วันเวลาปัจจุบัน 24 ก.ค. 2025, 03:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 14:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




be พระพุทธโฆษาจารย์.jpg
be พระพุทธโฆษาจารย์.jpg [ 15.66 KiB | เปิดดู 1827 ครั้ง ]
“..ปัญญา..”

ในทางพระพุทธศาสนา..พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง แจกแจงนัยของปัญญาไว้อย่างละเอียด ปราณีตอย่างน่าอัศจรรย์ แม้พระวิสุทธิมรรค ที่พระพุทธโฆษาจารย์ได้แสดงไว้อย่างพิสดารนี้ ก็แจกแจง ย่นย่อลักษณะของปัญญาที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วให้เข้าใจได้อย่างน่าสนใจเช่นกัน
ความเวียนว่ายตายเกิด หมุนวนจากรูปนี้ไปรูปโน้น จากภพโน้น ไปภพนี้ สรรพสัตว์หมู่มากแล้วหมุนเวียนเปลี่ยนไปจากหยาบไปสู่ความละเอียด จากความละเอียดหมุนไปสู่ความหยาบ เวียนว่ายอยู่ในอัตภาพอันคับแคบ ล่ามกันและกันไว้ด้วยโซ่แห่งเวรกรรม ที่แม้อาวุธที่ล้ำสมัยที่สุดแห่งยุคแล้ว ยังตัดให้ขาดไม่ได้ แลสรรพสัตว์มีโดยส่วนน้อยเท่านั้นที่ข้ามพ้น เวียนจากความละเอียดแล้วไปสู่ความปราณีต หรือความไม่กลับมากสู่รอบแห่งวัฏฏะสงสารอีก

ในทางพระพุทธศาสนา มนุษย์ผู้มีปัญญาในการประกอบอาชีพการค้ามีความร่ำรวย พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ ข้าทาส บริวาร ก็เป็นเพียงปัญญาที่เหนือกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น และจัดเป็นปัญญาประเภทบัวระดับ ๔ ที่เป็นอาหารของเต่าปูปลา โดยนัยที่เต่า ปู และปลานั้นให้พิจารณาโดยแยบคายหมายเอาถึง กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่คอยโอกาสเคี้ยวกินอยู่ บัวระดับที่ ๔ นี้ จึงแทบจะไม่มีโอกาสได้เข้าใจพระธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอน แจกแจง เรื่องนี้เปรียบเทียบได้โดยง่ายว่า หากนำบุคคลผู้มีปัญญา ศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่านตำราจนจบวิทยาการต่างๆและประกอบอาชีพ ธุรกิจใดๆ ประสบความสำเร็จ มีกิจการและข้าทาสบริวาร มียศ มีอำนาจ แล้วให้ใช้ปัญญาของผู้นั้น มาอธิบายประโยคเดียวที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ เมื่อทรงแสดงธรรม เช่นประโยคว่า..

“ มฤตยู ย่อมพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์ของเลี้ยง ผู้มีใจซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ไป ดุจห้วงน้ำใหญ่ พัดชาวบ้านผู้หลับใหลไปฉะนั้น”

ก็ไม่อาจจะกระทำตนให้เข้าใจ และสามารถจะอธิบายต่อผู้ใดได้เลยว่าพระคาถานี้หมายความว่าอย่างไร.. ทั้งนี้เพราะปัญญาอย่างนั้น เป็นเพียงลักษณะหนึ่งของปัญญาที่ได้มาโดยปัจจัยอันเกิดจากการกระทำบุญบ้าง กระทำบาปบ้างในปางก่อน มิได้เกิดจากการสั่งสมกุศลด้วยสัมมาทิฏฐิ จึงสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน และต่ำระดับบัวประเภทที่ ๔ จึงไม่อาจเข้าใจพระคาถาบทเดียวที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ ผู้มีปัญญาอย่างนี้โดยมาก จึงมักมีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต กระทำตนให้รุ่มร้อนเพราะกิเลส ตัณหาอุปาทานแล้ว ก็กระทำผู้อื่นให้เร่าร้อนด้วยกิเลส ตัณหาอุปาทานอันตนมีแล้ว อันหมู่มนุษย์ใดมีผู้มีปัญญานี้โดยมากแล้ว ที่นั้นๆ ก็มีแต่ความเสื่อมทรามหาความสงบสุขไม่ได้เลย..

แต่หากจะกล่าวถึงผู้มีปัญญาในทางพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสยกย่องนั้น ย่อมหมายเอาถึงผู้มีปัญญาอันรู้เหตุ รู้ผล ของปัจจัย และสิ่งที่ไม่ใช่ปัจจัยเพื่อความสุขสงบอย่างปราณีต ที่เกิดจากการละกิเลส ตัณหา และอุปาทานให้ขาดได้ โดยไม่ต้องพึ่งอาวุธล้ำสมัยที่สุดชนิดใดๆ เลยในทางโลก และปัญญาในทางพระพุทธศาสนา แม้ในระดับพระอริยขั้นต่ำสุดมีพระโสดาปัตติมรรคเป็นต้นแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญา อันกระทำซึ่งความเป็นเจ้าของทรัพย์ ที่ไม่ใช่ทรัพย์ที่เพียงพอแก่ชาติปัจจุบัน แต่สามารถจะเลี้ยงตนเอง และผู้อื่นไปได้ทุกชาติที่ยังเหลืออยู่อย่างสงบสุข ก็นรชนผู้มีปัญญามิใช่หรือ ที่รักษาตนเองไว้ดีแล้ว จึงชื่อว่ารักษาผู้อื่น..ฯ
โพสต์ เมื่อ: 15 เม.ย. 2013, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2013, 21:48
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร