วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2013, 07:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
เวรัญชกัณฑ์
เรื่องเวรัญชพราหมณ์
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์
สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป .....

เวรัญชพราหมณ์กล่าวตู่พระพุทธเจ้า
[๒] หลังจากนั้น เวรัญชพราหมณ์ได้ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วได้ทูลปราศรัยกับ
พระผู้มีพระภาค ...............
ว. ท่านพระโคดมมีปกติไม่ไยดี.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมมีปกติไม่ไยดี
ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะ..............
ว. ท่านพระโคดมไม่มีสมบัติ.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่มีสมบัติ ดังนี้
ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะ......................
ว. ท่านพระโคดมกล่าวการไม่ทำ.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมกล่าวการไม่ทำ
ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะ............................
ว. ท่านพระโคดมกล่าวความขาดสูญ.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมกล่าวความขาดสูญ
ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าวความขาดสูญแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ เรากล่าวความ
ขาดสูญแห่งสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล
เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดม
กล่าวความขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
ว. ท่านพระโคดมช่างรังเกียจ.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างรังเกียจ ดังนี้
ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะ............................................
ว. ท่านพระโคดมช่างกำจัด.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างกำจัด ดังนี้
ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะ..........................................
ว. ท่านพระโคดมช่างเผาผลาญ.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมช่างเผาผลาญ ดังนี้
ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะ............................................
ว. ท่านพระโคดมไม่ผุดเกิด.
ภ. มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่ผุดเกิด ดังนี้
ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะการนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดราก
ขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนไม่ผุดเกิด พราหมณ์ การนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ ตถาคต
ละได้แล้ว
ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีก
ต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณะโคดมไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่า
กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว.
ทรงอุปมาด้วยลูกไก่
[๓] ดูกรพราหมณ์....................................
ทรงแสดงฌาน ๔ และวิชชา ๓
ภ. เราก็เหมือนอย่างนั้นแล พราหมณ์ ..................................
ปฐมฌาน
เรานั้นแล .............................
ทุติยฌาน
เราได้บรรลุทุติยฌาน.................................

ได้บรรลุตติยฌาน ......................................
จตุตถฌาน
เราได้บรรลุจตุตถฌาน ......................................
บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น
ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก
คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง
ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์
เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร
อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียง
เท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็น
อันมาก
พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้ พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เรา
ได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืด
เรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
เผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการ
ทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น.
จุตูปปาตญาณ
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติ
ของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่
เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิด
เป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็น
สัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตก
กายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อม
รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้ พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้ว
ในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไป
แล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะ
ฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
อาสวักขยญาณ
เรานั้น ....................................................
เวรัญชพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก
[๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาค
ว่า ท่านพระโคดมเป็นผู้เจริญที่สุด ...............ข้าพเจ้านี้ขอถึงท่านพระโคดม
พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ
ตลอดชีวิต.......................................

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... &A=0&Z=315

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2013, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


มาศึกษา คำอธิบาย เกี่ยวกับ สัสสตทิฏฐิ ของ อรรถกถาจารย์ กันบ้างครับ

แล้วลองมาเปรียบเทียบ กันดู กับการแปลความหมายของอาจารย์ในปัจจุบัน ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

Quote Tipitaka:
อรรถกถามหาตัณหาสังขยสูตร

มหาตัณหาสังขยสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ.

พึงทราบวินิจฉัยในบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐิคตํ นี้ ในอลคัททสูตร

กล่าวบทว่า ทิฏฐิว่าเป็นลัทธิ. ในที่นี้ ท่านกล่าวว่า เป็นสัสสตทิฏฐิ. ก็ภิกษุนั้น

เป็นผู้สดับมาก แต่ภิกษุที่สดับน้อยกว่าชาดก ฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

ประชุมเรื่องชาดกว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น เราได้เป็นเวสสันดร ได้เป็น

มโหสถ ได้เป็นวิธูรบัณฑิต ได้เป็นเสนกบัณฑิต ได้เป็นพระเจ้ามหาชนก

ดังนี้. ทีนั้น เธอได้มีความคิดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขารเหล่านี้ ย่อมดับไป

ในที่นั้น ๆ นั่นแหละ แต่วิญญาณย่อมท่องเที่ยว ย่อมแล่นไปจากโลกนี้สู่โลก

อื่น จากโลกอื่นสู่โลกนี้ ดังนี้
จึงเกิดสัสสตทิฏฐิ. เพราะเหตุนั้น เธอจึงกล่าว

ว่า วิญญาณนี้นั่นแหละย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมแล่นไป ไม่ใช่อย่างอื่น ดัง

นี้. ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เมื่อปัจจัยมีอยู่ความเกิดขึ้นแห่ง

วิญญาณจึงมี เว้นจากปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณย่อมไม่มี ดังนี้
. เพราะ

ฉะนั้น ภิกษุนี้ชื่อว่า ย่อมกล่าวคำที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ ย่อมให้การประ

หารชินจักร ย่อมคัดค้านเวสารัชชญาณ ย่อมกล่าวกะชนผู้ใคร่เพื่อจะฟังให้

ผิดพลาด ทั้งกีดขวางทางอริยะเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อความ

ทุกข์แก่มหาชน มหาโจรเมื่อเกิดในราชสมบัติของพระราชา ย่อมเกิดขึ้นเพื่อ

สิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์แก่มหาชนชื่อฉันใด บัณฑิตพึงทราบ

ว่า โจรในคำสั่งของพระชินเจ้า เกิดขึ้นแล้วเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อ

ความทุกข์แก่มหาชน ฉันนั้น.


ให้สังเกต คำว่าปัจจัย และคำว่า วิญญาณ ครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2013, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


มีผู้ให้ความหมายเอาไว้ เกี่ยวกับ นัตถิกทิฏฐิ
การมีความเห็นว่า สัตว์บุคคลไม่มี อาจกลายเป็น นัตถิกทิฏฐิ ได้
การเข้าใจความหมายของ สุญญตา ผิด อาจกลายเป็น นัตถิกทิฏฐิ ได้

อ้างคำพูด:
- นัตถิกทิฎฐิ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ผลอันเนื่องมาแต่เหตุผล

ของการทำดีทำชั่ว ไม่มีโลกนี้โลกหน้า สัตว์บุคคลไม่มี เป็นแต่ธาตุประชุมกันตายแล้ว

สูญไม่เกิดอีก เชื่อว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2013, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA% ... 0%E0%B8%B4
อ้างคำพูด:
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สัสสตทิฐิ (อ่านว่า สัดสะตะทิถิ) แปลว่า ความเห็นว่าเที่ยง เป็นความเห็นที่แย้งหรือตรงกันข้ามกับ อุจเฉททิฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ

สัสสตทิฐิ เป็นลัทธิความเห็นที่มีมาก่อนสมัยพุทธกาล โดยเห็นว่าสัตว์โลกทั้งปวงเที่ยงแท้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ขาดสูญ แม้ตายแล้วก็เพียงร่างกายเท่านั้นที่สลายหรือตายไป แต่สิ่งที่เรียกว่าอาตมันหรืออัตตา ชีวะ เจตภูติ ยังเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย ไม่มีวันสูญ จะไปถือเอาปฏิสนธิในกำเนิดของภพอื่นต่อไป สัตว์โลกที่เคยเกิดเป็นอะไรในชาตินี้ ตายแล้วก็กลับมาเกิดเป็นอย่างนั้นอีกในชาติหน้า

สัสสตทิฐิ มีผลกระทบต่อผู้เห็นตามนั้น ถ้าเป็นคนวรรณะต่ำก็จะไม่มีความกระตือรือล้นที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะคิดว่าตายไปแล้วก็ต้องกลับมาเกิดเป็นคนที่ยากจนอีก ถ้าเป็นคนวรรณะสูงก็จะประมาททำอะไรตามใจชอบ ทำชั่วทำผิดโดยไม่กลัวบาป เพราะคิดว่าถึงอย่าไรก็ต้องกลับมาเกิดอยู่ในวรรณะสูงอีก


อันนี้ น่าจะเป็นการให้ความหมายที่ ถูกต้องที่สุด
สังเกตุ ได้จาก เอาความคิด ของคน อินเดียยุคนั้นมา เลย

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2013, 23:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
*** สัสสตทิฏฐิ ***ของ ปกุธกัจจายนะ

*** สัสสตะ แปลว่า เที่ยง ลัทธินี้สอนว่า จิตหรือวิญญาณ เป็นตัวตนที่เที่ยง คำสอนเช่นนี้ จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างยิ่ง เป็นปฏิปักษ์ต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่สอนให้เห็นตามความเป็นจริง เพื่อหมดอุปาทาน หมดทุกข์ ว่าจิตหรือวิญญาณ ไม่เที่ยง ไม่เป็นตัวตน
*** การสอนว่า จิต หรือ วิญญาณ เป็นตัวตนที่เที่ยง จัดเป็น โลหิตตุปบาท ยังพระพุทธเจ้าให้ห้อเลือด เป็นอันันตริยกรรม กั้นมรรคผลนิพพาน การประทุษร้ายธรรม ก็คือ การประทุษร้ายพระพุทธเจ้า เพราะ พระพุทธเจ้า คือ ธรรมะ
*** ดังที่ทรงตรัสไว้ว่า " โย ธัมมัง ปัสสติ โส มัง ปัสสติ " ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ไม่ว่าเกิดยุคใดสมัยใด เนื้อหนังเน่าเปื่อย ไม่ใช่พระองค์ทรงตรัสบอกกับพระวักกลิ เช่นนี้ และ ทรงตรัสกับพระอานนท์ ที่ขอให้ตั้งผู้ใดเป็นพระพุทธเจ้าแทน
*** เมื่อพระองค์ดับขันธปรินิพพานไปแล้วว่า พระองค์ไม่ตั้งผู้ใดเป็นพระพุทธเจ้าแทน แต่ทรงแต่งตั้งให้ พระธรรมและพระวินัย ที่ตรัสไว้ดีแล้วเป็นตัวแทน ผู้ใดฟังธรรมผู้นั้นฟังพระองค์ ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นปฏิบัติพระองค์ ผู้ใดเข้าถึงธรรม ผู้นั้นเข้าถึงพระองค์ และ ธรรมที่ว่านี้ ก็คือ สัจจธรรม กล่าวคือ อนัตตา
*** เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเห็นแล้ว ทำให้หมดอุปาทาน หมดทุกข์ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ที่พระองค์ทรงกล่าวสอนสาวก และ พุทธบริษัททั้งหลาย มากที่สุด (พหุลานุศาสนี) เพื่อจะได้หมดอุปาทาน หมดทุกข์ เช่น พระองค์ ดังนั้น การหักล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเป็น โลหิตตุปบาท คือ ไม่มีโอกาสถึงนิพพานได้
*** ดังในครั้งพุทธกาล ภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อ สาติ เกวัฏฏบุตร ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไปเที่ยวสอนประชาชนว่า วิญญาณเป็นตัวตนที่เที่ยง ตายแล้วออกจากร่างเก่าไปเกิดในร่างใหม่ ทั้ง ๆ ที่พระพุทธองค์ ทรงพร่ำสอน พร่ำชี้ให้เห็นว่า แม้คนเป็น ๆ ที่แบ่งเป็นขันธ์ ๕ ล้วนเป็นอนัตตาหาอัตตามิได้
*** เหตุไฉน จึงกล่าวว่า ตายแล้วยังมีอัตตาเล่า พระพุทธองค์ ทรงเรียก ภิกษุสาติ ฯ มาอบรมตักเตือนว่า " เป็นโมฆะบุรุษ " คือ ฟังธรรมเสียเวลาเปล่า เพราะไม่เข้าใจธรรมนั้น "มีทิฏฐิลามก" คือ เห็นผิด "ขุดตนแล้วมาตู่พระองค์" คือ เห็นผิด สอนผิด เพราะ ฟังผิดเอง
*** แต่กลับมาตู่ว่า พระองค์เป็นคนสอน, "จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย" หมายถึงว่า ไปสอนให้เขาเห็นผิดว่า มีตัวตน ทำให้หมดอุปาทาน หมดทุกข์ไม่ได้ เป็นบาปยิ่ง, "จะประสบแต่ทุกข์ตลอดกาลนาน" หมายถึงว่า ภิกษุ สาติ จะต้องมีทุกข์ตลอดไป ตราบที่ยังมีอุปาทาน เห็นผิดว่ามีตัวตนอยู่ บุคคลเช่น ภิกษุสาติ เกวัฏฏบุตร มีมากในปัจจุบัน
*** จาก "ลัทธินอกพุทธศาสนา" โดย "ไสว แก้วสมอ"

http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... 24b5bafe47

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2013, 04:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ถ้าเชือว่า ตายแล้วเกิดอีก ก็เป็นสัสสตทิฏฐิ เห็นว่าเที่ยง ยั่งยืน
ลุงหมาน น่าจะพูดไม่จบนะครับคนที่เชื่อว่า ตายแล้วเกิดอีก แต่มีจุดสิ้นสุดที่พระนิพพาน ........... ไม่เป็นสัสสตทิฏฐิ นะครับลุงหมาน
คนที่เป็น สัสสตทิฏฐิ นี่ ไม่ค่อยจะเจอครับ ไม่ค่อยมี
ไม่มี ด้วยซ้ำไป


ไม่ได้จะเข้ามาแย้งอะไรนะครับ เพียงแต่อยากจะชี้รายละเอียดบางประการ ผมเห็นว่ามันเป็นประเด็น
ที่ทำให้คุณโกวิทต้องเสียเวลากับการอธิบายความให้อีกฝ่ายฟังครับ สาเหตุทั้งหมดทั้งมวล
ก็คือ อีกฝ่ายหยิบยกเรื่องที่ตัวเองไม่เข้าใจมาอ้างอิงครับ
เหตุนี้ เลยทำให้ดูเหมือนคุณโกวิทจะหลงประเด็นไปตามข้อความอ้างอิง ที่ขาดความเข้าใจนั้น

ตัวอย่างเช่นที่ว่า......"ถ้าเชือว่า ตายแล้วเกิดอีก ก็เป็นสัสสตทิฏฐิ เห็นว่าเที่ยง ยั่งยืน"
ประโยคนี้ ดูแล้วผู้อ้างอิงขาดความเข้าใจที่ถ่องแท้ครับ ......จะอธิบายให้ฟังครับ

ตายแล้วเกิด เป็นได้ทั้งสัมมาทิฐิและมิจฉาทิฐิที่เป็นสัสสตทิฐิครับ
ความต่างของ สัมมาทิฐิกับสัสสตทิฐิก็คือ สัมมาทิฐิการตายแล้วเกิดขึ้นอยู่กับ...กรรมครับ
แต่สัสสทิฐิ การตายแล้วเกิดไม่ขึ้นกับกรรม นั้นก็คือการกระทำไม่ส่งผลต่อการเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์
เป็นมนุษย์ชาติหน้าก็เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ชาติหน้าก็เป็นสัตว์ฯลฯ

สรุปสั้นๆพอเข้าใจก็คือ สัมมาทิฐิ กรรมส่งผลให้มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้
แต่สัสสตทิฐิกรรมไม่สามารถส่งผลให้มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2013, 05:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ยังมีคนไม่เข้าใจ ประเด็นนี้(สัสสตทิฏฐิ) กันเยอะครับ ท่านโฮฮับ
ผมจึงพยายาม เสาะหาข้อมูล้ มาลงที่กระทู้นี้
เพื่อให้ผู้อ่าน ได้พิจารณา จนเข้าใจ ถูก กันครับ

ท่านโฮฮับ ว่าผมหลงประเด็น ยอมรับครับ ว่านอกหัวข้อกระทู้ ไปพอได้
แต่เนื้อหา พอจะอนุโลม เข้ากันได้ ครับ เลยหลงมาซะยาวเลย

กำลังจะกลับ เข้าไปสู่หัวข้อกระทู้ ครับผม smiley

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron