนุชๆๆๆๆ จับไง เอาชัดๆ
ผมว่าเราเคยคุ่ยเรื่องนี้กันมาแล้วนะว่าอานาปานสตินี้ทำได้ทุกอย่าง ที่พระสตุรว่าให้เอากายเป็นเสาหลักเสาเขื่อนแล้วจับสตว์มามัดไว้เดียวมันก็สงบ. กรัชกายดุเหมือนท่านไม่ค่อยเชื่อในอานาปานสตินะ



ไม่เชื่อลมเข้าลมออกก็แย่เต็มทนขอรับ หายใจเข้าออกตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ก็ยังหายใจอยู่ แล้วไงอ่ะ โฆษณาชวนเชื่อสะจริง :b26:

หรือเหมือนกรัชกายเคยบอกนะว่า คุณปฏิบัิิติผิดเดินทางผิด
ทำไมคุณคิดว่าผมปฎิบัติผิดขอรับ


โพสต์ เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:

ทำไมคุณคิดว่าผมปฎิบัติผิดขอรับ



ตามที่ amazing เล่าให้ฟังออกแนวนี้ แล้วบวกกับอ่านพระสูตรว่าตรงแล้วกับพระสูตร จึงยึดเอาว่าดับกายสังขาร อะไรที่เล่ามา ตัวอย่างแนวเดียวกับที่เล่าเมื่อวันก่อน

อ้างคำพูด:
ครั้งนึงเมื่อหลายๆ เดือนก่อน แล้วเห็นร่างกายหายไปพร้อมๆ กับเวทนาทางกาย เห็นจิตเกิดดับ และวันที่หกเห็นกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นในกายส่งผ่านจากสมอง และต่อมารับรู้ได้ถึงคลื่นความสั่นสะเทือนที่ผุดขึ้นจากกลางอก

บ่อยครั้งที่รู้สึกเหมือนกับว่า คล้ายๆ ขึ้นเครื่องบินแล้วตกหลุมอากาศ อย่างนี้คืออาการจิตรวมใช่ไหม แล้วจิตรวมนี้มันดีไหม เพราะหลังจากกลับบ้าน ก็เกิดเหตุการณ์จิตรวมที่ว่า เหมือนตกหลุมอากาศเวลานั่งเครื่องบิน เกิดขึ้นเกือบทุกวัน วันละรอบ เกิดเองด้วย เช่น ตอนกินข้าว ตอนนอน อย่างนี้คืออาการที่จิตกำลังจะรวมถูกไหม มันเป็นอาการของคนติดสมถะกรรมฐานหรือไม่ หรือว่าหากเป็นอย่างนี้เราก็แยกธาตุแยกขันธ์ต่อไปเลย โดยเห็นว่าทั้งขันธ์ห้าไม่ใช่เรา (แต่ปกติเราเห็นบ่อยว่าร่างกายไม่ใช่เรา เหมือนธาตุรู้มันสรุปไปแล้วว่ากายไม่ใช่เรา แต่ยังเห็นจิตเป็นเรา เคยมีเหมือนกันที่เห็นจิตไม่ใช่เรา เห็นแว๊บๆ แต่ธาตุรู้ยังไม่สรุปว่าจิตก็ไม่ใช่เรา)

และอีกสภาวะนึง ที่เกิดทุกวันคือ คลื่นสั่นสะเทือนที่ผุดขึ้นกลางอก เกิดทุกวัน วันละหลายๆ นาที อย่างนี้ถือว่าถูกต้องไหม เพราะได้ยินท่านโกเอนก้าบรรยายไว้ว่า หากทำได้ถูก ต้องทำให้ถึงจิตไร้สำนึก และจะมีลักษณะความไหวเหมือนคลื่นสั่นสะเทือนเกิดขึ้น จิตไวขึ้นจะไปรับรู้ตรงนี้ได้


บอกไ้ด้ว่า ถ้าผู้นี้เป็นต้น ไม่ไ้ด้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง สภาวะเหล่านี้จะรบกวนเข้าไปตลอด สภาวะยิ่งเกิด เขายิ่งยึด ยิ่งภาวนา สภาวะนั้นๆ จะแรงขึ้นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 13 ต.ค. 2013, 00:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

ทำไมคุณคิดว่าผมปฎิบัติผิดขอรับ



ตามที่ amazing เล่าให้ฟังออกแนวนี้ แล้วบวกกับอ่านพระสูตรว่าตรงแล้วกับพระสูตร จึงยึดเอาว่าดับกายสังขาร อะไรที่เล่ามา ตัวอย่างแนวเดียวกับที่เล่าเมื่อวันก่อน

อ้างคำพูด:
ครั้งนึงเมื่อหลายๆ เดือนก่อน แล้วเห็นร่างกายหายไปพร้อมๆ กับเวทนาทางกาย เห็นจิตเกิดดับ และวันที่หกเห็นกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นในกายส่งผ่านจากสมอง และต่อมารับรู้ได้ถึงคลื่นความสั่นสะเทือนที่ผุดขึ้นจากกลางอก

บ่อยครั้งที่รู้สึกเหมือนกับว่า คล้ายๆ ขึ้นเครื่องบินแล้วตกหลุมอากาศ อย่างนี้คืออาการจิตรวมใช่ไหม แล้วจิตรวมนี้มันดีไหม เพราะหลังจากกลับบ้าน ก็เกิดเหตุการณ์จิตรวมที่ว่า เหมือนตกหลุมอากาศเวลานั่งเครื่องบิน เกิดขึ้นเกือบทุกวัน วันละรอบ เกิดเองด้วย เช่น ตอนกินข้าว ตอนนอน อย่างนี้คืออาการที่จิตกำลังจะรวมถูกไหม มันเป็นอาการของคนติดสมถะกรรมฐานหรือไม่ หรือว่าหากเป็นอย่างนี้เราก็แยกธาตุแยกขันธ์ต่อไปเลย โดยเห็นว่าทั้งขันธ์ห้าไม่ใช่เรา (แต่ปกติเราเห็นบ่อยว่าร่างกายไม่ใช่เรา เหมือนธาตุรู้มันสรุปไปแล้วว่ากายไม่ใช่เรา แต่ยังเห็นจิตเป็นเรา เคยมีเหมือนกันที่เห็นจิตไม่ใช่เรา เห็นแว๊บๆ แต่ธาตุรู้ยังไม่สรุปว่าจิตก็ไม่ใช่เรา)

และอีกสภาวะนึง ที่เกิดทุกวันคือ คลื่นสั่นสะเทือนที่ผุดขึ้นกลางอก เกิดทุกวัน วันละหลายๆ นาที อย่างนี้ถือว่าถูกต้องไหม เพราะได้ยินท่านโกเอนก้าบรรยายไว้ว่า หากทำได้ถูก ต้องทำให้ถึงจิตไร้สำนึก และจะมีลักษณะความไหวเหมือนคลื่นสั่นสะเทือนเกิดขึ้น จิตไวขึ้นจะไปรับรู้ตรงนี้ได้


บอกไ้ด้ว่า ถ้าผู้นี้เป็นต้น ไม่ไ้ด้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง สภาวะเหล่านี้จะรบกวนเข้าไปตลอด สภาวะยิ่งเกิด เขายิ่งยึด ยิ่งภาวนา สภาวะนั้นๆ จะแรงขึ้นๆ

กรัชกายทำตกใจไปได้แค่เขาอยากอวดสิ่งที่เขามีเท่านั้นกรึกายไม่รุ้ะไรเกี่ยวกับการปฎิบัติแนวนี้เลยอย่าได้ไปวิจิารณ์เขาเลย เขาเติบโตยิ่งใหญ่ทั้งในและระดับสากลจนได้เป็นนักวิปัสนาเอกชื่อก้องโลกในปัจจุบัน. ไม่เหมือนกรัชกายหรอกมานั่งจิ้มเถียงกับแมสซิ่งแบบอยุ่แบบนี้ ถ้าอยากรู้นะลองสักครั้งไปจะได้ไม่ต้องมาคอยจับผิดวิธีปฎิบึติเขาแบบนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่กรัชกายแสวงหามาทั้งกัปล์เลยก็ว่าได้ อ๊ะๆอย่าพึ่งหัวแข็งรีบปฎิเสธ ไหนๆกรัชกายเป็นผู้อัตตาน้อยไม่ใช่่เหรอ10วันเอง ยิ้ม


โพสต์ เมื่อ: 13 ต.ค. 2013, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

ทำไมคุณคิดว่าผมปฎิบัติผิดขอรับ



ตามที่ amazing เล่าให้ฟังออกแนวนี้ แล้วบวกกับอ่านพระสูตรว่าตรงแล้วกับพระสูตร จึงยึดเอาว่าดับกายสังขาร อะไรที่เล่ามา ตัวอย่างแนวเดียวกับที่เล่าเมื่อวันก่อน

อ้างคำพูด:
ครั้งนึงเมื่อหลายๆ เดือนก่อน แล้วเห็นร่างกายหายไปพร้อมๆ กับเวทนาทางกาย เห็นจิตเกิดดับ และวันที่หกเห็นกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นในกายส่งผ่านจากสมอง และต่อมารับรู้ได้ถึงคลื่นความสั่นสะเทือนที่ผุดขึ้นจากกลางอก

บ่อยครั้งที่รู้สึกเหมือนกับว่า คล้ายๆ ขึ้นเครื่องบินแล้วตกหลุมอากาศ อย่างนี้คืออาการจิตรวมใช่ไหม แล้วจิตรวมนี้มันดีไหม เพราะหลังจากกลับบ้าน ก็เกิดเหตุการณ์จิตรวมที่ว่า เหมือนตกหลุมอากาศเวลานั่งเครื่องบิน เกิดขึ้นเกือบทุกวัน วันละรอบ เกิดเองด้วย เช่น ตอนกินข้าว ตอนนอน อย่างนี้คืออาการที่จิตกำลังจะรวมถูกไหม มันเป็นอาการของคนติดสมถะกรรมฐานหรือไม่ หรือว่าหากเป็นอย่างนี้เราก็แยกธาตุแยกขันธ์ต่อไปเลย โดยเห็นว่าทั้งขันธ์ห้าไม่ใช่เรา (แต่ปกติเราเห็นบ่อยว่าร่างกายไม่ใช่เรา เหมือนธาตุรู้มันสรุปไปแล้วว่ากายไม่ใช่เรา แต่ยังเห็นจิตเป็นเรา เคยมีเหมือนกันที่เห็นจิตไม่ใช่เรา เห็นแว๊บๆ แต่ธาตุรู้ยังไม่สรุปว่าจิตก็ไม่ใช่เรา)

และอีกสภาวะนึง ที่เกิดทุกวันคือ คลื่นสั่นสะเทือนที่ผุดขึ้นกลางอก เกิดทุกวัน วันละหลายๆ นาที อย่างนี้ถือว่าถูกต้องไหม เพราะได้ยินท่านโกเอนก้าบรรยายไว้ว่า หากทำได้ถูก ต้องทำให้ถึงจิตไร้สำนึก และจะมีลักษณะความไหวเหมือนคลื่นสั่นสะเทือนเกิดขึ้น จิตไวขึ้นจะไปรับรู้ตรงนี้ได้


บอกไ้ด้ว่า ถ้าผู้นี้เป็นต้น ไม่ไ้ด้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง สภาวะเหล่านี้จะรบกวนเข้าไปตลอด สภาวะยิ่งเกิด เขายิ่งยึด ยิ่งภาวนา สภาวะนั้นๆ จะแรงขึ้นๆ


กรัชกายทำตกใจไปได้แค่เขาอยากอวดสิ่งที่เขามีเท่านั้นกรึกายไม่รุ้ะไรเกี่ยวกับการปฎิบัติแนวนี้เลยอย่าได้ไปวิจิารณ์เขาเลย เขาเติบโตยิ่งใหญ่ทั้งในและระดับสากลจนได้เป็นนักวิปัสนาเอกชื่อก้องโลกในปัจจุบัน. ไม่เหมือนกรัชกายหรอกมานั่งจิ้มเถียงกับแมสซิ่งแบบอยุ่แบบนี้ ถ้าอยากรู้นะลองสักครั้งไปจะได้ไม่ต้องมาคอยจับผิดวิธีปฎิบึติเขาแบบนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่กรัชกายแสวงหามาทั้งกัปล์เลยก็ว่าได้ อ๊ะๆอย่าพึ่งหัวแข็งรีบปฎิเสธ ไหนๆกรัชกายเป็นผู้อัตตาน้อยไม่ใช่่เหรอ10วันเอง ยิ้ม


เป็นยังงี้อเมสซึ่ง

เราสองคน เป็นต้น มองกันคนละด้านคนละมุม ไม่ว่าเรื่องชีวิต (ธรรมชาติ) หรือในแง่การปฏิบัติเพื่อรู้เข้าใจสังขตธรรม (หรือชีวิต) อเมสซิ่งมองที่ตัวบุคคลความเป็น นาย ก. นาย ข. ..... นับถือตัวบุคคล นาย ข. นาย ก. ยึดมั่นในตัวบุคคล มองข้ามหรือไม่มองสิ่ง (สภาวะ) ที่เกิดขึ้นกับตนว่าแท้ๆมันคืออะไรยังไง แล้วจะปฏิบัติต่อมันอย่างไร จึงยึดมั่นถือมั่นสภาวะแต่ละขณะๆอย่างเต็มเปาแล้วก็เต็มใจ

ส่วนกรัชกายมองตรงข้ามกับอเมสซิ่งโดยสิ้นเชิง คือไม่ไ้ด้มองที่ตัวบุคคล หรือนาย ก. นาย ข. แต่มองสภาวะธรรมดาแห่งธรรมชาติที่ปรากฏ เมืือมันปรากฏแล้วควรปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไร จึงจะรู้เข้าใจมัน หลุดพ้นไปจากมัน ค่อยๆคลายการยึดติดถือมั่น มีชีวิตแท้ๆทีโปร่งโล่งเบา มีจิตใจเป็นอิสระ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 13 ต.ค. 2013, 14:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกายรู้ได้ไงว่าผมคิดอย่างนั้นผมเข้าถึงความจริงโดยสภาวแห่งการไม่มีตัวตนที่แท้จริงผมย่อมเข้าใจกว่ากรัชกายที่ได้แต่คิดเอา


โพสต์ เมื่อ: 13 ต.ค. 2013, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกายรู้ได้ไงว่าผมคิดอย่างนั้นผมเข้าถึงความจริงโดยสภาวแห่งการไม่มีตัวตนที่แท้จริงผมย่อมเข้าใจกว่ากรัชกายที่ได้แต่คิดเอา


ตัวตนตามนิยามของ amazing เป็นไงอ่ะ พูดงี้แสดงว่า ตัวตนมีมาก่อนหน้าแล้ว แล้วมาทำลายตัวตนได้ กระนั้นหรอ :b1:


ถามว่ารู้ไ้ด้อย่างไร? รู้ไ้ด้จากความคิดนี้

อ้างคำพูด:
กรัชกายทำตกใจไปได้แค่เขาอยากอวดสิ่งที่เขามีเท่านั้นกรึกายไม่รุ้ะไรเกี่ยวกับการปฎิบัติแนวนี้เลย


การยึดติดถือมั่นในสภาวธรรม ก็คือการมีอัตตานั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 13 ต.ค. 2013, 15:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกายรู้ได้ไงว่าผมคิดอย่างนั้นผมเข้าถึงความจริงโดยสภาวแห่งการไม่มีตัวตนที่แท้จริงผมย่อมเข้าใจกว่ากรัชกายที่ได้แต่คิดเอา


ตัวตนตามนิยามของ amazing เป็นไงอ่ะ พูดงี้แสดงว่า ตัวตนมีมาก่อนหน้าแล้ว แล้วมาทำลายตัวตนได้ กระนั้นหรอ :b1:


ถามว่ารู้ไ้ด้อย่างไร? รู้ไ้ด้จากความคิดนี้

อ้างคำพูด:
กรัชกายทำตกใจไปได้แค่เขาอยากอวดสิ่งที่เขามีเท่านั้นกรึกายไม่รุ้ะไรเกี่ยวกับการปฎิบัติแนวนี้เลย


การยึดติดถือมั่นในสภาวธรรม ก็คือการมีอัตตานั่นเอง
เย้นร้อน อ่อนแข็งตึงไหว สิ่งที่ปรากฎทางทวารทั้งหลายมีจริงมั้ย. ผมเข้าถึงความดับของทุกสิ่ง ผมจึงดับความยึดในอุปทานได้จริง. กรัชกายถึงโดยความคิคจะดับอุปทานได้จริงเหรอ


โพสต์ เมื่อ: 13 ต.ค. 2013, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกายรู้ได้ไงว่าผมคิดอย่างนั้นผมเข้าถึงความจริงโดยสภาวแห่งการไม่มีตัวตนที่แท้จริงผมย่อมเข้าใจกว่ากรัชกายที่ได้แต่คิดเอา


ตัวตนตามนิยามของ amazing เป็นไงอ่ะ พูดงี้แสดงว่า ตัวตนมีมาก่อนหน้าแล้ว แล้วมาทำลายตัวตนได้ กระนั้นหรอ :b1:


ถามว่ารู้ไ้ด้อย่างไร? รู้ไ้ด้จากความคิดนี้

อ้างคำพูด:
กรัชกายทำตกใจไปได้แค่เขาอยากอวดสิ่งที่เขามีเท่านั้นกรึกายไม่รุ้ะไรเกี่ยวกับการปฎิบัติแนวนี้เลย


การยึดติดถือมั่นในสภาวธรรม ก็คือการมีอัตตานั่นเอง
เย้นร้อน อ่อนแข็งตึงไหว สิ่งที่ปรากฎทางทวารทั้งหลายมีจริงมั้ย. ผมเข้าถึงความดับของทุกสิ่ง ผมจึงดับความยึดในอุปทานได้จริง. กรัชกายถึงโดยความคิคจะดับอุปทานได้จริงเหรอ



เขาเป็นอะไรครับน่ะ จะแก้ไขยังไง :b1:


อ้างคำพูด:
ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิ วิปัสสนา คือนั่งดูลมหายใจเข้าออก เฉยๆไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะ เหมือนมีเข็มเป็นร้อยๆเล่มอยู่ในห้ว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ
อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บางอาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารุ้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอดเวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมีตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง
ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร