วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 10:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 208 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2013, 22:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
คนที่บรรลุธรรมทุกคนจะต้องผ่านช่วงเวลาของการหยุดหายใจมาทั้งนั้นมากน้อยแล้วแต่กำลัง เพราะสังขารสงบระงับนันเอง เมื่อสังขารระงับก็จะได้พบกับสภาวะธรรมแห่งความไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาวะนิพพาน ถ้าท่านใดยังไม่ถึงสภาวะนี้ขอใหเข้าใจไว้ว่าความรู้ของท่านทั้งหลายเป็นเพียงสุตตะมยปัญญาและจินตามยปัญญาครับ และอะไรจะทำใหถึงจุดนีได้ ก็อานาปานสตินั้นไง หรือพิจารณากายส่วนใดกได้ ทำให้ถึงที่สุดก็จะพบที่สุดแห่งทุกข์


---------------------------------------------
คุณอเมซิ่ง.......แน่ใจแล้วหรือว่าใช่.......และแน่ใจได้อย่างไรว่าใช่ในทั้งหมด....พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วหรือ......ทำที่สุดแห่งทุกข์แล้วหรือยัง......ไม่ได้ตกไปในบ่วงของความคิดของตนแน่หรือ.....แล้วที่สุดของทุกข์ของคุณคืออะไร........แล้วการไม่เกิดไม่ดับจะมีอยู่ในเฉพาะช่วงของเวลาหยุดหายใจจริงนะหรือ............... s002 s002 s002 ระวังเจอของปลอมนะคะ onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 02:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ค. 2013, 22:27
โพสต์: 76

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟังเทศนา ของหลวงปู่สิม ครับ
เรื่อง เทศนาธรรม 1 กายเป็นเรือนของจิต คนใจเบา
ท่านจะได้คำตอบจากในการเทศนา ธรรม ของท่านครับ ท่านได้กล่าวถึงลมหายใจ
และการประชุมของธาตุ


หากท่านได้ฟังแล้วอาจจะช่วยชี้ทางท่านได้ครับ

.....................................................
".....มหาปุริสภาวสฺส ลกฺขณํ กรุณาสโห....."
".....อัชฌาศัยที่ทนไม่ได้เพราะกรุณาเป็นลักษณะของความเป็นมหาบุรุษ....."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 07:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

เขาควรศึกษาธรรมะให้เข้าใจความจริงก่อนว่า ทั้งหมดทั้งหลายมีแต่รูปนาม มีแต่ความเป็นธาตุ เป็นขันต์ อาตยนะตรึกให้เข้าใจ เมื่อตรึกให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัยในบางประการ เมื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่สงวสัยว่านั้นคืออะไร สิ่งนั้นที่ประจักษ์ปรากฎมันคืออะไร ทั้งหมดก็คือรูปนามเท่านั้น

แล้วปฎิบัติให้เข้าถึงโดยความเป็นสภาวะจริงเข้าถึงความเป็นธาตุขันต์ อาตยนะ โดยรับรู้สภาวะแห่งความเป็นของสักว่าธาตุ มีแต่ความเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหว ให้รู้เป็นเพียงรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ปรากฎนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาวะเดิมได้ แม้กระทั้งตัวเราที่กว้างวายาวศอกนี้ เมื่อถึงสภาวะหนึ่งเมื่อรูปนามแยกจากกันหรือเรียกว่าสังขารทั้งหลายดับไป ตัวเราที่ว่ามีมันก็ไม่มี รูป สังขาร สัญญา เวทนา วิญญานทั้งหลายที่ว่ามีมันก็ไม่มี ให้เขาถึงความจริงโดยความเป็นปรมัตถ์ เข้าถึงความไม่เกิดไม่ดับ สภาวะนี้มีจริงแต่การจะเข้าถึงนั้นก็ว่ากันไปแล้วแต่กำลังของแล้วแต่อินทรีย์แต่ละคนที่สะสมมา ผมบอกหลายครั้งแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ใหปรากฎโดย อานาปานสติหรือมีสติอยู่กับกายใดกายหนึ่งก็ได้



ที่พูดนั่น เป็นปัญญาระดับไหนครับ สุตมยปัญญา หรือจินตามยปัญญา หรือว่าเป็นภาวนามยปัญญาครับ :b10:
ปัญญาจากการฟังการได้ยินมา คิดพิจารณา นั้นเป็นขั้นสุตตะกับจินตะ ส่วนสภาวะที่เราได้ยินมาได้พิจาารณามาได้ปรากฎแกเราแล้วซึ่งเป็นสภาวะความรู้สึกได้เห็นชัดตรงดั่งที่เคยได้ยินได้พิจารณา บัดนี้ปรากฎแล้ว เราจึงหายสงสัยในเรื่องที่ได้ยินได้พิจารณามาทั้งหมด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ประจักษ์ครังนี้นั้นเราได้วางอุเบกขาทั้งสุขและทุกข์อย่างแรงกล้าจนจิตของเราได้ิตัดขาดโลกสมมุติ สู่วิมุติดับสังขารทั้งหลาย หยุดการปรุงแต่งทั้งหมด ตัดขาดอตายนะทั้งหลายเข้าสู่ธรรมแท้ ไม่เกิดไม่ดับ ปัญญาสูงสุดได้เกิดแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 07:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
amazing เขียน:
คนที่บรรลุธรรมทุกคนจะต้องผ่านช่วงเวลาของการหยุดหายใจมาทั้งนั้นมากน้อยแล้วแต่กำลัง เพราะสังขารสงบระงับนันเอง เมื่อสังขารระงับก็จะได้พบกับสภาวะธรรมแห่งความไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาวะนิพพาน ถ้าท่านใดยังไม่ถึงสภาวะนี้ขอใหเข้าใจไว้ว่าความรู้ของท่านทั้งหลายเป็นเพียงสุตตะมยปัญญาและจินตามยปัญญาครับ และอะไรจะทำใหถึงจุดนีได้ ก็อานาปานสตินั้นไง หรือพิจารณากายส่วนใดกได้ ทำให้ถึงที่สุดก็จะพบที่สุดแห่งทุกข์


---------------------------------------------
คุณอเมซิ่ง.......แน่ใจแล้วหรือว่าใช่.......และแน่ใจได้อย่างไรว่าใช่ในทั้งหมด....พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วหรือ......ทำที่สุดแห่งทุกข์แล้วหรือยัง......ไม่ได้ตกไปในบ่วงของความคิดของตนแน่หรือ.....แล้วที่สุดของทุกข์ของคุณคืออะไร........แล้วการไม่เกิดไม่ดับจะมีอยู่ในเฉพาะช่วงของเวลาหยุดหายใจจริงนะหรือ............... s002 s002 s002 ระวังเจอของปลอมนะคะ onion onion onion
การเข้าถึงธรรมมีกี่ประการamazingไม่มีญานรู้ได้ แต่สิ่งที่ได้สัมผัสมาไม่ได้มาเพราะนึกคิดตรึกนึกถึง เกิดจากอินทรีย์ที่แรงกล้าอย่างหนัก ขนาดคิดกลับไปยังรู้สึกว่าความเพียรที่แรงกล้านั้นเราอีกกี่ชาติถึงจะกล้าเช่นนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 07:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


หมอกดอย เขียน:
ฟังเทศนา ของหลวงปู่สิม ครับ
เรื่อง เทศนาธรรม 1 กายเป็นเรือนของจิต คนใจเบา
ท่านจะได้คำตอบจากในการเทศนา ธรรม ของท่านครับ ท่านได้กล่าวถึงลมหายใจ
และการประชุมของธาตุ


หากท่านได้ฟังแล้วอาจจะช่วยชี้ทางท่านได้ครับ
ขอบคุณมากที่แนะนำสิ่งดีๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:

การเข้าถึงธรรมมีกี่ประการamazingไม่มีญานรู้ได้ แต่สิ่งที่ได้สัมผัสมาไม่ได้มาเพราะนึกคิดตรึกนึกถึง เกิดจากอินทรีย์ที่แรงกล้าอย่างหนัก ขนาดคิดกลับไปยังรู้สึกว่าความเพียรที่แรงกล้านั้นเราอีกกี่ชาติถึงจะกล้าเช่นนั้น


อินทรีย์อะไรครับ ที่ว่าอินทรีย์แรงกล้าอย่างหนัก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

เขาควรศึกษาธรรมะให้เข้าใจความจริงก่อนว่า ทั้งหมดทั้งหลายมีแต่รูปนาม มีแต่ความเป็นธาตุ เป็นขันต์ อาตยนะตรึกให้เข้าใจ เมื่อตรึกให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัยในบางประการ เมื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่สงวสัยว่านั้นคืออะไร สิ่งนั้นที่ประจักษ์ปรากฎมันคืออะไร ทั้งหมดก็คือรูปนามเท่านั้น

แล้วปฎิบัติให้เข้าถึงโดยความเป็นสภาวะจริงเข้าถึงความเป็นธาตุขันต์ อาตยนะ โดยรับรู้สภาวะแห่งความเป็นของสักว่าธาตุ มีแต่ความเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหว ให้รู้เป็นเพียงรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ปรากฎนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาวะเดิมได้ แม้กระทั้งตัวเราที่กว้างวายาวศอกนี้ เมื่อถึงสภาวะหนึ่งเมื่อรูปนามแยกจากกันหรือเรียกว่าสังขารทั้งหลายดับไป ตัวเราที่ว่ามีมันก็ไม่มี รูป สังขาร สัญญา เวทนา วิญญานทั้งหลายที่ว่ามีมันก็ไม่มี ให้เขาถึงความจริงโดยความเป็นปรมัตถ์ เข้าถึงความไม่เกิดไม่ดับ สภาวะนี้มีจริงแต่การจะเข้าถึงนั้นก็ว่ากันไปแล้วแต่กำลังของแล้วแต่อินทรีย์แต่ละคนที่สะสมมา ผมบอกหลายครั้งแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ใหปรากฎโดย อานาปานสติหรือมีสติอยู่กับกายใดกายหนึ่งก็ได้



ที่พูดนั่น เป็นปัญญาระดับไหนครับ สุตมยปัญญา หรือจินตามยปัญญา หรือว่าเป็นภาวนามยปัญญาครับ :b10:


ปัญญาจากการฟังการได้ยินมา คิดพิจารณา นั้นเป็นขั้นสุตตะกับจินตะ

ส่วนสภาวะที่เราได้ยินมาได้พิจาารณามาได้ปรากฎแกเราแล้วซึ่งเป็นสภาวะความรู้สึกได้เห็นชัดตรงดั่งที่เคยได้ยินได้พิจารณา บัดนี้ปรากฎแล้ว เราจึงหายสงสัยในเรื่องที่ได้ยินได้พิจารณามาทั้งหมด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ประจักษ์ครังนี้นั้นเราได้วางอุเบกขาทั้งสุขและทุกข์อย่างแรงกล้าจนจิตของเราได้ิตัดขาดโลกสมมุติ สู่วิมุติดับสังขารทั้งหลาย หยุดการปรุงแต่งทั้งหมด ตัดขาดอตายนะทั้งหลายเข้าสู่ธรรมแท้ ไม่เกิดไม่ดับ ปัญญาสูงสุดได้เกิดแล้ว



อ้อ...ที่คิดดังว่าเป็นภาวนามยปัญญาแล้ว :b1:

สภาวะ นี่มันอะไรครับ สภาวะ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 10:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

การเข้าถึงธรรมมีกี่ประการamazingไม่มีญานรู้ได้ แต่สิ่งที่ได้สัมผัสมาไม่ได้มาเพราะนึกคิดตรึกนึกถึง เกิดจากอินทรีย์ที่แรงกล้าอย่างหนัก ขนาดคิดกลับไปยังรู้สึกว่าความเพียรที่แรงกล้านั้นเราอีกกี่ชาติถึงจะกล้าเช่นนั้น


อินทรีย์อะไรครับ ที่ว่าอินทรีย์แรงกล้าอย่างหนัก :b1:
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 10:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

เขาควรศึกษาธรรมะให้เข้าใจความจริงก่อนว่า ทั้งหมดทั้งหลายมีแต่รูปนาม มีแต่ความเป็นธาตุ เป็นขันต์ อาตยนะตรึกให้เข้าใจ เมื่อตรึกให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัยในบางประการ เมื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่สงวสัยว่านั้นคืออะไร สิ่งนั้นที่ประจักษ์ปรากฎมันคืออะไร ทั้งหมดก็คือรูปนามเท่านั้น

แล้วปฎิบัติให้เข้าถึงโดยความเป็นสภาวะจริงเข้าถึงความเป็นธาตุขันต์ อาตยนะ โดยรับรู้สภาวะแห่งความเป็นของสักว่าธาตุ มีแต่ความเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหว ให้รู้เป็นเพียงรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ปรากฎนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาวะเดิมได้ แม้กระทั้งตัวเราที่กว้างวายาวศอกนี้ เมื่อถึงสภาวะหนึ่งเมื่อรูปนามแยกจากกันหรือเรียกว่าสังขารทั้งหลายดับไป ตัวเราที่ว่ามีมันก็ไม่มี รูป สังขาร สัญญา เวทนา วิญญานทั้งหลายที่ว่ามีมันก็ไม่มี ให้เขาถึงความจริงโดยความเป็นปรมัตถ์ เข้าถึงความไม่เกิดไม่ดับ สภาวะนี้มีจริงแต่การจะเข้าถึงนั้นก็ว่ากันไปแล้วแต่กำลังของแล้วแต่อินทรีย์แต่ละคนที่สะสมมา ผมบอกหลายครั้งแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ใหปรากฎโดย อานาปานสติหรือมีสติอยู่กับกายใดกายหนึ่งก็ได้



ที่พูดนั่น เป็นปัญญาระดับไหนครับ สุตมยปัญญา หรือจินตามยปัญญา หรือว่าเป็นภาวนามยปัญญาครับ :b10:


ปัญญาจากการฟังการได้ยินมา คิดพิจารณา นั้นเป็นขั้นสุตตะกับจินตะ

ส่วนสภาวะที่เราได้ยินมาได้พิจาารณามาได้ปรากฎแกเราแล้วซึ่งเป็นสภาวะความรู้สึกได้เห็นชัดตรงดั่งที่เคยได้ยินได้พิจารณา บัดนี้ปรากฎแล้ว เราจึงหายสงสัยในเรื่องที่ได้ยินได้พิจารณามาทั้งหมด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ประจักษ์ครังนี้นั้นเราได้วางอุเบกขาทั้งสุขและทุกข์อย่างแรงกล้าจนจิตของเราได้ิตัดขาดโลกสมมุติ สู่วิมุติดับสังขารทั้งหลาย หยุดการปรุงแต่งทั้งหมด ตัดขาดอตายนะทั้งหลายเข้าสู่ธรรมแท้ ไม่เกิดไม่ดับ ปัญญาสูงสุดได้เกิดแล้ว



อ้อ...ที่คิดดังว่าเป็นภาวนามยปัญญาแล้ว :b1:ใช่แล้ว

สภาวะ นี่มันอะไรครับ สภาวะ :b10:
ความเป็นอมตะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 10:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ..... :b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

เขาควรศึกษาธรรมะให้เข้าใจความจริงก่อนว่า ทั้งหมดทั้งหลายมีแต่รูปนาม มีแต่ความเป็นธาตุ เป็นขันต์ อาตยนะตรึกให้เข้าใจ เมื่อตรึกให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัยในบางประการ เมื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่สงวสัยว่านั้นคืออะไร สิ่งนั้นที่ประจักษ์ปรากฎมันคืออะไร ทั้งหมดก็คือรูปนามเท่านั้น

แล้วปฎิบัติให้เข้าถึงโดยความเป็นสภาวะจริงเข้าถึงความเป็นธาตุขันต์ อาตยนะ โดยรับรู้สภาวะแห่งความเป็นของสักว่าธาตุ มีแต่ความเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหว ให้รู้เป็นเพียงรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ปรากฎนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาวะเดิมได้ แม้กระทั้งตัวเราที่กว้างวายาวศอกนี้ เมื่อถึงสภาวะหนึ่งเมื่อรูปนามแยกจากกันหรือเรียกว่าสังขารทั้งหลายดับไป ตัวเราที่ว่ามีมันก็ไม่มี รูป สังขาร สัญญา เวทนา วิญญานทั้งหลายที่ว่ามีมันก็ไม่มี ให้เขาถึงความจริงโดยความเป็นปรมัตถ์ เข้าถึงความไม่เกิดไม่ดับ สภาวะนี้มีจริงแต่การจะเข้าถึงนั้นก็ว่ากันไปแล้วแต่กำลังของแล้วแต่อินทรีย์แต่ละคนที่สะสมมา ผมบอกหลายครั้งแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ใหปรากฎโดย อานาปานสติหรือมีสติอยู่กับกายใดกายหนึ่งก็ได้



ที่พูดนั่น เป็นปัญญาระดับไหนครับ สุตมยปัญญา หรือจินตามยปัญญา หรือว่าเป็นภาวนามยปัญญาครับ :b10:


ปัญญาจากการฟังการได้ยินมา คิดพิจารณา นั้นเป็นขั้นสุตตะกับจินตะ

ส่วนสภาวะที่เราได้ยินมาได้พิจาารณามาได้ปรากฎแกเราแล้วซึ่งเป็นสภาวะความรู้สึกได้เห็นชัดตรงดั่งที่เคยได้ยินได้พิจารณา บัดนี้ปรากฎแล้ว เราจึงหายสงสัยในเรื่องที่ได้ยินได้พิจารณามาทั้งหมด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ประจักษ์ครังนี้นั้นเราได้วางอุเบกขาทั้งสุขและทุกข์อย่างแรงกล้าจนจิตของเราได้ิตัดขาดโลกสมมุติ สู่วิมุติดับสังขารทั้งหลาย หยุดการปรุงแต่งทั้งหมด ตัดขาดอตายนะทั้งหลายเข้าสู่ธรรมแท้ ไม่เกิดไม่ดับ ปัญญาสูงสุดได้เกิดแล้ว



อ้อ...ที่คิดดังว่าเป็นภาวนามยปัญญาแล้ว :b1:ใช่แล้ว

สภาวะ นี่มันอะไรครับ สภาวะ :b10:
ความเป็นอมตะ



อ้อ สภาวะ แปลว่า อมตะ (อมตะ แปลว่า ไม่ตาย นะ) เอ้า...อยากเป็นอะไรก็เป็นตามถนัดตามจินตนาการ แต่อดสงสัยไม่ได้ สภาวะศาสนาไหนเป็นงั้น

สภาวะ แปลว่า ...เป็นเองตามเหตุปัจจัยของมัน (ส+ภาวะ) คำเรียกเต็มๆว่า สภาวธรรม สิ่งที่เป็นเองตามเหตุปัจจัย คือว่าไม่มีผู้สร้างสรรค์บันดาล มันเป็นเอง ตัวอย่างก็ที่นำมาให้ดูก่อนหน้านั่นแหละ เรียกว่า สภาวะหรือสภาวธรรม มันเป็นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

การเข้าถึงธรรมมีกี่ประการamazingไม่มีญานรู้ได้ แต่สิ่งที่ได้สัมผัสมาไม่ได้มาเพราะนึกคิดตรึกนึกถึง เกิดจากอินทรีย์ที่แรงกล้าอย่างหนัก ขนาดคิดกลับไปยังรู้สึกว่าความเพียรที่แรงกล้านั้นเราอีกกี่ชาติถึงจะกล้าเช่นนั้น


อินทรีย์อะไรครับ ที่ว่าอินทรีย์แรงกล้าอย่างหนัก :b1:
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา


อันนี้บอกชื่อถูกอินทรีย์ 5

แล้วมันแรงยังไงถึงขนาดว่า
อ้างคำพูด:
เกิดจากอินทรีย์ที่แรงกล้าอย่างหนัก ขนาดคิดกลับไปยังรู้สึกว่าความเพียรที่แรงกล้านั้นเราอีกกี่ชาติถึงจะกล้าเช่นนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเดียวกัน นี่แหละสภาวธรรม มันเป็นของมันเอง แต่ผู้ปฏิบัติมักไปโทษนั่นโทษนี่ ที่โทษกันหน้าหูหนาตาคือเจ้ากรรมนายเวร



อ้างคำพูด:
เมื่อวานซืน ขณะที่กำลังนอน แต่ยังหลับไม่สนิท เพราะไม่ค่อยสบาย นอนไปซักพักเดี๋ยวก็ไอ พยายามข่มตาให้หลับพอประมาณตีสาม รู้สึกเหมือนมีเสียงกระซิบที่กระหม่อมว่า " เดี๋ยวจะลอง..ดูนะ ( ประมาณนี้ ฟังไม่ถนัด )" จากนั้น หูก็อื้ออย่างมากเป็นเสียงวี้ดหึ่งเป็นจังหวะ แต่ดังมากๆจนกลบเสียงอื่นไปจนหมด แล้วตัวก็ขยับไม่ได้ รู้สึกตัวแข็งทื่อตาลืมได้แบบปรือๆ

ปรากฎว่ามีแสงสีทองอ่อนพุ่งปรื้ด ขึ้นมาจากช่วงท้อง เป็นลำประมาณศอกหนึ่ง และเมีลมหมุนสีขาวๆ หมุนติ้วๆขึ้นตามมารู้สึกได้ว่าตัวแอ่นขึ้นตามลมไปนิดนึง และ ตัวที่นอนอยู่เบาลงไปมาก

จากนั้นลมหมุนติ้วๆ สีขาวนั้นก็แปรสภาพ กลายเป็นกลุ่มก้อนพลังงานสีเทา แต่โปร่งแสงมองทะลุได้ (มองไม่ถนัดว่าเป็นรูปร่างอะไรเพราะตลอดเวลานี้ หูก็อื้ออย่างมาก ตัวแข็งทื่อ ขยับตัวไม่ได้เลย )

สักพักกลุ่มพลังงานนี้ก็มาทับที่ ร่าง ใจก็คิดว่า โหทับทำไม มันหนักนะ ทันใดนั้น ก้อนพลังงานนั้นก็พุ่งพรวดเข้าไปทางปากเหมือนว่าดูดเข้าไปในปากเรา อย่างเร็วมาก พยายามจะเม้มปากไว้ ก็ขยับปากไม่ได้ ได้แต่ภาวนาในใจว่า พุทธัง สรนัง คัจฉามิๆ แต่ก็หยุดไม่ให้พลังงานนั้นเข้ามาไม่ได้ จนกระทั่งใกล้จะหมด และเราพอจะขยับริมผีปากได้นิดหน่อย เลยเม้มปากไว้เพื่อไม่ให้ก้อนพลังงานเข้าไป แต่ก็เข้าไปในปากจนหมด

จากนั้น หูก็หายอื้อ รู้สึกตัวหนักขึ้นและขยับได้ตามปกติ
อยากทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคืออะไร เป็นอันตรายไหม ควรปฎิบัติตนอย่างไรดีคะ

ขอ ถามผู้รู้ด้วยค่ะปกติแล้วเป็นคนชอบสวดมนต์เป็นประจำ มักสวดพาหุง อิติปิโสเท่าอายุ ชินบัญชร ยอดกัณฑ์ หลังสวดเสร็จก็จะแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง และหากมีเวลาก็จะนั่งสมาธิต่อ แต่วันที่เกิดเหตุการณ์นี้ ติดภาระกิจต่างจังหวัดเลยไม่ได้สวด
ส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบนั่งสมาธิค่ะ สมัยประถม คุณครูที่ ร.ร. สอนนั่งสมาธิแบบภาวนาพุธโท นั่งพร้อมกับเพื่อนๆ มีอยู่หลายครั้งที่นั่งแล้วเหมือนตัวลอยขั้นมา

พอออกจากสมาธิแล้วลืม ตา ปรากฎว่าไปนั่งห่างจากที่นั่งเดิมไกลเลย คนที่นั่งข้างๆก็ไม่ใช่คนเดิม ก็ไม่เข้าใจในตอนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น และโดนคุณครูดุว่าแอบย้ายที่ ไม่ตั้งใจทำสมาธิ และภายหลังกลับไปนั่งที่บ้าน นั่งไปแล้วรู้สึกว่าไม่มีตัวอยู่ ไม่มีลมหายใจ พอคุณแม่ทราบก็ห้ามไม่ให้ทำอีก เดี่ยวจะเป็นคนบ้า เลยไม่ได้ทำต่อ เพิ่งจะมาปฎิบัติต่อตอนช่วงนี้ค่ะ



สภาวะ (สภาวธรรม) ปรากฏจากภาวนามัย (มนสิการ) สภาวะนั่นมันมีอยู่เป็นอยู่ตามธรรมดาของมัน ผู้ทำการภาวนาต้องกำหนดรู้ตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็นของมัน

ไม่ต้องไปค้นหาหรอกในหนังสือน่ะ ไม่มีเขียนไว้หรอก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 11:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

เขาควรศึกษาธรรมะให้เข้าใจความจริงก่อนว่า ทั้งหมดทั้งหลายมีแต่รูปนาม มีแต่ความเป็นธาตุ เป็นขันต์ อาตยนะตรึกให้เข้าใจ เมื่อตรึกให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัยในบางประการ เมื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่สงวสัยว่านั้นคืออะไร สิ่งนั้นที่ประจักษ์ปรากฎมันคืออะไร ทั้งหมดก็คือรูปนามเท่านั้น

แล้วปฎิบัติให้เข้าถึงโดยความเป็นสภาวะจริงเข้าถึงความเป็นธาตุขันต์ อาตยนะ โดยรับรู้สภาวะแห่งความเป็นของสักว่าธาตุ มีแต่ความเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหว ให้รู้เป็นเพียงรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ปรากฎนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาวะเดิมได้ แม้กระทั้งตัวเราที่กว้างวายาวศอกนี้ เมื่อถึงสภาวะหนึ่งเมื่อรูปนามแยกจากกันหรือเรียกว่าสังขารทั้งหลายดับไป ตัวเราที่ว่ามีมันก็ไม่มี รูป สังขาร สัญญา เวทนา วิญญานทั้งหลายที่ว่ามีมันก็ไม่มี ให้เขาถึงความจริงโดยความเป็นปรมัตถ์ เข้าถึงความไม่เกิดไม่ดับ สภาวะนี้มีจริงแต่การจะเข้าถึงนั้นก็ว่ากันไปแล้วแต่กำลังของแล้วแต่อินทรีย์แต่ละคนที่สะสมมา ผมบอกหลายครั้งแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ใหปรากฎโดย อานาปานสติหรือมีสติอยู่กับกายใดกายหนึ่งก็ได้



ที่พูดนั่น เป็นปัญญาระดับไหนครับ สุตมยปัญญา หรือจินตามยปัญญา หรือว่าเป็นภาวนามยปัญญาครับ :b10:


ปัญญาจากการฟังการได้ยินมา คิดพิจารณา นั้นเป็นขั้นสุตตะกับจินตะ

ส่วนสภาวะที่เราได้ยินมาได้พิจาารณามาได้ปรากฎแกเราแล้วซึ่งเป็นสภาวะความรู้สึกได้เห็นชัดตรงดั่งที่เคยได้ยินได้พิจารณา บัดนี้ปรากฎแล้ว เราจึงหายสงสัยในเรื่องที่ได้ยินได้พิจารณามาทั้งหมด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ประจักษ์ครังนี้นั้นเราได้วางอุเบกขาทั้งสุขและทุกข์อย่างแรงกล้าจนจิตของเราได้ิตัดขาดโลกสมมุติ สู่วิมุติดับสังขารทั้งหลาย หยุดการปรุงแต่งทั้งหมด ตัดขาดอตายนะทั้งหลายเข้าสู่ธรรมแท้ ไม่เกิดไม่ดับ ปัญญาสูงสุดได้เกิดแล้ว



อ้อ...ที่คิดดังว่าเป็นภาวนามยปัญญาแล้ว :b1:ใช่แล้ว

สภาวะ นี่มันอะไรครับ สภาวะ :b10:
ความเป็นอมตะ



อ้อ สภาวะ แปลว่า อมตะ (อมตะ แปลว่า ไม่ตาย นะ) เอ้า...อยากเป็นอะไรก็เป็นตามถนัดตามจินตนาการ แต่อดสงสัยไม่ได้ สภาวะศาสนาไหนเป็นงั้น

สภาวะ แปลว่า ...เป็นเองตามเหตุปัจจัยของมัน (ส+ภาวะ) คำเรียกเต็มๆว่า สภาวธรรม สิ่งที่เป็นเองตามเหตุปัจจัย คือว่าไม่มีผู้สร้างสรรค์บันดาล มันเป็นเอง ตัวอย่างก็ที่นำมาให้ดูก่อนหน้านั่นแหละ เรียกว่า สภาวะหรือสภาวธรรม มันเป็นเอง
ความเป็นอมตะนั้นเป็นสภาวะหนึ่งที่เป็นธรรมชาติสูงสุดที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ด้วยการทำให้เกิดขึ้นทำใหมีขึนกับตนเองได้ ด้วยการมีสติอยู่กับกาย (ชนเหล่าใดบริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นบริโภคอมตะธรรม พุทธวจน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

เขาควรศึกษาธรรมะให้เข้าใจความจริงก่อนว่า ทั้งหมดทั้งหลายมีแต่รูปนาม มีแต่ความเป็นธาตุ เป็นขันต์ อาตยนะตรึกให้เข้าใจ เมื่อตรึกให้เข้าใจก็จะได้หายสงสัยในบางประการ เมื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่สงวสัยว่านั้นคืออะไร สิ่งนั้นที่ประจักษ์ปรากฎมันคืออะไร ทั้งหมดก็คือรูปนามเท่านั้น

แล้วปฎิบัติให้เข้าถึงโดยความเป็นสภาวะจริงเข้าถึงความเป็นธาตุขันต์ อาตยนะ โดยรับรู้สภาวะแห่งความเป็นของสักว่าธาตุ มีแต่ความเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหว ให้รู้เป็นเพียงรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ปรากฎนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาวะเดิมได้ แม้กระทั้งตัวเราที่กว้างวายาวศอกนี้ เมื่อถึงสภาวะหนึ่งเมื่อรูปนามแยกจากกันหรือเรียกว่าสังขารทั้งหลายดับไป ตัวเราที่ว่ามีมันก็ไม่มี รูป สังขาร สัญญา เวทนา วิญญานทั้งหลายที่ว่ามีมันก็ไม่มี ให้เขาถึงความจริงโดยความเป็นปรมัตถ์ เข้าถึงความไม่เกิดไม่ดับ สภาวะนี้มีจริงแต่การจะเข้าถึงนั้นก็ว่ากันไปแล้วแต่กำลังของแล้วแต่อินทรีย์แต่ละคนที่สะสมมา ผมบอกหลายครั้งแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ใหปรากฎโดย อานาปานสติหรือมีสติอยู่กับกายใดกายหนึ่งก็ได้



ที่พูดนั่น เป็นปัญญาระดับไหนครับ สุตมยปัญญา หรือจินตามยปัญญา หรือว่าเป็นภาวนามยปัญญาครับ :b10:


ปัญญาจากการฟังการได้ยินมา คิดพิจารณา นั้นเป็นขั้นสุตตะกับจินตะ

ส่วนสภาวะที่เราได้ยินมาได้พิจาารณามาได้ปรากฎแกเราแล้วซึ่งเป็นสภาวะความรู้สึกได้เห็นชัดตรงดั่งที่เคยได้ยินได้พิจารณา บัดนี้ปรากฎแล้ว เราจึงหายสงสัยในเรื่องที่ได้ยินได้พิจารณามาทั้งหมด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่ประจักษ์ครังนี้นั้นเราได้วางอุเบกขาทั้งสุขและทุกข์อย่างแรงกล้าจนจิตของเราได้ิตัดขาดโลกสมมุติ สู่วิมุติดับสังขารทั้งหลาย หยุดการปรุงแต่งทั้งหมด ตัดขาดอตายนะทั้งหลายเข้าสู่ธรรมแท้ ไม่เกิดไม่ดับ ปัญญาสูงสุดได้เกิดแล้ว



อ้อ...ที่คิดดังว่าเป็นภาวนามยปัญญาแล้ว :b1:ใช่แล้ว

สภาวะ นี่มันอะไรครับ สภาวะ :b10:
ความเป็นอมตะ



อ้อ สภาวะ แปลว่า อมตะ (อมตะ แปลว่า ไม่ตาย นะ) เอ้า...อยากเป็นอะไรก็เป็นตามถนัดตามจินตนาการ แต่อดสงสัยไม่ได้ สภาวะศาสนาไหนเป็นงั้น

สภาวะ แปลว่า ...เป็นเองตามเหตุปัจจัยของมัน (ส+ภาวะ) คำเรียกเต็มๆว่า สภาวธรรม สิ่งที่เป็นเองตามเหตุปัจจัย คือว่าไม่มีผู้สร้างสรรค์บันดาล มันเป็นเอง ตัวอย่างก็ที่นำมาให้ดูก่อนหน้านั่นแหละ เรียกว่า สภาวะหรือสภาวธรรม มันเป็นเอง
ความเป็นอมตะนั้นเป็นสภาวะหนึ่งที่เป็นธรรมชาติสูงสุดที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ด้วยการทำให้เกิดขึ้นทำใหมีขึนกับตนเองได้ ด้วยการมีสติอยู่กับกาย (ชนเหล่าใดบริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นบริโภคอมตะธรรม พุทธวจน)



อยู่กับกายอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีนามธรรมด้วย ยกตัวสติปัฏฐาน 4 มีทั้งกาย กับ นามธรรม แล้วจะต้องลงมือทำลงมือปฏิบัติ (มนสิการ) มิใช่อ่านๆแล้วคิดเอา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 208 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร