วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 03:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 06:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สุภาษิตหนึ่งที่คุณตาผมพูดให้ฟังบ่อย ๆ
" รู้มาก....ยากนาน
รู้น้อย...พลอยรำคาญ"

ตอนนั้นงงนะ...รู้มาก ๆ ..มันน่าจะง่ายซิ...มันจะยากได้งัยหน่อ....แอบคัดค้านอยู่เงียบ ๆ ...ไม่เห็นด้วยเลย :b32:


อืม...ตอนนี้รู้แล้วว่ายังไง ช่วยขยายความให้เพื่อนๆสมาชิกฟังหน่อยซิ
:b8: :b8: :b8: ขอขอบคุณมาล่วงหน้าด้วยครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 06:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
...

คือ บางครั้ง การเป็นผู้ศึกษาปฏิบัติธรรม
ก็มักจะมีอารมณ์เกี่ยงในเรื่องทางโลกนะ
คือ คิดว่าแทนที่จะไปเรียนฝึกภาษาอังกฤษ เอาเวลาไปศึกษาธรรมทำสมาธิดีกว่า

คือ ถ้ามันเป็นภาระหน้าที่ ก็ทำไปเถอะ
เราก็ทำสัมมาอาชีวะ ... เน๊อะ
คือ ... เรากำลังทำกรรมที่เป็น สัมมาอาชีวะ :b32: :b32: :b32:
ซึ่งถ้าเราทำสัมมาอาชีวะให้เกิดได้ มันก็เป็นที่ ๆ สุข และ สงบได้

:b12: :b13: :b13: :b12:


มีรูป......เป็นภาระ
ปฏิบัติธรรม....สมควรแก่ธรรม
rolleyes rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ช่วงนี้งานยุ่งมาก
จริง ๆ เวลาที่งานยุ่ง ๆ หรือมีเรื่องยุ่ง ๆ เข้ามา
มันก็ท้าทายดีนะ
เราได้ลงเล่นเกมบริหารอารมณ์ บริหารจิต .... :b1: :b1: :b1:
มันมีปัญหา มีการกระทบเข้ามาทุกวัน มันเข้ามาได้ทุกเวลา
...

สงสัยยุ่งจริง ๆ ค่ำมืดดึกดื่น ไม่ยอมหลับนอน .. :b32:
งานทุกอย่างก็มีปัญหา คนยิ่งมากงานยิ่งยุ่ง ท่านให้เอาพระคุณนำหน้าพระเดช
พระคุณคือ เมตตา กรุณา ที่ใดมีเมตตามาก งานมากก็ไม่มีปัญหา งานยุ่งก็ง่าย
ความรัก สามัคคี ก็เยอะ ..


:b11: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 07:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สุภาษิตหนึ่งที่คุณตาผมพูดให้ฟังบ่อย ๆ
" รู้มาก....ยากนาน
รู้น้อย...พลอยรำคาญ"

ตอนนั้นงงนะ...รู้มาก ๆ ..มันน่าจะง่ายซิ...มันจะยากได้งัยหน่อ....แอบคัดค้านอยู่เงียบ ๆ ...ไม่เห็นด้วยเลย :b32:


อืม...ตอนนี้รู้แล้วว่ายังไง ช่วยขยายความให้เพื่อนๆสมาชิกฟังหน่อยซิ
:b8: :b8: :b8: ขอขอบคุณมาล่วงหน้าด้วยครับ

:b32: :b32:
เอา...."รู้น้อย...พลอยรำคาญ"...ก่อน

จะทำอะไรสักอย่าง...พอลงมือจะทำ....ก็ไม่แน่ใจแล้วว่าจะถูกมั้ย?....ต้องไปควานหาในตำรา...ว่าเขาแนะนำว่ายังงัยบ้าง....มีทฤษฎีอะไรสนับสนุนวิธีการที่เราจะทำบ้าง...หากเกิดความผิดผลาดมาเราจะได้อ้างได้ว่าทำถูกต้องตามหลักวิชาการแล้วนะ....พวกรู้น้อย...ไม่แม่น...ก็ต้องกลับไปเปิดตำราอ่านก่อนจะทำอะไร ๆ ทุก ทีไป....

จึงเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ...ทั้งต่อตัวเอง...และต่อเจ้านาย...

" รู้มาก...ยากนาน "

ดร.การตลาดจะเปิดร้านสะดวกซื้อ....บริเวณนี้คนเยอะมั้ย?...เอาแบบฟอรมไปสำรวจดู...คนแถวนี้มีพฤติกรรมการเดินทางไปทางไหน..ชอบหันซ้ายหรือหันขวาก่อน?...เอาแบบฟอร์มไปสำรวจดู...ร้านสะดวกซื้อมันก็มีหลายแบรนด์...ดังดังจะแพงหน่อย....ไม่ค่อยดังก็ถูกลงมานิด...แล้วคนแถวนี้เขาจะซื้อตามความดังหรือว่าไม่ดังเขาก็ซื้อ??....อย่างนี้ก็เอาแบบฟอร์มไปสำรวจดูกันหน่อย..ฯลฯ

กว่าจะทำครบองค์ประกอบที่ตัวรู้มา....อาจใช้เวลาหลายเดือน...กว่าจะเสร็จ....เรียกว่า...ต้องลำบากนานกว่าคนอื่นหน่อยละ....ดีมั้ย?..ก็ดี....รอบคอบดี...แต่โปรดให้ระวังพวกเถ่าแก่นะ...มันมายืนดูทำเลแค่อาทิตย์เดียว...อาจตัดสินใจทำตัดหน้าเราไปซะแล้ว... :b5:

ยังมีอีกแบบ...พวกรู้มาก...ยากนาน

กระทาชายนายหนึ่ง...เขารู้ไปหมด...ไม่ว่าพระว่าเจ้า..วัดวาอารามไหนก็รู้...คนในพื้นที่รอบ ๆ สำนักงาน..เขาก็รู้จัก...ผู้หลักผู้โหญ่เข้านอกออกในได้หมด....มารยาทพิธีการงานต่าง ๆ..เขารู้หมด...รู้แบบฯลฯ...

สำนักงานจะจัดงานที...จะพิมพ์ซอง..เชิญพระ..หาสปอนเซอร์..ฯลฯ....กระทานายนี้ต้องทำเองหมด...เพราะเขารู้.....

เพื่อน ๆ ในสำนักงานรักกระทาชายนายนี้มาก....

ยาก....ไปอีกนานเลยละแก่... s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2013, 03:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
eragon_joe เขียน:
ช่วงนี้งานยุ่งมาก
จริง ๆ เวลาที่งานยุ่ง ๆ หรือมีเรื่องยุ่ง ๆ เข้ามา
มันก็ท้าทายดีนะ
เราได้ลงเล่นเกมบริหารอารมณ์ บริหารจิต .... :b1: :b1: :b1:
มันมีปัญหา มีการกระทบเข้ามาทุกวัน มันเข้ามาได้ทุกเวลา
...

สงสัยยุ่งจริง ๆ ค่ำมืดดึกดื่น ไม่ยอมหลับนอน .. :b32:
งานทุกอย่างก็มีปัญหา คนยิ่งมากงานยิ่งยุ่ง ท่านให้เอาพระคุณนำหน้าพระเดช
พระคุณคือ เมตตา กรุณา ที่ใดมีเมตตามาก งานมากก็ไม่มีปัญหา งานยุ่งก็ง่าย
ความรัก สามัคคี ก็เยอะ ..


:b11: :b13:


:b12: วันนี้จะสว่างแล้ว... :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2013, 04:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อื่มม.... :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2013, 07:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประอยู่ที่กัมมาสทัมมนิคม ในแค้วนกุรุ
พระอานนท์ได้ไปบิณฑบาตในหม่บ้านทุกๆบ้าน เพื่อสงเคราะอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เหมือนหนึ่งได้นำถุงทรัพย์ไปแจกจ่ายชาวบ้านเหล่านั้น วันหนึ่งเมื่อพระเถระไปบิณฑบาตกลับมาและฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็ได้ไปปฏิบัติต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตามหน้าของท่าน เมื่อถึงเวลากลางวัน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จเข้าคันธกุฎีเพื่อทรงพักผ่อน แล้วพระอานนท์เถระเจ้าก็กลับไปยังกุฎีของท่าน ได้ทำการอบรมสั่งสอนศิษย์ของท่านเมื่อเสร็จแล้ว ก็ได้ไปหาที่สงบนั่งเสวยวิมุตติสุข คือเข้าผลสมาบัติอยู่ ณ ที่นั้น เมื่ออกจากผลสมาบัติแล้ว ก็ได้ไปนั่งพิจารณาปฏิจจสมุปบาทโดย อนุโลม ปฏิโลม แล้วพิจารณาจากต้นไปหากลางโดยอนุโลม ปฏิโลมจากปลายไปหากลาง โดยนัยที่พิจารณาว่า "สังขารเหล่านั้นที่เกิดขึ้น โดยอาศัยอวิชชาเป็นเหตุ" หาใช่ตัวตน เรา เขา ชาย หญิง เกิดขึ้นโดยอวิชชาไม่ และอวิชชาก็เป็นผลธรรมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุตามสมควร วิญญานเหล่านั้นที่เกิดขึ้นโดยอาศัยสังขารเป็นเหตุ หาใช่ตัวตน เรา เขา ชาย หญิง เกิดขึ้นโดยอาศัยสังขารไม่ และสังขารก็เป็นผลธรรมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุอันสมควร ท่านพิจารณาโดยนัยนี้ไปเรื่อยๆ ไปจนถึง ชรา มรณะ เท่านั้นที่เกิดขึ้นโดยอาศัยชาติเป็นเหตุ หาใช่ตัวตน เรา เขา ชาย หญิง เกิดขึ้นโดยอาศัยชาติไม่ ท่านพิจารณาถึง ๓ ครั้ง คือจากต้นไปหาปลายๆไปหาต้น ๑ จากต้นไปหากลางๆ ไปหาต้น ๑ จากปลายไปหากลางๆ ไปหาปลาย ๑ ในระหว่างที่พิจารณาอยู่นั้นความเป็นไปของปฏิจจสมุปบาทที่มีการอุปการะกัน โดยเหตุและผลทั้ง ๑๒ องค์ ก็ปรากฎชัดเจนขึ้นในปัญญาของท่านๆ จึงคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายได้ทรงแสดงว่า ปฏิจสมุปบาทธรรมที่มีสภาพธรรมลึกซึ้ง และก็อาการที่เป็นไปก็ลึกซึ้ง เราเองเป็นเพียงสาวกที่ปัญญาส่วนหนึ่งเท่านั้นเท่านั้น แต่มีความสว่างชัดเจนในความเป็นไปของปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้เป็นอย่างดี พระสาวกองค์อื่นๆ จะมีความรู้อย่างเราบ้างไหมหนอ
ครั้นถึงเวลาเย็น พระอานนท์เถระก็ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทูลถามว่า
"อจฺฉริย ภนฺเต, อพฺภุตํ ภนฺเต, ยาวคมฺภีโร จายํ ภนฺเต ปฏิจฺจสมุปฺปาโท คมฺภีราวภาโส จ,
อถ จ ปน เม อุตฺตานกุตฺตานโก วิย ขายติ"

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นสิ่งที่พิเศษที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้ ปรากฎชัดเจนแก่ข้าพระองค์ เหมือนกับธรรมนี้เป็นของตื่นๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2013, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประอยู่ที่กัมมาสทัมมนิคม ในแค้วนกุรุ
พระอานนท์ได้ไปบิณฑบาตในหม่บ้านทุกๆบ้าน เพื่อสงเคราะอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เหมือนหนึ่งได้นำถุงทรัพย์ไปแจกจ่ายชาวบ้านเหล่านั้น วันหนึ่งเมื่อพระเถระไปบิณฑบาตกลับมาและฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็ได้ไปปฏิบัติต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตามหน้าของท่าน เมื่อถึงเวลากลางวัน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จเข้าคันธกุฎีเพื่อทรงพักผ่อน แล้วพระอานนท์เถระเจ้าก็กลับไปยังกุฎีของท่าน ได้ทำการอบรมสั่งสอนศิษย์ของท่านเมื่อเสร็จแล้ว ก็ได้ไปหาที่สงบนั่งเสวยวิมุตติสุข คือเข้าผลสมาบัติอยู่ ณ ที่นั้น เมื่อออกจากผลสมาบัติแล้ว ก็ได้ไปนั่งพิจารณาปฏิจจสมุปบาทโดย อนุโลม ปฏิโลม แล้วพิจารณาจากต้นไปหากลางโดยอนุโลม ปฏิโลมจากปลายไปหากลาง โดยนัยที่พิจารณาว่า "สังขารเหล่านั้นที่เกิดขึ้น โดยอาศัยอวิชชาเป็นเหตุ" หาใช่ตัวตน เรา เขา ชาย หญิง เกิดขึ้นโดยอวิชชาไม่ และอวิชชาก็เป็นผลธรรมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุตามสมควร วิญญานเหล่านั้นที่เกิดขึ้นโดยอาศัยสังขารเป็นเหตุ หาใช่ตัวตน เรา เขา ชาย หญิง เกิดขึ้นโดยอาศัยสังขารไม่ และสังขารก็เป็นผลธรรมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุอันสมควร ท่านพิจารณาโดยนัยนี้ไปเรื่อยๆ ไปจนถึง ชรา มรณะ เท่านั้นที่เกิดขึ้นโดยอาศัยชาติเป็นเหตุ หาใช่ตัวตน เรา เขา ชาย หญิง เกิดขึ้นโดยอาศัยชาติไม่ ท่านพิจารณาถึง ๓ ครั้ง คือจากต้นไปหาปลายๆไปหาต้น ๑ จากต้นไปหากลางๆ ไปหาต้น ๑ จากปลายไปหากลางๆ ไปหาปลาย ๑ ในระหว่างที่พิจารณาอยู่นั้นความเป็นไปของปฏิจจสมุปบาทที่มีการอุปการะกัน โดยเหตุและผลทั้ง ๑๒ องค์ ก็ปรากฎชัดเจนขึ้นในปัญญาของท่านๆ จึงคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายได้ทรงแสดงว่า ปฏิจสมุปบาทธรรมที่มีสภาพธรรมลึกซึ้ง และก็อาการที่เป็นไปก็ลึกซึ้ง เราเองเป็นเพียงสาวกที่ปัญญาส่วนหนึ่งเท่านั้นเท่านั้น แต่มีความสว่างชัดเจนในความเป็นไปของปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้เป็นอย่างดี พระสาวกองค์อื่นๆ จะมีความรู้อย่างเราบ้างไหมหนอ
ครั้นถึงเวลาเย็น พระอานนท์เถระก็ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทูลถามว่า
"อจฺฉริย ภนฺเต, อพฺภุตํ ภนฺเต, ยาวคมฺภีโร จายํ ภนฺเต ปฏิจฺจสมุปฺปาโท คมฺภีราวภาโส จ,
อถ จ ปน เม อุตฺตานกุตฺตานโก วิย ขายติ"

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นสิ่งที่พิเศษที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้ ปรากฎชัดเจนแก่ข้าพระองค์ เหมือนกับธรรมนี้เป็นของตื่นๆ


เมื่อสมเด็จพระผู้มีึพระภาคเจ้าได้ทรงฟังพระอานนท์ทูลถวายดังนั้นแล้ว ก็ทรงนึกอยู่ในพระทัยว่า
อานนท์น้องเรานี้กล่าวถึงเรื่องที่เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายว่าปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้
ปรากฏชัดเจนถี่ถ้วนแก่ตน การที่พระอานนท์กล่าวดังนี้ก็คล้ายกับว่าพยายามเอื้อมมือให้ถึงภวัคคภูมิ
พยายามจะผ่าภูเขาสิเนรุให้แตก เพื่อจะเอาแก้วที่อยู่ภายในนั้น พยายามจะข้ามมหาสมุทรโดยไม่ต้อง
อาศัยเรือ พยายามจะพลิกแผ่นดินเพื่อจะเอาโอชาที่อยู่ในดินนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้เราจำเป็นจะต้องห้ามคำพูดเช่นนี้ แล้วจะต้องแสดงให้รู้ถึงความลึกซึ้งของปฏิจจสมุปบาทธรรมให้เข้าใจ

เมื่อพระองค์ทรงดำริเช่นนั้นแล้ว ก็ตรัสแก่พระอานนท์ว่า

" มา เหวํ อานนฺท มา เหวํํ อานนฺท คมฺภีโร จายํ อานนฺท ปฏิจฺจสมุปปาโท คมภีรวาภาโส "

ดูก่อนอานนท์ อย่าพูดอย่างนี้ๆ อานนท์ ปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้มีสภาพลึกซึ้งยิ่งนัก และอาการที่เป็นไป
ก็แสดงให้เห็นว่า ลึกซึ้ง

ปฏิจจสมุปบาทธรรม เป็นธรรมที่มีสภาพลึกซึ้ง และอาการที่เป็นไปก็แสดงให้เห็นว่าลึกซึ้งนั้น อุปมา
เหมือนน้ำในมหาสมุทรที่อยูใกล้ภูเขาสิเนรุฉันนั้น

:b8: :b8: :b8:

การที่พระอานนท์มีปัญญารู้ได้ชัดเจนถี่ถ้วนเช่นนี้ ก็ด้วยอาศัยเหตุ ๔ อย่าง คือ

๑. อุปฏฺฐกอธิการโร เป็นผู้ที่เคยสร้างทาน ศีล ภาวนา แล้วปรารถนาเป็น พุทธอุปัฏฐาก
๒. อนฺเตวาสิโก ได้เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระบรมศาสดา
๓. โสตาปนฺโน ได้สำเร็จพระโสดาบัน
๔. พหุสฺสุตธโร เป็นผู้มีพหูสูตมากที่สุด

.............................................

การที่ อวิชชา เป็นปัจจัยให้แก่ ปุญญาภิสังขาร ในปฏิจจสมุปบาทนั้น
เป็นอนันตรปัจจัยไม่ได้นั้นให้ดูตรงบท ปจฺจยนิทฺเทส ของ อนันตรปัจจัยค่ะ
ตั้งแต่ย่อหน้าที่ 11-17 ของอนันตรปัจจัย ที่ว่า ปุริมา ปุริมา.........ทั้งหมดนั่นแหล่ะค่ะ
ลองดูนะคะจะมีไม่ อกุศล เป็นปัจจัยให้เกิด กุศล ในอนันตรปัจจัย

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2013, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิจฺจสมุปฺปาทคมฺภีรตา

ปฏิจจสมุปบาทแม้ทั้งหมดนั้น ปรากฏแก่พระเถระดุจเป็นของง่าย ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะยังท่านพระอานนท์ให้คลายความคิด จึงตรัสว่า มา เหวํ ดังนี้เป็นต้น

ก็ในข้อนี้มีอธิบายว่า ดูก่อนอานนท์ เธอเป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญญาเฉลียวฉลาด ด้วยเหตุนั้น ปฏิจจสมุปบาท แม้เป็นของลึกซึ้งย่อมปรากฏแก่เธอดุจเป็นของง่าย

เพราะฉะนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า ปฏิจจสมุปบาทนี้ปรากฏเป็นของง่ายแก่เราเท่านั้นหรือ หรือว่าแม้แก่ผู้อื่นด้วย



อปสาทนาวณฺณนา

ในบทที่ท่านกล่าวว่า อปสาเทนฺโต นั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ปฏิจจสมุปบาทนี้ย่อมปรากฏแก่เราดุจเป็นของง่ายๆ ก็ผิว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ ย่อมปรากฏแก่เธอดุจเป็นของง่ายๆ ไซร้

เพราะเหตุไร เธอจึงมิได้เป็นโสดาบันตามธรรมดาของตน

เธอตั้งอยู่ในนัยที่เราให้แล้ว จึงบรรลุโสดาปัตติมรรค


http://84000.org/tipitaka/attha/attha.p ... 9%E0%B8%B2

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2013, 13:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2013, 11:46
โพสต์: 137


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ปฏิจฺจสมุปฺปาทคมฺภีรตา

ปฏิจจสมุปบาทแม้ทั้งหมดนั้น ปรากฏแก่พระเถระดุจเป็นของง่าย ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะยังท่านพระอานนท์ให้คลายความคิด จึงตรัสว่า มา เหวํ ดังนี้เป็นต้น

ก็ในข้อนี้มีอธิบายว่า ดูก่อนอานนท์ เธอเป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญญาเฉลียวฉลาด ด้วยเหตุนั้น ปฏิจจสมุปบาท แม้เป็นของลึกซึ้งย่อมปรากฏแก่เธอดุจเป็นของง่าย

เพราะฉะนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า ปฏิจจสมุปบาทนี้ปรากฏเป็นของง่ายแก่เราเท่านั้นหรือ หรือว่าแม้แก่ผู้อื่นด้วย



อปสาทนาวณฺณนา

ในบทที่ท่านกล่าวว่า อปสาเทนฺโต นั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ปฏิจจสมุปบาทนี้ย่อมปรากฏแก่เราดุจเป็นของง่ายๆ ก็ผิว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ ย่อมปรากฏแก่เธอดุจเป็นของง่ายๆ ไซร้

เพราะเหตุไร เธอจึงมิได้เป็นโสดาบันตามธรรมดาของตน

เธอตั้งอยู่ในนัยที่เราให้แล้ว จึงบรรลุโสดาปัตติมรรค


http://84000.org/tipitaka/attha/attha.p ... 9%E0%B8%B2


อนุโมทนาที่นำมาเอื้อเฟื้อนะคะ

เจริญธรรม

.....................................................
อันความกรุณาปราณี จักมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน
มอง...ข้างหน้า ให้เป็นความหวัง มอง...ข้างหลัง ให้เป็นบทเรียน มอง...สิ่งที่มัน หมุนเวียน เพื่อยอมรับ...การเปลี่ยนไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


พระอานท์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า! ไม่เคยมีแล้ว
พระเจ้าข้า! ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้ เขาร่ำลือกันว่าเป็นธรรมลึก๒ด้วย ดูท่าทางราวกะว่า
เป็นธรรมลึกด้วย แต่ปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนกับเป็นธรรมตื้น ๆ".

ดูก่อนอานนท์! อย่ากล่าวอย่างนั้น. ดูก่อนอานนท์! อย่ากล่าว
อย่างนั้น. ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งด้วย มีลักษณะดูเป็นธรรมลึกซึ้งด้วย.
ดูก่อนอานนท์! เพราะไม่รู้ เพราะไม่รู้ตามลำดับ เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมคือ
ปฏิจจสมุปบาทนี้ (จิตของ) หมู่สัตว์นี้ จึงเป็นเหมือนกลุ่มด้วยยุ่ง ยุ่งเหยิงเหมือนความยุ่ง
ของกลุ่มด้ายที่หนาแน่นไปด้วยปม พันกันยุ่งเหมือนเซิงหญ้ามุญชะ และหญ้าปัพพชะ
อย่างนี้; ย่อมไม่ล่วงพ้นซึ่งสงสาร ที่เป็นอบาย ทุคติ วินิบาตไปได้.


ดูก่อนราชกุมาร! ความคิดข้อนี้ได้เกิดแก่เราว่า "ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้
เป็นธรรมอันลึก สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม เป็นธรรมระงับและ
ประณีตไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงง่าย ๆ แห่งความตรึก เป็นของละเอียด เป็นวิสัยรู้ได้เฉพาะบัณฑิต.
ก็สัตว์เหล่านี้ มีอาลัยเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในอาลัย เพลิดเพลินแล้วในอาลัย;
สำหรับสัตว์ผู้มีอาลัยเป็นที่มายินดี ยินดีเพลิดเพลินในอาลัยนั้น ยากนักที่จะเห็นสิ่งนี้
คือ ปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือความที่สิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัยแก่สิ่งนี้ ๆ (อิทปฺปจฺจยตา
ปฎิจฺจสมุปฺปาโท); และยากนักที่จะเห็นแม้สิ่งนี้ คือนิพพาน อันเป็นธรรมเป็นที่สงบ
ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นธรรมอันสลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความจางคลาย เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. หากเราพึงแสดงธรรมแล้วสัตว์อื่น
ไม่พึงรู้ทั่วถึง ข้อนั้นจักเป็นความเหนื่อยเปล่าแก่เรา, เป็นความลำบากแก่เรา". โอ,
ราชกุมาร! คาถาอันน่าเศร้า (อนจฺฉริยา) เหล่านี้ ที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ได้ปรากฏ
แจ่มแจ้งแก่เราว่า:-
"กาลนี้ ไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุได้แล้วโดยยาก.
ธรรมนี้ สัตว์ที่ถูกราคะโทสะปิดกั้นแล้ว ไม่รู้ได้โดย
ง่ายเลย. สัตว์ผู้กำหนัดแล้วด้วยราคะอันความมืด
ห่อหุ้มแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันไปทวนกระแส อันเป็น

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2013, 06:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
พระอานท์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า! ไม่เคยมีแล้ว
พระเจ้าข้า! ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้ เขาร่ำลือกันว่าเป็นธรรมลึก๒ด้วย ดูท่าทางราวกะว่า
เป็นธรรมลึกด้วย แต่ปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนกับเป็นธรรมตื้น ๆ".

ดูก่อนอานนท์! อย่ากล่าวอย่างนั้น. ดูก่อนอานนท์! อย่ากล่าว
อย่างนั้น. ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งด้วย มีลักษณะดูเป็นธรรมลึกซึ้งด้วย.
ดูก่อนอานนท์! เพราะไม่รู้ เพราะไม่รู้ตามลำดับ เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมคือ
ปฏิจจสมุปบาทนี้ (จิตของ) หมู่สัตว์นี้ จึงเป็นเหมือนกลุ่มด้วยยุ่ง ยุ่งเหยิงเหมือนความยุ่ง
ของกลุ่มด้ายที่หนาแน่นไปด้วยปม พันกันยุ่งเหมือนเซิงหญ้ามุญชะ และหญ้าปัพพชะ
อย่างนี้; ย่อมไม่ล่วงพ้นซึ่งสงสาร ที่เป็นอบาย ทุคติ วินิบาตไปได้.


ดูก่อนราชกุมาร! ความคิดข้อนี้ได้เกิดแก่เราว่า "ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้
เป็นธรรมอันลึก สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม เป็นธรรมระงับและ
ประณีตไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงง่าย ๆ แห่งความตรึก เป็นของละเอียด เป็นวิสัยรู้ได้เฉพาะบัณฑิต.
ก็สัตว์เหล่านี้ มีอาลัยเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในอาลัย เพลิดเพลินแล้วในอาลัย;
สำหรับสัตว์ผู้มีอาลัยเป็นที่มายินดี ยินดีเพลิดเพลินในอาลัยนั้น ยากนักที่จะเห็นสิ่งนี้
คือ ปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือความที่สิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัยแก่สิ่งนี้ ๆ (อิทปฺปจฺจยตา
ปฎิจฺจสมุปฺปาโท); และยากนักที่จะเห็นแม้สิ่งนี้ คือนิพพาน อันเป็นธรรมเป็นที่สงบ
ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นธรรมอันสลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เป็นความจางคลาย เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. หากเราพึงแสดงธรรมแล้วสัตว์อื่น
ไม่พึงรู้ทั่วถึง ข้อนั้นจักเป็นความเหนื่อยเปล่าแก่เรา, เป็นความลำบากแก่เรา". โอ,
ราชกุมาร! คาถาอันน่าเศร้า (อนจฺฉริยา) เหล่านี้ ที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ได้ปรากฏ
แจ่มแจ้งแก่เราว่า:-
"กาลนี้ ไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุได้แล้วโดยยาก.
ธรรมนี้ สัตว์ที่ถูกราคะโทสะปิดกั้นแล้ว ไม่รู้ได้โดย
ง่ายเลย. สัตว์ผู้กำหนัดแล้วด้วยราคะอันความมืด
ห่อหุ้มแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันไปทวนกระแส อันเป็น

:b8: :b8: :b8:

ธรรมที่กล่าวไว้ดีแล้ว อนุโมทนาสาธุครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2013, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ปุญญาภิสังขารปรากฎขึ้น เพราะอาศัยอวิชชาเป็นเหตุ คือ
ผู้ที่มีความเลื่อมใสพอใจในการทำบุญต่างๆ
มีการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนานั้น โดยมากก็ปรารถนา
อยากจะได้ความสุขความสบายต่อไปในภาคหน้าให้มากยิ่งขึ้นกว่าที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้
จะเห็นได้ว่าเมื่อได้ฟังได้อ่านเรื่องราวที่กล่าวถึงผู้ที่ได้เกิดเป็นเศรษฐี คหบดี ราชา ราชินี
เป็นคนสวย มีอำนาจ มีความเฉลียวฉลาด
หรือได้เกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา มีทิพยสมบัติมากมาย มีอายุยืน
ไม่มีความลำบากแต่ประการใดเหล่านี้

ล้วนมีผลมาจากการให้ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาทั้งสิ้น
เช่นนี้แล้วผู้นั้นก็เกิดมีความชื่นชมยินดีอยากได้ความสุขเหล่านี้บ้าง
แล้วก็พยายามบำเพ็ญกุศล มีการให้ทานบ้าง รักษาศีลบ้าง
ฟังเทศน์บ้าง สวดมนต์บ้าง ทำสมถะบ้าง วิปัสสนาบ้าง

แล้วก็มาตั้งความปรารถนากันว่า "อิทํ เม ปุญญํ นิพฺพานสฺส ปจฺจโย โหตุ"
ซึ่งคำปรารถนานี้เป็นการปรารถนาด้วยวาจาเท่านั้น
ส่วนจิตใจนั้นย่อมน้อมเข้าสู่ความสุขต่างๆดังกล่าวแล้ว
ที่เป็นดังกล่าวแล้วก็เพราะว่าผู้นั้นมองไม่เห็นโทษทุกข์ สมุทัย
และมองไม่เห็นคุณของนิโรธ มรรค การมองไม่เห็นคุณและโทษนี้
ก็เพราะโมหะปิดบังนั่นเอง

หรือบางคนเห็นว่าการได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดานั้น
แม้ว่าจะมีความสุขก็จริง แต่ความสุขนั้นก็ยังไม่ปราณีตเท่ากับความสุขของรูปพรหม
เพราะพวกรูปพรหมนั้นมีอายุยืนกว่าอำนาจก็มีมากกว่า ความสวยงามของร่างกาย
และวิมานก็ปราณีตกว่า ความทุกข์กายทุกข์ใจก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย
ฉะนั้นจึงพยายามทำสมถกรรมฐานจนกระทั่งได้รูปฌาน
ผู้เข้าใจเช่นนี้ก็เพราะมองไม่เห็นโทษและคุณของอริยสัจจ์ ๔
โดยอำนาจแห่งโมหะนั่นเอง ฉะนนั้นจึงกล่าวได้ว่าอวิชชาเป็นเหตุ ปุญญาภิสังขารเป็นผล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2013, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


อปุญญาภิสังขารปรากฎขึ้น เพราะอาศัยอวิชชาเป็นเหตุ คือ
บางคนไม่เชื่อว่าการกระทำดีนั้นเป็นบุญ การกระทำชั่วนั้นเป็นบาป
ฉะนั้นคนจำพวกนี้จึงมีความพอใจในการกระทำทุจริตต่างๆ มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ล่อลวง เสพสุรา เป็นต้น หรือบางคนก็รู้ว่าการกระทำชั่วต่างๆนั้น
ไม่ดีเป็นบาปแต่ก็หาได้ละเว้นไม่

ฉะนั้นคนจำพวกนี้ก็พอใจในการทำทุจริตต่างๆ เช่นเดียวกัน
หรือบางพวกก็นับถือลัทธิผี เจ้าต่างๆเหล่านี้
เข้าใจว่าถ้าฆ่าสัตว์แล้วนำเอาไปบูชาเจ้า หรือผีเช่นนี้แล้ว
เจ้าหรือผีนั้นจะบันดาลให้สำเร็จความประสงค์ของตน
และคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดชีวิต และเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว
เจ้าหรือผีนั้นก็จะจัดส่งวิญญานของตนนั้นขึ้นไปสู้สวรรค์
ฉะนั้นคนจำพวกนี้จึงฆ่าสัตว์ต่างๆ เพื่อไปบูชาสิ่งที่ตนนับถือนั้น

การกระทำทุจริตต่างๆ ของบุคคลดังกล่าวมาแล้วนี้
ก็เพราะมองไม่เห็นโทษของทุกข์ สมุทัย และนึกไปไม่ถึงคุณของ นิโรธ และมรรค
ด้วยอำนาจแห่งโมหะปกปิดไว้นั่นเอง
ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า อวิชชาเป็นเหตุ อปุญญาภิสังขารเป็นผล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2013, 05:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


อาเนญชาภิสังขารปรากฏขึ้น เพราะอวิชชาเป็นเหตุนั้น คือ

บุคคลบางพวกก็มีความเห็นว่า ความทุกข์ ความเดือดร้อนต่างๆ
ที่สัตว์ทั้งหลายกำลังได้รับอยู่นั้น ย่อมเนื่องมาจากรูปธรรมนั้นเองเป็นเหตุ
เพราะเมื่อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็จะต้องมีการอยากเห็น
อยากได้ยิน อยากได้กลิ่น อยากรู้รส อยากถูต้อง เหล่านี้

ซึ่งถ้าไม่เป็นไปตามความประสงค์แล้ว ก็ย่อมเกิดความเดือดร้อนขึ้น
หรือความเจ็บไข้ไม่สบายต่างๆ ก็เพราะอาศัยมีร่างกายนั้นเอง ถ้าไม่มีร่างกายเสียแล้ว
ความทุกข์ต่างๆก็ไม่มี มีแต่ความสุขอย่างเดียว
ฉะนั้น บุคคลพวกนี้จึงพยายามหาหนทางที่จะไม่ให้มีรูปที่จะไม่ให้มีรูปเกิดขึ้น
โดยพยายามทำสมถกรรมฐานจนได้ฌานไปตามลำดับ จนถึงอรูปฌาน

หรือผู้ที่ได้รูปฌานแล้ว และพวกรูปพรหมทั้งหลายมีความเห็นว่ารูปฌานที่ตนได้อยู่นี้
เมื่อเปรียบเทียบกับอรูปฌานแล้ว ยังไม่มีความปราณีตพอเพราะยังหวั่นไหว
อยู่ด้วยอำนาจแห่งองค์ฌานและอารมณ์ สำหรับอรูปฌานนั้นว่าโดยองค์ฌาน
ก็เป็นอุเบกขา กับ เอกัคคตา ซึ่งเป็นสภาพที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวว่าโดย อารมณ์ก็มีความ
ปราณีตกว่ากว่าอารมณ์ของรูปฌาน ฉะนั้นผู้ที่ได้อรูปฌานจึงมีความสุขมาก

และเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ได้ไปเกิดเป็นอรูปพรหม มีแต่นามธรรมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ดังนั้นท่าเหล่านั้นจึงพยายามทำฌานต่อไปจนได้อรูปฌาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร