วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 02:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


พวกเดียรถีย์ไม่รู้ความข้อนี้
และตนเองก็ไม่มีความเชี่ยวชาญจึงยึดถือสัญญา คือ
ความสำคัญหมายว่ามี สัตว์ บุคคล และมีความเห็นว่าเป็นของเที่ยง
ว่าขาดสูญ และยึดถือทิฎฐิ ๖๒ จึงเกิดการโต้แย้งกันอยู่
เพราะเดียรถีย์มีเครื่องผูกพัน คือ ทิฏฐิ จึงถูกกระแสของตัณหาพัดพาไป
เมื่อถูกกระแสตัณหาพัดพาไป พวกเขาจึงไม่พ้นจากทุกข์ได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
คำว่าไม่มีแก่นสาระนั้นได้แก่ ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แต่ที่มีแก่นสารนั้นได้แก่ พระนิพพาน เที่ยง เป็นสุข เป็นอนัตตา

อัตตา เห็นว่ามีแก่นสาร มีสาระ
อนัตตา เห็นว่าไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ

ตามที่ลุงหมานอธิบาย นิพพาน ก็คือ นิจจัง สุขัง อัตตา
..

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
พวกเดียรถีย์ไม่รู้ความข้อนี้
และตนเองก็ไม่มีความเชี่ยวชาญจึงยึดถือสัญญา คือ
ความสำคัญหมายว่ามี สัตว์ บุคคล และมีความเห็นว่าเป็นของเที่ยง
ว่าขาดสูญ และยึดถือทิฎฐิ ๖๒ จึงเกิดการโต้แย้งกันอยู่
เพราะเดียรถีย์มีเครื่องผูกพัน คือ ทิฏฐิ จึงถูกกระแสของตัณหาพัดพาไป
เมื่อถูกกระแสตัณหาพัดพาไป พวกเขาจึงไม่พ้นจากทุกข์ได้



ข้อความเนี่ย ไปนำมาจากไหน ตอบ ก็ไปจำมาจากตำราทั้งนั้น นี่ก็สัญญา

สัญญามีสองอย่าง คือ กุศลสัญญา (หรือวิชชาภาคิยสัญญา แปลว่า สัญญาที่ทำให้ถึงวิชชา) และอกุศลสัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 13:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
หรืออีกนัยหนึ่ง คำว่า อนตฺตา อสารกฏฺเฐน
แปลว่า เพราะไม่มีแก่นสาร หรือไม่อยู่ภายใต้อำนาจของใคร ฉะนั้นจึงชื่อว่า อนัตตา
หมายความว่า ธรรมดารูปธรรมย่อมไม่เป็นสาระ ทุกๆ ขณะย่อมไปสู่ความดับ
เมื่อปราศจากชีวิต อุสมาเตโชและวิญญานทั้ง ๓ นี้แล้ว จะหารูปที่ใช้การสักอันหนึ่งก็ไม่ได้
เมื่อจวนจะตายก็ดี จะเอารูปที่เป็นสาระแล้วใช้การสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่ได้ ว่าโดยอาการก็มีเกิดดับเสมอ

ฉะนั้นพระบรมศาสดาเปรียบเทียบอุปมาไว้ว่า เผณปิณฺ ฑูปมํ รูปํ
แปลว่ารูปเหมือนต่อมน้ำ ส่วนนามกเหมือนกันจะกระทบหรือจับไม่ได้
เอาเวทนาสัญญาเหล่านี้ไปใช้การกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่ได้ เกิดความดับสูญไป
ห้ามไม่ให้เกิดหรือดับก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น โดยสภาวะจึงเรียกว่า อนัตตา

ลุงหมาน เขียน:
แล้วท่านมีความคิดเห็นว่ายังไงล่ะ

"นิพพาน" ก็จะเป็นอย่างที่ลุงหมาน อธิบายข้างบนแหละครับ
คือ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ เกิดดับเสมอ ..


:b1:

s006
นิพพาน เกิด ดับ เสมอ นั้น น่าจะเป็นความเข้าใจผิดด้วยไม่เคยสัมผัสนิพพานนะครับ

ที่นิพพาน เป็นอมตะธรรม พ้นจากความเป็น อนิจจังและทุกขัง ...มีแต่อนัตตาล้วนๆครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
วิริยะ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
หรืออีกนัยหนึ่ง คำว่า อนตฺตา อสารกฏฺเฐน
แปลว่า เพราะไม่มีแก่นสาร หรือไม่อยู่ภายใต้อำนาจของใคร ฉะนั้นจึงชื่อว่า อนัตตา
หมายความว่า ธรรมดารูปธรรมย่อมไม่เป็นสาระ ทุกๆ ขณะย่อมไปสู่ความดับ
เมื่อปราศจากชีวิต อุสมาเตโชและวิญญานทั้ง ๓ นี้แล้ว จะหารูปที่ใช้การสักอันหนึ่งก็ไม่ได้
เมื่อจวนจะตายก็ดี จะเอารูปที่เป็นสาระแล้วใช้การสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่ได้ ว่าโดยอาการก็มีเกิดดับเสมอ

ฉะนั้นพระบรมศาสดาเปรียบเทียบอุปมาไว้ว่า เผณปิณฺ ฑูปมํ รูปํ
แปลว่ารูปเหมือนต่อมน้ำ ส่วนนามกเหมือนกันจะกระทบหรือจับไม่ได้
เอาเวทนาสัญญาเหล่านี้ไปใช้การกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่ได้ เกิดความดับสูญไป
ห้ามไม่ให้เกิดหรือดับก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น โดยสภาวะจึงเรียกว่า อนัตตา

ลุงหมาน เขียน:
แล้วท่านมีความคิดเห็นว่ายังไงล่ะ

"นิพพาน" ก็จะเป็นอย่างที่ลุงหมาน อธิบายข้างบนแหละครับ
คือ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ เกิดดับเสมอ ..


:b1:

s006
นิพพาน เกิด ดับ เสมอ นั้น น่าจะเป็นความเข้าใจผิดด้วยไม่เคยสัมผัสนิพพานนะครับ

ที่นิพพาน เป็นอมตะธรรม พ้นจากความเป็น อนิจจังและทุกขัง ...มีแต่อนัตตาล้วนๆครับ

:b8:

ไม่น่าผิดนะครับ เพราะเอามาจากที่ลุงหมานโพสไว้ ตามที่ขีดเส้นใต้

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


นอกตำราไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
แม้แต่วิชาทางโลกนั้น การที่เราจะมีความรู้ความเข้าใจในวิชาต่างๆ
วิชานี้ วิชานั้น ได้นั้น เราก็ต้องฟังต้องเรียนจากผู้อื่น หรือต้องศึกษาจากตำรามาก่อนทั้งสิ้น
ยกเว้นเฉพาะบุคคลที่ค้นพบหลักการ หรือที่คิดค้นวิชาการนั้นๆ ได้ก่อนเป็นคนแรกเท่านั้น
โดยไม่ต้องฟังจากผู้อื่นหรือศึกษาจากตำราเลย

แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็เช่นนั้นเหมือนกัน ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงค้นพบสัจจธรรมด้วยพระองค์เองแล้ว
บุคคลที่เหลือนอกนั้นเมื่อจะเข้าถึงสัจจธรรมของสภาวะธรรมเหมือนอย่างพระองค์
เขาต้องเรียนสดับตรับฟังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะเข้าถึงได้

คนเหล่านั้นแม้เรียนแม้ฟังจากสาวกผู้รู้ธรรมทั่งถึงองค์อื่นๆ มีท่านพระสารีบุตรเป็นต้น
ก็ชื่อว่าเรียนหรือฟังคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะว่าพระองค์ไม่อุบัติขึ้นในโลกก่อน
คำสอนเช่นนี้ก็ไม่ปรากฎ ก็คำสอนที่ต้องเรียนต้องฟังเสียก่อนเหล่านี้แหละเขาเรียกว่าปริยัติ

ก็แต่ว่าเมื่อพระบรมศาสดาดับขันธ์ปรินิพพานไปนานแล้ว
และพระสาวกองค์สำคัญที่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยของพระองค์ มีท่านพระสารีบุตรเป็นต้น
ซึ่งเป็นผู้มีความสามารถเผยแผ่พระศาสนาให้กว้างขวางเช่นเดียวกับพระศาสดา
ก็ล้วนดับขันธ์ปรินิพพานกันไปหมดแล้ว มิได้มีอายุยืนนานมาจนถึงกาลปัจจุบันอย่างนี้

หากเราจะประสงจะบรรลุธรรมพระสัจจธรรม เพื่อประโยชน์แก่ความพ้นทุกข์ทั้งปวง
เราจะเริ่มต้นจากการเรียนการฟังจากใครเล่า เพราะไม่มีพระศาสดาคอยยืนยันรับรอง
นี้เป็นปัญญหาที่น่าฉุกคิด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำราเหมือนแผนที่ พอบอกให้รู้ว่ามีอะไรตรงไหนยังไง ... แต่คนอ่านแผนที่นั้นยังไม่ได้เดินทางเพื่อพิสูจน์ความจริงตามที่บอกไว้ในลายแทงนั้นเลย ผลก็คือจินตนาการเอา :b1: ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ว่านั่นว่านี่....

แต่ก็อย่างว่า การเดินทางจิตนั่น มิใช่สุกรตัวน้อยๆที่เราจะจับมาหันกินได้ง่ายๆ หมายความว่าการเดินทางเพื่อพิสูจน์ความจริงตามนั้น ขณะเดินทางมีอุปสรรคมากมาย จะต้องผจญกับหมู่มารน้อยใหญ่คอยขัดคอยขวาง

มีตัวอย่างหนึ่ง ให้นักอ่านตำราศึกษา

อ้างคำพูด:
ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน
แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลย จึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก

ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ
ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีก เพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย
เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัว และเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง

แต่ยังมีอาการอย่างหนึ่งที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะเพราะมันคลายหูแว่วแต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)
กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร

เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอกต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ
ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก
แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้


ขณะที่คำว่า ร่างกาย รูป เรายังเถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่า มันคืออะไรยังไง :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 23:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็เช่นนั้นเหมือนกัน ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงค้นพบสัจจธรรมด้วยพระองค์เองแล้ว
บุคคลที่เหลือนอกนั้นเมื่อจะเข้าถึงสัจจธรรมของสภาวะธรรมเหมือนอย่างพระองค์
เขาต้องเรียนสดับตรับฟังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะเข้าถึงได้

คนเหล่านั้นแม้เรียนแม้ฟังจากสาวกผู้รู้ธรรมทั่งถึงองค์อื่นๆ มีท่านพระสารีบุตรเป็นต้น
ก็ชื่อว่าเรียนหรือฟังคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะว่าพระองค์ไม่อุบัติขึ้นในโลกก่อน
คำสอนเช่นนี้ก็ไม่ปรากฎ ก็คำสอนที่ต้องเรียนต้องฟังเสียก่อนเหล่านี้แหละเขาเรียกว่าปริยัติ
รถเผยแผ่พระศาสนาให้กว้างขวางเช่นเดียวกับพระศาสดา
ก็ล้วนดับขันธ์ปรินิพพานกันไปหมดแล้ว มิได้มีอายุยืนนานมาจนถึงกาลปัจจุบันอย่างนี้
.....
หากเราจะประสงจะบรรลุธรรมพระสัจจธรรม เพื่อประโยชน์แก่ความพ้นทุกข์ทั้งปวง
เราจะเริ่มต้นจากการเรียนการฟังจากใครเล่า เพราะไม่มีพระศาสดาคอยยืนยันรับรอง
นี้เป็นปัญญหาที่น่าฉุกคิด

องค์ประกอบของการที่จะบรรลุของสาวกะ..คือ...การได้พบกัลยาณมิตร...ได้ฟังธรรมที่ทำให้เป็นกัลยาณชน....และ..เข้าใจธรรมของกัลยาณชน
ถ้าการบรรลุธรรมอยู่ที่ความเข้าใจธรรมของกัลยาณชน
การได้ฟังธรรม....สมมุติว่าการได้อ่านตำรับตำราก็ถือว่าอยู่ในกรณีนี้ด้วย
แล้ว...การได้พบกัลยาณมิตรละ....เมื่อพระพุทธองค์คือยอดแห่งกัลยาณมิตร..แต่ก็ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว.....แต่น่าสนใจจุดที่ลุงหมานว่า...ธรรมจากอรหัตสาวก..ก็ถือว่าเป็นธรรมของพระพุทธเจ้าด้วย.เพราะหากไม่มีพระพุทธเจ้าธรรมหล่านั้นก็ไม่เกิด
การได้พบกัลยาณมิตร...เป็นเหตุปัจจัยข้อหนึ่งที่สำคัญมากต่อการรู้การเห็น....เพราะท่านเดินทางผ่านเส้นทางแห่งกัลยาณชนมาแล้ว..ย่อมสามารถแจงสภาพธรรมในขั้นต่าง ๆ...ได้กระจ่าง

ผู้มีนิสัยแห่งสาวก...แม้อ่านพระธรรมแห่งพระสวัสดิโสภาคก็ไม่อาจบรรลุธรรมเองได้หากปราศจากผู้ชี้แจง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 03:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
วิริยะ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
หรืออีกนัยหนึ่ง คำว่า อนตฺตา อสารกฏฺเฐน
แปลว่า เพราะไม่มีแก่นสาร หรือไม่อยู่ภายใต้อำนาจของใคร ฉะนั้นจึงชื่อว่า อนัตตา
หมายความว่า ธรรมดารูปธรรมย่อมไม่เป็นสาระ ทุกๆ ขณะย่อมไปสู่ความดับ
เมื่อปราศจากชีวิต อุสมาเตโชและวิญญานทั้ง ๓ นี้แล้ว จะหารูปที่ใช้การสักอันหนึ่งก็ไม่ได้
เมื่อจวนจะตายก็ดี จะเอารูปที่เป็นสาระแล้วใช้การสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่ได้ ว่าโดยอาการก็มีเกิดดับเสมอ

ฉะนั้นพระบรมศาสดาเปรียบเทียบอุปมาไว้ว่า เผณปิณฺ ฑูปมํ รูปํ
แปลว่ารูปเหมือนต่อมน้ำ ส่วนนามกเหมือนกันจะกระทบหรือจับไม่ได้
เอาเวทนาสัญญาเหล่านี้ไปใช้การกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่ได้ เกิดความดับสูญไป
ห้ามไม่ให้เกิดหรือดับก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น โดยสภาวะจึงเรียกว่า อนัตตา

ลุงหมาน เขียน:
แล้วท่านมีความคิดเห็นว่ายังไงล่ะ

"นิพพาน" ก็จะเป็นอย่างที่ลุงหมาน อธิบายข้างบนแหละครับ
คือ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ เกิดดับเสมอ ..


:b1:

s006
นิพพาน เกิด ดับ เสมอ นั้น น่าจะเป็นความเข้าใจผิดด้วยไม่เคยสัมผัสนิพพานนะครับ

ที่นิพพาน เป็นอมตะธรรม พ้นจากความเป็น อนิจจังและทุกขัง ...มีแต่อนัตตาล้วนๆครับ

:b8:

ขออนุโมทนากับคุณโสกะครับ ธรรมของคุณโสกะเจริญขึ้นครับ
ธรรมที่กล่าวมาถูกทุกอย่างครับ

อยากให้คุณโสกะมีสมาธิอย่าหลง ธรรมที่คุณโสกะพูดอ้างคุณวิริยะถูกต้องทุกอย่างครับ
เพียงแต่ว่า เราต้องดูต้นสายปลายเหตุด้วยว่า ความเห็นคุณวิริยะมันสืบเนื่อง
มาจากความเห็นลุงหมาน

ลุงหมานแกโพสธรรมทั้งๆที่แกไม่เข้าใจในสิ่งที่แกโพส พอคุณวิริยะแกเห็นแกก็เข้าไป
อธิบายเพิ่มเติม คุณวิริยะแกไม่รู้ว่า สิ่งที่แกอธิบายมันเป็นการเข้าใจผิดในสิ่ง
ที่ลุงหมานเอามาโพส ซึ่งลุงหมานแกก็ไม่รู้ว่า มันผิดตรงไหน

และตรงไหนที่ว่าผิด ก็ตรงที่ว่า ความมีหรือไม่มีแก่นสารในอนัตตา ในความเห็นลุงหมาน
ความไม่มีแก่นสารในอนัตตา อนัตตาในที่นี้ก็คือ อนัตตาในไตรลักษณ์
แต่คุณวิริยะคิดว่า เป็นอนัตตาเดียวกันกับ อนัตตาที่เป็นนิพพาน
แกเลยเข้าใจว่า นิพพานไม่มีแก่นสาร ซึ่งมันไม่ใช่

สรุปก็คือ ทั้งคุณวิริยะและลุงหมานขาดความเข้าใจในเรื่องนี้
แต่ต้นสายปลายเหตุ มันมาจากลุงหมานที่ชอบโพสความเห็นทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ
พอมีคนเข้ามาถามก็ตอบไม่ได้ พอมีคนมาแย้งก็เคือง พอมีคนมาเตือนก็โกรธ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ที่นิพพาน เป็นอมตะธรรม พ้นจากความเป็น อนิจจังและทุกขัง ...มีแต่อนัตตาล้วนๆครับ

:b8:

"อนัตตา" มีสองความหมายหรือครับ .. :b10:
"อนัตตา" ในความเข้าใจของคุณ อโสกะ คืออย่างไรครับ ..

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า อนตฺตา เมื่อแยกบทแล้วได้ ๒ บท คือ น บทหนึ่ง อตฺตา บทหนึ่ง
น แปลว่าไม่ใช่ อตฺตา แปลแยกแล้วได้ ๔ อย่าง คือ จิต ๑ กาย ๑ สภาวะ ๑ ปรมอัตตะ ๑ รวมเป็น ๔ อย่าง

ข้อที่ ๑ อตฺตา ในพระบาลี ว่า อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา แปลว่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกฝนตน
คำว่าตนในที่นี้ในพระบาลี ได้แก่จิต

ข้อที่ ๒ อตฺตา ในพระบาลีว่า นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ แปลว่า ความรักเสมอตนไม่มี
คำว่าตน ในพระบาลีนี้ ได้แก่กาย

ข้อที่ ๓ อตฺตา ในพระบาลีว่า อตฺตาทีปา ภิกฺขเว วิหรถ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย จงเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่งอยู่
คำว่าตน ในพระบาลีนี้ ได้แก่ กุศลธรรม คือ สภาวะ

ข้อที่ ๔ อตฺตา ในพระบาลีว่า อยํ อตฺตา นิจฺโจ ธุโว สสฺสโต อวิปริณามธมฺโม แปลว่า ตนเป็นของเที่ยง แข็งแรง ตั้งอยู่มั่นคง ไม่มีการแตกดับ
คำว่า ตน ในพระบาลีข้อที่ ๔ ได้แก่ ปรมอัตตะ หรือ ปรมวิญญาณ ที่ชาวอินเดียถือกันมาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้

ในคำแปล อัตตา ทั้ง ๔ นี้ ข้อสำคัญ คือข้อที่ว่าเป็นของเที่ยงของชาวอินเดียนั่นเอง
ส่วนอัตตาอีก ๓ อย่างนี้ คือ จิต กาย สภาวะ นั้น ก็ถูกต้องตามหลักฐานของตนๆ
เพราะฉะนั้น อัตตาที่เป็นของเที่ยงนั้น เป็นข้อธรรมสำคัญที่ตรงข้ามกับอนัตตาธรรม อนัตตา
ที่แปลว่า ไม่ใช่อัตตานั้น มุ่งหมายถึงไม่ใช่อัตตาข้อที่ ๔ นี้ นั่นเอง

ชาวอินเดียส่วนมากยึดถือว่า อัตตาไม่ตาย ไม่มีการแตกดับ เป็นของเที่ยงเสมอ
บุคคลทุกคนต้องมีอัตตา คนและสัตว์ตายแต่อัตตาไม่ตาย อัตตาจะทำอะไรก็ได้
คุณอำนาจ ความสามารถ ของอัตตานี้มีหลายอย่าง คือ คำว่า อัตตานี้เป็นชื่อของ ชีวะ
ในที่นี้ชาวอินเดียมุ่งหมายถึงวิญญาณพิเศษอย่างหนึ่ง เมื่อตนตายไปแล้ว ชีวะหรืออัตตาไม่ตาย ต้องหาที่อยู่ใหม่อีก

อัตตา เป็น เวทกะ คือ ผู้เสวยความสุขและความทุกข์ การทำดีหรือทำชั่ว อัตตาจะต้องเป็นผู้เสวยผลในชาติใหม่ในอนาคต
อัตตา เป็น นิวาสี คือ ผู้เที่ยงไม่ตาย เมื่อบ้านเก่าแตกดับ ก็ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ต่อไป
อัตตา เป็น สยํวาสี คือ การกระทำอะไรๆ ก็ดีเป็นไปตามอัตตา คือ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส เป็นต้น
แล้วแต่อัตตาตามใจอัตตาทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นอัตตาจึงเป็นเจ้าโลก เป็นผู้สร้างโลก

ผู้ถือมั่นในคุณของอัตตา หรือนามของอัตตา ที่กล่าวมานี้ในบวรพุทธศาสนาท่านเรียกว่า ผู้มีอัตตวาทุปาทาน
คือผู้ยึดถืออัตตวาทะ อัตตวาทะนี้ในพระพุทธศาสนาอธิบายเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด
เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง เป็นความเห็นที่หลงทาง

ตามวจนัตถะว่า น+อตฺตา = อนตฺตา แปลความว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้ไม่ใช่อัตตา
ฉะนั้นจึงเป็น อนัตตา
หรืออีกนัยหนึ่ง นตฺถิ อตฺตา เอตสฺส ขนฺธปญฺจสฺสาติ วา อนตฺตา แปลความว่า ในรูปนาม ขันธ์ ๕ นั้น ไม่มีอัตตา
ฉะนั้นจึงเรียกว่าอนัตตา
หมายความว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แห่งรูปนาม ขันธ์ ๕ นั้น ไม่มอัตตา ฉะนั้น รูปนามขันธ์ ๕ ทั้งหมดเป็นอนัตตา
นอกจากจาก รูปนาม ขันธ์ ๕ นิพพาน บัญญัติ ไม่มีอัตตาเหมือนกัน ดังนั้นได้แก่สังขาร(สังขตะ)และอสังขต คือนิพพานและบัญญัติทั้งปวง
ดังนั้นพระองค์จึงทรงเทศนาว่า สพพฺเพ สงฺขารา อนิจจา, สพฺเพสงขารา ทุกขา, สพฺเพธมฺมาอนตฺตา ดังนี้

หรืออีกนัยหนึ่ง พระศาดาทรงเทศนาไว้ในวินัยปิฎกปริวารบาลีว่า :-
อนิจฺจา สพฺพสงฺขตา ทุกฺขานตฺตา จ ลกฺขิตา นิพฺพานํ เจว ปญฺญตฺติ อนตฺตา อิติ นิจฺฉิตาสังขารธรรมทั้งปวง
หมายจำว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่อัตตา นิพพานก็ดี บัญญัติก็ดี ตัดสินว่าเป็น อนัตตา ดังนี้

หรืออีกนัยหนึ่ง คำว่า อนตฺตา อสารกฏฺเฐน แปลว่า เพราะไม่มีแก่นสาร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร
ฉะนั้นจึงเรียกว่า อนัตตา
หมายความว่า ธรรมดารูปธรรมย่อมไม่เป็นสาระ ทุกๆขณะย่อมไปสู่ความดับเมื่อปราศจากชีวิต

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
หรืออีกนัยหนึ่ง คำว่า อนตฺตา อสารกฏฺเฐน แปลว่า เพราะไม่มีแก่นสาร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร ฉะนั้นจึงเรียกว่า อนัตตา

อ่านยังไง "อนัตตา" ก็คือ ไ่ม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ อยู่ดี
นิพพานเป็นอนัตตา ก็คือ นิพพาน ไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ ..นั่นเอง


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
หรืออีกนัยหนึ่ง คำว่า อนตฺตา อสารกฏฺเฐน แปลว่า เพราะไม่มีแก่นสาร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร ฉะนั้นจึงเรียกว่า อนัตตา

อ่านยังไง "อนัตตา" ก็คือ ไ่ม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ อยู่ดี
นิพพานเป็นอนัตตา ก็คือ นิพพาน ไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ ..นั่นเอง


:b1:

นิพพานที่มีแก่นสาร หมายถึง เที่ยง เป็นสุข ที่ตรงข้าม กฏของไตรลักษณ์
จึงกล่าวว่าเป็นของมีสาระ มีแก่นสาร ไม่ได้หมายถึงตรง อนัตตา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 08:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
วิริยะ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
หรืออีกนัยหนึ่ง คำว่า อนตฺตา อสารกฏฺเฐน แปลว่า เพราะไม่มีแก่นสาร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร ฉะนั้นจึงเรียกว่า อนัตตา

อ่านยังไง "อนัตตา" ก็คือ ไ่ม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ อยู่ดี
นิพพานเป็นอนัตตา ก็คือ นิพพาน ไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระ ..นั่นเอง


:b1:

นิพพานที่มีแก่นสาร หมายถึง เที่ยง เป็นสุข ที่ตรงข้าม กฏของไตรลักษณ์
จึงกล่าวว่าเป็นของมีสาระ มีแก่นสาร ไม่ได้หมายถึงตรง อนัตตา

งั้น "นิพพานก็ไม่ใช่อนัตตา" ไม่ใช่ตรงข้ามไตรลักษณ์
แต่ "นิพพาน" อยู่เหนือ "ไตรลักษณ์" ..


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 10:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก้าวข้ามพ้นอนัตตาไม่ได้...มันก็หยักแย่หยักยันอย่างนี้แหละคับ...ลุงหมาน

เก็บนิพพานใว้ก่อน...อย่างเพิ่งเอามาคิด...จัดการอนัตตาให้แจ้งใจ...หากเห็นเป็นสิ่งไร้สาระได้เมื่อไร...ก็จะเข้าใจเองว่าจะเอานิพพานมาเกี่ยวดีหรือไม่....


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron