วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 06:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 228 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2013, 22:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระองค์เป็นแต่ผู้ชี้ทาง...ผู้จะเข้าถึง.ต้องทำด้วยตัวเอง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 00:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
[๑๒๕] ในธาตุ ๑๘ นั้น จักขุธาตุ เป็นไฉน
จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ ๑- นี้เรียกว่า บ้านว่าง
บ้าง นี้เรียกว่า จักขุธาตุ
รูปธาตุ เป็นไฉน
รูปใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ ได้แก่ สี ฯลฯ นี้เรียกว่า รูปธาตุบ้าง
นี้เรียกว่า รูปธาตุ
จักขุวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
@๑. ความที่ ฯลฯ ในอภิธรรมภาชนีย์นี้ พึงดูความเต็มในธรรมสังคณีปกรณ์
@ตั้งแต่ข้อ (๕๑๖) เป็นลำดับไป
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ มนินทรีย์
วิญญาณ วิญญาณขันธ์ จักขุวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยจักขุปสาทและรูปารมณ์
เกิดขึ้น นี้เรียกว่า จักขุวิญญาณธาตุ
[๑๒๖] โสตธาตุ เป็นไฉน
โสตะใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า บ้านว่าง
บ้าง นี้เรียกว่า โสตธาตุ
สัททธาตุ เป็นไฉน
เสียงใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ ฯลฯ นี้เรียกว่า
สัททธาตุบ้าง นี้เรียกว่า สัททธาตุ
โสตวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ มนินทรีย์
วิญญาณ วิญญาณขันธ์ โสตวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยโสตปสาทและสัททารมณ์
เกิดขึ้น นี้เรียกว่า โสตวิญญาณธาตุ
[๑๒๗] ฆานธาตุ เป็นไฉน
ฆานะใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า บ้านว่าง
บ้าง นี้เรียกว่า ฆานธาตุ
คันธธาตุ เป็นไฉน
กลิ่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ ฯลฯ นี้เรียกว่า
คันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธธาตุ
ฆานวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ มนินทรีย์
วิญญาณ วิญญาณขันธ์ ฆานวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยฆานปสาทและคันธารมณ์
เกิดขึ้น นี้เรียกว่า ฆานวิญญาณธาตุ
[๑๒๘] ชิวหาธาตุ เป็นไฉน
ชิวหาใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า บ้านว่าง
บ้าง นี้เรียกว่า ชิวหาธาตุ
รสธาตุ เป็นไฉน
รสใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ ฯลฯ นี้เรียกว่า
รสธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รสธาตุ
ชิวหาวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ มนินทรีย์
วิญญาณ วิญญาณขันธ์ ชิวหาวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยชิวหาปสาทและรสารมณ์
เกิดขึ้น นี้เรียกว่า ชิวหาวิญญาณธาตุ
[๑๒๙] กายธาตุ เป็นไฉน
กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า บ้านว่าง
บ้าง นี้เรียกว่า กายธาตุ
โผฏฐัพพธาตุ เป็นไฉน
ปฐวีธาตุ ฯลฯ นี้เรียกว่า โผฏฐัพพธาตุบ้าง นี้เรียกว่า โผฏฐัพพธาตุ
กายวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ กายวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยกายปสาทและโผฏฐัพพารมณ์เกิดขึ้น
นี้เรียกว่า กายวิญญาณธาตุ
[๑๓๐] มโนธาตุ เป็นไฉน
จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ
วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่สมกัน เกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของจักขุวิญญาณธาตุ
จิต ฯลฯ ของโสตวิญญาณธาตุ จิต ฯลฯ ของฆานวิญญาณธาตุ จิต ฯลฯ
ของชิวหาวิญญาณธาตุ จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ
มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่สมกัน เกิดในลำดับแห่งการเกิด
ดับของกายวิญญาณธาตุ หรือความพิจารณาอารมณ์ทีแรกในธรรมทั้งปวง นี้เรียกว่า
มโนธาตุ
ธรรมธาตุ เป็นไฉน
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รูปที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้
นับเนื่องในธัมมายตนะ และอสังขตธาตุ
ในธรรมธาตุนั้น เวทนาขันธ์ เป็นไฉน
เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ คือ เวทนาขันธ์เป็นผัสสสัมปยุต. เวทนาขันธ์
หมวดละ ๒ คือ เวทนาขันธ์เป็นสเหตุกะ เป็นอเหตุกะ. เวทนาขันธ์หมวดละ ๓
คือ เวทนาขันธ์เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นอัพยากฤต ฯลฯ เวทนาขันธ์หมวด
ละมากอย่าง ด้วยประการฉะนี้ นี้เรียกว่า เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ เป็นไฉน
สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ คือ สัญญาขันธ์เป็นผัสสสัมปยุต. สัญญาขันธ์
หมวดละ ๒ คือ สัญญาขันธ์เป็นสเหตุกะ เป็นอเหตุกะ. สัญญาขันธ์หมวด
ละ ๓ คือ สัญญาขันธ์เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นอัพยากฤต ฯลฯ สัญญาขันธ์
หมวดละมากอย่าง ด้วยประการฉะนี้ นี้เรียกว่า สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์ เป็นไฉน
สังขารขันธ์หมวดละ ๑ คือ สังขารขันธ์เป็นจิตตสัมปยุต. สังขารขันธ์
หมวดละ ๒ คือ สังขารขันธ์เป็นเหตุ เป็นนเหตุ. สังขารขันธ์หมวดละ ๓ คือ
สังขารขันธ์เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นอัพยากฤต ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละมาก
อย่าง ด้วยประการฉะนี้ นี้เรียกว่า สังขารขันธ์
รูปที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ นับเนื่องในธัมมายตนะ เป็นไฉน
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร นี้เรียกว่า รูปที่เห็นไม่ได้ กระทบ
ไม่ได้ นับเนื่องในธัมมายตนะ
อสังขตธาตุ เป็นไฉน
ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อสังขตธาตุ
สภาวธรรมนี้เรียกว่า ธรรมธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ เป็นไฉน
มโนธาตุเกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของจักขุวิญญาณธาตุ จิต มโน
มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน เกิดในลำดับแห่งการเกิดดับแม้ของ
มโนธาตุอีกชั้นหนึ่ง มโนธาตุ เกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของโสตวิญญาณธาตุ
ฯลฯ มโนธาตุ เกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของฆานวิญญาณธาตุ ฯลฯ มโนธาตุ
เกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของชิวหาวิญญาณธาตุ ฯลฯ มโนธาตุ เกิดในลำดับ
แห่งการเกิดดับของกายวิญญาณธาตุ จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุ
ที่สมกัน เกิดในลำดับแห่งการเกิดดับแม้ของมโนธาตุอีกชั้นหนึ่ง จิต มโน
มานัส หทัย ปัณฑร มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์
มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยมโนและธรรมารมณ์เกิดขึ้น นี้เรียกว่า มโน-
*วิญญาณธาตุ
อภิธรรมภาชนีย์ จบ


คุณ เช่นนั้น เอามาลง อ่านเห็นคำว่า หทัย จึงเกิดความสนใจมาก เพราะปฏิบัติแล้ว มีความรู้สึกถึงความสัมพันธ์เมื่อธรรมเกิด หทัยเป็นตัวส่งและเป็นตัวรับ อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 03:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
โฮฮับ เขียน:
amazing เขียน:
[แค่เรียนในสิ่งที่แต่งใหม่กผิดแล้ว เลี้ยวกลับยังทันนะครับ ถามีเวลาลองศึกษาที่นี้ดูhttp://watnapp.com/

คุณอเมซิ่งครับ วันไหนคุณไปวัดที่คุณแนะนำ ผมรบกวนคุณช่วยถามอาจารย์ของคุณ
ถามว่า "ถ้าไม่เอาอรรถกถา ไม่เอาครูบาอาจารย์รุ่นหลัง ถามครับว่า
ท่านไปเรียนแปลบาลีมาจากใคร แล้วทำไมไม่สอนเป็นบาลีไปเลย สอนด้วยภาษาไทยทำไม
แล้วท่านแสดงความเห็นในคำสอน ความเห็นของท่านเป็นพุทธวจนหรือครับ :b13:
ไม่เอาสิ่งที่แต่งใหม่ท่านเข้าใจคำว่าแต่งใหม่หรือเปล่า เพราะพระองค์ห้ามแต่งใหม่ตัดต่อ ในคำภีรย์รุ่นใหม่มีสิ่งแต่งใหม่เจือปนอยู่มาก และผู้ที่กล้าทำในสิ่งที่พระองค์สั่งไว่ท่านว่าผู้นั้นหยั่งลงมั่นในตถาคตหรือยัง สาวกเป็นเพียงผู้ทำตามคำสอนเท่านั้น

สนทนาธรรม แต่ขาดสติพิจารณาธรรม ไอ้ที่พูดปรามาสชาวบ้าน "ไม่ใช่พุทธวจน"
มันก็แค่คนไร้แก่นสาร ขาดความเข้าใจ ไม่แบ่งแยกหลักการใช้และบุคคลที่ใช้ภาษา
ทั้งอเมซิ่งและผู้ที่กล่าววลีนี้ ก็แค่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน........
"เป็นผู้ขาดหลักแห่ง ธัมมวิจยะ"

หยิบแค่ พุทธวจนเป็นบางบทบางเรื่องแล้วก็ความความเห็นตัวเองสรุปลงไป
มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมาก

พระสูตรหรือพระพุทธวจนที่พระพุทธองค์ทรงตรัส มันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
พุทธวจนบทหนึ่งก็ใช้กับบุคคลที่พระองค์ทรงตรัสด้วย

เราไม่ใช่เป็นบุคคลที่พระพุทธองค์ทรงตรัสด้วย....เราเป็นผู้พิจารณาธรรม
ดังนั้นเราจะต้อง พิจารณาธรรมด้วยพุทธวจนหลายๆบท ไม่ใช่บทใดบทหนึ่ง

การพิจารณาธรรม มันต้องมีสมาธิแยกแยะบุคคล
พระพุทธองค์ทรงกำลังแก้กิเลสให้บุคคล แต่เรากำลังเอากิเลส
ของบุคคลที่พระพุทธองค์สอน มาเป็นของเรา


จะค่อยๆอธิบายด้วยหลักธัมมวิจย จะได้เข้าใจแก่นแท้ของพุทธวจน
ถ้าอเมซิ่งไม่เข้าใจ ก็ช่วยเอาความเห็นผมไปถามคนที่สอนธรรมคุณด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
โทษของการแต่งใหม่
ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องนี้เคยมีมาแลว : กลองศึกของกษัตริยพวกทสารหะ เรียกวา
อานกะ มีอยู. เมื่อกลองอานกะนี้ มีแผลแตก หรือลิ, พวกกษัตริยทสารหะไดหาเนื้อไมอื่น
ทําเปนลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น (ทุกคราวไป). ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเชื่อมปะเขา
หลายครั้งหลายคราวเชนนั้นนานเขาก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไมเดิมของตัวกลองหมดสิ้นไป
เหลืออยูแตเนื้อไมที่ทําเสริมเขาใหมเทานั้น;
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในกาลยืดยาวฝายอนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย,
สุตตันตะเหลาใด ที่เปนคําของตถาคต เปนขอความลึก มีความหมายซึ้ง เปนชั้นโลกุตตระ
วาเฉพาะดวยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผูนําสุตตันตะเหลานั้นมากลาวอยู; เธอจักไมฟงดวยดี
จักไมเงี่ยหูฟง จักไมตั้งจิตเพื่อจะรูทั่วถึง และจักไมสําคัญวาเปนสิ่งที่ตนควรศึกษาเลาเรียน.
สวนสุตตันตะเหลาใด ที่นักกวีแตงขึ้นใหม เปนคํารอยกรองประเภทกาพยกลอน มีอักษร
สละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เปนเรื่องนอกแนว เปนคํากลาวของสาวก, เมื่อมีผูนํา
สุตตันตะที่นักกวีแตงขึ้นใหมเหลานั้นมากลาวอยู; เธอจักฟงดวยดี จักเงี่ยหูฟง จักตั้งจิต
เพื่อจะรูทั่วถึง และจักสําคัญวาเปนสิ่งที่ตนควรศึกษาเลาเรียนไป.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความอันตรธานของสุตตันตะเหลานั้น ที่เปนคําของตถาคต เปน
ขอความลึก มีความหมายซึ้ง เปนชั้นโลกุตตระ วาเฉพาะดวยเรื่องสุญญตา จักมีไดดวย
อาการอยางนี้ แล.
นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓


อเมซิ่งก่อนที่จะกล่าวพุทธวจนบทนี้ คุณควรทำความเข้าใจกับ พุทธวจนบทอื่นๆด้วย
อย่างเช่นพุทวจน ที่ผมเอามาอ้างอิง.......


[๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถจะพึงนำไปว่า พระ-
*สุตตันตะมีอรรถนำไปแล้ว ๑ คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถอันนำไปแล้วว่า
พระสุตตันตะมีอรรถที่จะพึงนำไป ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล
ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถจะพึงนำไปว่า พระ-
สุตตันตะมีอรรถที่จะพึงนำไป ๑ คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถอันนำไปแล้วว่า
พระสุตตันตะมีอรรถอันนำไปแล้ว ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล
ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต ฯ
http://84000.org/tipitaka/read/?20/270/76


ไอ้เรื่องที่คุณหรือสำนักที่คุณไปเรียนมา แล้วก็เอามาเป็นอัตตาปรามาสคนอื่น
มันต้องขึ้นอยู่กับธรรมนี้

ทั้งคุณและอาจารย์ของคุณรวมทั้งคนอื่นๆ เขาแสดงความเห็นอันมีพระธรรมที่เป็นพุทธพจน์เป็นที่ตั้ง
ทั้งหมดทั้งมวลมันก็คือ ความเข้าใจเฉพาะตนที่มีต่อธรรมหรือพุทธพจน์นั้นๆ

ทั้งคุณและอาจารย์ของคุณ กำลังเอาความเห็นของตนเป็นที่ตั้ง
คุณต้องเข้าใจและทำใจให้ได้ซะก่อนว่า ความเข้าใจในพุทธวจนของคุณและอาจารย์
มันก็เป็นเรื่องเฉพาะตน ความเห็นของคนอื่นที่มีต่อพระธรรมก็เป็นเรื่องเฉพาะตน
การกล่าวอ้างว่า ความเห็นตนมีกล่าวไว้ในพุทธวจน ของคนอื่นไม่มี มันเป็นทิฐิอัตตาครับ

เราไม่ใช่คนสมัยพุทธกาล และเราก็ไม่ได้ใช้ภาษาเดียวกับพระพุทธเจ้า
ดังนั้นการที่เราจะอ้างพุทธวจนบทใด เราต้องเอาพุทธวจนบทนั้นมาเป็นหลัก

เราจะพิจารณาอย่างไร ถึงจะไม่เป็นการกล่าวนอกพุทธวจน.......
นั้นก็คือ การอ้างพุทธวจนที่อ้าง จะต้องเป็นบาลี มีพยัชนะที่ตรงกับพุทธวจนบาลีที่อ้าง

มันไม่ใช่เอาความเห็นไปเทียบกับบาลี แล้วก็บอกว่าไม่ตรง

จะยกตัวอย่างให้ดู เรากล่าวอ้างพุทธวจนบทใดบทหนึ่งมา
ในพุทธวจนนั้นมีพยัญชนะว่า....อนัตตา
แต่เราเอามากล่าวว่าโดยพยัญชนะผิดเพี้ยนไปเป็น ......อัตตา
แบบนี้ถึงเรียกกล่าวในสิ่งที่ไม่ใช่พุทธวจน


คุณและอาจารย์ของคุณกำลังจะทำให้ พุทธวจนผิดเพี้ยน
กำลังอัตตาตัวเองมาเป็นพุทธวจน ด้วยการบอกว่า...
ความเห็นของตนเป็นพุทธวจน ของคนอื่นไม่ใช่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 05:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธวจนมีลักษณะเป็นสองลักษณะ นั้นก็คือ สมมุติและปรมัตถ์

การกล่าวแต่สมมติแล้วเข้าใจว่าเป็นปรมัตถ์ นี้คือกล่าวตู่พุทธพจน์

การกล่าวอ้างบัญญัตปรมัตถ์ผิดจากที่บัญญัติไว้แล้ว เป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์

การเอาความเห็นที่เป็นเพียงสุตตะแห่งสมมุติ แล้วกล่าวอ้างว่า
เป็นปรมัตถ์บัญญัติ ก็เป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์

การปรามาสคนอื่นที่แสดงความเห็นปรมัตถ์ ในลักษณะของสมมุติ ว่าไม่ใช่พุทธพจน์
ผู้ปรามาสเป็นผู้กล่าวตู่พุทธพจน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
[ท่านลองพิจารณาตรงนี้ดีๆว่าการแต่งใหม่มันเป็นอย่างไร การแต่งใหม่มีแต่จะทำความอันตรธานให้พระสัทธรรมจางหาย

นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓

อเมซิ่งเอาพุทธวจนมาอ้างแบบนี้หรือ ใครเขาจะอ่านรู้เรื่อง
ปากอ้างพุทธวจน แต่ดูการกระทำซิ มั่วซั่วไม่สนใจเนื้อหาว่าจะออกมาอย่างไร
นี่แหล่ะทำให้พระสัทธรรมจางหาย


เอาเนื้อหาที่สมบูรณ์มาให้

ภิกษุ ท.! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว : กลองศึกของกษัตริย์พวกทสารหะ
เรียกว่า อานกะ มีอยู่. เมื่อกลองอานกะนี้ มีแผลแตก หรือลิ, พวก
กษัตริย์ทสารหะได้หาเนื้อไม้อื่นทำเป็นลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น
(ทุกคราวไป) ภิกษุ ท.! เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราวเช่นนั้นนานเข้า
ก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้เดิมของตัวกลองหมดสิ้นไป เหลืออยู่แต่เนื้อไม้
ที่ทำเสริมเข้าใหม่เท่านั้น ;
ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย,
สุตตันตะ (ตัวสูตรส่วนที่ลึกซึ้ง) เหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก
มีความหมายซึ่ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำ
สุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่. เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิต
เพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วน
สุตตันตะเหล่าใด มีนักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์ กลอน มีอักษรสละสรวย มีพยัญชนะอันวิจิตร
เป็นเรื่องนอกแนว เป็น
คำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่,
เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตน
ควรศึกษาเล่าเรียนไป.
ภิกษุ ท.! ความอันตรธานของสุตตันตะเหล่านั้น ที่เป็นคำของตถาคต
เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา
จักมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ แล.


อ้างพุทธวจน แต่ไม่ได้มีความเข้าใจในพุทธวนเลยสักนิด
พุทธวนะที่เอามาอ้าง มันเป็นเรื่องของคนที่เอาสิ่งที่ไม่ใช่พุทธวจนมาสอน
หมายความว่า สอนในสิ่งที่ไม่ใช่พระธรรมคำสอน

แต่ที่เรากำลังสนทนา มันเป็นเรื่องของการเข้าใจ
ในพระธรรมหรือพุทธวจน คนหนึ่งกำลังอ้างว่าตัวเองเป็นพุทธวจน
แล้วก็ปรามาสคนอื่นว่าไม่ใช่


ตลกอเมซิ่งจริง ทีไอ้เรื่องที่ต้องเอาพุทธวจนมาอ้าง อย่างเช่นการปฏิบัติของตน
กลับไม่เห็นมี ดันอ้างเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องหรือคนล่ะเรื่อง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 07:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
amazing เขียน:
[ท่านลองพิจารณาตรงนี้ดีๆว่าการแต่งใหม่มันเป็นอย่างไร การแต่งใหม่มีแต่จะทำความอันตรธานให้พระสัทธรรมจางหาย

นิทาน. สํ. ๑๖/๓๑๑/๖๗๒-๓

อเมซิ่งเอาพุทธวจนมาอ้างแบบนี้หรือ ใครเขาจะอ่านรู้เรื่อง
ปากอ้างพุทธวจน แต่ดูการกระทำซิ มั่วซั่วไม่สนใจเนื้อหาว่าจะออกมาอย่างไร
นี่แหล่ะทำให้พระสัทธรรมจางหาย


เอาเนื้อหาที่สมบูรณ์มาให้

ภิกษุ ท.! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว : กลองศึกของกษัตริย์พวกทสารหะ
เรียกว่า อานกะ มีอยู่. เมื่อกลองอานกะนี้ มีแผลแตก หรือลิ, พวก
กษัตริย์ทสารหะได้หาเนื้อไม้อื่นทำเป็นลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น
(ทุกคราวไป) ภิกษุ ท.! เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราวเช่นนั้นนานเข้า
ก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้เดิมของตัวกลองหมดสิ้นไป เหลืออยู่แต่เนื้อไม้
ที่ทำเสริมเข้าใหม่เท่านั้น ;
ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย,
สุตตันตะ (ตัวสูตรส่วนที่ลึกซึ้ง) เหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก
มีความหมายซึ่ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำ
สุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่. เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิต
เพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วน
สุตตันตะเหล่าใด มีนักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์ กลอน มีอักษรสละสรวย มีพยัญชนะอันวิจิตร
เป็นเรื่องนอกแนว เป็น
คำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่,
เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตน
ควรศึกษาเล่าเรียนไป.
ภิกษุ ท.! ความอันตรธานของสุตตันตะเหล่านั้น ที่เป็นคำของตถาคต
เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา
จักมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ แล.


อ้างพุทธวจน แต่ไม่ได้มีความเข้าใจในพุทธวนเลยสักนิด
พุทธวนะที่เอามาอ้าง มันเป็นเรื่องของคนที่เอาสิ่งที่ไม่ใช่พุทธวจนมาสอน
หมายความว่า สอนในสิ่งที่ไม่ใช่พระธรรมคำสอน

แต่ที่เรากำลังสนทนา มันเป็นเรื่องของการเข้าใจ
ในพระธรรมหรือพุทธวจน คนหนึ่งกำลังอ้างว่าตัวเองเป็นพุทธวจน
แล้วก็ปรามาสคนอื่นว่าไม่ใช่


ตลกอเมซิ่งจริง ทีไอ้เรื่องที่ต้องเอาพุทธวจนมาอ้าง อย่างเช่นการปฏิบัติของตน
กลับไม่เห็นมี ดันอ้างเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องหรือคนล่ะเรื่อง :b32:
โฮฮับ คุณคงยอมรับว่าคุณเคยอ่านและสนใจในตำราอภิธรรมหรือพระไตรปิฎกฉบับบัจจุบันใช่ป่าว ในเมื่อฉบับปัจจุบันนั้นอ้างอิงทั้งหมดมาจากฉบับบาลีสยามรัฐ แต่หลายอย่างทั้งพระสูตรบางพระสูตรอภิธรรมอย่างเช่นชื่อญาณอะไรต่างฯลฯ เอาไปตรวจสอบในบาลีสยามรัฐแล้วไม่พบเจอคำนั้นทั้งๆต่างก็อ้างอิงว่ามาจากบาลีสยามรัฐ แสดงว่าตำราที่คุณอ่านอยู่มันมีการแต่งใหม่ขึ้นมามาก

เมื่อคุณรู้แล้วคุณจะสนใจศึกษาต่อหรือเปล่า แต่บาลีสยามรัฐเป้นตำราฉบับเดียวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่เราจะมีกลับไม่มีใครสนใจ และในวงการศึกษาบ้านเราก็ศึกษาแต่สิ่งที่มีการแต่งใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอถรรกถาที่มีการศึกษากันมากมาก นี่ไงเป็นสาเหตุให้เรามีนิกายมากมาย และพระสัทธรรมนั้นก็เสื่อมสลายเพราะการแต่งใหม่นั้นเอง ส่วนท่านอถรรกถาท่านใดแปลจากต้นฉบับจะผิดเพลี้ยนไปบางโดยไม่มีเจตนาแต่งใหม่ทำให้พระสัทธรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็เป็นเรื่องของธรรมชาติแห่งความเสื่อม แต่นั้นต้องไม่ใช่คำแต่งใหม่ เพราะพระองค์ทรงห้ามไว้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 07:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
พุทธวจนมีลักษณะเป็นสองลักษณะ นั้นก็คือ สมมุติและปรมัตถ์

การกล่าวแต่สมมติแล้วเข้าใจว่าเป็นปรมัตถ์ นี้คือกล่าวตู่พุทธพจน์

การกล่าวอ้างบัญญัตปรมัตถ์ผิดจากที่บัญญัติไว้แล้ว เป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์

การเอาความเห็นที่เป็นเพียงสุตตะแห่งสมมุติ แล้วกล่าวอ้างว่า
เป็นปรมัตถ์บัญญัติ ก็เป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์

การปรามาสคนอื่นที่แสดงความเห็นปรมัตถ์ ในลักษณะของสมมุติ ว่าไม่ใช่พุทธพจน์
ผู้ปรามาสเป็นผู้กล่าวตู่พุทธพจน์
ไม่มีใครไปปรามาสใครหรอกเพียงเป็นการนำเสนอและการตั้งใจจริงของสาำนักที่ต้องการนำเสนอแต่พุทธวจนเท่านั้น สิ่งไหนผิดก้ว่ากันไปตามผิด(สำหรับการแต่งใหม่)และแต่ล่ะท่านอาจจะไม่เคยพบปะสนทนาเลยไม่รู้ความจริงว่าท่านทำเพื่ออะไร และท่านก็เป็นคนที่มีคุูณูปการต่อชาวพุทธเป็นอย่างมากที่นำพุทธวจนคำของพระบิดาเรามาเปิดเผยให้เห็นตามความเป็นจริงว่าพระประสงค์ของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร ท่านดูได้จากการเติบโตอย่างยั้งยืนไม่ใช่พระอาจจารที่เก่งหรอกนะครับ เพราะพุทธวจนนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนได้ฟังแล้วนำพาผู้คนพบแสงสว่างที่แท้จริง เมื่อแสงอาทิตย์ขึ้นจึงทำให้หิ่งห้อยทั้งหลาหมดราคาลงไป(สิ่งที่ผิด) ผมเห็นใครยกตัวอย่างมาผิดผมก็บอกว่ามันผิด และตำราไหนผิดก็ทิ้งเสียกลับไปหาในสิ่งที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เราจะมีได้


แก้ไขล่าสุดโดย amazing เมื่อ 19 ก.ค. 2013, 08:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
นอนอยู่ในโลงที่ศาลา ตอนหัวค่ำพระก็สวดพระอภิธรรมงานศพอยู่ดี
สาวกภาษิตสอนก็บรรลุธรรมได้ อย่าไปคิดมาก พระอรรถกถาจารย์ที่แต่งปกรณ์ให้เรียน
ท่านก็เห็นสภาวธรรมมาแล้วไม่งั้นท่านอธิบายไม่ได้หรอก

จะเอาแค่พุทธพจน์นั้นก็ไม่ผิด แต่อย่าไปตัดอะไรทิ้งโดยขาดความเข้าใจที่ถ่องแท้


แล้วใครที่พอจะมีความรู้ว่าอันไหนแต่งใหม่ อันไหนแต่งเก่า
เอาอะไรมายืนยันได้อย่างชัดเจน มัวแต่คิดว่าอันนี้แต่งเก่า
อันนี้แต่งใหม่อยู่นั้นแหละ ผลสุดท้ายตายซะก่อน หมดโอกาสที่จะเรียนรู้

แล้วแต่งใหม่มันผิดอะไร ตรงไหน? ขอบอก ?
คอยแต่จะตั้งท่า ดีแต่ท่า อยู่อย่างนั้นแหละ เลยไม่พบทาง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
โฮฮับ คุณคงยอมรับว่าคุณเคยอ่านและสนใจในตำราอภิธรรมหรือพระไตรปิฎกฉบับบัจจุบันใช่ป่าว ในเมื่อฉบับปัจจุบันนั้นอ้างอิงทั้งหมดมาจากฉบับบาลีสยามรัฐ แต่หลายอย่างทั้งพระสูตรบางพระสูตรอภิธรรมอย่างเช่นชื่อญาณอะไรต่างฯลฯ เอาไปตรวจสอบในบาลีสยามรัฐแล้วไม่พบเจอคำนั้นทั้งๆต่างก็อ้างอิงว่ามาจากบาลีสยามรัฐ แสดงว่าตำราที่คุณอ่านอยู่มันมีการแต่งใหม่ขึ้นมามาก

มันจะแต่งเก่าแต่งใหม่อะไร มันก็แค่โวหารหรือจุดขายที่เอาไว้โจมตีคนอื่น
พูดอธิบายก็ยังไม่ยอมเข้าใจ ก็บอกว่าภาษามันไม่เหมือนกัน
การแปลมันต้องขึ้นอยู่กับผู้แปล จะแปลสักกี่เล่ม ขอให้แปลมาจากพุทธพจน์แท้ๆก็พอ

มันต้องถามผู้แปลว่า คำแปลของท่าน แปลมาจากบาลีคำไหน ถ้าท่านบอกได้
มันจะเป็นปัญหาอะไร เอ่อถ้าท่านแปลโดยไม่เอาบาลีมาเป็นหลักก็ว่าไปอย่าง

อย่างอาจารย์คุณกับอาจารย์ผู้แปลบาลี มันเป็นคนล่ะเรื่อง
อาจารย์ผู้แปลบาลีท่านเน้น แปลและอธิบายคำแปลของท่านไปในตัว

ผมยกพุทธวจนมาให้ดูคุณยังไม่เข้าใจอีกหรือว่า
พูดธรรมที่เป็นสมมุตบัญญัติแล้ว จะต้องพูดในสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ด้วย


"[๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถจะพึงนำไปว่า พระ-
*สุตตันตะมีอรรถนำไปแล้ว ๑ คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถอันนำไปแล้วว่า
พระสุตตันตะมีอรรถที่จะพึงนำไป ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล
ย่อมกล่าวตู่ตถาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถจะพึงนำไปว่า พระ-
สุตตันตะมีอรรถที่จะพึงนำไป ๑ คนที่แสดงพระสุตตันตะที่มีอรรถอันนำไปแล้วว่า
พระสุตตันตะมีอรรถอันนำไปแล้ว ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล
ย่อมไม่กล่าวตู่ตถาคต ฯ"
http://84000.org/tipitaka/read/?20/270/76

ผมถามคุณว่า คุณเข้าใจพุทธวจนบทนี้มั้ย
เห็นอ้างพุทธวจน แต่เขาเอาพุทธวจนมาอ้างไม่คิดจะสนใจอ่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
[
เมื่อคุณรู้แล้วคุณจะสนใจศึกษาต่อหรือเปล่า แต่บาลีสยามรัฐเป้นตำราฉบับเดียวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่เราจะมีกลับไม่มีใครสนใจ และในวงการศึกษาบ้านเราก็ศึกษาแต่สิ่งที่มีการแต่งใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอถรรกถาที่มีการศึกษากันมากมาก นี่ไงเป็นสาเหตุให้เรามีนิกายมากมาย และพระสัทธรรมนั้นก็เสื่อมสลายเพราะการแต่งใหม่นั้นเอง ส่วนท่านอถรรกถาท่านใดแปลจากต้นฉบับจะผิดเพลี้ยนไปบางโดยไม่มีเจตนาแต่งใหม่ทำให้พระสัทธรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็เป็นเรื่องของธรรมชาติแห่งความเสื่อม แต่นั้นต้องไม่ใช่คำแต่งใหม่ เพราะพระองค์ทรงห้ามไว้

พูดจาไม่ต้องโอเว่อครับ เอาแต่พอประมาณ ใครเขาก็รู้บาลีสยามรัฐแต่งในสมัยใด
แล้วอีกอย่าง บอกแล้วว่า เราไม่ใช่ชาวมคธ ดังนั้นจึงต้องอาศัยอรรถกถามาอธิบายพุทธพจน์
เขาไม่เหมือนคุณครับ ดีแต่อ้างพุทธวจนแล้วก็ดำนั้าแสดงความเห็น
ไม่เห็นพุทธวจนแนบอ้างอิงความเห็นเลย

ผมว่าคุณอย่าพูดอะไรลอยๆ คำพูดไหนที่คุณอ้าง
คุณไปพุทธวจนมาแสดงด้วย มันจะได้น่าเชื่อถือ
ถ้าคุณยังอาศัยการพูดลอยๆตีกินชาวบ้านเขาแบบนี้
คุณก็แค่ดีแต่ปากครับ เอาพุทธวจนมาครับไม่ต้องเอาบาลีก็ได้
เพราะรู้ว่าแค่ภาษาไทยก็ไม่รอดแล้ว :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
ไม่มีใครไปปรามาสใครหรอกเพียงเป็นการนำเสนอและการตั้งใจจริงของสาำนักที่ต้องการนำเสนอแต่พุทธวจนเท่านั้น สิ่งไหนผิดก้ว่ากันไปตามผิด(สำหรับการแต่งใหม่)และแต่ล่ะท่านอาจจะไม่เคยพบปะสนทนาเลยไม่รู้ความจริงว่าท่านทำเพื่ออะไร และท่านก็เป็นคนที่มีคุูณูปการต่อชาวพุทธเป็นอย่างมากที่นำพุทธวจนคำของพระบิดาเรามาเปิดเผยให้เห็นตามความเป็นจริงว่าพระประสงค์ของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร ท่านดูได้จากการเติบโตอย่างยั้งยืนไม่ใช่พระอาจจารที่เก่งหรอกนะครับ เพราะพุทธวจนนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนได้ฟังแล้วนำพาผู้คนพบแสงสว่างที่แท้จริง เมื่อแสงอาทิตย์ขึ้นจึงทำให้หิ่งห้อยทั้งหลาหมดราคาลงไป(สิ่งที่ผิด) ผมเห็นใครยกตัวอย่างมาผิดผมก็บอกว่ามันผิด และตำราไหนผิดก็ทิ้งเสียกลับไปหาในสิ่งที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เราจะมีได้


จะสอนแต่พุทธวนก็ไม่มีใครว่าครับ แต่การสอนนั้นจะต้องเป็นบาลีล้วนครับ
นี่อาจารย์คุณเล่นกางพุทธวจน แล้วก็แสดงความเห็นต่อพุทธวจน และสรุปในทำนอง
ว่าความเห็นตนเป็นพุทธวจน

ของครูบาจารย์ท่านอื่นก็เป็นความเห็น ของอาจารย์คุณก็เป็นความเห็น
มันไม่ใช่เรื่องที่อาจารย์คุณจะมากล่าวตู่พุทธพจน์หน้าตาเฉยครับ


อีกอย่างครับความเห็นคุณไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
สรุป คุณเชื่อพระไตรปิฎก คุณเชื่ออรรถกถามั้ย เอาให้แน่ๆ
พูดจาเชื่อมั่นตัวเองหน่อยครับ

ผมเห็นคุณกล่าวอ้างคุณสมบัติอาจารย์คุณ ด้วยเหตุนี้ผมขอเอาลิ้งนี้มาให้อ่านครับ
มีคนแชร์มา อ่านเพื่อการพิจารณาธรรมหลายๆด้าน.....
http://pantip.com/topic/30731642

กรุณาพิจารณาด้วยกุศลจิตนะครับ ผมไม่ต้องการโจมตีใคร
แต่เพียงเพื่อปกป้อง บรรดาอรรถกถาจารย์และครูบาอาจารย์
จึงจำเป็นต้องเอาเรื่องที่มันเกิดขึ้น เพื่อให้อเมซิ่งพิจารณาเอาเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 11:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
amazing เขียน:
ไม่มีใครไปปรามาสใครหรอกเพียงเป็นการนำเสนอและการตั้งใจจริงของสาำนักที่ต้องการนำเสนอแต่พุทธวจนเท่านั้น สิ่งไหนผิดก้ว่ากันไปตามผิด(สำหรับการแต่งใหม่)และแต่ล่ะท่านอาจจะไม่เคยพบปะสนทนาเลยไม่รู้ความจริงว่าท่านทำเพื่ออะไร และท่านก็เป็นคนที่มีคุูณูปการต่อชาวพุทธเป็นอย่างมากที่นำพุทธวจนคำของพระบิดาเรามาเปิดเผยให้เห็นตามความเป็นจริงว่าพระประสงค์ของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร ท่านดูได้จากการเติบโตอย่างยั้งยืนไม่ใช่พระอาจจารที่เก่งหรอกนะครับ เพราะพุทธวจนนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนได้ฟังแล้วนำพาผู้คนพบแสงสว่างที่แท้จริง เมื่อแสงอาทิตย์ขึ้นจึงทำให้หิ่งห้อยทั้งหลาหมดราคาลงไป(สิ่งที่ผิด) ผมเห็นใครยกตัวอย่างมาผิดผมก็บอกว่ามันผิด และตำราไหนผิดก็ทิ้งเสียกลับไปหาในสิ่งที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เราจะมีได้


จะสอนแต่พุทธวนก็ไม่มีใครว่าครับ แต่การสอนนั้นจะต้องเป็นบาลีล้วนครับ
นี่อาจารย์คุณเล่นกางพุทธวจน แล้วก็แสดงความเห็นต่อพุทธวจน และสรุปในทำนอง
ว่าความเห็นตนเป็นพุทธวจน

ของครูบาจารย์ท่านอื่นก็เป็นความเห็น ของอาจารย์คุณก็เป็นความเห็น
มันไม่ใช่เรื่องที่อาจารย์คุณจะมากล่าวตู่พุทธพจน์หน้าตาเฉยครับ


อีกอย่างครับความเห็นคุณไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
สรุป คุณเชื่อพระไตรปิฎก คุณเชื่ออรรถกถามั้ย เอาให้แน่ๆ
พูดจาเชื่อมั่นตัวเองหน่อยครับ

ผมเห็นคุณกล่าวอ้างคุณสมบัติอาจารย์คุณ ด้วยเหตุนี้ผมขอเอาลิ้งนี้มาให้อ่านครับ
มีคนแชร์มา อ่านเพื่อการพิจารณาธรรมหลายๆด้าน.....
http://pantip.com/topic/30731642

กรุณาพิจารณาด้วยกุศลจิตนะครับ ผมไม่ต้องการโจมตีใคร
แต่เพียงเพื่อปกป้อง บรรดาอรรถกถาจารย์และครูบาอาจารย์
จึงจำเป็นต้องเอาเรื่องที่มันเกิดขึ้น เพื่อให้อเมซิ่งพิจารณาเอาเองครับ
ผมมีความเห็นอย่างนี้นะครับ เมื่อผมรู้ว่าพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬากับมหามงกุฎนั้นต่างอ้างอิงทั้งหมดมาจากบาลีสยามรัฐ แต่หลายอย่างในพระไตรปิฎกทั้งอภิธรรมปิฎกและพระสูตรหลายพระสูตรเมื่อตรวจด้วยโปรแกรมตรวจแล้วไม่มีในบาลีสยามรัฐ ก็แสดงว่าพระไตรปิฎกทั้งสองสำนักแต่งใหม่ขึ้นมา มันอาจจะมีความจริงบ้างและไม่จริงบ้างเราไม่ไม่สมควรที่จะศึกษาเพราะที่แต่งใหม่นั้นเป้นความเห้นที่สาวกรุ่นหลังแต่งใหม่เจือปนอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้อย่างชัดเจน

และแม้แต่ในฉบับบาลีสยามรัฐเองเมื่อศึกษาเข้าไปแล้วก็ยังเห็นว่าเป็นคำของสาวกเจือปนอยู่ด้วยซึ่งพระศาสดาตรัสไว้ว่า สาวกเป็นผู้เดินตามเป็นผู้ฟังคำกล่าวของพระศาสดาเท่านั้น ซึ่งสาวกไม่มีคำสอนของตนเอง สาวกเป็นผู้มีหน้าที่นำคำสอนของพระศาสดามาบอกต่อด้วยปากต่อปาก สิ่งนี้จะทำให้พระสัทธรรมสืบต่อและยังยืนนาน พระอาจารย์ท่านมีความตั้งใจที่จะคัดเอาแต่คำของพระตถาคตเท่านั้น และพระอาจารย์ท่านยังบอกกับลูกศิษย์ว่า ให้ฟังและอ่านแต่คำตถาคตเท่านั้นไม่ใช่ยึดติดตัวอาจารย์เพราะตัวอาจารย์อาจมีผิดบ้างให้สนใจและถกเถียงกันแต่คำตถาคต เรื่องของเรื่องก็มีเท่านี้ไม่เห็นมีอะไร

ส่วนลิ้งที่คุณยกมาผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่แสดงความคิดเห็น พระอาจารย์ก็ยังบอกต่อว่า ให้ศึกษาแต่คำตถาคต แล้วหยั่งลงมั่นเท่านั้น เปรียบเหมือนเรานั่งต่อหน้าพระองค์แล้วพระองค์ก็สอนเราโดยตรง ชีวิตนี้ทำเท่านี้ในเรื่องการศึกษาและปฎิบัติธรรม เพราะเรามีหลักฐานเก่าแก่ที่สุดเท่านี้ (สรุปฟังพุทธวจน และปฎิบัติสมถะวิปัสนาโดยใช้อานาปานสติ เท่านี้ง่ายดีครับ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
ผมมีความเห็นอย่างนี้นะครับ เมื่อผมรู้ว่าพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬากับมหามงกุฎนั้นต่างอ้างอิงทั้งหมดมาจากบาลีสยามรัฐ แต่หลายอย่างในพระไตรปิฎกทั้งอภิธรรมปิฎกและพระสูตรหลายพระสูตรเมื่อตรวจด้วยโปรแกรมตรวจแล้วไม่มีในบาลีสยามรัฐ ก็แสดงว่าพระไตรปิฎกทั้งสองสำนักแต่งใหม่ขึ้นมา มันอาจจะมีความจริงบ้างและไม่จริงบ้างเราไม่ไม่สมควรที่จะศึกษาเพราะที่แต่งใหม่นั้นเป้นความเห้นที่สาวกรุ่นหลังแต่งใหม่เจือปนอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้อย่างชัดเจน

ที่คุณบอกว่าแต่งใหม่ ถามหน่อยใหม่จากอะไรครับ(ผมงงกับคุณจริงๆ)
คณกรุณาตั้งสติตั้งใจฟังนะครับว่า.....พระไตรปิฎกฉบับปัจจุบัน เป็นพระไตรปิฎกแปล
เขาแปลมาจากบาลีสยามรัฐ คุณจะมาว่าเขาแต่งใหม่ได้อย่างไร
ถ้าแต่งใหม่เขาต้องเขียนบาลีขึ้นใหม่ แบบนี้ถึงจะเรียกว่าแต่งใหม่

แล้วที่บอกโปรแกรมไม่มี แล้วไปโทษหาว่าคนอื่นเขียนขึ้นมาใหม๋
ถามหน่อยโปรแกรมพุทธวจนที่คุณใช้กับพระไตรปิฎกฉบับปัจจุบัน ใครมันมีมาก่อนครับ
ไอ้โปรแกรมที่คุณว่า อย่าว่าแต่ของคนอื่นไม่มีเลย แม้แต่พจนานุกรมของโปรแกรม
ผมเอาบาลีไปหาคำแปลยังไม่มีเลย ....โปรแกรมทำมาไม่ละเอีดนั้นไปโทษชาวบ้าน

พระไตรปิฏกฉบับปัจจุบัน เป็นฉบับแปลบาลีและอธิบายความหมายของบาลี
เขาไม่ได้เพิ่มสิ่งที่เป็นพุทธพจน์ คุณเข้าใจมั้ย
ดังนั้นมันไม่ใช่การเอาคำที่แปลและอธิบายความไปเสิร์ชหาบาลี
......มันต้องเอาบาลีเป็นตัวตั้งแล้วค่อยเสิร์ชหาคำแปลหรือคำอธิบายความที่เป็นไทย เข้าใจมั้ย

แล้วที่บอกพุทธเจ้าห้ามน่ะ ห้ามอะไรผมขอหลักฐานที่เป็นพุทธวจนคุณ
หลายหนแล้วน่ะ

amazing เขียน:
และแม้แต่ในฉบับบาลีสยามรัฐเองเมื่อศึกษาเข้าไปแล้วก็ยังเห็นว่าเป็นคำของสาวกเจือปนอยู่ด้วยซึ่งพระศาสดาตรัสไว้ว่า สาวกเป็นผู้เดินตามเป็นผู้ฟังคำกล่าวของพระศาสดาเท่านั้น ซึ่งสาวกไม่มีคำสอนของตนเอง สาวกเป็นผู้มีหน้าที่นำคำสอนของพระศาสดามาบอกต่อด้วยปากต่อปาก สิ่งนี้จะทำให้พระสัทธรรมสืบต่อและยังยืนนาน พระอาจารย์ท่านมีความตั้งใจที่จะคัดเอาแต่คำของพระตถาคตเท่านั้น และพระอาจารย์ท่านยังบอกกับลูกศิษย์ว่า ให้ฟังและอ่านแต่คำตถาคตเท่านั้นไม่ใช่ยึดติดตัวอาจารย์เพราะตัวอาจารย์อาจมีผิดบ้างให้สนใจและถกเถียงกันแต่คำตถาคต เรื่องของเรื่องก็มีเท่านี้ไม่เห็นมีอะไร

คุณเพี้ยนหรือเปล่าครับ พูดไปพูดมา แม้กระทั้งบาลีสยามรัฐคุณก็จะไม่เอาอีก
หาว่ามีของสาวกเจือปน สรุปคุณจะเอาอย่างไรกันแน่ หรือเอาแต่คำสอนของอาจารย์คุณ

อาจารย์คุณรู้ดีกว่า อรหันตสาวก รู้ดีกว่าพระสารีบุตร ใช่มั้ย
ผมว่าอาจารย์คุณจะถูกชาวบ้านเขาปรามาสก็เพราะตัวคุณที่แสดงความเห็นแบบนี้น่ะครับ
amazing เขียน:
ส่วนลิ้งที่คุณยกมาผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่แสดงความคิดเห็น พระอาจารย์ก็ยังบอกต่อว่า ให้ศึกษาแต่คำตถาคต แล้วหยั่งลงมั่นเท่านั้น เปรียบเหมือนเรานั่งต่อหน้าพระองค์แล้วพระองค์ก็สอนเราโดยตรง ชีวิตนี้ทำเท่านี้ในเรื่องการศึกษาและปฎิบัติธรรม เพราะเรามีหลักฐานเก่าแก่ที่สุดเท่านี้ (สรุปฟังพุทธวจน และปฎิบัติสมถะวิปัสนาโดยใช้อานาปานสติ เท่านี้ง่ายดีครับ)

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การแสดงความเห็นครับ เพียงแต่ผมเห็นคุณกำลัง
กล่าวอ้างสรรพคุณอาจารย์ของคุณ อันเกี่ยวข้องกับพุทธวจน

ผมก็เลยเอาลิ้งมาให้ดูว่า .....พุทธวจนที่ออกมาจากปากพวกคุณ
ไงมันกลายเป็นยีห้อสินค้าไปได้.....ขนมปังตราพุทธวจน
แบบนี้อาจารย์คุณไม่ว่า ลูกศิษย์ทำพระสัทธรรมเสื่อมหรือครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 13:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หากทาง...ที่ยังไม่เคยเดิน....คนที่พูดบอกทาง....เขาทำได้เพียง..สักแต่ว่าพูด...จะใช้ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ให้เริดหรู่

อย่างไร......ก็ยังขาดอัตถรสแก่ผู้ที่มีอินทรีย์แก่รอบพอที่จะผ่านจุดนั้นไปได้...
ในขณะเดียวกัน....จะดูดีมีค่า....กับผู้ที่เอาแต่ใช้ความคิด...อย่างเดียวกัน

พุทธวจน..นั้นดีอยู่แล้ว...แต่กิเลสตัณหาทั้งหยาบทั้งละเอียดที่แฝงในตัวผู้พูด...นั้นไม่ดีเลย

ทางที่ยังไม่เคยเดิน...จะอธิบายอย่างไร...ก็ยังเป็นชั้นความคิด
คนที่เคยเดิน....บอกได้ลึกแบบ..ไม่มีคำว่า...คิดว่า...หรือ..น่าจะ...อะไรทำนองนี้...เป็นต้น

อย่างที่หลวงตาว่า...พอเราเป็นซะเอง....มันจะรู้ได้เลยว่า..ผู้รสจนาตำราเป็นอรหันต์หรือไม่เป็น
แล้วก็แปลก..ที่คนเป็น.(คิดว่าก็มีไม่น้อย)...ไม่หยักกะไปเปลี่ยนแปลคำ..บางคำ..ที่ต่อเติมเพิ่มขึ้นมา

ส่วนตัวคิดว่า..ตรงนี้.มีเหตุผลในตัวของมัน....

คนที่ไม่เข้าใจเหตุผลอันนี้....ก็อาจเข้าไปจัดการตามความรู้สึกตน..

หากเข้าใจแล้ว..ก็คงหยุดเอง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 228 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร