วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 00:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 03:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลายท่านกำลังเข้าใจผิดกับสมมุติบัญญัติที่เรียกว่า......สัจจะ
ทุกคนเข้าใจว่า สัจจะเป็นความหมายที่กี่ยวกับคำพูดของบุคคล
แท้จริงแล้ว คำที่ใช้กับคำพูดเขาใช้ว่า สัตย์หรือคำสัตย์

ส่วนความหมายของคำว่าสัจจะ ก็คือความเป็นไปของธรรมชาติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 06:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


John เขียน:
สัจจะ คือไร ?

"สัจจะ" ความจริง ความซื่อตรง ซื่อสัตย์

มีหลายลักษณะ ..

- สัจจะต่อตนเอง ตั้งสัจจะกับตนอย่างไร ต้องทำให้ได้อย่างนั้น พูดจริง ทำจริง เรียกว่า "คนจริง" ฯลฯ
- สัจจะต่อคำพูด ซื่อตรงต่อคำพูด รักษาคำมั่นสัญญา ไม่เสียสัตย์ เรียกว่ามี สัจจะวาจา ต่อตนและผู้อื่น ฯลฯ
- สัจจะต่อหน้าที่การงาน ทำงานในหน้าที่อย่างซื่อตรง ไม่เบียดบัง ไม่คดโกง มีความซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ
- สัจจะต่อผู้อื่น ซื่อสัตย์ ต่อบิดามารดา เพื่อน สามีภรรยาหรือผู้อื่นแม้แต่สัตว์ก็ต้องมีสัจจะ ฯลฯ
- สัจจะต่อสังคม เช่น ช่วยกันรักษากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม ฯลฯ

ยาวหน่อย แต่เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ..


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8564


 ข้อมูลส่วนตัว


wic เขียน:
ถ้าผมเป็นผู้ให้คะแนนคำตอบ

ผมให้ ลุงหมาน =A+ Rosarin=A คนอื่นๆ=B


สัจจะ ยังแบ่งได้ ๒ อย่าง คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถ์สัจจะ

ผมให้ ลุงหมาน =A+ Rosarin=A คนอื่นๆ=B เป็นสมมติสัจจะ
แค่สมมติก็ยังมีคนอิจฉาอยู่ดี

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
wic เขียน:
ถ้าผมเป็นผู้ให้คะแนนคำตอบ

ผมให้ ลุงหมาน =A+ Rosarin=A คนอื่นๆ=B


สัจจะ ยังแบ่งได้ ๒ อย่าง คือ สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถ์สัจจะ

ผมให้ ลุงหมาน =A+ Rosarin=A คนอื่นๆ=B เป็นสมมติสัจจะ
แค่สมมติก็ยังมีคนอิจฉาอยู่ดี

นี่แหล่ะเขาเรียก......สัจจธรรม

ทุกสิ่งอย่างล้วนสมมุติ แต่เราก็ยังเอาไปปรุงแต่งให้เป็นความ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


wic เขียน:

กบนอกกะลา เขียน:
อิอิ ...ไม่ถามคนถูกให้คะแนนบางหรอว่าอยากถูกให้รึปาว
:b13: :b13:

ขอโทษทีที่ไม่ได้ถาม ที่จริงอยากใ้ห้กิ๊ฟ ให้ถูกใจ แต่ที่นี่ไม่มี เลยให้คะแนนแทน


ไม่มี....นะดีมากเลย
เพราะอะไรรู้มัย?

เพราะกิเลสมันเร็วมากเลย....ทั้งคนกดให้และคนได้รับ

อิอิ.... :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2013, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
อธิบายความนิดนึงครับ

ผมเข้าใจท่านสมาชิก Rosarin ว่าอย่างนี้นะครับ

ท่านสามชิก Rosarin กล่าวว่า

Rosarin เขียน:
...ตอบตามความเข้าใจได้ว่า...สัจจะคือสภาพความจริงอันคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา...


อันนี้ผมเข้าใจว่าท่านกำลังจะบอกว่า สัจจะ คือ สภาพความจริง ใช่มั้ยล่ะ
แต่เผอิญท่านได้อธิบายยาวไปจึงทำให้สมาชิกบางท่าง งง

ผมเข้าใจว่าคำว่า สภาพความเป็นจริง ของท่านสมาชิก คงหมายถึงสภาวะ
ใช่มั้ยครับ เช่น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข เหล่านี้ล้วนเป็นสภาพที่เกิด
ขึ้นจริง และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ มันมีสภาพเป็นอย่างนี้ มีสภาวะเป็น
อย่างนี้อยู่ตลอดไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด มันก็ยังเป็นของมันไป
อย่างนี้ เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับท่าน Rosarin

:b12:
:b48: ความหมายแรก :b48:
...สัจจะในความหมายของความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คือสัจจธรรมจริงๆของสิ่งที่เกิดและดับ...
...เป็นสภาพจิตที่เกิดและที่ดับเท่านั้น จิตไม่มีเพศและวัย ภพภูมิเป็นสภาพสมมุติไม่ใช่สัจจะค่ะ...
...เพราะในพระไตรปิฎกเป็นธรรมที่ทรงสอนมนุษย์และบัญญัติไว้เพียง 84000พระธรรมขันธ์...
...เพื่อแจกแจงให้ตรึกตรองสภาพที่ไม่เที่ยงคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข ตามภพภูมิ...
...สัจจะคือเที่ยงตรง แม่นยำ คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เป็นอริยสัจจธรรม...
:b48: ความหมายที่สอง :b48:
...การตั้งสัจจะอธิษฐานของพระโพธสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว...
:b48: ความหมายที่สาม :b48:
...การคงที่และไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของสภาพธรรมที่ทรงตรัสรู้...
...เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้และทรงแสดงธรรม ไม่ว่าจะแสดงเมื่อไหร่...
...สภาพธรรมที่ทรงแสดงก็คือมีแค่เกิดและดับ มีมาตรฐานเดียว...
...เช่น การเกิด-ดับของรูปธรรมเป็นเพียงสีและแสงที่มากระทบที่ตา...
...การเกิด-ดับของนามธรรมเป็นเพียงเสียงกระทบหู ลิ้นรับรส จมูกรับกลิ่น...
...กายรับสัมผัสเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว ใจรับรูสภาพสุข-ทุกข์-เฉยๆ...
...ไม่ใช่ตัวตน บุคคล สัตว์ สิ่งของตามสมมติ แต่จริงตามสภาวะเกิด-ดับ...
:b39: :b39:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2013, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
...สัจจะในความหมายของความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คือสัจจธรรมจริงๆของสิ่งที่เกิดและดับ...
...เป็นสภาพจิตที่เกิดและที่ดับเท่านั้น จิตไม่มีเพศและวัย ภพภูมิเป็นสภาพสมมุติไม่ใช่สัจจะค่ะ...
:

ถ้าคุณให้ความหมายสัจจะเป็นความจริง แบบนี้จะเอาสภาพจิตที่เกิดดับ
มาใช้กับสัจจะที่แปลว่าความจริงไม่ได้ เพราะสภาพเกิดดับเป็นสังขาร
จิตหรือขันธ์ห้าเป็นสังขารเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาหาใช่ความจริงไม่

ภพภูมิเป็นสัจจะนะคับ เอางี้จะบอกให้ครับคุณกำลังสับสนกับคำว่า "สมมุติ"
คุณกำลังเอาสมมุติในทางธรรมมาใช้กับทางโลก มันเป็นคนละเรื่อง

สมมุติทางธรรมมีอยู่จริงในขณะที่พูด
แต่สมมุติทางโลกไม่มีอยู่จริงในขณะที่พูดครับ

Rosarin เขียน:

...เพราะในพระไตรปิฎกเป็นธรรมที่ทรงสอนมนุษย์และบัญญัติไว้เพียง 84000พระธรรมขันธ์...
...เพื่อแจกแจงให้ตรึกตรองสภาพที่ไม่เที่ยงคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข ตามภพภูมิ...
...สัจจะคือเที่ยงตรง แม่นยำ คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เป็นอริยสัจจธรรม...
:

คุณสับสนในบัญญัติ เลยเอาคำศัพท์ต่างมาผสมปนเปกันวุ่นวายไปหมด
แบบนี้เขาเรียกพูดทั้งๆที่ไม่เคยเห็นและไม่รู้สภาวะธรรมครับ

ธรรมทั้งหมดหรือธรรมชาติทั้งปวง มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลครับ
เพราะธรรมทั้งมวลเป็น อนัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2013, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
:b48: ความหมายที่สอง :b48:
...การตั้งสัจจะอธิษฐานของพระโพธสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว...

พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงเชื่อคำพยากรณ์ของใครหรอกครับ
ผู้ที่สามารถพยากรณ์ได้ มีแค่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์

ส่วนปุถุชนพระพุทธองค์ทรงห้าม เพราะมันเป็นอจินไตยสำหรับปุถุชน
Rosarin เขียน:
:b48: ความหมายที่สอง :b48:
...การตั้งสัจจะอธิษฐานของพระโพธสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว...
:b48: ความหมายที่สาม :b48:
...การคงที่และไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของสภาพธรรมที่ทรงตรัสรู้...
...เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้และทรงแสดงธรรม ไม่ว่าจะแสดงเมื่อไหร่...
...สภาพธรรมที่ทรงแสดงก็คือมีแค่เกิดและดับ มีมาตรฐานเดียว...
...เช่น การเกิด-ดับของรูปธรรมเป็นเพียงสีและแสงที่มากระทบที่ตา...
...การเกิด-ดับของนามธรรมเป็นเพียงเสียงกระทบหู ลิ้นรับรส จมูกรับกลิ่น...
...กายรับสัมผัสเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว ใจรับรูสภาพสุข-ทุกข์-เฉยๆ...
...ไม่ใช่ตัวตน บุคคล สัตว์ สิ่งของตามสมมติ แต่จริงตามสภาวะเกิด-ดับ...
:b39: :b39:
:b44:

ถามคุณจริงๆครับ คุณเข้าคำว่า ธรรมะ(ธรรมชาติ) กับสังขารธรรมมั้ยครับ
คุณกำลังเอามาเป็นเรื่องเดียวกันทั้งๆที่มันเป็นคนละเรื่อง แถมมันเป็นคนละฟากฝั่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2013, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


John เขียน:
ความหมายสั้น เข้าใจง่ายๆๆ ของคำว่าสัจจะ คืออะไรครับ

สัจจะ คือความจริงแท้
สภาพธรรมที่จริงแท้
V
ลักษณะของสภาพธรรมที่จริงแท้ ต้องทนต่อการไตร่ตรอง และเพ่งพินิจ ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาได้
V
ด้วยเหตุที่ว่า สิ่งนั้น
-เกิดจากความเชื่อก็มี
-เกิดจากความชอบใจก็มี
-เกิดจากการฟังตามๆ กันก็มี
-เกิดจากการตรึกเอาตามอาการก็มี
-เกิดจากการเพ่งเอาตามความคิดความเห็นก็มี
V
แต่สิ่งนั้น
-เมื่อเชื่อว่าจริง กลายเป็นเปล่า หรือไม่เชื่อว่าจริง แต่เป็นจริง ก็มี
-เมื่อชอบใจว่าจริง กลายเป็นเปล่า หรือชอบใจว่าไม่จริง แต่เป็นจริงก็มี
-ได้ฟังตามกันมาว่าจริง กลายเป็นเปล่า หรือ ได้ฟังตามกันมาว่าไม่จริง กลายเป็นจริงก็มี
-ได้ตรึกตามอาการที่เห็นที่แสดงออก ว่าจริง แต่กลายเป็นเปล่า หรือ....ว่าเปล่า กลายเป็นจริง ก็มี
-ได้เพ่งด้วยความคิดความเห็น ว่าจริง แต่กลายเป็นเปล่า หรือ ได้เพ่งด้วยความคิดความเห็นว่าเปล่า แต่เป็นจริง ก็มี
V
ดั้งนั้น
อย่าเพิ่งด่วนปลงใจเชื่อต่อสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นความจริงแท้ หรือเป็นสิ่งเปล่า....
V
สัจจะย่อมทน ต่อการเพ่งพินิจ ด้วยปัญญา ไม่มีความเป็นอื่นได้
V
ชนใดกล่าวถ้อยคำเป็นสัจจะ
ถ้อยคำนั้นต้องไม่เลื่อนลอย ต้องมีเหตุมีมูล ทนต่อการเพ่งพินิจของบัณฑิตผู้มีปัญญา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2013, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
...สัจจะในความหมายของความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คือสัจจธรรมจริงๆของสิ่งที่เกิดและดับ...
...เป็นสภาพจิตที่เกิดและที่ดับเท่านั้น จิตไม่มีเพศและวัย ภพภูมิเป็นสภาพสมมุติไม่ใช่สัจจะค่ะ...
:

ถ้าคุณให้ความหมายสัจจะเป็นความจริง แบบนี้จะเอาสภาพจิตที่เกิดดับ
มาใช้กับสัจจะที่แปลว่าความจริงไม่ได้ เพราะสภาพเกิดดับเป็นสังขาร
จิตหรือขันธ์ห้าเป็นสังขารเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาหาใช่ความจริงไม่

ภพภูมิเป็นสัจจะนะคับ เอางี้จะบอกให้ครับคุณกำลังสับสนกับคำว่า "สมมุติ"
คุณกำลังเอาสมมุติในทางธรรมมาใช้กับทางโลก มันเป็นคนละเรื่อง

สมมุติทางธรรมมีอยู่จริงในขณะที่พูด
แต่สมมุติทางโลกไม่มีอยู่จริงในขณะที่พูดครับ

Rosarin เขียน:

...เพราะในพระไตรปิฎกเป็นธรรมที่ทรงสอนมนุษย์และบัญญัติไว้เพียง 84000พระธรรมขันธ์...
...เพื่อแจกแจงให้ตรึกตรองสภาพที่ไม่เที่ยงคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข ตามภพภูมิ...
...สัจจะคือเที่ยงตรง แม่นยำ คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เป็นอริยสัจจธรรม...
:

คุณสับสนในบัญญัติ เลยเอาคำศัพท์ต่างมาผสมปนเปกันวุ่นวายไปหมด
แบบนี้เขาเรียกพูดทั้งๆที่ไม่เคยเห็นและไม่รู้สภาวะธรรมครับ

ธรรมทั้งหมดหรือธรรมชาติทั้งปวง มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลครับ
เพราะธรรมทั้งมวลเป็น อนัตตา

:b12:
...ในความหมายธรรมชาติในโลกของข้าพเจ้าคือธรรมชาติสิ่งที่เกิด-ดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...
...ไม่ใช่ธรรมชาติที่ว่าตัวข้าพเจ้าชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน ทำงานอะไรมีพ่อแม่ญาติมิตรอยู่ไหนอ่ะนะ...
...ขณะนี้มีเห็น คนครั้งพุทธกาลก็มีเห็น หรือคนเมื่อครั้งก่อนพุทธกาลก็มีเห็นเหมือนกัน อันนี้ที่คงที่...
...รึว่าคนที่ได้ยินในยุคนี้ก็มีได้ยิน ยุคพุทธกาลก็ได้ยิน ก่อนพุทธกาลก็ได้ยิน ก็ได้ยินเหมือนกันที่คงที่...
...ต่างกันที่ธรรมชาติในสมมุติบัญญัติที่จิตแต่ละดวงมาเสวยวิบากกรรมที่ตนได้รับไปตามยุคที่เกิด...
...คนที่เกิดในยุครัชกาลที่5ก็จะเห็นธรรมชาติบ้านเรือน และผู้คนตามสมมุติบัญญัติต่างจากคนยุคนี้...
...ที่คงที่คือขณะนี้มีเห็น คนไทยเห็น ต่างชาติเห็น แมวเห็น นกเห็น หนูเห็น มีเห็นในสมมุติเหมือนกัน...
...เห็นที่เป็นสัจจะคือเห็นเป็นปัจจุบันขณะ ไม่ใช่เห็นธรรมชาติของแม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขา คนฯลฯ...
:b16: :b27:
:b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2013, 20:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ...เป็นตาเหนื่อย...

เกิด ดับ เป็นสิ่งเกิดขึ้นจริง...แต่มันเป็นสัจจะ...แท้จริงหรือไม่?

หากมันเป็นสิ่งแท้จริง....งั้ยมันไม่มีในนิพพาน

หรือ...ความจริง...จะจริงได้ยังต้องมีเงื่อนไข?

แล้ว..สัจจะ...แปลว่าอะไร!!!

:b10: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2013, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...จิตท่องเที่ยวอยู่แค่ 6 ทาง ตา-เห็น หู-ได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายรับสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์...
...คนก่อนพุทธกาล คนครั้งพุทธกาล คนยุคปัจจุบันที่ผ่านพุทธกาลมา2600ปีก็เที่ยวแค่ 6 ทางนี้...
...อันนี้คือสัจจะไม่เปลี่ยน...พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เมื่อตรัสรู้พบความจริงนี้ก็นำมาสิ่งนี้มาสอน...
...และจิตแต่ละดวงต่างมาท่องเที่ยวดวงเดียว ตั้งแต่เกิดจนตายอยู่ในโลกของความคิดดวงเดียว...
...ทำอยู่แค่ 2 อย่างคือคิดดีกับคิดไม่ดีตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับ หลับแล้วก็คิดฝันสารพัด...
...จริงตามสมมุติบัญญัติเป็นธรรมชาติที่คนในโลกหลงตัวตน วัตถุ สิ่งของ และโลกธรรม 8...
...จริงตามสัจจะที่ไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาสถานที่เป็นอกาลิโก เวลาเปลี่ยนสัจธรรมไม่เปลี่ยน...
:b8: :b8:
:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2013, 04:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
John เขียน:
ความหมายสั้น เข้าใจง่ายๆๆ ของคำว่าสัจจะ คืออะไรครับ

สัจจะ คือความจริงแท้
สภาพธรรมที่จริงแท้
V
ลักษณะของสภาพธรรมที่จริงแท้ ต้องทนต่อการไตร่ตรอง และเพ่งพินิจ ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาได้

คุณเช่นนั้นชอบพูดธรรมในลักษณะแบบนี้ คือ ธรรมที่พูดถึงแม้จะดีหรือถูกต่อคำถาม
แต่ผู้พูดกลับไม่เข้าใจความหมายที่เอามาพูด ผมจะอธิบายให้ฟังครับ

ประโยคคำพูดนี้ถูกต้องใกลัเคียงครับ เพียงแต่คุณเช่นนั้นยังไมได้ชี้ชัดลงไปว่า
สัจจะและสภาพธรรมที่จริงแท้ มันคืออะไร

ดูให้ดีจะมีบัญญัติอยู่สามคำนั้นก็คือ สัจจะ สภาพธรรมและปัญญา
ถ้าเราเอาบัญญัติสามคำมาพิจารณา

สภาพธรรมภายในกายใจเรา มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
ความไม่เที่ยงของกายใจ ก็คือสัจจะหรือสภาพธรรมที่จริงแท้ในปัจจุบันขณะนั้นๆ
ดังนั้นการจะให้ความหมายของคำว่า สัจจะเป็นความจริงแท้ เราจะต้องมีเหตุปัจจัยของสภาพธรรมมาประกอบด้วย
เพราะในสภาวะภายในกายใจเราความไม่จริงก็คือความจริง


ถ้าเราเอาเหตุปัจจัยมาพิจารณา เราสามารถดูได้ว่า .....สิ่งที่เป็นความจริงแท้นั้นคืออะไร
การมองเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร การมองเห็นการปรุงแต่งของสังขารนั้นต้อง
อาศัยปัญญา ปัญญาที่ว่าคือ....สัมมาทิฐิ


อ่านดูแล้วก็จะรู้ว่า สัจจะไม่ได้หมายถึงความจริงแท้ ความจริงแท้คือ..
ปัญญาสัมมาทิฐิ การมองธรรมไปตามความจริง

สรุปความหมายของสัจจะก็คือ สภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง ล้วนแล้วแต่เป็น......สัจจะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2013, 04:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
V
ด้วยเหตุที่ว่า สิ่งนั้น
-เกิดจากความเชื่อก็มี
-เกิดจากความชอบใจก็มี
-เกิดจากการฟังตามๆ กันก็มี
-เกิดจากการตรึกเอาตามอาการก็มี
-เกิดจากการเพ่งเอาตามความคิดความเห็นก็มี
V
แต่สิ่งนั้น
-เมื่อเชื่อว่าจริง กลายเป็นเปล่า หรือไม่เชื่อว่าจริง แต่เป็นจริง ก็มี
-เมื่อชอบใจว่าจริง กลายเป็นเปล่า หรือชอบใจว่าไม่จริง แต่เป็นจริงก็มี
-ได้ฟังตามกันมาว่าจริง กลายเป็นเปล่า หรือ ได้ฟังตามกันมาว่าไม่จริง กลายเป็นจริงก็มี
-ได้ตรึกตามอาการที่เห็นที่แสดงออก ว่าจริง แต่กลายเป็นเปล่า หรือ....ว่าเปล่า กลายเป็นจริง ก็มี
-ได้เพ่งด้วยความคิดความเห็น ว่าจริง แต่กลายเป็นเปล่า หรือ ได้เพ่งด้วยความคิดความเห็นว่าเปล่า แต่เป็นจริง ก็มี
V
ดั้งนั้น
อย่าเพิ่งด่วนปลงใจเชื่อต่อสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นความจริงแท้ หรือเป็นสิ่งเปล่า....
V
สัจจะย่อมทน ต่อการเพ่งพินิจ ด้วยปัญญา ไม่มีความเป็นอื่นได้
V
ชนใดกล่าวถ้อยคำเป็นสัจจะ
ถ้อยคำนั้นต้องไม่เลื่อนลอย ต้องมีเหตุมีมูล ทนต่อการเพ่งพินิจของบัณฑิตผู้มีปัญญา

การกล่าวหรือแสดงความเห็นแบบนี้แหล่ะครับ มันเลื่อนลอย มันเป็นลักษณะของการได้
มีโอกาสอ่านหรือฟังธรรมมาบ้าง แต่การอ่านหรือฟังธรรมยังขาดความเข้าใจ
เมื่อได้เอาแสดงให้คนอื่นอีกทอด ผู้ไม่รู้ก็ยังคงไม่รู้ แต่ผู้รู้จะมองว่า ผู้แสดงความเห็น
กำลังท่องอาขยานครับ ถ้าจะกล่าวในแง่ของสุภาษิต ก็คือ "ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดครับ"

มีเยี่ยงอย่างที่ไหนครับ หยิบจับธรรมมาโพสซี่ซั่ว ทำให้ธรรมอันประเสริฐกลายเป็นคำเสียดสีไปได้
ไม่ถือสา แค่จะบอกว่า ธรรมทั้งสองบทที่เอามาดูแล้วมันแตกต่างกัน แต่มันเป็นสัจจะทั้งคู่นั้นแหล่ะ
เพียงแต่อะไรคือความจริง ความจริงก็คือมองธรรมไปตามความจริง(สัมมาทิฐิ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2013, 05:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
...สัจจะในความหมายของความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คือสัจจธรรมจริงๆของสิ่งที่เกิดและดับ...
...เป็นสภาพจิตที่เกิดและที่ดับเท่านั้น จิตไม่มีเพศและวัย ภพภูมิเป็นสภาพสมมุติไม่ใช่สัจจะค่ะ...
:

ถ้าคุณให้ความหมายสัจจะเป็นความจริง แบบนี้จะเอาสภาพจิตที่เกิดดับ
มาใช้กับสัจจะที่แปลว่าความจริงไม่ได้ เพราะสภาพเกิดดับเป็นสังขาร
จิตหรือขันธ์ห้าเป็นสังขารเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาหาใช่ความจริงไม่

ภพภูมิเป็นสัจจะนะคับ เอางี้จะบอกให้ครับคุณกำลังสับสนกับคำว่า "สมมุติ"
คุณกำลังเอาสมมุติในทางธรรมมาใช้กับทางโลก มันเป็นคนละเรื่อง

สมมุติทางธรรมมีอยู่จริงในขณะที่พูด
แต่สมมุติทางโลกไม่มีอยู่จริงในขณะที่พูดครับ

Rosarin เขียน:

...เพราะในพระไตรปิฎกเป็นธรรมที่ทรงสอนมนุษย์และบัญญัติไว้เพียง 84000พระธรรมขันธ์...
...เพื่อแจกแจงให้ตรึกตรองสภาพที่ไม่เที่ยงคือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข ตามภพภูมิ...
...สัจจะคือเที่ยงตรง แม่นยำ คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เป็นอริยสัจจธรรม...
:

คุณสับสนในบัญญัติ เลยเอาคำศัพท์ต่างมาผสมปนเปกันวุ่นวายไปหมด
แบบนี้เขาเรียกพูดทั้งๆที่ไม่เคยเห็นและไม่รู้สภาวะธรรมครับ

ธรรมทั้งหมดหรือธรรมชาติทั้งปวง มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลครับ
เพราะธรรมทั้งมวลเป็น อนัตตา

:b12:
...ในความหมายธรรมชาติในโลกของข้าพเจ้าคือธรรมชาติสิ่งที่เกิด-ดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...
...ไม่ใช่ธรรมชาติที่ว่าตัวข้าพเจ้าชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน ทำงานอะไรมีพ่อแม่ญาติมิตรอยู่ไหนอ่ะนะ...
...ขณะนี้มีเห็น คนครั้งพุทธกาลก็มีเห็น หรือคนเมื่อครั้งก่อนพุทธกาลก็มีเห็นเหมือนกัน อันนี้ที่คงที่...
...รึว่าคนที่ได้ยินในยุคนี้ก็มีได้ยิน ยุคพุทธกาลก็ได้ยิน ก่อนพุทธกาลก็ได้ยิน ก็ได้ยินเหมือนกันที่คงที่...
...ต่างกันที่ธรรมชาติในสมมุติบัญญัติที่จิตแต่ละดวงมาเสวยวิบากกรรมที่ตนได้รับไปตามยุคที่เกิด...
...คนที่เกิดในยุครัชกาลที่5ก็จะเห็นธรรมชาติบ้านเรือน และผู้คนตามสมมุติบัญญัติต่างจากคนยุคนี้...
...ที่คงที่คือขณะนี้มีเห็น คนไทยเห็น ต่างชาติเห็น แมวเห็น นกเห็น หนูเห็น มีเห็นในสมมุติเหมือนกัน...
...เห็นที่เป็นสัจจะคือเห็นเป็นปัจจุบันขณะ ไม่ใช่เห็นธรรมชาติของแม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขา คนฯลฯ...
:b16: :b27:
:b40:

ยิ่งพูดยิ่งเละ พูดกับคุณพูดยาวๆไม่ได้ เพราะคุณชอบเอาสิ่งที่เห็นไปปรุงแต่ง

ฟังนะครับ กายใจคนมันก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เพียงแต่สิ่งที่เกิดภายในกายใจ
มันไม่ใช่สิ่งที่จริงแท้ มันเป็นการปรุงแต่งด้วยการยึดเอาธรรมชาตินอกกายใจมาปรุงแต่ง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: muisun และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร