วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 16:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:


“สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติ เป็นอนัตตาวินิจฉัยมีอยู่ดังนี้”

คุนน้องสงสัยประโยคสีแดงค่ะ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา แล้วทำไมนิพพานเป็นอนัตตาค่ะ :b10:


เดี๋ยวได้วกเข้าอัตตาอีก :b1:

ตอบเลย เพราะน่าจะไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา กาละมัง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:


“สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติ เป็นอนัตตาวินิจฉัยมีอยู่ดังนี้”

คุนน้องสงสัยประโยคสีแดงค่ะ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา แล้วทำไมนิพพานเป็นอนัตตาค่ะ :b10:


เดี๋ยวได้วกเข้าอัตตาอีก :b1:

ตอบเลย เพราะน่าจะไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา กาละมัง :b1:

เข้าใจสมมติบัญญัติ ว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วเห็นนิพพานแล้วหรอค่ะ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


nongkong เขียน:
เข้าใจสมมติบัญญัติ ว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วเห็นนิพพานแล้วหรอค่ะ :b1:


นิพพานเองนั่นแหละ ไม่ใช่สัตว์ ไม่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:

ท่านพุทธฏีกา คงเคยได้ยิน อุปสมานุสติ ที่น้อมจิตลงไปในอมตธาตุมี นิพพานเป็นอารมณ์
การพอใจยินดีในธรรมคือสมถะและวิปัสสนา ในที่นี้
เพราะตั้งอยู่ตรงนั้น ตรงที่น้อมจิตไปในอมตธาตุ
ท่านพุทธฏีกาเป็นนักปฏิบัติ ควรพิจารณา ให้ดีถึงความสอดคล้องกันในบทปฏิบัติ เพราะ
ไตรลักษณ์ ตามอรรถาจารย์พูดเองเออเองนั้น มีนามรูปเป็นอารมณ์
แต่ ณ ขณะที่ถึงบทที่ น้อมจิตไปในอมตธาตุนั้น พ้นแล้วจากการมีนามรูปเป็นอารมณ์
เพราะถ้ายังมีสังขตะธรรม หรือนามรูปเป็นอารมณ์ จิตจะน้อมไปในอมตธาตุได้อย่างไร
จริง หรือไม่จริง ท่านพุทธฏีกา


พูดให้คิดนะไม่ได้ค้านใครหรือส่งเสริมฝ่ายใด :b1: แต่พูดให้คิดร่วมกัน (แต่ก็ได้แค่คิดนะ)

ถ้าไม่มีนามรูป ไม่ผ่านนามรูป ไม่เกาะนามรูปไป จะเอาจิตที่ไหนน้อมไปสู่อมตธาตุล่ะ เพราะนามคือจิต แล้วจิตก็อาศัยรูป มองภาพรวมๆนะ ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร ถ้าไม่มีรูปนามเห็นๆนี้แล้วไปไหนไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ดอก คนนะไม่ใช่ผี คิกๆ :b1:


ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกกรัชกาย
สมัยพุทธกาล ก็มีผู้สงสัย ผู้ถามพระพุทธองค์เช่นกัน
และพระพุทธองค์ ก็วิสัชนาไว้แล้ว อ่านเอาเองนะกรัชกาย

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=24&A=8594&Z=8632&pagebreak=0

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เข้าใจสมมติบัญญัติ ว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วเห็นนิพพานแล้วหรอค่ะ :b1:


ความเข้าใจ เมื่อได้ยินได้ฟัง เป็นเพียง สุตตมยปัญญา
เมื่อน้อมคิดนึกพิจารณาไตร่ตรอง เป็นโยนิโสมนสิการ คือคิดนึกไตร่ตรองเข้าไปถึงความเป็นเหตุเป็นปัจจัยแล้ว เข้าใจตลอดแล้ว ก็ยังเป็นเพียง จินตมยปัญญา
ในระดับนี้ เพียงทำลายความคิดความเห็น ต่อความยึดถือว่าตน ว่าของตน ว่าเป็นตน แต่ก็ยังละไม่ได้เสียทีเดียวอย่างเด็ดขาด แต่ก็จัดว่า เพียงเห็นว่านิพพานมีอยู่ แต่ยังไม่บรรลุนิพพาน
จะต้องเจริญปัญญาภาวนา ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะละมานานุสัย อวิชชานุสัยได้ จึงจะบรรลุนิพพาน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 20:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
nongkong เขียน:
เข้าใจสมมติบัญญัติ ว่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วเห็นนิพพานแล้วหรอค่ะ :b1:


ความเข้าใจ เมื่อได้ยินได้ฟัง เป็นเพียง สุตตมยปัญญา
เมื่อน้อมคิดนึกพิจารณาไตร่ตรอง เป็นโยนิโสมนสิการ คือคิดนึกไตร่ตรองเข้าไปถึงความเป็นเหตุเป็นปัจจัยแล้ว เข้าใจตลอดแล้ว ก็ยังเป็นเพียง จินตมยปัญญา
ในระดับนี้ เพียงทำลายความคิดความเห็น ต่อความยึดถือว่าตน ว่าของตน ว่าเป็นตน แต่ก็ยังละไม่ได้เสียทีเดียวอย่างเด็ดขาด แต่ก็จัดว่า เพียงเห็นว่านิพพานมีอยู่ แต่ยังไม่บรรลุนิพพาน
จะต้องเจริญปัญญาภาวนา ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะละมานานุสัย อวิชชานุสัยได้ จึงจะบรรลุนิพพาน

ตอบได้กระจ่าง แจ่มแจ้งแก่ใจเลยค่ะ :b12:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เช่นนั้น เขียน:
พุทธฏีกา เขียน:
ที่ถูกควรกล่าวว่า อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ มีอยู่ในสังขตธรรม
ไม่ควรกล่าวว่า ไม่มีในกฏไตรลักษณ์ เพราะตัวมันเองเป็นกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติ
มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไปตามธรรมดาของเขาเอง ไม่ควรกล่าวว่าไม่มีใน
พุทธวจนะหรือที่สุดไม่ควรกล่าวว่า พระองค์ไม่ทรงสอน จึงจะควรครับ.

ไม่ว่ากัน
เพียงแต่ต้องการบทพิสูจน์ที่เป็นพุทธวจนะ ว่า
สังขตธรรม มีลักษณะสามประการ
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ขอพุทธพจน์ พร้อมบาลี

ไม่ใช่ พุทธพจน์ พร้อมอรรถกถาที่บิดเบือน

เพราะแม้แต่พระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬา(ภาษาไทย) ก็ยังไม่สวม "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์" เข้าว่าเป็นพุทธพจน์

และต้องถามท่านพุทธฏีกา ว่า ในพุทธพจน์ บทที่ว่ามานั้น ส่วนไหนของพุทธพจน์บทนั้น ยืนยันสิ่งที่ท่านนำมากล่าว

มีนะครับโยมพี่เช่นนั้น ในพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อุปปาทสูตร ทำlink ให้ไว้แล้ว
ในความเห็นก่อนๆ เชิญพิจารณาดูโดยรอบครอบครับผม อ่อ
แล้วอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลำดับที่จะทรงแสดงต่อเสมอๆ
ต่อเมื่อได้กล่าว พ้นเรื่อง ทาน ศีล สมาธิ จนมาถึง ปัญญา
เป็นไปโดยลำดับนะครับ มีหลายสูตร แยกย่อยมากมาย
ทำไมถึงไปยึดเอาแต่เพียงว่า... ต้องสังขตะสูตร หรือ
อนัตตาลักขณสูตร ควรเอาความหมาย เอาอรรถเอาเหตุ
เพื่ออบรมความรู้ความเข้าใจไม่ใช่หรือครับ^^

อ้างคำพูด:
เช่นนั้น :

ไม่ควรกล่าวว่า พระองค์บัญญัติ ไตรลักษณ์ ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสังขตะลักษณะ 3
พระองค์ บัญญัติไว้แล้ว ในสังขตะสูตร
คำพูดของพระองค์ ไม่เคยขัดแย้งกัน

อนัตตา เป็นองค์ธรรม ที่แสดงครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์ เพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวตน
เมื่ออนัตตา เป็นองค์ธรรมที่แสดงเพื่อการนั้น อนัตตา เป็นองค์ธรรมแห่งมัคค์ เป็นส่วนของปัญญาขันธ์
จริงหรือไม่จริง ท่านพุทธฏีกา


ถึงตรงนี้ก็ เลยไม่เข้าใจแล้วว่า ประเด็นอยู่ไหน พุธทฏีกาแสดงอรรถกถา
หากไม่เห็นว่า ควรพิจารณาก็ไม่เป็นไรครับ (เพราะยกนิดเดียว) ส่วน
บาลีนั้น ก็ไม่ได้ยกบทอื่นที่ไหน เป็นบทที่กัลยาณมิตรช่วยกัน นำมาแสดง
ให้เห็นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลักษณะ ของ สังขตะธรรม ^^


อืมคือเข้าใจว่า ตั้งแต่โยมพี่วิริยะ ยกบาลีมาให้ดู โยมพี่เช่นนั้นก็แสดง
ต้นปลายไปอีกทาง ให้กัลยาณมิตรหา พระสูตร มาต่อ เพราะว่ามันไม่ลง
กับความเห็น อย่างนี้ก็คงลงยากครับ บางทีเสียโอกาสที่เพื่อนๆ ช่วยกัน
ชี้กันแสดงเอาเสียด้วยซ้ำ พุทธฏีกาคิดอย่างนั้นจริงๆ ครับ ^^

พุทธฏีกาให้ข้อมูล ประกอบและสอบถามดูว่าโยมพี่เช่นนั้นเข้าใจ หรือเข้าใจผิด
ในคำสวม ไม่สวม เจาะจงลงใน คำว่า "อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์"ไม่แต่อย่างไรเลย ได้ชี้แจง
พอสมควรแล้วว่า ตัวบาลี ที่ขีดเส้นใต้ไม่ได้แปลเกินเลยครับ เป็นสรุปความ
ย่อเอาไว้ด้้วยซ้ำ ด้วยบาลีว่า โส ตตฺถฏฺฐิโต
ซึ่งมีกล่าวเอาไว้แล้วในทั้ง มหามาลุงกยสูตร กับ ฌานสูตร เหมือนกัน

เข้าใจครับว่าปฏิเสธต่อ อรรถกถาจารย์ แต่ตัวบาลีใน มหามาลุงกายสูตร ว่า

เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมี
อยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด
ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอ
ย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่ง
สังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด
ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย


--------------


ข้างต้นพระองค์ก็ลำดับให้แล้ว ว่าควรพิจารณา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌาน โดยความ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ???

ก็ถ้าโยมพี่เช่นนั้น ยังลงความเห็นว่า ขันธ์ ๕ องค์ฌาน เป็นอื่นไปจาก ลักษณะของสังขตะธรรม(ความปรุงแต่ง)ได้อีก

ก็จะยกมาให้ดูชัดๆ อีกพระสูตร และตรงที่กล่าวว่า ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ในคัมภีร์ เนตติปกรณ์ที่ผู้เข้าใจใน พุทธพจน์โดยถ่องแท้ เขาเรียกว่า มีการแสดง
นัยโดยหลายประการ เช่น อาจแสดงแต่หัวข้อ ของการทำให้ จิตประณีต บริสุทธิ์
ซึ่งนั่นก็เริ่ม ตั้งแต่ ปฐมฌาน แต่ไม่ได้หมายความว่า ข้อความอื่นๆ จะไม่ปรากฏ
ซึ่งได้แก่ ทุติยฌาน ตติยฌาน จนไปถึงอรูปฌาน หรือเจริญปัญญา อบรม
วิปัสสนา โดยความไม่เที่ยง เ็ป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ^^


ไม่ใช่เพราะว่า โบราณจารย์แปลมั่ว หยิบมั่ว นี่เป็นโทษอย่างหนึ่งที่เราก้าวล่วง
ต่อพระเถราณุเถระ โบราณาจารย์ที่ เมตตาอธิบายขยายความ มีสภาวะองค์ธรรม
ต่างๆ รองรับ ไม่ได้ขัดแย้งต่อพุทธพจน์ บาลี แ่ต่บางทีเป็นพวกเราเองเอามาขัดกันเอง


อย่างคำว่า เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย
พุทธฏีกา ก็ยกอรรถกถาจารย์มาแสดง โอเคโยมพี่เช่นนั้นจะเข้าใจ
ลำดับของการภาวนา ว่า เป็นปฐมฌานเท่านั้น ก็ไม่เสียหาย แต่ที่สุด พระองค์
ก็ทรงแสดงด้วย สามัญลักษณะ ด้วยไตรลักษณ์ ด้วยธรรมนิยามอยู่ดี ว่า

โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด
ว่างเปล่า เป็นอนัตตา ^^

ถึงไม่ได้ ยกอรรถกถาจารย์ บาลีเดิม ในมหามาลุงกายสูตร ก็ถ้าโยมพี่เช่นนั้น
ยังลงความเห็นว่าเป็นอื่นไปจาก ลักษณะของสังขตะธรรมได้อีก ก็ยก ฌานสูตรต่อ
หากว่า ยังลงความเห็นว่าเป็นอื่นไปจาก ลักษณะของสังขตะธรรมได้ ^^

คือยังไม่ต้องพูดถึงตัวการปฏิบัติ ให้สมควรแก่ธรรม พักไว้ก่อนก็ได้ครับโยมพี่
เรามาดูว่า ความเข้าใจเราสอดคล้องถูกผิด พุทธฏีกาเข้าใจผิดหรือว่ายังไม่ตรง
ก็จะได้ สนทนาธรรมกันตามกาล อย่างกัลยาณมิตรสนทนากัน ^^

ตอนท้ายๆ นะครับ จะได้เห็นความสอดคล้อง ที่มาที่ไป ที่อรรถกถาจารย์กล่าวไว้
ว่า ไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ ความจริง ก็ไม่เห็นว่า่มีข้อความเข้าใจยากตรงไหน

อ้างคำพูด:
โดยความเป็น
ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ในธรรม
เหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ
ธรรมเป็นที่สงบสังขารทั้งปวง ... นิพพาน เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนฌาน
นั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่พึงกลับจากโลก
นั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลิน
ในธรรมนั้นๆ
ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่ง
อาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้
กล่าวแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้แล สัญญาสมาบัติมีเท่าใด สัญญา-
*ปฏิเวธก็มีเท่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะ ๒ เหล่านี้ คือ เนวสัญญานา-
*สัญญายตนสมาบัติ ๑ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑ ต่างอาศัยกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวว่า อายตนะ ๒ ประการนี้ อันภิกษุผู้เข้าฌานผู้ฉลาดในการเข้าสมาบัติ
และฉลาดในการออกจากสมาบัติ เข้าแล้วออกแล้ว พึงกล่าวได้โดยชอบ ฯ


โส ตตฺถฏฺฐิโต เธอตั้งอยู่ในปฐมฌาน
เธอตั้งอยู่ใน ทุติย ตติย...จนมาถึง เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ๑
สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑ ต่างอาศัยกัน ^^

ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ เตเนว ธมฺมราเคน เป็นทั้งสมถะวิปัสสนา ^^

เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ๑ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑ ต่างอาศัยกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวว่า อายตนะ ๒ ประการนี้ อันภิกษุผู้เข้าฌานผู้ฉลาดในการเข้าสมาบัติ
และฉลาดในการออกจากสมาบัติ เข้าแล้วออกแล้ว พึงกล่าวได้โดยชอบ ฯ ^^


ทั้งสองพระสูตร ทั้ง มหามาลุงกยสูตร กับ ฌานสูตร เดินฌานจิตเหมือนกัน
ทรงให้พิจารณา ถึงขันธ์ ๕ และองค์ฌาน ที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง(สังขตธรรม)
ว่ามีลักษณะโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็แปลว่าต้องอาศัย
ทั้งสมถะและวิปัสสนาทั้งสองส่วน ไตรลักษณ์ ไม่ใช่มีหรือเป็นเพราะเข้าใจว่า
ต้องเดินปัญญาอย่างเดียว หรือ เข้าใจว่า เจาะจงอยู่ในพระสูตรนี้ มีชื่อนี้
พิมพ์ไว้อย่างนี้ ต้องพิจารณาข้อความทั้งหมดซึ่ง แท้จริงต้องอาศัยทั้งสมาธิและปัญญา
ควบคู่กันไป เพื่อให้เห็นลักษณะของความ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ตั้งแต่
ปฐมฌานจนถึง เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และสัญญาเวทยิตนิโรธ ^^


เช่นนั้น เขียน:

การเจริญวิปัสสนา
โดยอาศัย สัญญาต่างๆ มีอยู่พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสแต่
ไม่ควรกล่าวว่า พระองค์บัญญัติ ไตรลักษณ์ ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสังขตะลักษณะ 3
พระองค์ บัญญัติไว้แล้ว ในสังขตะสูตร
คำพูดของพระองค์ ไม่เคยขัดแย้งกัน


ครับอย่างที่ชี้แจงไปนะครับ อรรถกถาจารย์ และพระทรงปริยัติ ผู้รู้
ความจริงไม่ค่อยขัดแย้งกันหรอกครับ เป็นเราเอง ยึดเอง แย้งเอง
เสียมากกว่า สังขตสูตร อสังขตสูตร มีลักษณะ ๓ อันนี้ก็เห็นด้วย
แต่หากกล่าวว่า

เช่นนั้น เขียน:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ


จะบิดเบือนกว่า อรรถกถาจารย์ที่โยมพี่เช่นนั้นไปตำหนิอยู่เสียอีกนะครับ

เช่นนั้น เขียน:
สิ่งที่พุทธฏีกา พึงจำไว้ให้ดี
การเจริญวิปัสสนา โดย อนิจจสัญญา หรือ ทุกขสัญญา หรือ อนัตตสัญญา มีอยู่
แต่ไม่ใช่ว่า พอมี ก็เหมาลงไปว่าเป็น ลักษณะของสังขตะธรรม ตามทีเรียนรู้ตามกันมา

ผมขอ พุทธวจนะยืนยัน ไม่ใช่ขอคำอธิบายของอรรถาจารย์ ครับ


อ้างคำพูด:
[๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้น
ก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้ง
อยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้ว
จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร
ทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็เตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่าง
นั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึง
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม
ทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ

----------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
อุปปาทสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/576/368



ได้แสดงความเห็นและข้อมูลพอสมควรแล้วนะครับ ไตร่ตรองดูนะครับ เจริญพร.^^

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
มีนะครับโยมพี่เช่นนั้น ในพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อุปปาทสูตร ทำlink ให้ไว้แล้ว
ในความเห็นก่อนๆ เชิญพิจารณาดูโดยรอบครอบครับผม อ่อ
แล้วอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลำดับที่จะทรงแสดงต่อเสมอๆ
ต่อเมื่อได้กล่าว พ้นเรื่อง ทาน ศีล สมาธิ จนมาถึง ปัญญา
เป็นไปโดยลำดับนะครับ มีหลายสูตร แยกย่อยมากมาย
ทำไมถึงไปยึดเอาแต่เพียงว่า... ต้องสังขตะสูตร หรือ
อนัตตาลักขณสูตร ควรเอาความหมาย เอาอรรถเอาเหตุ
เพื่ออบรมความรู้ความเข้าใจไม่ใช่หรือครับ^^

กราบนมัสการ ท่านพุทธฎีกา
เช่นนั้นทราบ ว่า ท่านพุทธฎีการมีเจตนาที่ดี
เพียงแต่
ต้องทำความเข้าใจว่า
อนัตตลักขณะสูตร เป็นการประกาศ อนัตตา
ไม่ใช่การประกาศ ไตรลักษณ์ ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังที่เข้าใจกันและอนุมานเอาว่า
เป็นสังขตะลักษณะ

ผู้ศึกษาพุทธธัมม์ พึงทราบว่า
การวิปัสสนา แม้ วิปัสสนา ด้วย อนิจจสัญญา ทุกขสัญญา หรือ อนัตตสัญญา
ดังที่พระพุทธองค์แสดงต่อเนื่องกัน
แต่ไม่พึงเข้าใจว่า นั่นเป็นสิ่งที่พระองค์แสดงว่า เป็นสังขตะลักษณะ
จึงเป็นการเพิ่มบัญญัติเอาเองโดยปริยาย ว่า สังขตะลักษณะต้องเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อนัตตา เป็นองค์ธรรมที่สำคัญ และไม่จำเป็นต้อง ทำวิปัสสนาโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลำดับก็ได้
จะวิปัสสนา อนัตตา โดยความเป็นสุญญตา องค์เดียวโดดๆ ก็ได้

ดังนั้น อนัตตา คืออนัตตาซึ่งเป็นองค์ธรรมที่ประกอบในมัคคภาวนา
พระพุทธองค์ จะแสดงวิปัสสนา ใดๆ ก็ตาม ต้องมีองค์ธรรม อนัตตา เสมอ

ผู้ศึกษาธัมม์ จึงจำเป็นจะต้องมีความชัดเจน ในบทธรรม ว่า
สังขตะลักษณะ ก็เป็นข้อธรรมหนึ่งที่มีลักษณะ 3 ประการ
อนัตตลักขณะ ก็มีลักษณะของตัวข้อธรรมเอง อย่าเอามาปนเปกัน
จนกลายเป็นข้อถกเถียงกันมาช้านาน
เพราะมัวแต่ถกเถียง สิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้บัญญัติ ว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์บัญญัติ
ครั้นพอให้สืบค้นบัญญัติ ก็ใช้วิธีการเทียบเคียงอนุมานเอา

ถ้าเข้าใจแยกแยะชัดเจน ก็จะหมดเรื่องที่ต้องมาถกเถียงกันว่า
"นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา
นิพพานพ้นไตรลักษณ์อย่างไร
สังขตะธรรมมีลักษณะ 3 ประการ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา?
และทำไม อนัตตา จึงมีส่วนในธรรมทุกอย่าง"

ให้จบด้วยพุทธวจนะ
อย่าจบด้วยความคิดเห็นของอรรถาจารย์

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
อืมคือเข้าใจว่า ตั้งแต่โยมพี่วิริยะ ยกบาลีมาให้ดู โยมพี่เช่นนั้นก็แสดง
ต้นปลายไปอีกทาง ให้กัลยาณมิตรหา พระสูตร มาต่อ เพราะว่ามันไม่ลง
กับความเห็น อย่างนี้ก็คงลงยากครับ บางทีเสียโอกาสที่เพื่อนๆ ช่วยกัน
ชี้กันแสดงเอาเสียด้วยซ้ำ พุทธฏีกาคิดอย่างนั้นจริงๆ ครับ ^^

เช่นนั้น เขียน:
สิ่งที่พุทธฏีกา พึงจำไว้ให้ดี
การเจริญวิปัสสนา โดย อนิจจสัญญา หรือ ทุกขสัญญา หรือ อนัตตสัญญา มีอยู่
แต่ไม่ใช่ว่า พอมี ก็เหมาลงไปว่าเป็น ลักษณะของสังขตะธรรม ตามทีเรียนรู้ตามกันมา

ผมขอ พุทธวจนะยืนยัน ไม่ใช่ขอคำอธิบายของอรรถาจารย์ ครับ


อ้างคำพูด:
[๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้น
ก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้ง
อยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้ว
จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร
ทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็เตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่าง
นั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึง
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม
ทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ

----------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
อุปปาทสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/576/368



ได้แสดงความเห็นและข้อมูลพอสมควรแล้วนะครับ ไตร่ตรองดูนะครับ เจริญพร.^^


การยกมาเช่นนั้น เป็นการดี ยิ่งแสดงให้เห็นว่า
สังขตะธรรมที่เรียกว่า สังขารนั้น มีลักษณะครอบคลุม ด้วยอนิจจัง และทุกขัง
ครั้นพอมาถึง อนัตตา พระพุทธองค์ ใช้คำว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

นี่เป็นข้อธรรมที่ใช้ในการวิปัสสนา
ไม่ใช่บัญญัติกำหนดลักษณะของสังขตะธรรม

การทำวิปัสสนา จึงต่างจากการระบุว่า สังขตะธรรมมีลักษณะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เขียนออกมาใกล้เคียงกัน แต่ความหมายมันต่างกันมากมายนะครับท่านพุทธฎีกา

เช่นนั้น แสดงต้นอย่างไร ปลายอย่างนั้นเสมอกันครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
จริงอยู่ ดาบสและปริพาชกทั้งหลายผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก

แม้มีสรภังคศาสดาเป็นต้น ย่อมสามารถกล่าวว่า อนิจจัง ทุกขัง ได้ แต่ไม่

สามารถจะกล่าวว่า อนัตตา ได้ แม้ถ้าพวกดาบสเป็นต้นเหล่านั้นพึงสามารถ

กล่าวคำว่า อนัตตา ในบริษัทที่ประชุมกันแล้ว บริษัทที่ประชุมกันก็จะพึง

แทงตลอดมรรคและผล เพราะการประกาศให้รู้อนัตตลักษณะไม่ใช่วิสัยของ

ใคร ๆ อื่น เป็นวิสัยของพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น
อนัตตลักษณะนี้จึง

ไม่ปรากฏแล้วด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น พระศาสดาเมื่อจะแสดงอนัตต-

ลักษณะจึงทรงแสดง โดยความไม่เที่ยงบ้าง โดยความเป็นทุกข์บ้าง

โดยทั้งความไม่เที่ยงทั้งความเป็นทุกข์บ้าง แต่ในอายตนวิภังค์นี้ พึงทราบ

ว่า ทรงแสดงอายตนะนั้นทั้งโดยความไม่เที่ยง ทั้งโดยความเป็นทุกข์ ดังนี้.

ถามว่า ก็ลักษณะเหล่านี้ย่อมไม่ปรากฏ เพราะไม่มนสิการอะไร

ไม่แทงตลอดอะไร และอันอะไรปิดปังไว้.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ตอบว่า อนิจจลักษณะก่อน ย่อมไม่ปรากฏ เพราะไม่มนสิการ

ไม่แทงตลอดความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป และเพราะสันตติปิดบังไว้. ทุกข-

ลักษณะ ย่อมไม่ปรากฏ เพราะไม่มนสิการ ไม่แทงตลอดความบีบคั้นเนือง ๆ

แต่เพราะอิริยาบถทั้งหลายปิดบังไว้. อนัตตลักษณะ ย่อมไม่ปรากฏ เพราะ

ไม่มนสิการ ไม่แทงตลอดการแยกธาตุต่าง ๆ และเพราะอันฆนสัญญาปกปิดไว้.

ก็พระโยคาวจรกำหนดความเกิดและความเสื่อมเพิกสันตติได้แล้ว

อนิจจลักษณะ ย่อมปรากฏโดยกิจตามความเป็นจริง มนสิการการบีบคั้น

เนือง ๆ สับเปลี่ยนอิริยาบถได้แล้ว ทุกขลักษณะ ย่อมปรากฏโดยกิจตามความ

เป็นจริง เมื่อแยกธาตุต่างๆ แล้วทำการแยกความเป็นก้อน อนัตตลักษณะ

ย่อมปรากฏโดยกิจตามความเป็นจริง.

อนึ่ง ในอธิการนี้ พึงทราบวิภาค (การจำแนก) นี้ คือ

อนิจฺจํ (ความไม่เที่ยง)

อนิจฺจลักฺขณํ (ลักษณะแห่งความไม่เที่ยง)

ทุกฺขํ ( ความทุกข์)

ทุกฺขลกฺขณํ (ลักษณะแห่งทุกข์)

อนตฺตา (ไม่ใช่อัตตา)

อนตฺตลกฺขณํ (ลักษณะแห่งอนัตตา).

บรรดาวิภาคทั้ง ๖ เหล่านั้น ค่าว่า อนิจจัง ได้แก่ ขันธ์ ๕.

เพราะเหตุไร ? เพราะความที่ขันธ์ ๕ มีความแปรเปลี่ยนไปด้วยความเกิดและ

ความเสื่อม หรือว่า เพราะมีแล้วกลับไม่มี. ความที่ขันธ์ ๕ มีความแปร

เปลี่ยนไปด้วยความเกิดและความเสื่อม หรือว่า ความเปลี่ยนแปลงแห่งอาการ

(ลักษณะ) กล่าวคือ เป็นแล้วกลับไม่เป็น ชื่อว่า อนิจจลักษณะ.
อ้างคำพูด:

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เช่นนั้น เขียน:
พุทธฏีกา เขียน:
มีนะครับโยมพี่เช่นนั้น ในพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อุปปาทสูตร ทำlink ให้ไว้แล้ว
ในความเห็นก่อนๆ เชิญพิจารณาดูโดยรอบครอบครับผม อ่อ
แล้วอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลำดับที่จะทรงแสดงต่อเสมอๆ
ต่อเมื่อได้กล่าว พ้นเรื่อง ทาน ศีล สมาธิ จนมาถึง ปัญญา
เป็นไปโดยลำดับนะครับ มีหลายสูตร แยกย่อยมากมาย
ทำไมถึงไปยึดเอาแต่เพียงว่า... ต้องสังขตะสูตร หรือ
อนัตตาลักขณสูตร ควรเอาความหมาย เอาอรรถเอาเหตุ
เพื่ออบรมความรู้ความเข้าใจไม่ใช่หรือครับ^^

กราบนมัสการ ท่านพุทธฎีกา
เช่นนั้นทราบ ว่า ท่านพุทธฎีการมีเจตนาที่ดี

อนุโมทนาสาธุ ด้วยความนับถือครับโยมพี่เช่นนั้น ^^

เช่นนั้น เขียน:
เพียงแต่
ต้องทำความเข้าใจว่า
อนัตตลักขณะสูตร เป็นการประกาศ อนัตตา
ไม่ใช่การประกาศ ไตรลักษณ์ ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังที่เข้าใจกันและอนุมานเอาว่า
เป็นสังขตะลักษณะ

ผู้ศึกษาพุทธธัมม์ พึงทราบว่า
การวิปัสสนา แม้ วิปัสสนา ด้วย อนิจจสัญญา ทุกขสัญญา หรือ อนัตตสัญญา
ดังที่พระพุทธองค์แสดงต่อเนื่องกัน
แต่ไม่พึงเข้าใจว่า นั่นเป็นสิ่งที่พระองค์แสดงว่า เป็นสังขตะลักษณะ
จึงเป็นการเพิ่มบัญญัติเอาเองโดยปริยาย ว่า สังขตะลักษณะต้องเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

มิได้ครับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นแหละ กำหนดด้วยความเป็นลักษณะ ของ สังขตะ
(ความปรุงแต่ง,จิต เจตสิก รูป)หรือเรียกอีกอย่างว่า สังขารธรรมก็ได้ ^^


เช่นนั้น เขียน:
อนัตตา เป็นองค์ธรรมที่สำคัญ และไม่จำเป็นต้อง ทำวิปัสสนาโดย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลำดับก็ได้
จะวิปัสสนา อนัตตา โดยความเป็นสุญญตา องค์เดียวโดดๆ ก็ได้

ดังนั้น อนัตตา คืออนัตตาซึ่งเป็นองค์ธรรมที่ประกอบในมัคคภาวนา
พระพุทธองค์ จะแสดงวิปัสสนา ใดๆ ก็ตาม ต้องมีองค์ธรรม อนัตตา เสมอ

ผู้ศึกษาธัมม์ จึงจำเป็นจะต้องมีความชัดเจน ในบทธรรม ว่า
สังขตะลักษณะ ก็เป็นข้อธรรมหนึ่งที่มีลักษณะ 3 ประการ
อนัตตลักขณะ ก็มีลักษณะของตัวข้อธรรมเอง อย่าเอามาปนเปกัน
จนกลายเป็นข้อถกเถียงกันมาช้านาน


ไม่น่าจะปะปนอะไรนะครับ กัลยาณมิตรในนี้ก็ใช้กันถูกนิครับ เช่น

กรัชกาย เขียน:
เอาอีกหน่อยก็ได้ :b1:

ธรรมทั้งหลายทั้งปวง (สพฺเพ ธมฺมา ...) แยกประเภทได้เป็น 2 อย่างคือ

1. สังขตธรรม ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ ธรรมที่มีปัจจัย สภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่งขึ้น สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมารวมกันแต่งสรรค์ขึ้น สิ่งที่ปัจจัยประกอบเข้า หรือสิ่งที่ปรากฏและเป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สังขาร” ซึ่งมีรากศัพท์และคำแปลเหมือนกัน หมายถึง สภาวะทุกอย่าง ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ทั้งที่ดี ที่ชั่ว และที่เป็นกลางๆ ทั้งหมด เว้นแต่นิพพาน


2. อสังขตธรรม ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง ได้แก่ ธรรมที่ไม่มีปัจจัย หรือสภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วิสังขาร” ซึ่งแปลว่า สภาวะปลอดสังขาร หรือสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน


ในบาลีบางแห่งจึงมีพุทธพจน์แสดงลักษณะของสังขตธรรม และอสังขตธรรมไว้ เรียกว่า สังขตลักษณะ และ อสังขตลักษณะ ใจความว่า

สังขตลักษณะ คือ เครื่องหมายที่ทำให้กำหนดรู้ หรือเครื่องกำหนดหมายให้รู้ว่าเป็นสังขตะ (ว่าเป็นสภาวะที่มีปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่สรรค์ขึ้น) ของสังขตธรรม มี 3 อย่าง คือ

1. ความเกิดขึ้น ปรากฏ

2. ความแตกดับหรือความสลาย ปรากฏ

3. เมื่อดำรงอยู่ความผันแปร ปรากฏ


ส่วนอสังขตลักษณะ คือ เครื่องหมายที่ทำให้กำหนดรู้ หรือเครื่องกำหนดหมายให้รู้ว่าเป็นอสังขตะ (ว่ามิใช่สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่สรรค์ขึ้น) ของอสังขตธรรม มี 3 อย่าง คือ

1. ไม่ปรากฏความเกิด

2. ไม่ปรากฏความสลาย

3. เมื่อดำรงอยู่ไม่ปรากฏความผันแปร


รวมความว่า อสังขตธรรม หรือวิสังขาร คือนิพพาน พ้นจากภาวะไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ แต่ก็เป็นอนัตตา ไร้ตัว มิใช่ตน

ส่วนธรรมอื่นนอกจากนั้น คือสังขาร หรือสังขตธรรมทั้งหมด ทั้งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ดังความในบาลีวินัยปิฏกผูกเป็นคาถายืนยันไว้ว่า

“สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติ เป็นอนัตตาวินิจฉัยมีอยู่ดังนี้”


สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ^^

เช่นนั้น เขียน:
เพราะมัวแต่ถกเถียง สิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้บัญญัติ ว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์บัญญัติ
ครั้นพอให้สืบค้นบัญญัติ ก็ใช้วิธีการเทียบเคียงอนุมานเอา

ถ้าเข้าใจแยกแยะชัดเจน ก็จะหมดเรื่องที่ต้องมาถกเถียงกันว่า
"นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา
นิพพานพ้นไตรลักษณ์อย่างไร
สังขตะธรรมมีลักษณะ 3 ประการ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา?
และทำไม อนัตตา จึงมีส่วนในธรรมทุกอย่าง"

ให้จบด้วยพุทธวจนะ
อย่าจบด้วยความคิดเห็นของอรรถาจารย์

มิได้ครับ บุคคลอื่นจะมัวถกเถียงกันหรืออย่างไร พุทธฏีกาไม่ทราบครับ
พุทธฏีกามีเจตนา ตรวจทานความเข้้าใจตนเอง ^^(เกรงว่าจะเข้าใจผิด)
ที่เห็นโยมพี่เช่นนั้นโพสต์ว่า

เช่นนั้น เขียน:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ


อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระพุทธองค์ไม่ได้บอก บัญญัติ แต่งตั้ง
แสดง เปิดเผย ทำให้ง่าย ???
(อุปปาทสูตร)

"ทำไม อนัตตา จึงมีส่วนในธรรมทุกอย่าง" ไม่ทุกอย่างครับ มีสองอย่าง
สังขาร กับ วิสังขาร สังขตะปรุงแต่ง กับ อสังขตะพ้นจากสภาพปรุงแต่ง
พ้นการปรุงแต่ง ธรรมสองอย่างนั้น เป็นอนัตตาเพราะว่า พ้นจากสภาพสัตว์
บุคคลตัวตนเราเขาด้วย ไม่เป็นไปตามอำนาจด้วย ^^

เช่นนั้น เขียน:
ให้จบด้วยพุทธวจนะ
อย่าจบด้วยความคิดเห็นของอรรถาจารย์


ครับพุทธฏีกาก็ได้จบด้วย พุทธวจนะ ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก
เล่มที่ ๑๒อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อุปปาทสูตร ไม่ได้จบด้วยความเห็นส่วนตัว ^^

ยินดีที่ได้สนทนาด้วยนะครับโยมพี่เช่นนั้น หากผิดพลาดล่วงเกินทำให้ขุ่นข้อง
หมองใจก็ขออดโทษให้อภัยกันด้วยนะครับ เจริญพร.^^

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เบญจขันธ์นั้นนั่นเอง ชื่อว่า ทุกข์ เพราะพระบาลีว่า สิ่งใดไม่เที่ยง

สิ่งนั้น เป็นทุกข์ ดังนี้. เพราะเหตุไร ? เพราะมีการบีบคั้นเนือง ๆ

อาการ (คือลักษณะ) ที่บีบคั้นเนือง ๆ ชื่อว่า ทุกขลักษณะ.

ก็เบญจขันธ์นั้นนั่นเอง ชื่อว่า อนัตตา เพราะพระบาลีว่า สิ่งใด

เป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา ดังนี้. เพราะเหตุไร ? เพราะไม่เป็นไป

ในอำนาจ. อาการ (คือลักษณะ) ที่ไม่เป็นไปในอำนาจ ชื่อว่า อนัตตลักษณะ

เพราะฉะนั้น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา จึงเป็นอย่างหนึ่ง อนิจจลักษณะ

ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ จึงเป็นอย่างหนึ่ง.

จริงอยู่ คำว่า ขัน  ๕อายตนะ๑๒ธาตุ๑๘นี้แม้ทั้งหมดชื่อว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แต่วิการ (การเปลี่ยนแปลง) แห่ง

อาการ (ลักษณะ) มีประการตามที่กล่าวแล้ว ชื่อว่า อนิจจลักษณะ

ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ ฉะนี้แล.

อนึ่ง ว่าโดยสังเขปในอายตนวิภังค์นี้ อายตนะ ๑๒ เป็นกามาพจร

อายตนะ ๑๒ (คือ มนายตนะ และธรรมายตนะ) เป็นไปในภูมิ ๓ วาระว่า

ด้วยการพิจารณา พึงทราบว่า ตรัสไว้ในอายตนะแม้ทั้งหมดแล.

วรรณนาสุตตันตภาชนีย์ จบ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
"ทำไม อนัตตา จึงมีส่วนในธรรมทุกอย่าง" ไม่ทุกอย่างครับ

มีสองอย่าง
สังขาร กับ วิสังขาร สังขตะปรุงแต่ง กับ อสังขตะพ้นจากสภาพปรุงแต่ง พ้นการปรุงแต่ง

ธรรมสองอย่างนั้น เป็นอนัตตาเพราะว่า พ้นจากสภาพสัตว์
บุคคลตัวตนเราเขาด้วย ไม่เป็นไปตามอำนาจด้วย ^^

มิได้ครับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นแหละ กำหนดด้วยความเป็นลักษณะ ของ สังขตะ
(ความปรุงแต่ง,จิต เจตสิก รูป)หรือเรียกอีกอย่างว่า สังขารธรรมก็ได้ ^^


ต่อไปก็
อนิจจัง มีลักษณะเป็นสังขตะ ?????
ทุกขัง มีลักษณะเป็นสังขตะ ????
อนัตตา มีลักษณะเป็นสังขตะ ????


อย่าอนุมานต่อไปเลยครับท่านพุทธฎีกา
เมื่อพุทธบัญญัติต่อสังขตะลักษณะมีอย่างไร
ก็ต้องจบตามนั้น
เพราะในอุปปาทสูตร แสดงพุทธวจนะเกี่ยวกับ ธาตุ (ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้)
ไม่ได้บัญญัติเรื่องสังขตะลักษณะว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถ้าบัญญัติ ว่าสังขตะลักษณะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ต้องบัญญัติว่า
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจัง สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา
ท่านกำลังเอามาปนกัน และบิดเบือนข้อธรรมที่พระพุทธองค์แสดง

^^

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 30 พ.ค. 2013, 00:10, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2013, 23:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อุปปาทสูตร
[๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติ
ขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา
ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้น
ก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้ง
อยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้ว
จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร
ทั้งปวงเป็นทุกข์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่าง
นั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึง
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม
ทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ


ถามพุทธฎีกาว่า
ธาตุที่พระองค์บรรลุ คือ สังขตะธรรม ที่ท่านพุทธฏีกา บอกว่าเป็นสังขารธรรม
หรือ ธาตุ ที่พระองค์บรรลุ คือ ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้
หรือ ธาตุที่พระองค์บรรลุ คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร