วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 02:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2013, 00:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลองกินดูบ้างซิ....รสชาติมันจะเป็นยังงัย?...อิอิ

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2013, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนัตตา ไม่ใช่ องค์ธรรมครับ คุณอโศกะ

องค์ธรรม มีแต่ สังขาร กับวิสังขาร ..................... เท่านั้นครับ

อนัตตา แค่เป็นคำที่บ่งชี้ลักษณะ เท่านั้นครับ

รูป มี
เวทนา มี
สัญญา มี
สังขาร มี
วิญญาณ มี
นิพพาน มี

ที่เหลือ นอกจากนี้ มิได้มีอยู่จริงๆ .......... เป็นแต่เพียงสมมุติบัญญัติ เรียกชื่อ พอได้สื่อสารกันเท่านั้น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2013, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
" ข้าแต่พระเจ้าเป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มีวีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "
ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
" ขอให้ชาวโยนกทั้ง ๕๐๐ นี้และพระภิกษุสงฆ์ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด พระนาคเสนนี้กล่าวว่า เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมาภาพว่า " นาคเสน " ก็แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคำว่า " นาคเสน " นั้น ดังนี้ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอยู่แล้ว บุคคลเหล่าใดถวายบาตร จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และวัตถุที่เก็บเภสัชไปแล้ว บุญกุศลก็ต้องไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นน่ะซิ ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่า จะฆ่าพระผู้เป็นเจ้า โทษปาณาติบาตก็เป็นอันไม่มีน่ะซิ ถ้าบุคคลตัวตนเราเขาไม่มีอยู่แล้ว ก็ใครเล่าจะถวายจีวร อาหาร ที่อยู่ ยา และที่ใส่ยา แก่พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะบริโภคสิ่งเหล่านั้น ใครเล่ารักษาศีล ใครเล่ารู้ไปในพระไตรปิฏก ใครเล่าเจริญภาวนา ใครเล่ากระทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล นิพพาน ใครเล่ากระทำปาณาติบาต ใครเล่ากระทำอทินนาทาน ใครเล่าประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ใครเล่ากล่าวมุสาวาท ใครเล่าดื่มสุราเมรัย ใครเล่ากระทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕ เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มีแล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มีผู้ทำหรือผู้ให้ทำซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มีผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น เมื่อถืออย่างนั้นก็เป็นอันว่าอาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีอุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี คำใดที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกเพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " อะไรเป็นนาคเสนในคำนั้น เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้ พระผู้เป็นได้ยินเสียงถามอยู่หรือไม่ ? "

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2013, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
อัตตา...ไม่มีอยู่จริง......แต่ความเห็นผิดเป็นอัตตา ตัวกู ของกู มีอยู่จริงในจิตของปุถุชนทุกๆคน

อนัตตาของปุถุชน จึงเป็นอนัตตาที่คิดเอาตามหลักทฤษฏี.....พอโดนด่าหรือถูกสบประมาททุกที ก็มี...กู...ขึ้นมาโกรธหรือขุ่นมัว ไม่พอใจอยู่ร่ำไป

เมื่อไหร่ถูกด่า หรือสบประมาทสักแค่ไหน ก็ไม่มีจิตหวั่นไหวหรือตอบโต้...นั่นแหละถึงจะ...อนัตตา...จริงๆ

คุณโกวิทโดนด่าหรือสบประมาทแรงๆ ยังโกรธ หรือขุ่นมัวอยู่บ้างไหมครับ?


ที่คุณอโศกะ กล่าวมา คงเป็น อัตวาทุปาทาน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2013, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อัตวาทุปาทาน เกิดมาจากอะไร

ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ

ผัสสะ เวทนา ตัณหา อัตวาทุปาทาน ภพ

อัตวาทุปาทาน เกิดมาจาก เพราะมีตัณหา นั่นเอง

ตัณหา มีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
เวทนา มีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย

พระอรหันต์ตัดตัณหา ได้ จึงละอัตวาทุปาทาน ได้ ไม่ก่อภพอีกต่อไป

แต่พระอรหันต์ ยังต้องมี
ผัสสะ เวทนา
ผัสสะ เวทนา .........................อยู่ ตลอดวันตลอดคืน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2013, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อุปาทาน เป็นองค์ธรรม อยู่ในสังขารขันธ์

คือ ทิฏฐิเจตสิก

อัตตวาทุปาทาน องค์ธรรม ก็คือ ทิฏฐิเจตสิก

ทิฏฐิเจตสิก ก็เลยเป็นเรื่อง ที่น่าสนใจ

เพราะว่า เรื่องตัวกูของกู เรื่องอัตตา อนัตตา ก็อยู่ในเรื่อง ทิฏฐิเจตสิก นี่เอง

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2013, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไตรลักษณ์เป็นธรรมขั้นปฏิบัติ เป็นอุบายธรรม การแยกส่วนใดของไตรลักษณ์แล้วเอามาถกกันเป็นอภิปรัญชาได้ ผมก็งืดเป็นเหมือนกัน :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2013, 22:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
ลึกละเอียดและแยบคายลงไปในหลักทฤษฎี....แต่ก็ยังมีความเห็นผิดเป็น กู เป็นเรา ...ยังมีความยึดผิดว่า
อันนี้ใช่ สิ่งนี้ไม่ใช่.....โดยหลักทฤษฏีคงถูกตามที่เห็น แต่ในความจริงผมถามว่า

เวลาถูกด่าหรือสบประมาทแรงๆ คุณโกวิทยังขุ่นมัว ขัดเคืองใจและโกรธอยู่หรือไม่....อันนี้ยังไม่ได้รับคำตอบครับ

:b10: :b10: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2013, 23:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชา.โปรแกรมอะไรใว้ตั้งหลายอย่าง...สิ่งที่หยาบ ๆ..เห็นได้ง่าย..ก็ความรัก...กะ...ความโกรธ..นี้แหละ

โปรแกรมรัก...กะ..โปรแกรมโกรธ....มีจุดประสงค์เพื่ออะไร?....ถ้าไม่ใช่เพื่อรูปนี้....มีเพื่อรักษารูปนี้

มันรักษารูปนี้ทำไม?
1 เพราะเข้าใจว่ารูปนี้เป้นเรา
2 แม้จะรู้ว่ารูปนี้ไม่ใช่เรา....แต่ลึก ๆ...ก็ยังคิดว่ารูปนี้เป็นความสุขของเรา

เพราะเข้าใจว่ารูปนี้เป็นเรา....จึงแสวงหากาม..เพื่อรูป...ถึงขนาดเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น...จนเกิดอบายภูมิ...เห็นรูปเป็นทุกข์ในอบายภูมิ...จึงทำความดี..จนเกิดสุคติภูมิโลกสวรรค์...ทั้งหมดนี้.เกิดเพราะต้องการให้รูปอยู่ดีมีสุข.....เป็นกามภพ..

เพื่อหาทางให้รูปยั่งยืน..จึงแสวงหาสุขในฌานเพื่อรูป.....เกิดเป็นรูปภพ...
จนถึงขนาดปฏิเสธการมีอยู่จริงของรูป...เหตุเพราะเห็นรูปเป็นทุกข์...คือ..เราทุกข์....จนเป็นอรูปภพ

ทั้งหมดนี้....เพราะ....เราทุกข์
ไอ้เราทุกข์...นี้แหละ...ใจเรามีอัตตา...มีเรา..มีทุกข์

ใจเรามี....ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง...มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาของจิตอวิชชา

จริง ๆ...มันไม่มี...มันอนัตตาทั้งนั้นเลย....สัพเพ...ธรรมา.อนัตตา

ถ้าเห็นจริงรู้แจ้ง.....อวิชชาจะโปรแกรมอะไรขึ้นมา....ก็เป็นหมั่นไปหมด....เมื่อมุกแป๊กก็หยุดปล่อยมุกไปเอง
หน้าที่เรา....คือ...ก้าวให้ทัน....ก้าวให้ไว..ก้าวให้เกินหน้า.ทุกโปรแกรมที่อวิชชาสร้างขึ้นมา..เห็นอัตตาที่มันสร้างขึ้นมา...เห็นทัน..เห็นก่อน...แล้วอัตตามันจะเป็นอะไรในสายตาคนที่เห็นทัน....มันก็ไร้ความหมาย....มันจึงอนัตตา

ที่เหลืออยู่...ก็คงเป็นแค่ประจักษ์พยานของคำว่า...นิพพานนัง..ปรมังสุขัง...

อิอิ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อนัตตา ไม่ใช่ องค์ธรรมครับ คุณอโศกะ

องค์ธรรม มีแต่ สังขาร กับวิสังขาร ..................... เท่านั้นครับ

อนัตตา แค่เป็นคำที่บ่งชี้ลักษณะ เท่านั้นครับ

รูป มี
เวทนา มี
สัญญา มี
สังขาร มี
วิญญาณ มี
นิพพาน มี

ที่เหลือ นอกจากนี้ มิได้มีอยู่จริงๆ .......... เป็นแต่เพียงสมมุติบัญญัติ เรียกชื่อ พอได้สื่อสารกันเท่านั้น

ขันธ์ห้ามีอยู่จริง แต่ไม่ใช่ความจริง เพราะว่าขันธ์ห้าเป็นการปรุงแต่ง
เป็นสังขารเกิดแล้วก็ดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 06:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เวลาถูกด่าหรือสบประมาทแรงๆ คุณโกวิทยังขุ่นมัว ขัดเคืองใจและโกรธอยู่หรือไม่....อันนี้ยังไม่ได้รับคำตอบครับ


ผัสสะ คือ รับวิบาก โดยการ ถูกด่า
เวทนา คือ ขุ่นมัว ขัดเคืองใจและโกรธ
ตัณหา คือ ไม่อยากโดนด่า
อุปาทาน คือ ตัวกูโดนด่า
ภพ ได้ก่อภพแล้ว อาจจะเป็นอสุรกายหรือเปล่า

เสร็จแล้ว ก็ไปรับ ผัสสะ คือ ถูกด่าด้วยคำพูดที่ 2 ต่อไปอีก เกิดเวทนาต่อเนื่องอีก

รับผัสสะ จนกว่า คนด่าจะหยุดด่า

ถ้าโดนด่านานๆ เวทนา มันจะสะสม จนแก่กล้ามาก

ตัณหา ก็จะรุนแรงมาก

อุปาทาน ก็หนักหน่วง จน

ภพ ได้สร้างอย่างรุนแรง คือ หน้าตาแดง หรือซีดเป็นอสุรกาย ตัวเกร็งพร้อมที่จะทำร้าย ฝ่ายตรงข้าม

ภพนี้ คือ กรรมภพ
การกระทำทางใจ วาจา กาย นี่คือ กรรมภพ

กรรมภพ นี่แหละที่จะ เป็นการสร้างกรรม แล้วส่งผลให้เกิดวิบากในอนาคตกาล

วิบาก ส่งผล ทางไหน ก็คือ ทางผัสสะ

มันวนเป็นวงกลม
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ
วนอยู่อย่างนี้ ไปตลอด

หมายเหตุ เวลาที่วิบาก จะให้ผลนั้น เป็นอจินไตย คือคาดคำนวณ ไม่ได้

เช่นกัน ผัสสะที่เราได้รับ ณ ตอนนี้ ย่อมคำนวณไม่ได้ว่า เป็นเพราะกรรมที่เรา ได้ไปสร้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร

ขอตอบคุณอโศกะว่า ผมยังไม่ละอัตวาทุปาทานได้...........ผมจึงยังมีโทมนัสเวทนา อยู่ครับ
เคืองใจ แน่นอน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เจอ แล้วครับ ความรู้สึกว่ามีเรา ตัวกู ของกู
เกิดจากองค์ธรรม 3 ประการนี้คือ
ตัณหา มานะ ทิฏฐิ

ทั้งสามตัวนี้ อยู่ในสังขารขันธ์
คือ โลภะเจตสิก มานะเจตสิก และทิฏฐิเจตสิก

เจตสิก ทั้งสามตัวนี้ ยังถูกแบ่งแยกย่อย ไปอีกเยอะแยะ
แสดง ให้เห็นถึงความลึกซึ้งของพระปัญญาคุณ ของพระพุทธเจ้า ว่าสูงส่งมาก

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


พูดได้ว่า แปลไทย เป็น บาลี กันอีกที

ผู้ที่จุดประเด็น เรื่องตัวกูของกู นี่เริ่มมาจาก ท่านอาจารย์พุทธทาส

แต่มีใครรู้บ้างว่า จากภาษาไทย ตัวกูของกู นี้ มาจากภาษาบาลีว่าอะไร

และจัดอยู่ในส่วนไหนของขันธ์ 5

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2013, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
บทว่า เอตํ มม (นั่นของเรา) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ

เพราะตัณหาเป็นมูล

.บทว่า เอโสหมสฺมิ (เราเป็นนั่น) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ

เพราะมานะเป็นมูล.

บทว่า เอโส เม อตฺตา (นั่นเป็นตัวตนของเรา) มีความสำคัญ

เพราะทิฏฐินั่นเอง.

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2013, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ขอตอบคุณอโศกะว่า ผมยังไม่ละอัตวาทุปาทานได้...........ผมจึงยังมีโทมนัสเวทนา อยู่ครับ
เคืองใจ แน่นอน

:b27: :b27: :b20: :b20:
สารภาพออกมาชัดเจนอย่านี้น่าอนุโมทนา

ทีนี้คุณโกวิท...เห็นหรือรู้จักตัวอัตตาที่ไม่มีอยู่จริงในธรรมแต่มีอยู่จริงในจิตปุถุชนทุกคนหรือยังล่ะครับ?

โดยทฤษฏีเหมือนไม่มี กู...หรือตัวกู ของกู.....แต่พอหูกระทบเสียงด่าหรือสบประมาท...กู...มันขึ้นมาตอบโต้ ขุ่นมัว ทุกทีไป....
onion onion onion
:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 92 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร