วันเวลาปัจจุบัน 23 ส.ค. 2025, 14:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

จะถามอะไรใคร หัดคิดก่อนก็ดีน่ะกรัชกาย
ถ้าพี่โฮถามกลับว่า......พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคัลลานะฯลฯ
เรียนมาตั้งหลายอาจารย์ ทำไมยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล

ปัญญาไตรลักษณ์มันไม่ได้เกิดจากการเรียนหรือฟัง......เข้าใจมั้ย :b32:



อ้างคำพูด:
ถ้าพี่โฮถามกลับว่า......พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคัลลานะฯลฯ
เรียนมาตั้งหลายอาจารย์ ทำไมยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล


อ๋ออออ หรือนี่เป็นการยอมรับกลายๆว่า เจ้าชายสิทธัตถะ อุปติสสะ โกลิตะ ไม่ได้เป็นพระอริยะมาตั้งแต่อยู่ในท้องของมารดา คือ เป็นปุถุชนก่อน แล้วมาเป็นอริยะทีหลัง กรัชกายสรุปยังงี้ถูกมั้ยครับพี่โฮฮับ ขอคำยืนยัน กลัวเข้าใจผิดนะขอรับ :b1: ไม่ต้องอายครับลูกผู้ชาย ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 14:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:

จะถามอะไรใคร หัดคิดก่อนก็ดีน่ะกรัชกาย
ถ้าพี่โฮถามกลับว่า......พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคัลลานะฯลฯ
เรียนมาตั้งหลายอาจารย์ ทำไมยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล

ปัญญาไตรลักษณ์มันไม่ได้เกิดจากการเรียนหรือฟัง......เข้าใจมั้ย :b32:



อ้างคำพูด:
ถ้าพี่โฮถามกลับว่า......พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคัลลานะฯลฯ
เรียนมาตั้งหลายอาจารย์ ทำไมยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล


อ๋ออออ หรือนี่เป็นการยอมรับกลายๆว่า เจ้าชายสิทธัตถะ อุปติสสะ โกลิตะ ไม่ได้เป็นพระอริยะมาตั้งแต่อยู่ในท้องของมารดา คือ เป็นปุถุชนก่อน แล้วมาเป็นอริยะทีหลัง กรัชกายสรุปยังงี้ถูกมั้ยครับพี่โฮฮับ ขอคำยืนยัน กลัวเข้าใจผิดนะขอรับ :b1: ไม่ต้องอายครับลูกผู้ชาย ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่

กรัชกายรู้หรือเปล่าว่า คนเราผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาเท่าไร
กรัชกายไม่สนใจเหตุผล พยายามจะลากจะถามเพื่อให้คนอื่นเขาตอบอย่างที่ตัวเองคิด

คนที่มันขาดปัญญาเท่านั้นที่จะตอบแบบนั้น กรัชกายถามว่า.....
คนเราเกิดมาเป็นอริยตั้งแต่เกิดในท้องแม่ใช่มั้ย ถ้าเป็นกรัชกายถามเองและคงตอบเองว่า..ไม่ใช่

แต่ในความเป็นจริง คนเราสามารถเป็นอริยชนตั้งแต่ในท้องแม่
ถ้าคนนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นพระอริยชนมาก่อน

นี้เป็นประเด็นที่หนึ่ง

ส่วนอีกประเด็น กรัชกายพยายามจะบอกว่า ก่อนเป็นอริยชนต้องศึกษาเล่าเรียนมาก่อน
พีโฮพยายามพูดให้ฟังแล้วว่า ปัญญาไตรลักษณ์ไม่ได้เกิดจากการเล่าเรียน หรือฟังอ่าน
แต่ปัญญาไตรลักษณ์เกิดจากการมองเห็นสภาวะธรรมด้วยตนเอง
อนึ่งคนที่มีปัญญาไตรลักษณ์นับว่าเป็นอริยชน เป็นโสดาปฏิมรรคแล้ว

พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องเรียนหรือมีอาจารย์ ท่านตรัสรู้ได้เอง
ด้วยวิถี................จินตะมยปัญญา

ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้าหลังจากมีปัญญาไตรลักษณ์ จำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์
เพื่อถ่ายทอดพระธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า.........สุตตะมยปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เราเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว และมีคุณสมบัติของจิตติดตัวมาด้วย แต่คุณน้องบอกไม่ได้หรอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระอริยะมาตั้งแต่เกิดรึเปล่า แต่คุณน้องรู้ว่า คุณสมบัติของจิตที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มีคุณสมบัติเช่นไร
http://www.dhammahome.com/front/webboar ... p?id=20211
เพราะเหตุนี้บุคคลที่เคยบรรลุเป็นพระโสดาบัณเมื่ออดีตชาติ ย่อมมีคุณสมบัติของจิตที่พิเศษจากปุถุชนที่มีกิเลสหนาอยู่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อมีเหตุปัจจัยที่ประจวบเหมาะ บุคคลนั้นย่อมสามารถเข้าใจธรรมมะของพระพุทธเจ้าได้ง่ายกว่าผู้อื่น แค่ได้คำแนะนำจากกัลยามิตรหรือครูบาอาจารย์มาต่อยอดให้ และเค้าจะสามารถเกิดดวงตาเห็นธรรมได้เร็วกว่าปุถุชน จนทำให้ผู้อื่นอาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่าเค้าเป็นพระอริยะ อย่างนางวิสาขาเป็นพระโสดาบัณตั้งแต่7ขวบ ใครตัดสินได้ว่าอายุ7ขวบเป็นพระโสดาบัณได้แล้ว เราคาดเดาคุณสมบัติจิตของบุคคลประเภทนี้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2013, 06:03
โพสต์: 95

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สนทนาธรรมต่อนะครับ


เริ่มไม่แน่ใจว่าเข้ากระทู้ผิดหรือไม่ กล่าวคือ เริ่มสับสน ถ้าผิดต้องขออภัย



จากคำกล่าวของคุณโฮฮับ

“การเจริญสติ” เป็นหลักในการปฏิบัติของปุถุชนหรือที่คุณเรียกว่า บุคคลทั่วไป

ส่วน “สติปัฏฐาน” เป็นหลักในการปฏิบัติของอริยชน หรือผู้ที่มีตวงตาเห็นธรรมแล้ว



ผมเคยอ่านหนังสือของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านสอนปฏิบัติภาวนาแก่ญาติโยม
โดยใช้คำว่า .....ฝึกสติปัฏฐาน...... กับ .....เจริญสติปัฏฐาน...... นะครับ ยังไม่มี
เวลาค้นหาเอกสารให้ มีแต่บันทึกย่อ ไม่รู้มาจากไหน ขอติดไว้ก่อน

เพื่อนสมาชิกท่านใด มีเอกสาร หวังประโยชน์ใน ......ธรรมทาน...... กล่าวคือ
การให้ธรรมเป็นทาน ได้โปรดอนุเคราะห์ ทำ link ให้ด้วย จะเป็นกุศลอันยิ่ง
ของท่านสืบไป



ของคุณโฮฮับ เป็นคำกล่าวของใครครับ ช่วยบอกที่มาของเอกสารอ้างอิง ได้หรือไม่



......วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส

ขอแต่งโศลกธรรมบทหนึ่ง

......สังขารไม่ใช่โพธิ์
......จิตไม่ใช่กระจกเงาใส
......ไปเอา เหตุ ของ อวิชชา ......มาจากไหน ./


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมมาทิฏฐิ เขียน:
สนทนาธรรมต่อนะครับ


เริ่มไม่แน่ใจว่าเข้ากระทู้ผิดหรือไม่ กล่าวคือ เริ่มสับสน ถ้าผิดต้องขออภัย



จากคำกล่าวของคุณโฮฮับ

“การเจริญสติ” เป็นหลักในการปฏิบัติของปุถุชนหรือที่คุณเรียกว่า บุคคลทั่วไป

ส่วน “สติปัฏฐาน” เป็นหลักในการปฏิบัติของอริยชน หรือผู้ที่มีตวงตาเห็นธรรมแล้ว



ผมเคยอ่านหนังสือของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านสอนปฏิบัติภาวนาแก่ญาติโยม
โดยใช้คำว่า .....ฝึกสติปัฏฐาน...... กับ .....เจริญสติปัฏฐาน...... นะครับ ยังไม่มี
เวลาค้นหาเอกสารให้ มีแต่บันทึกย่อ ไม่รู้มาจากไหน ขอติดไว้ก่อน

เพื่อนสมาชิกท่านใด มีเอกสาร หวังประโยชน์ใน ......ธรรมทาน...... กล่าวคือ
การให้ธรรมเป็นทาน ได้โปรดอนุเคราะห์ ทำ link ให้ด้วย จะเป็นกุศลอันยิ่ง
ของท่านสืบไป



ของคุณโฮฮับ เป็นคำกล่าวของใครครับ ช่วยบอกที่มาของเอกสารอ้างอิง ได้หรือไม่



......วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส

ขอแต่งโศลกธรรมบทหนึ่ง

......สังขารไม่ใช่โพธิ์
......จิตไม่ใช่กระจกเงาใส
......ไปเอา เหตุ ของ อวิชชา ......มาจากไหน ./

แนะนำครับ อ้างอิงครูบาอาจารย์หรือบุคคลอื่น กรุณาแน่ใจและมีหลักฐานที่เชื่อถือได้เสียก่อน
ไม่ใช่มากล่าวอ้างลอยๆ มันจะเสียถึงครูบาอาจารย์


เอาอย่างนี้ครับคุณไปหาหลักฐานมาอ้างอิง แล้วผมจะบอกครับว่า
ทำไมท่านพูดแบบนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:

จะถามอะไรใคร หัดคิดก่อนก็ดีน่ะกรัชกาย
ถ้าพี่โฮถามกลับว่า......พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคัลลานะฯลฯ
เรียนมาตั้งหลายอาจารย์ ทำไมยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล

ปัญญาไตรลักษณ์มันไม่ได้เกิดจากการเรียนหรือฟัง......เข้าใจมั้ย :b32:



อ้างคำพูด:
ถ้าพี่โฮถามกลับว่า......พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคัลลานะฯลฯ
เรียนมาตั้งหลายอาจารย์ ทำไมยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล


อ๋ออออ หรือนี่เป็นการยอมรับกลายๆว่า เจ้าชายสิทธัตถะ อุปติสสะ โกลิตะ ไม่ได้เป็นพระอริยะมาตั้งแต่อยู่ในท้องของมารดา คือ เป็นปุถุชนก่อน แล้วมาเป็นอริยะทีหลัง กรัชกายสรุปยังงี้ถูกมั้ยครับพี่โฮฮับ ขอคำยืนยัน กลัวเข้าใจผิดนะขอรับ :b1: ไม่ต้องอายครับลูกผู้ชาย ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่

กรัชกายรู้หรือเปล่าว่า คนเราผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาเท่าไร
กรัชกายไม่สนใจเหตุผล พยายามจะลากจะถามเพื่อให้คนอื่นเขาตอบอย่างที่ตัวเองคิด

คนที่มันขาดปัญญาเท่านั้นที่จะตอบแบบนั้น กรัชกายถามว่า.....
คนเราเกิดมาเป็นอริยตั้งแต่เกิดในท้องแม่ใช่มั้ย ถ้าเป็นกรัชกายถามเองและคงตอบเองว่า..ไม่ใช่

แต่ในความเป็นจริง คนเราสามารถเป็นอริยชนตั้งแต่ในท้องแม่
ถ้าคนนั้นเมื่อชาติก่อนเป็นพระอริยชนมาก่อน

นี้เป็นประเด็นที่หนึ่ง

ส่วนอีกประเด็น กรัชกายพยายามจะบอกว่า ก่อนเป็นอริยชนต้องศึกษาเล่าเรียนมาก่อน
พีโฮพยายามพูดให้ฟังแล้วว่า ปัญญาไตรลักษณ์ไม่ได้เกิดจากการเล่าเรียน หรือฟังอ่าน
แต่ปัญญาไตรลักษณ์เกิดจากการมองเห็นสภาวะธรรมด้วยตนเอง
อนึ่งคนที่มีปัญญาไตรลักษณ์นับว่าเป็นอริยชน เป็นโสดาปฏิมรรคแล้ว

พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องเรียนหรือมีอาจารย์ ท่านตรัสรู้ได้เอง
ด้วยวิถี................จินตะมยปัญญา

ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้าหลังจากมีปัญญาไตรลักษณ์ จำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์
เพื่อถ่ายทอดพระธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า.........สุตตะมยปัญญา



นี่แหละถึงบอกว่า หลุดโลก หลุดออกจากความเป็นจริง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำอินทรีย์ 5 พละ 5 ซึ่งมีสภาวะตัวเดียวกัน มาลงให้ดูเป็นตัวอย่าง



เครื่องวัดความพร้อม


หลักธรรมที่เป็นเครื่องวัดความพร้อม และบ่งชี้ความก้าวหน้าช้า หรือ เร็วของ บุคคล ในการปฏิบัติธรรมได้แก่ อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา หลักธรรมชุดนี้ ใช้สำหรับการปฏิบัติธรรมได้ทั่วไป ตั้งแต่ตนจนถึงที่สุด มิใช่ใช้เฉพาะสำหรับการเจริญสมาธิเท่านั้น

อินทรีย์ แปลว่า สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน คือ ธรรมที่เป็นเจ้าการในการทำหน้าที่อย่างหนึ่งๆ ในที่นี้ หมายถึง เป็นเจ้าการในการทำหน้าที่กำจัดกวาดล้างอกุศลธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม เช่น ความเพียร กำจัดความเกียจคร้าน ทำให้เกิดความพร้อมในการทำงาน และปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไปได้

ความหมายของ อินทรีย์ ๕ อย่างนั้น ท่านแสดงไว้พอสรุปได้ ดังนี้

๑. ศรัทธา (เรียกเต็มว่า สัทธินทรีย์) พึงเห็นได้ใน โสดาปัตติยังคะ ๔ ว่าโดยสาระก็คือ ศรัทธาในตถาคตโพธิ หรือ ตถาคตโพธิสัทธานั่นเอง กิจหรือหน้าที่ของ ศรัทธา คือ ความน้อมใจดิ่ง มุ่งดิ่งไป ปลงใจ ปักใจ (อธิโมกข์) ความหมายที่ต้องการว่า ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในความจริง ความดี ของสิ่งที่นับถือ หรือปฏิบัติ

๒. วิริยะ (เรียกเต็มว่า วิริยินทรีย์) พึงเห็นได้ใน สัมมปัปธาน ๔ บางแห่งว่า ความเพียรที่ได้ด้วยปรารภสัมมปัปธาน ๔ หรือตัวสัมมปัปธาน ๔ นั่นเอง บางทีก็พูดให้สั้นลงว่า ความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม และทำกุศลธรรมให้ถึงพร้อม การมีความแกล้วกล้าแข็งขันบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม หน้าที่ของวิริยะ คือ การยกจิตไว้ (ปัคคาหะ) ความหมายสามัญว่า ความเพียรพยายาม มีกำลังใจ ก้าวหน้า ไม่ท้อถอย

๓. สติ (เรียกเต็มว่า สตินทรีย์) พึงเห็นได้ใน สติปัฏฐาน ๔ บางแห่งว่า สติที่ได้ด้วยปรารภสติปัฏฐาน ๔ หรือตัวสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง บางทีให้ความหมายง่ายลงมาว่า การมีสติ การมีสติครองตัวที่ยวดยิ่ง สามารถระลึกนึกทวนถึงกิจที่ทำ คำที่พูดแล้ว แม้นานได้ หน้าที่ของ สติ คือ การดูแล หรือคอยกำกับจิต (อุปัฏฐาน) ความหมายสามัญว่า ความระลึกได้ กำกับใจไว้กับกิจ นึกได้ถึงสิ่งที่พึงทำพึงเกี่ยวข้อง

๔. สมาธิ (เรียกเต็มว่า สมาธินทรีย์) พึงเห็นได้ใน ฌาน ๔ บางแห่งว่า หมายถึงตัวฌาน ๔ นั่นเอง หรือพูดอย่างง่าย ได้แก่ การทำภาวะปล่อยวางให้เป็นอารมณ์แล้ว ได้สมาธิ ได้แก่ เอกัคคตาแห่งจิต หน้าที่ของสมาธิ คือ การทำจิตไม่ให้ฟุ้ง ไม่ให้ส่าย (อวิกเขปะ) ความหมายสามัญว่า ความมีใจตั้งมั่น แน่วแน่ในกิจ ในสิ่งที่กำหนด

๕. ปัญญา (เรียกเต็มว่า ปัญญินทรีย์) พึงเห็นได้ใน อริยสัจ ๔ คือการรู้อริยสัจ ๔ ตามเป็นจริง หรือพูดอย่าง่าย ได้แก่ การมีปัญญา ความประกอบด้วยปัญญา ที่หยั่งถึงความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไป ซึ่งเป็นอริยะ ทำลายกิเลสได้ อันจะให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ หน้าที่ของปัญญา คือ การเห็นความจริง (ทัสสนะ) ความหมายสามัญว่า ความรู้เข้าใจตามเป็นจริง รู้ทั่วชัด รู้สิ่งที่ทำที่ปฏิบัติ หยั่งรู้ หรือรู้เท่าทันสภาวะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


มีพุทธพจน์รับรองคำกล่าวของพระสารีบุตรว่า อินทรีย์ ๕ อย่างนี้ ส่งผลเป็นปัจจัยต่อเนื่องกัน กล่าวคือ

- ศรัทธา ทำให้เกิดความเพียร

- ความเพียร ช่วยให้สติมั่นคง

- เมื่อสติมั่นคงแล้ว กำหนดอารมณ์ ก็จะได้สมาธิ

- เมื่อมีสมาธิดีแล้ว ก็จะเกิดปัญญา รู้เข้าใจมองเห็นซึ้งถึงโทษของอวิชชาตัณหา ที่เป็นเหตุแห่งสังสารวัฏ มองเห็นคุณค่าของนิพพาน ซึ่งเป็นภาวะปราศจากความมืดแห่งอวิชชา และความทุรนทุรายแห่งตัณหา สงบประณีตดีเยี่ยม

- ครั้นเมื่อปัญญารู้ชัดเจ้าใจแจ่มแจ้งด้วยตนเองแล้ว ก็จะเกิดมีศรัทธา ที่เป็นศรัทธาอย่างยิ่ง หรือยิ่งกว่าศรัทธา หมุนเวียนกลับเป็นสัทธินทรีย์อีก ดังพุทธพจน์ท่อนสุดท้ายว่า


"ดูกรสารีบุตร อริยสาวกนั้นแล เพียรพยายามอย่างนี้ ครั้นพยายามแล้ว ก็ระลึกอย่างนี้ ครั้นระลึกแล้ว ก็มีจิตมั่นแน่วอย่างนี้ ครั้นมีจิตมั่นแน่วแล้ว ก็รู้ชัดอย่างนี้ ครั้นรู้ชัดแล้ว ก็ยิ่งกว่าเชื่อ (อภิศรัทธา) อย่าง่นี้ว่า ธรรมทั้งหลาย ที่แต่ก่อนนี้ เราเพียงแต่ได้ยินได้ฟังเท่านั้น ย่อมเป็นดังนี้แล ดังเราสัมผัสอยู่กับตัว และเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญาอยู่ในบัดนี้"


ในพุทธพจน์นั้น แสดงปฏิปทา ๔ ว่าด้วยแนวการปฏิบัติธรรมของบุคคล ที่แตกต่างกันไปเป็น ๔ ประเภท คือ บางพวกปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า บางพวกปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว บางพวกปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า บางพวกปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงว่า ตัวการที่กำหนดให้รู้ช้าหรือเร็ว ก็คือ อินทรีย์ ๕ กล่าวคือ ถ้าอินทรีย์ ๕ อ่อนไป ก็รู้ช้า ถ้าอินทรีย์ ๕ แก่กล้า ก็รู้ได้เร็ว แม้แต่การที่พระอนาคามีแตกต่างกันออกไปเป็นประเภทต่างๆ ก็เพราะอินทรีย์ ๕ เป็นตัวกำหนดด้วย

กว้างออกไปอีก ความพรั่งพร้อม และความหย่อนแห่งอินทรีย์ ๕ นี้แล เป็นเครื่องวัดความสำเร็จเป็นอริยบุคคลชั้นต่างๆ ทั้งหมด กล่าวคือ เพราะอินทรีย์ ๕ เต็มบริบูรณ์ ก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าอินทรีย์ ๕ อ่อนกว่านั้น ก็เป็นพระอนาคามี อ่อนกว่านั้น เป็นพระสกทาคามี อ่อนกว่านั้น ก็เป็นพระโสดาบันประเภทธัมมานุสารี อ่อนกว่านั้นอีก ก็เป็นพระโสดาบันประเภทสัทธานุสารี ดังนี้เป็นต้น ตลอดจนว่า ถ้าไม่มีอินทรีย์ ๕ เสียเลยโดยประการทั้งปวง ก็จัดเป็นพวกปุถุชนคนนอก

มีคำสรปว่า ความแตกต่างแห่งอินทรีย์ ๕ ทำให้มีความแตกต่างแห่งผล ความแตกต่างแห่งผล ทำให้มีความแตกต่างแห่งบุคคล หรือว่า อินทรีย์ต่างกัน ทำให้ผลต่างกัน ผลต่างกัน ทำให้บุคคลต่างกัน

คัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์ แสดงอกุศลธรรมฝ่ายตรงข้าม ที่อินทรีย์ ๕ จะกำจัด เป็นคู่ๆ จะยกมากล่าวไว้ พร้อมทั้งหน้าที่ หรือกิจของอินทรีย์เหล่านั้น ซึ่งได้กล่าวไว้แล้ว อีกครั้งหนึ่ง

๑. ศรัทธา เป็นใหญ่ในหน้าที่น้อมใจดิ่งหรือปลงใจให้ กำจัดอกุศล คือ ความไม่เชื่อถือ

๒. วิริยะ เป็นใหญ่ในหน้าที่ประคองหรือคอยยกจิตไว้ กำจัดอกุศล คือ ความเกียจคร้าน

๓. สติ เป็นใหญ่ในหน้าที่คอยคุ้มหรือดูแลจิต กำจัดอกุศล คือ ความประมาท

๔. สมาธิ เป็นใหญ่ในหน้าที่ทำจิตไม่ให้ซ่านส่าย กำจัดอกุศล คือ อุทธัจจะ

๕. ปัญญา เป็นใหญ่ในหน้าที่ดูเห็นตามสภาวะ กำจัดอกุศล คือ อวิชชา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2013, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัมภีร์วิสุทธิมัคค์ กล่าวถึงความสำคัญของการปรับอินทรีย์ทั้งหลายให้เสมอกัน โดยย้ำว่า ถ้าอินทรีย์อย่างหนึ่งอย่างใดแรงกล้าเกินไป และอินทรีย์อื่นอ่อนอยู่ อินทรีย์เหล่านั้น ก็จะเสียความสามารถในการทำหน้าที่ของตน เช่น ศรัทธาแรงไป วิริยะก็ทำหน้าที่ยกจิตไม่ได้ สติก็ไม่สามารถดูแลจิต สมาธิก็ไม่สามารถทำจิตให้แน่ว ปัญญาก็ ไม่สามารถเห็นตามจริง ต้องลดศรัทธาเสีย ด้วยการใช้ปัญญาพิจารณาสภาวะแห่งธรรม หรือมนสิการในทางที่ไม่เป็นการเพิ่มกำลังให้แก่ศรัทธา

ตามหลักทั่วไป ท่านให้ปรับอินทรีย์เสมอกันเป็นคู่ๆ คือ ให้ศรัทธาสมหรือเสมอ กับ ปัญญา และให้สมาธิสมหรือเสมอ กับ วิริยะ

- ถ้าศรัทธากล้า ปัญญาอ่อน ก็อาจเลื่อมใสในสิ่งที่ไม่น่าเลื่อมใส ถ้าปัญญากล้า ศรัทธาอ่อน ก็จะเอียงไปข้างอวดดี เป็นคนแก้ไขไม่ได้ เหมือนโรคเกิดจากยาเสียเอง

- ถ้าสมาธิกล้า วิริยะอ่อน โกสัชชะ คือ ความเกียจคร้านก็เข้าครองงำ เพราะสมาธิเข้าพวกได้กับโกสัชชะ แต่ถ้าวิริยะแรง สมาธิอ่อน ก็เกิดความฟุ้งซ่าน เป็นอุทธัจจะ เพราะวิริยะเข้าพวกกันได้กับอุทธัจจะ


เมื่ออินทรีย์ ๒ คู่นี้เสมอกันดี การปฏิบัติธรรมก็เดินหน้า ได้ผลดี หลักนี้ท่านให้นำมาใช้กับการเจริญสมาธิด้วย

อย่างไรก็ตาม ท่านว่า ถ้าเจริญแต่สมาธิอย่างเดียวล้วน คือบำเพ็ญสมถะ ถึงศรัทธาจะแรงกล้า ก็ได้ผลเกิดอัปปนาสมาธิได้ หรือสมาธิแก่กล้า ก็เหมาะแก่การเจริญสมาธิอยู่ดี ตรงข้ามกับในการเจริญวิปัสสนา ถึงปัญญาจะแรงไป ก็ไม่เป็นไร เพราะกลับจะเกิดความรู้แจ้งดีด้วยซ้ำ นี้เป็นกรณีพิเศษ


แต่ถ้าปฏิบัติตามหลักทั่วไป คือให้อินทรีย์ ๒ คู่เท่าเสมอกัน ก็ได้ผลดี เช่น ให้เกิดอัปปมาสมาธิได้อยู่นั่นเอง

ส่วนสติเป็นข้อยกเว้น ท่านว่า ยิ่งสติมีกำลัง ก็ยิ่งดี มีแต่จะช่วยองค์ธรรมข้ออื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น ช่วยรักษาจิตไม่ให้ตกไป ทั้งข้างอุทธัจจะ และข้างโกสัชชะ การยกจิต ข่มจิต ต้องอาศัยสติทั้งนั้น ทั้งนี้ ท่านอ้างพุทธพจน์ว่า สติมีประโยชน์ ต้องใช้ในทุกที่ทุกกรณี และสติเป็นที่พึ่งที่อาศัยของใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2013, 03:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นำอินทรีย์ 5 พละ 5 ซึ่งมีสภาวะตัวเดียวกัน มาลงให้ดูเป็นตัวอย่าง
เครื่องวัดความพร้อม
หลักธรรมที่เป็นเครื่องวัดความพร้อม และบ่งชี้ความก้าวหน้าช้า หรือ เร็วของ บุคคล ในการปฏิบัติธรรมได้แก่ อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา หลักธรรมชุดนี้ ใช้สำหรับการปฏิบัติธรรมได้ทั่วไป ตั้งแต่ตนจนถึงที่สุด มิใช่ใช้เฉพาะสำหรับการเจริญสมาธิเท่านั้น

อินทรีย์ แปลว่า สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน คือ ธรรมที่เป็นเจ้าการในการทำหน้าที่อย่างหนึ่งๆ ในที่นี้ หมายถึง เป็นเจ้าการในการทำหน้าที่กำจัดกวาดล้างอกุศลธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม เช่น ความเพียร กำจัดความเกียจคร้าน ทำให้เกิดความพร้อมในการทำงาน และปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไปได้


เหนื่อยมั้ยกรัชกาย พี่โฮว่าคงไม่เหนื่อยหรอก ก็เล่นก็อปปี้แบบเรียนของเณรมาทั้งดุ้น

จะบอกให้น่ะกรัชกาย.........
การกล่าวถึงอินทรีย์๕และพละ๕ไม่ใช่กล่าวมาลอยๆ อินทรีย๕และพละ๕จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ
จิตนั้นต้องกำหนดรู้......อิทธิบาทก่อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2013, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ต่อ
"มีพุทธพจน์รับรองคำกล่าวของพระสารีบุตรว่า "
อินทรีย์ ๕ อย่างนี้ ส่งผลเป็นปัจจัยต่อเนื่องกัน กล่าวคือ

- ศรัทธา ทำให้เกิดความเพียร

- ความเพียร ช่วยให้สติมั่นคง

- เมื่อสติมั่นคงแล้ว กำหนดอารมณ์ ก็จะได้สมาธิ

- เมื่อมีสมาธิดีแล้ว ก็จะเกิดปัญญา รู้เข้าใจมองเห็นซึ้งถึงโทษของอวิชชาตัณหา ที่เป็นเหตุแห่งสังสารวัฏ มองเห็นคุณค่าของนิพพาน ซึ่งเป็นภาวะปราศจากความมืดแห่งอวิชชา และความทุรนทุรายแห่งตัณหา สงบประณีตดีเยี่ยม

- ครั้นเมื่อปัญญารู้ชัดเจ้าใจแจ่มแจ้งด้วยตนเองแล้ว ก็จะเกิดมีศรัทธา ที่เป็นศรัทธาอย่างยิ่ง หรือยิ่งกว่าศรัทธา หมุนเวียนกลับเป็นสัทธินทรีย์อีก ดังพุทธพจน์ท่อนสุดท้ายว่า


กรัชกายเอ๋ย! พี่โฮเข้าใจแล้วว่า ทำไมกรัชกายถึงชอบที่จะถามคำศัพท์ แทนที่จะถามเนื้อหาของธรรม
เป็นเหตุนี้นี่เอง กรัชกายไม่เข้าใจหลักภาษา ไม่รู้วิธีการใช้ภาษา
ต่อไปนี้ถ้ากรัชกายถามคำศัพท์พี่โฮ พี่โฮก็จะไม่ตำหนิกรัชกายแล้ว
เพราะรู้ว่าที่ถาม เป็นเพราะไม่รู้เรื่องจริงๆ

กรัชกายรู้มั้ยคำว่า...พุทธพจน์ หมายถึงคำกล่าวของพระพุทธเจ้า
สรุปอยากรู้ว่าเนื้อหาที่โพส เป็นคำกล่าวของพระพุทธเจ้าหรือพระสารีบุตรกันแน่ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2013, 03:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นำอินทรีย์ 5 พละ 5 ซึ่งมีสภาวะตัวเดียวกัน มาลงให้ดูเป็นตัวอย่าง
เครื่องวัดความพร้อม
หลักธรรมที่เป็นเครื่องวัดความพร้อม และบ่งชี้ความก้าวหน้าช้า หรือ เร็วของ บุคคล ในการปฏิบัติธรรมได้แก่ อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา หลักธรรมชุดนี้ ใช้สำหรับการปฏิบัติธรรมได้ทั่วไป ตั้งแต่ตนจนถึงที่สุด มิใช่ใช้เฉพาะสำหรับการเจริญสมาธิเท่านั้น

อินทรีย์ แปลว่า สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน คือ ธรรมที่เป็นเจ้าการในการทำหน้าที่อย่างหนึ่งๆ ในที่นี้ หมายถึง เป็นเจ้าการในการทำหน้าที่กำจัดกวาดล้างอกุศลธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม เช่น ความเพียร กำจัดความเกียจคร้าน ทำให้เกิดความพร้อมในการทำงาน และปฏิบัติธรรมก้าวหน้าไปได้


[b]เหนื่อยมั้ยกรัชกาย พี่โฮว่าคงไม่เหนื่อยหรอก ก็เล่นก็อปปี้แบบเรียนของเณรมาทั้งดุ้น

จะบอกให้น่ะกรัชกาย........
การกล่าวถึงอินทรีย์๕และพละ๕ไม่ใช่กล่าวมาลอยๆ อินทรีย๕และพละ๕จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ
จิตนั้นต้องกำหนดรู้......อิทธิบาทก่อน




อ้าวววๆ จากอินทรีย์ หนีไปอิทธิบาท กรัชกายก็ตามไปที่อิทธิบาทด้วย :b14:

ถามเลย อิทธิบาทมีกี่อย่างอะไรบ้าง จงอธิบายอิทธิบาทแต่ละอย่างๆมาด้วย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2013, 04:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ต่อ
"มีพุทธพจน์รับรองคำกล่าวของพระสารีบุตรว่า "
อินทรีย์ ๕ อย่างนี้ ส่งผลเป็นปัจจัยต่อเนื่องกัน กล่าวคือ

- ศรัทธา ทำให้เกิดความเพียร

- ความเพียร ช่วยให้สติมั่นคง

- เมื่อสติมั่นคงแล้ว กำหนดอารมณ์ ก็จะได้สมาธิ

- เมื่อมีสมาธิดีแล้ว ก็จะเกิดปัญญา รู้เข้าใจมองเห็นซึ้งถึงโทษของอวิชชาตัณหา ที่เป็นเหตุแห่งสังสารวัฏ มองเห็นคุณค่าของนิพพาน ซึ่งเป็นภาวะปราศจากความมืดแห่งอวิชชา และความทุรนทุรายแห่งตัณหา สงบประณีตดีเยี่ยม

- ครั้นเมื่อปัญญารู้ชัดเจ้าใจแจ่มแจ้งด้วยตนเองแล้ว ก็จะเกิดมีศรัทธา ที่เป็นศรัทธาอย่างยิ่ง หรือยิ่งกว่าศรัทธา หมุนเวียนกลับเป็นสัทธินทรีย์อีก ดังพุทธพจน์ท่อนสุดท้ายว่า


[b]กรัชกายเอ๋ย! พี่โฮเข้าใจแล้วว่า ทำไมกรัชกายถึงชอบที่จะถามคำศัพท์ แทนที่จะถามเนื้อหาของธรรม
เป็นเหตุนี้นี่เอง กรัชกายไม่เข้าใจหลักภาษา ไม่รู้วิธีการใช้ภาษา
ต่อไปนี้ถ้ากรัชกายถามคำศัพท์พี่โฮ พี่โฮก็จะไม่ตำหนิกรัชกายแล้ว
เพราะรู้ว่าที่ถาม เป็นเพราะไม่รู้เรื่องจริงๆ

กรัชกายรู้มั้ยคำว่า...พุทธพจน์ หมายถึงคำกล่าวของพระพุทธเจ้า
สรุปอยากรู้ว่าเนื้อหาที่โพส เป็นคำกล่าวของพระพุทธเจ้าหรือพระสารีบุตรกันแน่


เรื่องนี้พระพุทธเจ้าว่ายังไงล่ะ ก็บอกมาดิ ไหนลองพูดมาดิ พระพุทธเจ้าว่าไง :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร