วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ค. 2025, 01:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายตนะ แปลว่า ที่ต่อ หรือแดน หมายถึงที่ต่อกันให้เกิดความรู้ แดนเชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือแหล่งที่มาของความรู้ แปลอย่างง่ายๆว่า ทางรับรู้ มี 6 อย่าง ดังที่เรียกในภาษาไทยว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (บาลี - จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน)


ที่ว่า ต่อ หรือเชื่อมต่อ ให้เกิดความรู้นั้น ต่อ หรือเชื่อมต่อ กับอะไร ? ตอบว่า เชื่อมต่อกับโลก คือ สภาพแวดล้อมภายนอก แต่โลกนั้นปรากฏลักษณะอาการแก่มนุษย์เป็๋นส่วนๆ ด้านๆ ไป เท่าที่มนุษย์จะมีแดน หรือเครื่องมือสำหรับรับรู้ คือ เท่าจำนวนอายตนะ 6 ที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ดังนั้น อายตนะทั้ง 6 (อายตนะภายใน) จึงมีคู่ของมันอยู่ในโลก เป็นสิ่งที่ถูกรับรู้สำหรับแต่ละอย่างๆ โดยเฉพาะ

สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือลักษณะอาการต่างๆ ของโลก เหล่านี้ เรียกชื่อว่า อายตนะ เหมืือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือเป็นแหล่งความรู้ เช่นเดียวกัน แต่เป็นฝ่ายภายนอก เพียงแยกประเภทจากกันไม่ให้สับสน ท่านเรียกอายตนะพวกแรกว่า "อายตนะภายใน" (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน) และเรียกอายตนะพวกหลังนี้ว่า "อายตนะภายนอก" (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายนอก)

อายตนะภายนอก 6 อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องกาย และสิ่งที่ใจนึก (บาลี - รูป สัททะ คันธ รส โผฏฐัพพ ธัมม) โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า "อารมณ์" แปลว่า สิ่งอันเป็นที่สำหรับจิตมาหน่วงอยู่ หรือ สิ่งสำหรับยึดหน่วงของจิต แปลง่ายๆ ว่า สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรู้ นั่นเอง

เมื่ออายตนะภายใน ซึ่งเป็นแดนรับรู้ กระทบกับอารมณ์ (อายตนะภายนอก) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะเกิดความรู้จำเพาะด้านของอายตนะแต่ละอย่างๆ ขึ้น เช่น ตากระทบรูป เกิดความรู้เรียกว่า เห็น หูกระทบเสียง เกิดความรู้ เรียกว่าได้ยิน เป็นต้น ความรู้จำเพาะแต่ละด้านนี้ เรียกว่า "วิญญาณ" แปลว่า ความรู้แจ้ง คือรู้อารมณ์

ดังนั้น จึงมีวิญญาณ 6 อย่าง เท่ากับอายตนะ และอารมณ์ 6 คู่ คือ วิญญาณทางตา ได้แก่ เห็น วิญญาณทางหู ได้แก่ ได้ยิน วิญญาณทางจมูก ได้แก่ ได้กลิ่น วิญญาณทางลิ้น ได้แก่ รู้รส วิญญาณทางกาย ได้แก่ รู้สิ่งต้องกาย วิญญาณทางใจ ได้แก่ รู้อารมณ์ทางใจ หรือรู้เรื่องในใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมานจับคู่ไว้แล้ว

-อายตนะภายใน 6 คือ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน

-อายตนะภายนอก 6 คือ รูป สัททะ คันธะ รส โผฏฐัพพะ ธัมมะ (เรื่องในใจ)

-วิญญาณ 6 คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ (รู้เรื่องในใจ)

V
ผัสสะ

V
เวทนา

V

ตัณหา

V

ฯลฯ

ถ้าเป็นฝ่ายอวิชชาก็เป็นวงจรฝ่ายวัฏฏะคือฝ่ายก่อทุกข์

ถ้าเป็นวิชชา วงจรก็เป็นฝ่ายวิวัฏฏ์ คือฝ่ายดับทุกข์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 14:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขันธ์5 เป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์เข้าไม่ถึง เป็นส่วนใหญ่...


หัวข้อกระทู้ หมายเอาว่า
ขันธ์ห้า อธิบายไม่ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ รึเปล่าฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เรียน ท่านเช่นนั้น
ที่แล้วมา และปัจจุบัน มีคนกลุ่มหนึ่ง หรือหลายกลุ่ม มักจะอ้างว่า ตนเองต้องเชื่อสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้น สิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
หรือ อย่างพื้นฐานเลย สิ่งนั้นต้องมองเห็นได้ด้วยตา หรือจับต้องลูบคลำได้

พวกนี้ไม่เชื่อนรกสวรรค์ ชาติก่อน ชาติหน้า หรือภพภูมิอื่นๆ เพราะไม่เห็นได้ด้วยตา ไม่มีเครื่องมือที่จะจับ ที่จะวัดค่าออกมาได้

แต่ยังมา คลุกคลีในพระพุทธศาสนา เที่ยวสั่งสอน ตั้งตัวเป็นอาจารย์บ้าง หรือเผยแพร่บ้าง ตามแนวคิดของตน

คนเหล่านี้ กล่าวอ้าง เรื่องขันธ์5 กล่าวอ้างเรื่อ่งธรรมะ ว่าพิสูจน์ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ อย่างนั้นอย่างนี้
ส่วนไหน ในพระไตรปิฏก ที่ดูไม่สนับสนุน กับความเห็นของตัว ก็จะดิสเครดิต ให้ล่มจมไปเลย

ผมนั้น เลยพยายาม ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ขันธ์5 นี่
เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ยังเข้าถึงไม่ค่อยจะได้เลย
อย่าว่า แต่เรื่องภพภูมิอื่นๆ

ถ้าปฏิเสธ ภพภูมิ ปฏิเสธชาติหน้า ชาติก่อน ปฏิเสธปาฏิหาริย์ ต่างๆ

ทำไม ไม่กล้าปฏิเสธขันธ์ 5 ไปด้วยเล่า

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2013, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านความเห็นท่านโกวิท ทำให้คุนน้องคิดถึงหนังแมททริค คือ กลไลของขันธ์5
ที่หนังแมททริคพยายามจะสื่อออกมา..เหมือนกับว่าเค้าเข้าใจเกี่ยวกับพุทธศาสนาในเรื่องของขันธ์5 ซึ่งน่าจะพอเดาๆออกไปในทางแนววิทยาศาสตร์ได้ดีกว่าคำพูด :b12: ต้องกลับไปดูใหม่แล้ว :b9:
http://www.youtube.com/watch?v=oUBdyntL2Ag
คุนน้องก็เคยทำได้เหมือนนีโอตอนที่เค้าพุ่งทยานออกไปกลางอากาศ(เหาะได้เร็วแบบนั้นเลยถ้าเรามีสมาธิตอนฝัน :b32: )
http://www.youtube.com/watch?v=Eo1OL8KNUlA


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 01:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
เรียน ท่านเช่นนั้น
ที่แล้วมา และปัจจุบัน มีคนกลุ่มหนึ่ง หรือหลายกลุ่ม มักจะอ้างว่า ตนเองต้องเชื่อสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้น สิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
หรือ อย่างพื้นฐานเลย สิ่งนั้นต้องมองเห็นได้ด้วยตา หรือจับต้องลูบคลำได้

พวกนี้ไม่เชื่อนรกสวรรค์ ชาติก่อน ชาติหน้า หรือภพภูมิอื่นๆ เพราะไม่เห็นได้ด้วยตา ไม่มีเครื่องมือที่จะจับ ที่จะวัดค่าออกมาได้

แต่ยังมา คลุกคลีในพระพุทธศาสนา เที่ยวสั่งสอน ตั้งตัวเป็นอาจารย์บ้าง หรือเผยแพร่บ้าง ตามแนวคิดของตน

คนเหล่านี้ กล่าวอ้าง เรื่องขันธ์5 กล่าวอ้างเรื่อ่งธรรมะ ว่าพิสูจน์ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ อย่างนั้นอย่างนี้
ส่วนไหน ในพระไตรปิฏก ที่ดูไม่สนับสนุน กับความเห็นของตัว ก็จะดิสเครดิต ให้ล่มจมไปเลย

ผมนั้น เลยพยายาม ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ขันธ์5 นี่
เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ยังเข้าถึงไม่ค่อยจะได้เลย
อย่าว่า แต่เรื่องภพภูมิอื่นๆ

ถ้าปฏิเสธ ภพภูมิ ปฏิเสธชาติหน้า ชาติก่อน ปฏิเสธปาฏิหาริย์ ต่างๆ

ทำไม ไม่กล้าปฏิเสธขันธ์ 5 ไปด้วยเล่า

ขอบคุณครับ ^ ^

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 05:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
Quote Tipitaka:
ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เป็นไฉน ? จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ

ชิวหายตนะ กายายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ

สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้.

ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ เป็นไฉน ? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์

วิญญาณขันธ์, รูปที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธรรมายตนะ และอสังขตธาตุ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้.


วิเคราะห์ วิจารณ์ กันอีกที
อายตนภายใน ทั้งหมด ตาไม่สามารถมองเห็นได้เลย
สิ่งเหล่านั้นคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตา เป็น สิ่งที่คนเรามองไม่เห็น
หู เป็น สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
จมูก เป็น สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
ลิ้น เป็น สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
กาย เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา
ใจ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา

:b12: เชิญมะรุมมะตุ้มครับ :b12:

คนละเรื่องแล้วครับ เล่นกางพระไตรปิฏกแล้วจินตนาการเอาเองแบบนี้ไม่ไหวครับ

ในพระอภิธรรมกล่าวว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่....
จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ
รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ

ที่บอกธรรมเหล่านี้ เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มันเป็นลักษณะของปัจจุบันธรรมนั้นๆ
คำว่า เห็นได้และกระทบได้ มันเป็นการบ่งบอกถึง ธรรมชาตินอกกายใจ ที่เรียกว่า
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและธัมมารมณ์
โดยธรรมชาติของรูปก็คือแสงหรือความสว่าง ในความสว่างมันมีองค์ประกอบก็คือสี

ในความเป็นจริงคำว่า"เห็น" ก็คือการกระทบ แต่ที่ต้องแยกเป็นเห็นก็เพราะ
คุณสมบัติของจิตที่ไปรู้การกระทบ มีคุณภาพที่แตกต่างกัน จึงทำให้ไปเห็นเป็นสีแต่ละชนิด
พูดอีกทีก็คือจิตไม่ได้เป็นสมาธิ ถ้าจิตเป็นสมาธิอยู่กับปัจจุบัน จะต้องมีแต่การกระทบ
ไม่ใช่เห็น เพราะการเห็นคือการที่จิตไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน มันจึงทำให้เกิดความแตกต่างขึ้น
แสงสว่างที่มากระทบกายใจเรา จึงกระจัดกระจายออกไปเป็นสีต่างๆ

พูดให้ฟังชัดก็คือ รูปปรมัตถ์แท้ที่เกิดจากจักขายตนะและรูปปายตนะจะต้องเป็น
แสงสว่างและความมืด ไม่ใช่สีที่เราเห็น


ส่วนอายตนะภายนอกตัวอื่น ที่บอกว่าเห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ เพราะเป็นการรู้
การกระทบด้วยองค์ธรรมของมันล้วนๆ เรียกว่ารูปปรมัตถ์
อย่างเช่น กลิ่น(อายตนะภายนอก) เมื่อเกิดการกระทบกับอายตนะภายใน
รูปปรมัตถ์หรือองค์ธรรมที่เกิด ก็คือ ความหอมหรือความเหม็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่หอมน้อยหอมมากหรือหอมปนเหม็น อายตนะภายในตัวอื่นก็เช่นกัน
มันต้องเกิดองค์ธรรมแท้ๆในขณะเดียวจึงเรียกว่าการกระทบ

สรุปก็คือการที่ตาไปเห็นแสงภายนอก แล้วจึงต้องบอกว่ามีการเห็นและมีการกระทบ
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า จิตของปุถุชนยังขาดสมาธิที่จะรู้องค์ธรรมที่มากระทบ ไม่มีปัญญารู้
ลักษณะของธรรมชาตินอกกายใจ การจะรู้ธรรมชาตินอกกายใจจะต้องอาศัยปัญญาและสมาธิไปรู้

คนที่มีปัญญาและสมาธิเมื่อตาไปเห็นก็จะรู้ว่านี่คือการกระทบ
รูปปรมัตถ์ที่เกิดภายในกายใจ จึงเป็นเพียงแค่แสงสว่างกับความมืด ไม่มีสีสรรอะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 05:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
เรียน ท่านเช่นนั้น
ที่แล้วมา และปัจจุบัน มีคนกลุ่มหนึ่ง หรือหลายกลุ่ม มักจะอ้างว่า ตนเองต้องเชื่อสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้น สิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
หรือ อย่างพื้นฐานเลย สิ่งนั้นต้องมองเห็นได้ด้วยตา หรือจับต้องลูบคลำได้

ที่คุณโกวิทไปเอาคนพวกนี้มาว่ากล่าว มันก็เท่ากับว่าตัวเราก็ไม่แตกต่างจากเขาครับ
ก็รู้อยู่ว่ามันเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นเพราะคนพวกนี้ยังมีมิจฉาทิฐิ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีอยู่ในคำสอน
ของพระพุทธเจ้า

ที่เขาพูดก็ไม่ได้ผิดหรือเป็นการทำให้เสื่อมเสียอะไร มันเป็นความจริงทุกอย่าง
ที่เขาว่า จะต้องมองเห็นด้วยตา พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนว่า เราต้องมองทุกอย่างตามความเป็นจริง

ที่เขาบอกว่า จะเชื่อสิ่งที่เป็นวิทยาสตร์เท่านั้น มันก็ตรงกับที่พระพุทธองค์สอนเรื่องความศรัทธาที่กอบ
ด้วยปัญญา(สัมมาทิฐิ)นั้นแหละ
พระธรรมของพระพุทธเจ้ากับวิทยาสตร์ก็เหมือนกัน
พระธรรมของพุทธเจ้าแท้ๆ อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้ แต่ที่วิทยาศตร์ยังอธิบายไม่ได้
เป็นเพราะยังไม่มีผู้มีสัมมาทิฐิมาอธิบายในหลักของวิทยาสตร์ แม้แต่ในสมัยพุทธกาล
เรื่องบางเรื่องยังทรงกำหนดให้เป็น อจินไตย เพราะยังอธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้



ดังนั้นคนเป็นมิจฉาทิฐิก็ต้องกล่าวถึงเข้าในลักษณะของมิจฉาทิฐิ
ไม่ใช่เอาเขามาว่ากล่าวในทางไม่ดี ถ้าขืนทำแบบนี้แสดงว่า ยังไม่เข้าใจคำสอน
ของพุทธ์องค์ว่า บุคคลมีทั้งมิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิ


ถ้าเราลองคิดกลับกัน เรื่องบางเรื่องตัวเราก็เป็นมิจฉาทิฐิเองนั้นแหละ
เราเชื่อเรื่องหนึ่ง แต่คนอื่นเข้าไม่เชื่อ เราต้องถามเขาครับว่า ไม่เชื่อเพราะอะไร
ที่เขาตอบว่า พิสูจน์ไม่ได้และไม่สามารถให้เหตุผลเขาได้ แบบนี้แหละถูกต้องที่สุด
มันตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์
จะเถียงกับใครไม่ใช่มาเถียงในเรื่องความเชื่อแบบนี้มันไม่เรียกว่าเถียง
เขาเรียกว่า ด่ากันประนามกัน
การจะเถียงหรือถกธรรมกัน จะต้องเถียงกันในสิ่งที่เชื่อด้วยกันทั้งคู่ เชื่อว่าสิ่งที่เถียงกันมีอยู่จริง
แล้วเนื้อหาที่เถียงกันก็คือ หาเหตุหาผลว่า ความจริงที่มีอยู่ที่เชื่อมันมาได้อย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 06:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8574


 ข้อมูลส่วนตัว




7795-1.jpg
7795-1.jpg [ 10.39 KiB | เปิดดู 4778 ครั้ง ]
อธิบายเรื่องการเห็นแบบให้เข้าใจได้ง่ายๆ และตรงต่อความเป็นจริง ดังนี้
การเห็นจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้
๑. ต้องมีตาที่ดี (จักขุปสาท)
๒. ต้องมีรูปารมณ์ (สี) ที่อยู่ในระยะพอสมควร
๓. แสงสว่างที่ดี
๔. มีมนสิการ (ความตั้งใจดู(หมายถึงจิต))
ทั้ง ๔ อย่างนี้ถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดการเห็นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

ฉะนั้นเราจะเข้าใจได้เลยว่า การเห็นนั้นมิใช่เราเห็น การเห็นนั้น เพราะเกิดจากการมาประชุมพร้อมกัน
ด้วยปัจจัย ๔ อย่าง การเห็นจึงเกิดขึ้นได้

อธิบาย
V
๑.เรามีตาดี. มีรูปารมณ์ดี. มีความตั้งใจดู. แต่ขาดแสงสว่างการเห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้
๒.เรามีตาดี. มีรูปารมณ์ดี. มีแสงสว่างที่ดี. แต่ขาดความตั้งใจที่จะดู การเห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้
๓.เรามีตาดี. มีแสงสว่างที่ดี. มีความตั้งใจที่จะดู แต่ขาดรูปารมณ์ หรือรูปารมณ์อยู่ไกลเกินไป
การเห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้
๔.มีแสงสว่างที่ดี. มีความตั้งใจที่จะดู. มีรูปารมณ์ที่ดีอยู่ในระยะพอสมควร แต่ตาเสีย
การเห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน

พอจะเห็นหรือยังว่าการเห็นมิใช่เราเห็น การเห็นนั้นเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ๔ อย่าง
เท่านี้เราก็ละความเห็นผิดว่าเราเห็นได้

ทวารอื่นก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน อยากรู้ทวารอื่นๆ ถามมาจะอธิบายให้ฟังครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เรื่องขันธ์5 เป็นเรื่องที่โปร่งใส นะครับ ท่านโฮฮับ
ในพระไตรปิฏก 84000 พระธรรมขันธ์ ว่าด้วยเรื่องขันธ์ห้า เสียเกินครึ่ง
เป็นเรื่องที่ อธิบายกันได้ เรียนรู้กันได้ เข้าใจกันได้
ขันธ์5 นี้เกี่ยวข้องกับปัจจัย24 ซึ่งเป็นธรรมที่สำคัญ ที่จะอันตรธาน ก่อนเพื่อน เพราะเข้าใจได้โคตรยาก
ขันธ์5 เกี่ยวข้องกับปฏิจจสมุปบาท และอิทัปปัจจยตา ซึ่งปฏิจจสมุปบาทพระพุทธเจ้ายังตรัสกับพระอานนท์เลยว่า ไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน ยากนะ ลุ่มลึก นะ สลับซับซ้อนนะ

แต่สิ่งที่ไม่ควรคิดมาก ไม่ควรที่จะหาคำตอบให้ได้แบบ 100 เปอร์เซนต์ คือเรื่องอจินไตย

อ้างคำพูด:
๗. อจินติตสูตร ว่าด้วยอจินไตย ๔

[๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ อย่างนี้ไม่ควรคิด
ผู้ที่คิดก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากเปล่า อจินไตย ๔ คือ

อะไรบ้าง คือ

๑. พุทธวิสัยแห่งพระพุทธทั้งหลาย เป็นอจินไตยไม่ควรคิด ผู้ที่คิด

ก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากเปล่า

๒. ฌานวิสัยแห่งผู้ได้ฌาน เป็นอจินไตยไม่ควรคิด ผู้ที่คิด ก็จะ

พึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำปากเปล่า

๓. วิบากแห่งกรรม เป็นอจินไตยไม่ควรคิด ผู้ที่คิด ก็จะพึงมีส่วน

แห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากเปล่า

๔. โลกจินดา (ความคิดในเรื่องของโลก) เป็นอจินไตยไม่ควรคิด

ผู้ที่คิด ก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากเปล่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล อจินไตย ๔ ไม่ควรคิด ผู้ที่คิด ก็จะพึง

มีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากเปล่า.

จบอจินติตสูตรที่ ๗

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 07:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8574


 ข้อมูลส่วนตัว


"ตา" เป็นธรรมชาติ ที่กระทบกับ "รูปารมณ์" เท่านั้น
อย่างอื่น ตา ไม่สามารถกระทบได้ เช่น
ตาไม่สามารถเห็นดินเห็นน้ำได้
ตาไม่สามารถเห็นไฟ เห็นลม ได้
ตาไม่สามารถเห็นผู้หญิงเห็นผู้ชายได้
ตาไม่สามารถเห็นเป็นสัตว์ หรือเห็นเป็นสิ่งของได้
ฉะนั้นตาเห็นได้อย่างเดียวคือรูปารมณ์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 07:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ลุงหมานเริ่มแล้ว ...
ตา เริ่มจะมองไม่เห็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว :b12:
ข้างล่างนี่เอามาฝาก ครับ

อ้างคำพูด:
ในอัฏฐาสาลินีรูปกัณฑ์ ข้อความในพระบาลี จักขายตน-

นิทเทส ข้อ ๕๙๖ มีข้อความว่า

“รูป” ที่เรียกว่า “จักขายตนะ” นั้นเป็นไฉน จักขุใดเป็นปสาทรูป

อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตตภาพ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้

จักขายตนะ เป็นคำรวมของ จักขุและอายตนะ

จักขุ คือตา อายตนะ คือ ที่ประชุม ที่เกิด ฉะนั้นจักขายตนะ คือ

จักขุซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิดนั่นเอง


จักขุ .............................. ตา
จักขายตนะ ........................ตา ซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิด

ถามลุงหมาน ว่า จักขุ กับ จักขายตนะ ............. คือสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8574


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ลุงหมานเริ่มแล้ว ...
ตา เริ่มจะมองไม่เห็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว :b12:
ข้างล่างนี่เอามาฝาก ครับ

อ้างคำพูด:
ในอัฏฐาสาลินีรูปกัณฑ์ ข้อความในพระบาลี จักขายตน-

นิทเทส ข้อ ๕๙๖ มีข้อความว่า

“รูป” ที่เรียกว่า “จักขายตนะ” นั้นเป็นไฉน จักขุใดเป็นปสาทรูป

อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตตภาพ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้

จักขายตนะ เป็นคำรวมของ จักขุและอายตนะ

จักขุ คือตา อายตนะ คือ ที่ประชุม ที่เกิด ฉะนั้นจักขายตนะ คือ

จักขุซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิดนั่นเอง


จักขุ .............................. ตา
จักขายตนะ ........................ตา ซึ่งเป็นที่ประชุม เป็นที่เกิด

ถามลุงหมาน ว่า จักขุ กับ จักขายตนะ ............. คือสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่


จักขุ คือ ตา เป็นการเรียกอีกนัยยะหนึ่ง เป็นการเรียกชื่อโดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งยังไม่เกี่ยวข้องไปในสิ่งอื่น หรือจะเรียกจักขุปสาทก็ได้

จักขายตนะ เป็นการเรียกชื่อว่า จะต้องมีอีกสิ่งหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน คือ จะต้องมีรูปายตนะมาเกี่ยวข้องด้วย

แน่นอนเลยทีเดียวว่า จักขายตนะ + รูปายตนะ มากระทบกันหรือเข้ามาเกี่ยวข้องกันจะต้องมีผัสสะ คือ วิญญาน มาอาศัยเกิดแน่นอน เพื่อมารับรู้การเห็นที่เกิดขึ้น

ท่านอุปมาเหมือน แพะสองตัวมาชนกัน อีกตัวหนึ่งคือ อายตนะภายใน อีกตัวหนึ่งคืออายตนะภายนอก
ขณะที่ชนกันท่านอุปมาเหมือนผัสสะ ต่อจากนั้นความรู้สึกก็เกิดขึ้นคือ เวทนา

เรื่องนี้มาจากมิลินทปัญหา > http://www.sriprawat.net/87p.pdf

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




อายตนะ12.gif
อายตนะ12.gif [ 16.16 KiB | เปิดดู 4759 ครั้ง ]
:b8:

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2013, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมดาๆ แท้ๆ คิดกันจนเลยธรรม

อายตนะภายใน – อายตนะภายนอก + วิญญาณ = ผัสสะ => เวทนา...

จักขุ + รูป + จักขุวิญญาณ – เห็น
โสตะ + สัททะ + โสตวิญญาณ - ได้ยิน
ฆานะ + คันธะ + ฆานวิญญาณ - ได้กลิ่น
ชิวหา + รส + ชิวหาวิญญาณ - รู้รส
กาย +โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ - รู้สิ่งต้องกาย
มโน + ธัมมะ + มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ

อายตนะภายนอก นิยมเรียกว่า “อารมณ์” ก็จึงเป็น รูปารมณ์ - สัททารมณ์ - คันธารมณ์ - รสารมณ์ -โผฏฐัพพารมณ์ – ธัมมารมณ์

(อนึ่ง จักขุ (ตา) ใช้ดู ฟังเสียงไม่ได้ โสตะ (หู) ใช้ดมกลิ่นไม่ได้ เพราะไม่ใช่จมูก ฯลฯ .หน้าที่ใครหน้าที่มัน ธรรมชาติสร้างไว้ถูกต้องแล้ว แต่...คิดเลยกันเอง)


การรับรู้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีองค์ประกอบเกิดขึ้นครบทั้งสามอย่าง คือ อายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ ภาวะนี้ในภาษาธรรมมีคำเรียกโดยเฉพาะว่า “ผัสสะ” หรือ “สัมผัส” แปลตามรูปศัพท์ว่า การกระทบ แต่มีความหมายทางธรรมว่า การประจวบ หรือ บรรจบพร้อมกันแห่งอายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ พูดอย่างเข้าใจง่ายๆ ผัสสะ ก็คือ การรับรู้นั่นเอง ผัสสะ หรือ สัมผัส หรือการรับรู้นี้ มีชื่อเรียกแยกเป็นอย่างๆ ไปตามทางรับรู้ คือ อายตนะนั้น ครบจำนวน 6 คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส


ผัสสะ เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการรับรู้ เมื่อผัสสะเกิดขึ้นแล้ว กระบวนธรรมก็ดำเนินต่อไป เริ่มแต่ความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามานั้น ปฏิกิริยาอย่างอื่นของจิตใจ การจำหมาย การนำอารมณ์นั้นไปคิดปรุงแต่ง ตลอดจนการแสดงออกต่างๆ ที่สืบเนื่องไปตามลำดับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร