วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 23:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2013, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
สิ่งที่เกิดทางใจที่เป็นความรู้แบบเข้าใจ หรือจะเป็นความรู้ความหมาย จะเป็นความเข้าใจแบบสมมุติ คือรู้ความหมาย รู้เป็นเรื่องเป็นราว หรือจะเป็นความรู้แบบของจริงก็ตาม หรือรู้แจ้ง ตามความเป็นจริงก็ตาม เป็นเรื่องเครื่องปรุงของจิต มันเป็นตัวเครื่องปรุงในจิตที่ทำหน้าที่ต่างๆ เฉพาะจิตจริงๆ เพียงแค่น้อมรับรู้อารมณ์ บอกค่าสิ่งที่รู้ไม่ได้ การที่จะบอกค่าของสิ่งที่รู้นั้นคือเครื่องปรุงที่อยู่ในจิต หรือสิ่งที่ประกอบต่างๆ ที่อยู่ในจิต ซึ่งก็เป็นธรรมชาติคนละชนิดกับจิต แต่เป็นนามธรรมด้วยกัน ที่จัดเป็นนามธรรมเพราะว่ารับรู้อารมณ์ได้ น้อมไปสู่อารมณ์ได้ แต่ว่ามันมีความพิเศษกว่าตรงที่มันรู้เข้าใจได้ ตีความหมายได้ แล้วแต่บางชนิด บางชนิดมันก็แค่ตรึก บางชนิดก็วิจารณ์ บางชนิดมันก็เข้าใจ บางชนิดมันก็ตัดสิน บางชนิดมันก็เป็นความพอใจ ไม่พอใจ เป็นความสงสัยแล้วแต่ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสเรียกเป็นชื่อของธรรมชาติที่อยู่ทั่วไปต่างๆ โดยเฉพาะ เช่นที่เรียกว่าวิตกเจตสิก วิจารณ์เจตสิก ปิติเจตสิก ฉันทะเจตสิก อะไรต่างๆ เหล่านี้ คำว่า "เจตสิก" ก็คือ สิ่งที่ประกอบในจิตร่วมกันไป.....


ที่ท่านอธิบายความ เป็นผลมาจากการเอาสิ่งที่คนเขาปฏิบัติผิดใหลักธรรมแต่แรก
และท่านเองก็ไม่เข้าใจว่า คนเหล่านั้นปฏิบัติผิดตรงไหน อย่างไร
การอธิบายธรรมของท่าน จึงเหมือนท่านก็ไม่เข้าในสภาพธรรมและปรมัตถ์ธรรม

ผมจะแยกประเด็นอธิบายในรายละเอียด.......
eragon_joe เขียน:
สิ่งที่เกิดทางใจที่เป็นความรู้แบบเข้าใจ หรือจะเป็นความรู้ความหมาย จะเป็นความเข้าใจแบบสมมุติ คือรู้ความหมาย รู้เป็นเรื่องเป็นราว หรือจะเป็นความรู้แบบของจริงก็ตาม หรือรู้แจ้ง ตามความเป็นจริงก็ตาม เป็นเรื่องเครื่องปรุงของจิต มันเป็นตัวเครื่องปรุงในจิตที่ทำหน้าที่ต่างๆ [/color]


ประโยคแค่"สมมุติ"คำเดียว ทำให้ท่านเข้าใจในธรรมคลาดเคลื่อนหมด
ท่านเข้าใจว่า..สมมุติไม่มีจริง แบบนี้ท่านกำลังเข้าใจพุทธพจน์คลาดเคลื่อน
พระพุทธองค์ไม่ได้ให้ปฏิเสธสมมุติ แต่พระพุทธองค์ให้รู้สภาพความเป็นจริง...ของสมมุติ

สมมุติมีจริง และเป็นจริง ในความมีอยู่จริงและเป็นจริงนั้น เป็นไปในลักษณะของ....สภาพธรรม

ความคิดไม่ใช่เครื่องปรุงแต่งจิต ความคิดเป็นสภาพธรรม
ตัวปรุงแต่งจิตคือ ความคิดที่ประกอบด้วยตัณหา ดังนั้นเครื่องปรุงแต่งจิตก็คือตัณหา
ตัณหากับความคิดเป็นสภาพธรรมคนล่ะอย่าง
จะยกตัวอย่างในกรณีที่ว่า ความคิดไม่ใช่เครื่องปรุงแต่ง นั้นก็คือ ธัมมวิจยะ
ธัมมวิจยะ เป็นความคิดที่มีปัญญาไตรลักษณ์เป็นองค์ประกอบ จึงไม่ใช่เครื่องปรุงแต่ง
แต่เป็นความคิดที่ดับการปรุงแต่ง


eragon_joe เขียน:
ฉะนั้น เมื่อสิ่งที่ประกอบอยู่ในจิตทำงานร่วมกับจิตๆ ก็เลยกลายเป็นรู้เรื่องรู้ราวไป แต่ว่าตัวมันเองจริงๆ ไม่รู้หรอกอาศัยสิ่งต่างๆ ฉะนั้น เวลาปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติก็ทำจิตหยั่งรู้อาการในจิตประเภทต่างๆ หยั่งรู้ว่าขณะที่น้อมรับรู้อารมณ์มันเป็นไปในความรู้สึกไปต่างๆ น้อมรับรู้อารมณ์ ด้วยความรู้สึกพอใจบ้าง น้อมรับรู้อารมณ์ด้วยความรู้สึกไม่พอใจบ้าง รับรู้อารมณ์ด้วยความรู้สึกเฉยๆ บ้าง รับรู้อารมณ์ด้วยความสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง ขุ่นมัวเศร้าหมองบ้าง เบิกบานบ้าง ผ่องใส เอิบอิ่มบ้าง เป็นไปต่างๆ อาการรู้สึกในจิตเครื่องปรุงในจิตมันเป็นไปต่างๆ นี่คือหน้าตาของนามธรรม แต่ละชนิด ฉะนั้นเมื่อแยกให้เข้าใจง่ายๆ แล้ว นามธรรมส่วนหนึ่งก็คือ ลักษณะของจิตโดยตรงคือสภาพที่น้อมรับรู้อารมณ์ สองก็คืออาการในจิต หรือ ความรู้สึกในจิต ซึ่งมีเป็นประเภทต่างๆ ผู้ปฏิบัติก็จดจำว่าทำสติเข้าไประลึกรู้ ส่วนหนึ่งรู้ลักษณะของจิต คือสภาพน้อมรับรู้อารมณ์ ในจิตส่วนที่สอง คือรู้อาการในจิตซึ่งมีต่างๆ


พระพุทธองค์ทรงบอกว่า จงรู้แจ้งสมมุติด้วยปรมัตถ์ ความหมายก็คือ ธรรมชาติภายนอกกายใจ
ที่มากระทบกับประสาทสัมผัส
เมื่อผ่านเข้ามาในกายใจเราแล้ว สภาพธรรมที่เรียกว่า สมมติ จะเปลี่ยนเป็น ปรมัตถ์
ดังนั้นการจะรู้ธรรมหรือสิ่งที่เกิดภายในกายใจ จะต้องรู้โดยสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถ์
แบบนี้เรียกว่า รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

ความคิดก็เปรียบเป็นสมมติ เป็นสภาพธรรมที่เป็นจริง
เมื่อเกิดแล้ว เราต้องรู้สภาพตามเป็นจริงด้วยปรมัตถ์

สรุปความคิดเป็นสภาพธรรมที่เป็นจริง ความคิดเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด
สภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถ์ คือเกิดวิญญานรู้สภาพธรรมนั้นๆ จนเกิดเจตสิกตามมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2013, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

จิตเป็นผู้รู้อารมณ์น่ะใช่ครับ แต่ที่บอกว่าให้นักปฏิบัติไปจับลักษณะการรู้อารมณ์
แบบนี้มันไม่สามารถทำได้ เป็นเพราะว่า...จิตผู้รู้เป็นสังขาร เกิดแล้วก็ดับทันที
อารมณ์กับจิตผู้รู้เป็นคนล่ะตัวกัน มันไม่สามารถเกิดพร้อมกันได้
การรู้อารมณ์เป็นการรู้ตามหลังอารมณ์

[b]ดังนั้นการสังเกตุที่ท่านบอกว่า "ต้องไปจับลักษณะการรู้อารมณ์"
อันนี้คลาดเคลื่อน จิตและอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการจับลักษณะ จึงไม่ใช่การจับที่จิตหรืออารมณ์

แต่เราต้องสังเกตุความเป็นสังขารของจิตหรืออารมณ์

อนึ่งไม่มีบุคคลใดสามารถ เห็นสภาวะการเกิดดับของจิตหรือเจตสิกได้ทัน
ที่ว่าเกิดการเกิดดับ ในความเป็นจริง เป็นการเห็นด้วยการเอาญานไตรลักษณ์
มาอนุมานด้วยหลักเหตุผล ก็จะเกิดผลมาเป็นจิตและเจตสิกเกิดดับ

ดังนั้นการปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อมองเห็นจิตเกิดดับ แต่ในความเป็นจริงคือ
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ญานรู้ลักษณะที่เป็นสังขาร



นี่ก็คลาดเคลื่อนอยู่หลายจุด พูดไปเรื่อยเปื่อยน้ำท่วมทุ่ง "สังขารของจิต" ไม่เคยเห็นไม่ได้ยิน มั่ว

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อมองเห็นจิตเกิดดับ แต่ในความเป็นจริงคือ
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ญานรู้ลักษณะที่เป็นสังขาร


จิตเกิดดับ ก็แสดงความเป็นไตรลักษณ์อยู่ในตัวแล้วนิ พูดเลอะเทอะ สุ่ม

สังเกตพี่โฮพูดถึงสังขารในความหมายบนกัีบข้างล่าง พูดตลบไปตลบมา คิกๆ

พูดจริงนะขอรับพี่โฮ เลิกเหอะ เลอะเทอะ เห็นแล้วปลงจริงๆนะขอรัีบ ไม่คิดว่าจะเ็ป็นได้ถึงขนาดนี้ :b2:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2013, 06:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:

จิตเป็นผู้รู้อารมณ์น่ะใช่ครับ แต่ที่บอกว่าให้นักปฏิบัติไปจับลักษณะการรู้อารมณ์
แบบนี้มันไม่สามารถทำได้ เป็นเพราะว่า...จิตผู้รู้เป็นสังขาร เกิดแล้วก็ดับทันที
อารมณ์กับจิตผู้รู้เป็นคนล่ะตัวกัน มันไม่สามารถเกิดพร้อมกันได้
การรู้อารมณ์เป็นการรู้ตามหลังอารมณ์

ดังนั้นการสังเกตุที่ท่านบอกว่า "ต้องไปจับลักษณะการรู้อารมณ์"
อันนี้คลาดเคลื่อน จิตและอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการจับลักษณะ จึงไม่ใช่การจับที่จิตหรืออารมณ์

แต่เราต้องสังเกตุความเป็นสังขารของจิตหรืออารมณ์

อนึ่งไม่มีบุคคลใดสามารถ เห็นสภาวะการเกิดดับของจิตหรือเจตสิกได้ทัน
ที่ว่าเกิดการเกิดดับ ในความเป็นจริง เป็นการเห็นด้วยการเอาญานไตรลักษณ์
มาอนุมานด้วยหลักเหตุผล ก็จะเกิดผลมาเป็นจิตและเจตสิกเกิดดับ

ดังนั้นการปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อมองเห็นจิตเกิดดับ แต่ในความเป็นจริงคือ
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ญานรู้ลักษณะที่เป็นสังขาร



นี่ก็คลาดเคลื่อนอยู่หลายจุด พูดไปเรื่อยเปื่อยน้ำท่วมทุ่ง "สังขารของจิต" ไม่เคยเห็นไม่ได้ยิน มั่ว

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อมองเห็นจิตเกิดดับ แต่ในความเป็นจริงคือ
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ญานรู้ลักษณะที่เป็นสังขาร


จิตเกิดดับ ก็แสดงความเป็นไตรลักษณ์อยู่ในตัวแล้วนิ พูดเลอะเทอะ สุ่ม

สังเกตพี่โฮพูดถึงสังขารในความหมายบนกัีบข้างล่าง พูดตลบไปตลบมา คิกๆ

พูดจริงนะขอรับพี่โฮ เลิกเหอะ เลอะเทอะ เห็นแล้วปลงจริงๆนะขอรัีบ ไม่คิดว่าจะเ็ป็นได้ถึงขนาดนี้ :b2:


ไล่ให้ไปปฏิบัติหาไตรลักษณ์ ก็ขี้เกียจอ้างโน้นอ้างนี่ เป็นไงล่ะผลของความขี้เกียจ

ไตรลักษณ์ไม่ใช่ จิตแสดงการเกิดดับ แต่ไตรลักษณ์เป็นญานรู้การเกิดดับของจิต
การเห็นไม่ใช่เห็นการเกิดดับของจิต แต่เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์
เห็นความทนอยู่ไม่ได้ของอารมณ์ปัจจุบัน เห็นความเป็นอิสระของอารมณ์คือบังคับไม่ได้


กรัชกายจะคุยกับพี่โฮ เอาเหตุมาคุย หาธรรมมาหักล้าง
ไม่ใช่เล่นแต่สบัดสำนวน รำคาญและเปลื้องหน้ากระทู้ เข้าใจมั้ย :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2013, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:

จิตเป็นผู้รู้อารมณ์น่ะใช่ครับ แต่ที่บอกว่าให้นักปฏิบัติไปจับลักษณะการรู้อารมณ์
แบบนี้มันไม่สามารถทำได้ เป็นเพราะว่า...จิตผู้รู้เป็นสังขาร เกิดแล้วก็ดับทันที
อารมณ์กับจิตผู้รู้เป็นคนล่ะตัวกัน มันไม่สามารถเกิดพร้อมกันได้
การรู้อารมณ์เป็นการรู้ตามหลังอารมณ์

ดังนั้นการสังเกตุที่ท่านบอกว่า "ต้องไปจับลักษณะการรู้อารมณ์"
อันนี้คลาดเคลื่อน จิตและอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการจับลักษณะ จึงไม่ใช่การจับที่จิตหรืออารมณ์

แต่เราต้องสังเกตุความเป็นสังขารของจิตหรืออารมณ์

อนึ่งไม่มีบุคคลใดสามารถ เห็นสภาวะการเกิดดับของจิตหรือเจตสิกได้ทัน
ที่ว่าเกิดการเกิดดับ ในความเป็นจริง เป็นการเห็นด้วยการเอาญานไตรลักษณ์
มาอนุมานด้วยหลักเหตุผล ก็จะเกิดผลมาเป็นจิตและเจตสิกเกิดดับ

ดังนั้นการปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อมองเห็นจิตเกิดดับ แต่ในความเป็นจริงคือ
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ญานรู้ลักษณะที่เป็นสังขาร



นี่ก็คลาดเคลื่อนอยู่หลายจุด พูดไปเรื่อยเปื่อยน้ำท่วมทุ่ง "สังขารของจิต" ไม่เคยเห็นไม่ได้ยิน มั่ว

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อมองเห็นจิตเกิดดับ แต่ในความเป็นจริงคือ
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ญานรู้ลักษณะที่เป็นสังขาร


จิตเกิดดับ ก็แสดงความเป็นไตรลักษณ์อยู่ในตัวแล้วนิ พูดเลอะเทอะ สุ่ม

สังเกตพี่โฮพูดถึงสังขารในความหมายบนกัีบข้างล่าง พูดตลบไปตลบมา คิกๆ

พูดจริงนะขอรับพี่โฮ เลิกเหอะ เลอะเทอะ เห็นแล้วปลงจริงๆนะขอรัีบ ไม่คิดว่าจะเ็ป็นได้ถึงขนาดนี้ :b2:


ไล่ให้ไปปฏิบัติหาไตรลักษณ์ ก็ขี้เกียจอ้างโน้นอ้างนี่ เป็นไงล่ะผลของความขี้เกียจ

ไตรลักษณ์ไม่ใช่ จิตแสดงการเกิดดับ แต่ไตรลักษณ์เป็นญานรู้การเกิดดับของจิต
การเห็นไม่ใช่เห็นการเกิดดับของจิต แต่เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์
เห็นความทนอยู่ไม่ได้ของอารมณ์ปัจจุบัน เห็นความเป็นอิสระของอารมณ์คือบังคับไม่ได้


กรัชกายจะคุยกับพี่โฮ เอาเหตุมาคุย หาธรรมมาหักล้าง
ไม่ใช่เล่นแต่สบัดสำนวน รำคาญและเปลื้องหน้ากระทู้ เข้าใจมั้ย :b6:


ธรรมะ ที่กรัชกายรู้และเล่่าเรียนมา เหมือนคนละโลกกับทำมะที่พี่นอนฝันรู้มานะขอรับ

อ้างคำพูด:
ไตรลักษณ์ไม่ใช่จิตแสดงการเกิดดับ แต่ไตรลักษณ์เป็นญานรู้การเกิดดับของจิต
การเห็นไม่ใช่เห็นการเกิดดับของจิต แต่เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์


ญาณ นั่นแหละ แปลว่า ความรู้ (ปัญญา) นี่ผ่าไปแถมญาณรู้เข้ามาอีก แสดงว่าไม่เข้าใจภาษาของเขา

ปัญญาที่เห็นการดับของจิต เรียกว่า ญาณ หรือเป็นความรู้แล้ว การเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ของจิตแต่ละขณะๆ นั่นแหละเ็ป็นลักษณะของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว :b1: คือปัญญาเห็นไตรลักษณ์แล้ว จบกระบวนธรรมเขาแล้ว

พี่โฮ บริจาคคอมฯให้น้องๆดอยเต่าเถอะนะขอรับ แล้วตัวเองก็นอนให้เต็มอิ่ม อย่าพยายามลุกขึ้นตอนเช้ามืด เอานิยตมิจฉาทิฏฐิ มาป้ายที่กระทู้นั้นกระทู้นี้เลยครับ :b13: สงสารเยาวชน

http://www.youtube.com/watch?v=1mJIICBqBEk

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 06:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




a_mun2.jpg
a_mun2.jpg [ 233.97 KiB | เปิดดู 1615 ครั้ง ]
:b8:
ทางลัดของการปฏิบัติธรรม มี อยู่ที่

"สติปัญญา รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ไม่ขาดสาย และไร้ปฏิกิริยาตอบโต้กับผัสสะทั้งปวง"
onion onion onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:

จิตเป็นผู้รู้อารมณ์น่ะใช่ครับ แต่ที่บอกว่าให้นักปฏิบัติไปจับลักษณะการรู้อารมณ์
แบบนี้มันไม่สามารถทำได้ เป็นเพราะว่า...จิตผู้รู้เป็นสังขาร เกิดแล้วก็ดับทันที
อารมณ์กับจิตผู้รู้เป็นคนล่ะตัวกัน มันไม่สามารถเกิดพร้อมกันได้
การรู้อารมณ์เป็นการรู้ตามหลังอารมณ์

ดังนั้นการสังเกตุที่ท่านบอกว่า "ต้องไปจับลักษณะการรู้อารมณ์"
อันนี้คลาดเคลื่อน จิตและอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการจับลักษณะ จึงไม่ใช่การจับที่จิตหรืออารมณ์

แต่เราต้องสังเกตุความเป็นสังขารของจิตหรืออารมณ์

อนึ่งไม่มีบุคคลใดสามารถ เห็นสภาวะการเกิดดับของจิตหรือเจตสิกได้ทัน
ที่ว่าเกิดการเกิดดับ ในความเป็นจริง เป็นการเห็นด้วยการเอาญานไตรลักษณ์
มาอนุมานด้วยหลักเหตุผล ก็จะเกิดผลมาเป็นจิตและเจตสิกเกิดดับ

ดังนั้นการปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อมองเห็นจิตเกิดดับ แต่ในความเป็นจริงคือ
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ญานรู้ลักษณะที่เป็นสังขาร



นี่ก็คลาดเคลื่อนอยู่หลายจุด พูดไปเรื่อยเปื่อยน้ำท่วมทุ่ง "สังขารของจิต" ไม่เคยเห็นไม่ได้ยิน มั่ว

อ้างคำพูด:
การปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อมองเห็นจิตเกิดดับ แต่ในความเป็นจริงคือ
เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ญานรู้ลักษณะที่เป็นสังขาร


จิตเกิดดับ ก็แสดงความเป็นไตรลักษณ์อยู่ในตัวแล้วนิ พูดเลอะเทอะ สุ่ม

สังเกตพี่โฮพูดถึงสังขารในความหมายบนกัีบข้างล่าง พูดตลบไปตลบมา คิกๆ

พูดจริงนะขอรับพี่โฮ เลิกเหอะ เลอะเทอะ เห็นแล้วปลงจริงๆนะขอรัีบ ไม่คิดว่าจะเ็ป็นได้ถึงขนาดนี้ :b2:


ไล่ให้ไปปฏิบัติหาไตรลักษณ์ ก็ขี้เกียจอ้างโน้นอ้างนี่ เป็นไงล่ะผลของความขี้เกียจ

ไตรลักษณ์ไม่ใช่ จิตแสดงการเกิดดับ แต่ไตรลักษณ์เป็นญานรู้การเกิดดับของจิต
การเห็นไม่ใช่เห็นการเกิดดับของจิต แต่เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์
เห็นความทนอยู่ไม่ได้ของอารมณ์ปัจจุบัน เห็นความเป็นอิสระของอารมณ์คือบังคับไม่ได้


กรัชกายจะคุยกับพี่โฮ เอาเหตุมาคุย หาธรรมมาหักล้าง
ไม่ใช่เล่นแต่สบัดสำนวน รำคาญและเปลื้องหน้ากระทู้ เข้าใจมั้ย :b6:


นิยามคำว่า ธรรม ของโฮฮับนี่ยังไงหนอ s006

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร