วันเวลาปัจจุบัน 10 มิ.ย. 2025, 00:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บ่องตงตง เราเรียนธรรมะกัน ยิ่งเรียนยิ่งไกลๆ ออกไปจากธรรมชาติ (ที่สมมุติเรียกกันว่า ตัวเอง) ทุกทีๆๆๆ เกือบจะเป็นโลกแห่งความเพ้อฝัน
เรียนแล้วไม่น้อมเข้ามาเทียบกับตัว ณ ปัจจุบัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เช่นนั้น เขียน:

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ

พระพุทธองค์สอนแบบนี้
ไตรลักษณ์ ของ สังขตะ
ไตรลักษณ์ ของ อสังขตะ
ไม่ปรากฏคำว่า อนัตตา

ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน

จิต เจตสิก รูป เป็นสังขตะ
นิพพาน เป็นอสังขตะ

กล่าวเช่นนี้จริงหรือครับ?...
ถ้าจริง.....สาธุ...อย่างแรงครับ.. :b8: :b8: :b8:

จริงครับ คุณกบ
ปรากฏอยู่ใน สังขตะสูตร กับอสังขตะสูตร ครับ
เคยทำลิงค์ ไว้ให้ในกระทู้หนึ่งแล้วครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ

ฟังให้ดีน่ะเช่นนั้น คำว่า"ไตรลักษณ์"นี่น่ะ ไม่ใช่บัญญัติที่พระพุทธเจ้ากำหนด
คำนี้ไม่มีในธรรมวินัย และมันก็ไม่มีใน สังขตสูตรและอสังขตสูตรด้วย
อย่าว่าแต่เขาอิเนาเป็นเองมันไม่ดี

"ไตรลักษณ์"ที่ลุงหมานเอามาใช้ มันเป็นความสมเหตุสมผลกว่าของเช่นนั้น
เช่นนั้น เอาคำว่าไตรลักษณ์มาใช้ผิดที่ผิดทาง

ความหมายของไตรลักษณ์ ที่อรรถกถาจารย์บัญญัติขึ้นเพื่อ
อธิบายให้รู้ว่า องค์ธรรมเดียวแต่มีลักษณะ๓ประการ
องค์ธรรมเดียวหมายถึงขันธ์ห้าแต่ละขันธ์ อย่างเช่น รูปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
วิญญาณเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาและขันธ์ที่เหลือก็เช่นกัน


สิ่งที่เช่นนั้นเอามาอ้างมันคนละเรื่อง สังขตสูตรและอสังขตสูตรมันเป็นการกล่าวถึง
อาการของสังขตธรรมและอสังขตธรรม ความหมายในพระสูตรนี้หมายถึง....
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ การไปรู้การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของสังขาร
ทำให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา(อรรถกถาจารย์เรียกไตรลักษณ์)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์สอนแบบนี้
ไตรลักษณ์ ของ สังขตะ
ไตรลักษณ์ ของ อสังขตะ
ไม่ปรากฏคำว่า อนัตตา

สอนแบบนี้ที่ไหน ว่าคนอื่นขี้ตู่ ตัวเองตู่หนักกว่าเขาอีก แถมอ่านพระสูตรไม่เป็นอีกแน่ะ
เอามาจากแปลบาลีสยามรัฐเลย.....

สังขตสูตร

ว่าด้วยลักษณะแห่งสังขตธรรม ๓ ประการ
[๔๘๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ นี้
๓ คืออะไร คือ ความเกิดขึ้น ( ในเบื้องต้น ) ย่อมปรากฏ ความเสื่อมสิ้นไป
(ในที่สุด) ย่อมปรากฏ เมื่อยังตั้งอยู่ ความแปรไปย่อมปรากฏ ภิกษุทั้งหลาย
สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล.

และนีอีกครับ.......

อสังขตสูตร

ว่าด้วยลักษณะแห่งอสังขตธรรม ๓ ประการ

[๔๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ นี้
๓ คืออะไร คือ ความเกิดขึ้น ไม่ปรากฏ ความเสื่อมสิ้น ก็ไม่ปรากฏ เมื่อ
ตั้งอยู่ความแปรไปก็ไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของ
อสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล.


มันมีตรงไหนที่บอกว่าไตรลักษณ์ของสังขตหรืออสังขตะ

สังขตลักษณะของสังขตธรรม นี้หมายถึง อาการของสังขารในสังขตธรรม
อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม นี้หมายถึง อาการของวิสังขารในอสังขตธรรม
และอาการของสังขารและลักษณะของสังขตธรรมเป็นอย่างไร ก็ไปดูในพุทธพจน์ที่ผมเอามาอ้าง
อสังขตธรรมก็เช่นกัน

สรุปก็คือ เช่นนั้นกำลังมึนเอาธรรมไปปนกันมั่ว
เพราะไม่เข้าใจแยกแยะธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน

ในเมื่อ"ไตรลักษณ์"คำนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้บัญญัติ
จะเอามาใช้อธิบายพุทธพจน์สองพระสูตรนี่ไม่ได้
เพราะผู้บัญญัติให้ความหมาย"ไตรลักษณ์"ไว้ว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

และที่เช่นนั้นอ้างว่า ไม่มีคำว่า "อนัตตา"
มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะมันเป็นคนล่ะเรื่องกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ปรมัตถ์ มีอรรถว่า สูงสุด ที่สุด
พระพุทธองค์ เคยตรัสว่า นิพพาน เป็นปรมสุข คือสุขที่สูงสุด ที่สุด
ดังนั้น นิพพานจึงเป็นสภาวะปรมัตถ์ตามพุทธพจน์ครับ

ใครแปลปรมัตถ์ให้ฟังครับ ไหนลองเอามาดูหน่อยซิครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์สอนแบบนี้
ไตรลักษณ์ ของ สังขตะ
ไตรลักษณ์ ของ อสังขตะ
ไม่ปรากฏคำว่า อนัตตา

สอนแบบนี้ที่ไหน ว่าคนอื่นขี้ตู่ ตัวเองตู่หนักกว่าเขาอีก แถมอ่านพระสูตรไม่เป็นอีกแน่ะ
เอามาจากแปลบาลีสยามรัฐเลย.....

สังขตสูตร

ว่าด้วยลักษณะแห่งสังขตธรรม ๓ ประการ
[๔๘๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ นี้
๓ คืออะไร คือ ความเกิดขึ้น ( ในเบื้องต้น ) ย่อมปรากฏ ความเสื่อมสิ้นไป
(ในที่สุด) ย่อมปรากฏ เมื่อยังตั้งอยู่ ความแปรไปย่อมปรากฏ ภิกษุทั้งหลาย
สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล.

และนีอีกครับ.......

อสังขตสูตร

ว่าด้วยลักษณะแห่งอสังขตธรรม ๓ ประการ

[๔๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ นี้
๓ คืออะไร คือ ความเกิดขึ้น ไม่ปรากฏ ความเสื่อมสิ้น ก็ไม่ปรากฏ เมื่อ
ตั้งอยู่ความแปรไปก็ไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของ
อสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล.


มันมีตรงไหนที่บอกว่าไตรลักษณ์ของสังขตหรืออสังขตะ

สังขตลักษณะของสังขตธรรม นี้หมายถึง อาการของสังขารในสังขตธรรม
อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม นี้หมายถึง อาการของวิสังขารในอสังขตธรรม
และอาการของสังขารและลักษณะของสังขตธรรมเป็นอย่างไร ก็ไปดูในพุทธพจน์ที่ผมเอามาอ้าง
อสังขตธรรมก็เช่นกัน

สรุปก็คือ เช่นนั้นกำลังมึนเอาธรรมไปปนกันมั่ว
เพราะไม่เข้าใจแยกแยะธรรม

huh
ลักษณะ...๓ นี้ ........
อย่าแถอีกนะโฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ปรมัตถ์ มีอรรถว่า สูงสุด ที่สุด
พระพุทธองค์ เคยตรัสว่า นิพพาน เป็นปรมสุข คือสุขที่สูงสุด ที่สุด
ดังนั้น นิพพานจึงเป็นสภาวะปรมัตถ์ตามพุทธพจน์ครับ

ใครแปลปรมัตถ์ให้ฟังครับ ไหนลองเอามาดูหน่อยซิครับ

Quote Tipitaka:
[๒๘๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพาน
เป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึง
อมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม.


อ้างคำพูด:
[๒๘๗] อถ โข ภควา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ
อาโรคฺยปรมา ลาภา นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
อฏฺฐงฺคิโก จ มคฺคานํ เขมํ อมตคามินนฺติ ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไตรลักษณ์ของ สังขตะ คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ
ความเสื่อมปรากฏ
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ

ไตรลักษณ์ของ อสังขตะ คือ
ไม่ปรากฏความเกิด
ไม่ปรากฏความเสื่อม
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน

ในเมื่อ"ไตรลักษณ์"คำนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้บัญญัติ
จะเอามาใช้อธิบายพุทธพจน์สองพระสูตรนี่ไม่ได้
เพราะผู้บัญญัติให้ความหมาย"ไตรลักษณ์"ไว้ว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

และที่เช่นนั้นอ้างว่า ไม่มีคำว่า "อนัตตา"
มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะมันเป็นคนล่ะเรื่องกัน

Quote Tipitaka:
สังขตสูตร
[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ประการ ๓ ประการเป็น
ไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ
[๔๘๖]ตีณีมานิ ภิกฺขเว สงฺขตสฺส สงฺขตลกฺขณานิ กตมานิ
ตีณิ อุปฺปาโท ปญฺญายติ วโย ปญฺญายติ ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ
ปญฺญายติ อิมานิ โข ภิกฺขเว ตีณิ สงฺขตสฺส สงฺขตลกฺขณานีติ

อสังขตสูตร
[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ประการนี้ ๓ ประการ
เป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความเสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปร
ปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

[๔๘๗]ตีณีมานิ ภิกฺขเว อสงฺขตสฺส อสงฺขตลกฺขณานิ กตมานิ
ตีณิ น อุปฺปาโท ปญฺญายติ น วโย ปญฺญายติ น ฐฺิตสฺส
อญญถตฺตํ ปญฺญายติ อิมานิ โข ภิกฺขเว ตีณิ อสงฺขตสฺส อสงฺขตลกฺขณานีติ ฯ


พระพุทธองค์ แสดงด้วยบัญญัติ 3 ลักษณะ ด้วยพระองค์เอง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ

ฟังให้ดีน่ะเช่นนั้น คำว่า"ไตรลักษณ์"นี่น่ะ ไม่ใช่บัญญัติที่พระพุทธเจ้ากำหนด
คำนี้ไม่มีในธรรมวินัย และมันก็ไม่มีใน สังขตสูตรและอสังขตสูตรด้วย
อย่าว่าแต่เขาอิเนาเป็นเองมันไม่ดี

"ไตรลักษณ์"ที่ลุงหมานเอามาใช้ มันเป็นความสมเหตุสมผลกว่าของเช่นนั้น
เช่นนั้น เอาคำว่าไตรลักษณ์มาใช้ผิดที่ผิดทาง

ความหมายของไตรลักษณ์ ที่อรรถกถาจารย์บัญญัติขึ้นเพื่อ
อธิบายให้รู้ว่า องค์ธรรมเดียวแต่มีลักษณะ๓ประการ
องค์ธรรมเดียวหมายถึงขันธ์ห้าแต่ละขันธ์ อย่างเช่น รูปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
วิญญาณเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาและขันธ์ที่เหลือก็เช่นกัน


สิ่งที่เช่นนั้นเอามาอ้างมันคนละเรื่อง สังขตสูตรและอสังขตสูตรมันเป็นการกล่าวถึง
อาการของสังขตธรรมและอสังขตธรรม ความหมายในพระสูตรนี้หมายถึง....
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ การไปรู้การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของสังขาร
ทำให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา(อรรถกถาจารย์เรียกไตรลักษณ์)


อย่ามั่วโฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ

พระพุทธองค์สอนแบบนี้
ไตรลักษณ์ ของ สังขตะ
ไตรลักษณ์ ของ อสังขตะ
ไม่ปรากฏคำว่า อนัตตา



เช่นนั้น เขียน:
huh
ลักษณะ...๓ นี้ ........
อย่าแถอีกนะโฮฮับ

เอาไปนั่งอ่านนอนอ่าน แปลไทยบาลีสยามรัฐ......

[๔๒] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่
เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้ อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง
อย่างนี้ เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่
เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของ
เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็น
จริงอย่างนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
Rotala เขียน:
อาการร้อนเย็น (เย็นคือร้อนน้อย)-->เรียกอาการนั้นว่าไฟ
อาการแข็งอ่อน (อ่อนคือแข็งน้อย)-->เรียกอาการนั้นว่าดิน
อาการไหวตึง (ตึงคือไหวน้อย)-->เรียกอาการนั้นว่าลม
อาการเอิบอาบเกาะกุม ...... :b10:
สะสารพลัง มีทั้งสี่อย่างอยู่ในตัว

อากาศเคลื่อนไหว ลักษณะมวลอากาศเป็นลักษณะที่อ่อน(แข็งน้อย)ความอ่อนตัวของอากาศไม่เท่ากัน
แต่ล่ะช่วงเวลาที่กระทบกับกายปรับเปลี่ยนไปตามความหนาแน่นของอากาศทำให้สัมผัสถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงแต่ละขณะ
มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอยู่ด้วยร้อนเย็น
มีลักษณะเด่นของการเคลื่อนไหวเป็นหลัก
แล้วอาการน้ำจะเกิดการรู้ได้ยังไง :b10:

:b8: ลุงหมานช่วยอธิบายหน่อย ครับ


ลักษณะของน้ำคือ เอิบอาบ .ไหล. เกาะกุม.

เอิบอาบ คือ เช่น ต้นไม้ที่ถูกตัดไว้ดูยังสด ใบยังเขียวอยู่ เพราะเอิบอาบไปด้วยธาตุน้ำ
ถ้าใบแห้งเหี่ยวเพราะขาดการเอิบอาบ เพราะขาดธาตุน้ำ

ไหล อาการที่ไหลของน้ำที่เราเห็นในลำคลองที่ไหลไปได้นั้น
ตรงที่ไหลนั่นแหละคือ น้ำ แต่ตรงที่เราเห็นไม่ใช่น้ำ คือ สี
พูดอีกทีเพื่อให้ถูกต้อง คือ สีไหล (สีรู้ทางตา ไหลรู้ทางใจ) คือ ตาเขาเห็นไหลไม่ได้นั่นเอง

เกาะกุม เช่นว่า ตึก ที่มันไม่พังทะลายลงมา เพราะการเกาะกุมด้วยอำนาจของน้ำ
ถ้าตึกไม่มีการเกาะกุมกันตึกนั้นก็ต้องพังคือไม่มีน้ำไปเกาะกุมนั่นเอง

หรือ กองทราย เมื่อเราเอาน้ำไปเทลาดกองทราย กองทรายก็จะถูกจับเป็นก้อนๆ
เรียกว่าการเกาะกุมของน้ำ แต่ทั้งหมดที่ว่ามานี้ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เป็นการรู้จากใจ
ที่ผ่านทางทวารตา เรื่องธาตุน้ำนี้อธิบายให้เข้าใจได้ยากมากครับเราต้องเข้าใจเรื่องสภาวะของน้ำ

:b8: ขอบคุณมากครับ smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่กฏไตรลักษณ์ ตามพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนครับ

พระพุทธองค์สอนแบบนี้
ไตรลักษณ์ ของ สังขตะ
ไตรลักษณ์ ของ อสังขตะ
ไม่ปรากฏคำว่า อนัตตา



เช่นนั้น เขียน:
huh
ลักษณะ...๓ นี้ ........
อย่าแถอีกนะโฮฮับ

เอาไปนั่งอ่านนอนอ่าน แปลไทยบาลีสยามรัฐ......

[๔๒] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่
เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้ อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง
อย่างนี้ เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่
เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของ
เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็น
จริงอย่างนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
.


อย่าเอา มามั่วอีกต่อไปเลยโฮฮับ
พระสูตรที่พระพุทธองค์ระบุตรงๆ ว่าลักขณะ ๓ มีอยู่
ไม่ใช่สิ่งที่โฮฮับ พยายามแถออกมา
บอกกีหนแล้วว่า ให้หาบาลี ยืนยันออกมาว่า
พระพุทธองค์ แสดงลักษณะ ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอาแบบบัญญัติตรงๆ เลยนะ
รู้สึกให้หามาเกือบปีแล้วมั้ง โฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 14:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ปรมัตถ์ มีอรรถว่า สูงสุด ที่สุด
พระพุทธองค์ เคยตรัสว่า นิพพาน เป็นปรมสุข คือสุขที่สูงสุด ที่สุด
ดังนั้น นิพพานจึงเป็นสภาวะปรมัตถ์ตามพุทธพจน์ครับ

ใครแปลปรมัตถ์ให้ฟังครับ ไหนลองเอามาดูหน่อยซิครับ

Quote Tipitaka:
[๒๘๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพาน
เป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึง
อมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม.


อ้างคำพูด:
[๒๘๗] อถ โข ภควา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ
อาโรคฺยปรมา ลาภา นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
อฏฺฐงฺคิโก จ มคฺคานํ เขมํ อมตคามินนฺติ ฯ

แล้วไหนที่บอกว่า ปรมัตถ์มีแค่นิพพานเพียงอย่างเดียว
แล้วไหนที่บอกว่า ปรมัตถ์มีอรรถว่าสูงที่สุด

เละแล้วเช่นนั้นเอ๋ย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปหาข้อมูลมาเพิ่มให้้ด้วยครับ s002

.................

๒. อาโป

คำว่า อาโปธาตุ หรืออาโปรูป เป็นรูปปรมัตถที่รู้ได้ด้วยใจ ซึ่งมีลักษณะไหล หรือ เกาะกุม ซึ่งมีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

ปคฺฆรณ ลกฺขณา มีการไหล เป็นลักษณะ

พฺยูหน รสา ทำให้รูปที่เกิดร่วมด้วยมีความเจริญ เป็นกิจ

สงฺคห ปจฺจุปฏฺฐานา มีความเกาะกุมรูปที่เกิดร่วมกัน เป็นผล ปรากฏ

อวเสสธาตุตฺตย ปทฏฺฐานา มีธาตุทั้ง ๓ ที่เหลือ เป็นเหตุใกล้

ธรรมชาติที่ทรงภาวะการเกาะกุมก็ดี การไหลก็ดี ที่มีอยู่ในร่างกายนั้น เรียก ว่า อาโปธาตุ

อาโปธาตุนี้ มีจำนวนพอประมาณในวัตถุใด ก็ทำหน้าที่เกาะกุมอย่างเหนียว แน่น วัตถุนั้นจึงแข็ง ถ้าวัตถุใดมีอาโปธาตุมากก็เกาะกุมไม่เหนียวแน่น จึงทำให้ วัตถุนั้นอ่อนลงและเหลวมากขึ้น หากว่าในวัตถุใดมีอาโปธาตุเป็นจำนวนมากแล้ว การเกาะกุมก็น้อยลง ทำให้วัตถุนั้นเหลวมากจนถึงกับไหลไปได้

เมื่ออาโปธาตุถูกความร้อน ปัคฆรณลักษณะ หรือทรวภาวะ ปรากฏ คือ ทำให้ไหล แต่ถ้าอาโปธาตุถูกความเย็น อาพันธนลักษณะ ปรากฏ คือทำให้เกาะกุม เช่น เหล็กหรือขี้ผึ้งถูกความร้อนก็เหลวจนไหลได้ เมื่อเย็นแล้วกลับแข็งตัวตามเดิม หรือน้ำแข็ง ถ้าถูกความร้อนก็ละลายและไหล เมื่อให้ถูกเย็นจัด ก็จะจับกันเป็นก้อน น้ำแข็งอีก



อาโปธาตุ ธาตุน้ำ แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ

ก. ลกฺขณอาโป หรือ ปรมตฺถอาโป ได้แก่ ลักษณะไหลและเกาะกุม อันมี อยู่ทั้งในสิ่งที่มีวิญญาณและในสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ ซึ่งมี ๒ ลักษณะ คือ

(๑) ปคฺฆรณ ลกฺขณ หรือ ทรวภาว มีลักษณะ หรือสภาพที่ไหล

(๒) อาพนฺธน ลกฺขณ มีลักษณะเกาะกุม

ปรมัตถอาโป เป็นอาโปธาตุชนิดหนึ่ง เรียกว่า ธาตุน้ำ และธาตุน้ำในที่นี้ หมายถึงธาตุน้ำที่เป็นปรมัตถ ซึ่งมีลักษณะไหล หรือเกาะกุม ไม่ใช่น้ำที่มองเห็นหรือ ใช้ดื่มกันอยู่นี้ น้ำที่ใช้ดื่มใช้สอยกันอยู่นี้ เป็นน้ำโดยสมมติ เป็นสสัมภารอาโป หรือสมมติอาโป น้ำโดยปรมัตถที่เรียกว่าธาตุน้ำนั้น จะต้องหมายถึงลักษณะที่ ปรากฏรู้ได้ด้วยใจเท่านั้น ไม่สามารถรู้ได้ด้วยตา หรือสัมผัสได้ด้วยกายปสาท เพียงรู้ ได้ด้วยใจเท่านั้น

ธรรมชาติที่รักษาสหชาติรูปได้อย่างมั่นคง ไม่ให้กระจัดกระจายไป ธรรมชาติ นั้นชื่อว่า อาโป หรืออีกนัยหนึ่งกล่าวว่า

ธรรมชาติที่แผ่ซึมซาบทั่วไปในรูปที่เกิดร่วมกับตน แล้วตั้งอยู่กับรูปเหล่านั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า อาโป

อาโปธาตุนี้ มองเห็นไม่ได้ สัมผัสด้วยกายไม่ได้ ส่วนน้ำที่เรามองเห็นกัน ใช้กันอยู่นี้ เป็นการเห็นธาตุต่าง ๆ รวมกันอยู่ในลักษณะอ่อนหรือเหลว เพราะมี ปฐวีธาตุน้อย มีอาโปธาตุมาก ไม่ได้เห็นอาโปธาตุโดยส่วนเดียว ความปรากฏเป็น ลักษณะอ่อนเหลวของน้ำที่เราใช้ดื่มกันอยู่นี้ เนื่องด้วยอาโปธาตุนั้น

มีปฐวีธาตุ เป็นที่ตั้ง

มีเตโชธาตุ ตามรักษา

มีวาโยธาตุ กระพือพัด

เมื่อใดที่อาโปธาตุมาก มีปฐวีธาตุน้อย ปรมาณูต่าง ๆ ที่รวมกันอยู่นี้จะไหล ไปได้ ที่เราพูดกันว่าน้ำไหล ๆ นั้น แท้จริงเป็นการไหลของปฐวีธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ ส่วนอาโปธาตุนั้นทำหน้าที่เกาะกุมธาตุทั้ง ๓ เพราะปฐวีธาตุปรากฏน้อย จึงปรากฏอ่อนเหลว และไหลไปได้ ธรรมชาติที่เกาะกุมธาตุทั้ง ๓ แล้วไหลไปได้ นั่นเอง ที่เป็นอาโปธาตุ

อาโปธาตุนั้นมีอยู่ทั่วไปในวัตถุต่าง ๆ ที่แข็งและเหลวทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต

ข. สสมฺภารอาโป ได้แก่ สสัมภาระธาตุต่าง ๆ ที่ประชุมรวมกันอยู่สมมติ เรียกว่า “น้ำ” หรือธาตุน้ำ ตามนัยแห่งพระสูตร แบ่งออกเป็น ๒ อย่างดังนี้

(๑) อชฺฌตฺติกอาโป ธาตุน้ำภายใน ได้แก่ ธาตุน้ำที่เป็นส่วนประกอบภายใน ร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย โดยยกเอาอาการ ๓๒ ที่มีลักษณะเหลว สงเคราะห์เป็น ธาตุน้ำ มี ๑๒ คือ

ปิตฺตํ - น้ำดี เสมฺหํ - น้ำเสมหะ

ปุพฺโพ - น้ำหนอง โลหิตํ - น้ำเลือด

เสโท - น้ำเหงื่อ เมโท - น้ำมันข้น

อสฺสุ - น้ำตา วสา - น้ำมันเหลว

เขโฬ - น้ำลาย สิงฺฆาณิกา - น้ำมูก

ลสิกา - ไขข้อ มุตฺตํ - น้ำมูตร

(๒) พาหิรอาโป ธาตุน้ำภายนอก หมายถึง ธาตุน้ำอันเป็นส่วนประกอบที่มี อยู่ในสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ เช่นน้ำจากผลไม้ น้ำจากเปลือกไม้ น้ำจากลำต้นไม้ น้ำจาก ดอกไม้ เป็นต้น

ค. กสิณอาโป หรือ อารมฺมณอาโป ได้แก่น้ำที่นำมาใช้เป็นอารมณ์ในการ เพ่งกสิณ

ง. ปกติอาโป หรือ สมฺมติอาโป ได้แก่ น้ำที่สมมติเรียกกันว่า “น้ำ” ได้แก่ น้ำที่ใช้ดื่ม ใช้อาบ น้ำในคลอง น้ำในแม่น้ำ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า สสัมภารอาโป สำหรับปรมัตถอาโปธาตุนั้นเป็นรูปธาตุ ทำหน้าที่สมาน เกาะกุมรูปทั้งหลายอันเกิดร่วมกับตน ทำให้รูปต่าง ๆ รวมกันอยู่ได้ ไม่ให้กระจัดกระจายไป
.................

http://readbooklong.blogspot.com/2009/12/blog-post.html


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร