วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 19:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 03:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
คนที่เข้ากระทู้นี้มาใหม่ๆละก็ จะเป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้าโฮฮับ
เพราะคนเก่าๆเขาจะไม่สนใจกันแล้ว เพราะเขาถือกันว่า "อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา" ยังไงๆ
ก็เอาไว้ขวางๆ....เล่น
แท้จริงก็หาธรรมะอะไม่ได้เลย ถามอย่างตอบอย่างทำเป็นเหมือนรู้
นี่แหละเป็นพฤติกรรมของคนที่ชอบเอาความโง่มาอวด

" สมัยหนึ่ง ท่านพระมหาจุนทะอยู่ที่ชาติวันในแคว้นเจตี ณ ที่
นั้นแล ท่านพระมหาจุนทะเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโส ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ทั้งหลายรับคำท่านพระมหาจุนทะแล้ว ท่านพระมหาจุนทะได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโส
ทั้งหลาย ภิกษุเมื่อกล่าวอวดความรู้ ย่อมกล่าวว่า เรารู้ธรรมนี้ เราเห็นธรรมนี้
ดังนี้ ดูกรอาวุโสทั้งหลาย หากว่าโลภะย่อมครอบงำภิกษุนั้นตั้งอยู่ โทสะ โมหะ
โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ มัจฉริยะ ความริษยาอันชั่วช้า ความปรารถนา
อันชั่วช้า ย่อมครอบงำภิกษุนั้นตั้งอยู่ ภิกษุนั้นอันบุคคลพึงรู้อย่างนี้ว่า
โลภะย่อมไม่มีแก่ท่านผู้รู้ ฉันใด ท่านผู้มีอายุนี้หารู้ฉันนั้นไม่ เพราะฉะนั้น โลภะจึง
ครอบงำท่านผู้มีอายุนี้ตั้งอยู่ โทสะ โมหะ ... ความริษยาอันชั่วช้า ความ
ปรารถนาอันชั่วช้า ย่อมไม่มีแก่ท่านผู้รู้ ฉันใด ท่านผู้มีอายุนี้หารู้ฉันนั้นไม่
เพราะฉะนั้น โทสะ โมหะ ... ความริษยาอันชั่วช้า ความปรารถนาอันชั่วช้า
จึงครอบงำท่านผู้มีอายุนี้ตั้งอยู่ ฯ"


ลุงหมานเอ้ยลุงหมาน :b32:


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ความตระหนี่

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา
เหมือนชาวนาผู้ไม่ฉลาดไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนา เขาเก็บพันธุ์ข้าวเปลือกไว้
จนเน่าและเสียไม่สามารถจะปลูกได้อีก

ข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ด ย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด
ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้น ย่อมมีผลมากผลไพศาล การรวบรวมทรัพย์ไว้โดยมิได้ใช้สอย
ให้เป็นประโยชน์ ทรัพย์นั้นจะมีคุณแก่ตนได้อย่างไร เหมือนผู้มีเครื่องประดับอันวิจิตรตระการตา
แต่หาได้ประดับไม่ เครื่องประดับนั้นจะมีประโยชน์อะไร รังแต่จะก่อความหนักใจในการเก็บรักษา”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! นกชื่อ “มัยหกะ” ชอบเที่ยวไปตามซอกเขาและที่ต่าง ๆ
มาจับต้นเลียบที่มีผลสุก แล้วร้องว่า ของกู ของกู ในขณะที่มันร้องอยู่นั่นเอง
หมู่นกเหล่าอื่นที่บินมากินผลเลียบตามต้องการแล้วจากไป
นกมัยหกะก็ยังคงร้องว่า ของกู ของกู อยู่นั่นเอง ข้อนี้ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น
รวบรวมสะสมทรัพย์ไว้มากมาย แต่ไม่สงเคราะห์ญาติตามที่ควร ทั้งมิได้ใช้สอยเองให้ผาสุก
มัวเฝ้ารักษาและภูมิใจว่าของเรามี ของเรามี ดังนี้ เมื่อเขาประพฤติอยู่เช่นนี้
ทรัพย์สมบัติย่อมเสียหายไป ทรุดโทรมไปด้วยเหตุต่าง ๆ มากหลาย
เขาก็ยังคงคร่ำครวญอยู่อย่างเดิมนั่นเอง และต้องเสียใจในของที่เสียไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาดหาทรัพย์ได้แล้ว พึงสงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์ มีญาติ เป็นต้น”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! นักกายกรรมผู้มีกำลังมาก หรือนักมวยปล้ำผู้มีกำลังมหาศาลนั้น
ก่อนที่จะได้กำลังมาเขาก็ต้องออกกำลังกายไปก่อน การเสียสละนั้น คือ การได้มา
ซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไร ย่อมไม่ได้อะไร

จงดูเถิด! มนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคน แต่ต้นไม้ย่อมให้ผลที่ปลาย
เธอทั้งหลายจงพิจารณาดูความจริงตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเถิด
คือ แม่น้ำสายใดเป็นแม่น้ำตาย ไม่ไหล ไม่ถ่ายเทไปสู่ที่อื่น หยุดนิ่งขังอยู่ที่เดียว
แม่น้ำสายนั้นย่อมพลันตื้นเขินและสกปรกเน่าเหม็น เพราะสิ่งสกปรกลงมามิได้ถ่ายเท
นอกจากนี้บริเวณที่ใกล้แม่น้ำสายนั้น จะหาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สวยสดก็หายาก
แต่แม่น้ำสายใดไหลเอื่อยลงสู่ทะเล หรือแตกสาขาไหลออกเรื่อย ๆ ไม่รู้จักหมดสิ้น
คนทั้งหลายได้อาศัยอาบดื่ม และใช้สอยตามปรารถนา มันจะใสสะอาดอยู่เสมอ
ไม่มีวันเหม็นเน่า หรือสกปรกได้เลย พืชพันธุ์ธัญญาหาร ณ บริเวณใกล้เคียงก็เขียวสดสวยงาม”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! บุคคลผู้ตระหนี่เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็ เก็บ ตุนไว้ไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง
ก็เหมือนแม่น้ำตายไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร ส่วนผู้ไม่ตระหนี่เป็นเหมือนแม่น้ำ
ที่ไหลเอื่อยอยู่เสมอฉะนั้น สาธุชนได้ทรัพย์แล้วพึงบำเพ็ญตนเสมือนแม่น้ำ
ซึ่งไหลใสสะอาดไม่พึงเป็นเช่นแม่น้ำตาย”

มั่วอีกแล้ว นี่ดูก็รู้ว่าเสิทคำศัพท์มาจากกูเกิล ไม่ใช้ปัญญาพิจารณาก่อนว่า
มันใช้กับเศรษฐีที่จขกทว่าได้หรือเปล่า เดี๋ยวจะพูดให้ลุงหมานสำเหนียกใจ
แต่ตอนนี้ลุงหมานเอาทำไปพิจารณาก่อนจะได้สำนึก ..............

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความริษยาอันชั่วช้าเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คฤหบดีหรือบุตรแห่งคฤหบดีในโลกนี้ ย่อมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ข้าวเปลือก เงิน
หรือทอง ทาสหรือคนเข้าไปอาศัยของคฤหบดีหรือบุตรแห่งคฤหบดีผู้ใดผู้หนึ่ง
ย่อมคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ คฤหบดีหรือบุตรแห่งคฤหบดีนี้ ไม่พึงสมบูรณ์ด้วย
ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงินหรือทอง อนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์เป็นผู้ได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ สมณะหรือ
พราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่ง ย่อมคิดอย่างนี้ว่า โอหนอ ท่านผู้มีอายุนี้ ไม่พึงได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เรียกว่าความริษยาอันชั่วช้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความริษยาอันชั่วช้า อันบุคคล
พึงละด้วยกายไม่ได้ ด้วยวาจาไม่ได้ พึงเห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจึงละได้ ฯ"


ธรรมที่ผมเอามาให้ดู มันตรงกับการกระทำของจขกท คุณ3bและลุงหมานมั้ย
ลองเอาไปพิจาราณาดู .....เศรษฐีเขาอยู่ของเขาดีๆนั้นไปว่าเขา :b32:


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 04:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ความตระหนี่

การใช้วาจาไปกล่าวหาบุคคล ในลักษณะของการไม่มีปัญญา
ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีความ ริษยาอันชั่วช้า(ไม่หยาบมีอยู่ในพระสูตร) :b13:
ลุงหมาน เขียน:
ความตระหนี่
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลา
เหมือนชาวนาผู้ไม่ฉลาดไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนา เขาเก็บพันธุ์ข้าวเปลือกไว้
จนเน่าและเสียไม่สามารถจะปลูกได้อีก

ข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ด ย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใด
ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้น ย่อมมีผลมากผลไพศาล การรวบรวมทรัพย์ไว้โดยมิได้ใช้สอย
ให้เป็นประโยชน์ ทรัพย์นั้นจะมีคุณแก่ตนได้อย่างไร เหมือนผู้มีเครื่องประดับอันวิจิตรตระการตา
แต่หาได้ประดับไม่ เครื่องประดับนั้นจะมีประโยชน์อะไร รังแต่จะก่อความหนักใจในการเก็บรักษา”

มั่วไปเรี่อยเลย เศรษฐีเขาเป็นอย่างนั้นหรือ ที่เขามีทรัพย์สมบัติอยู่ทุกวันนี้
ไม่ใช่เขาลงทุนลงแรงไปหรอกหรือ ไอ้ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ในปัจจุบันมันก็
เป็นผลมาจากการหว่านเมล็ดข้าวในอดีต แล้วเงินทองเขาก็เก็บไว้ในธนาคารมีดอกมีผล
ไม่มีใครเขาฝังดินแบบลุงหมาน มันถึงจะได้หนักใจที่ต้องเก็บรักษา


ที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้ เขาเรียกว่าประหยัด
มันตรงข้ามกับสุรุ่ยสุหร่าย จะบอกธรรมมันต้องบอกให้ถูกในสถานะของบุคคล
ไม่ใช่หยิบโยงกันมั่วแบบนี้ คนเขาประหยัดม้ธยัสถ์ จนเป็นเศรษฐีจะให้เขาสุรุ่ยสุหร่ายเสียนี่


อย่าเอาธรรมมาใช้มั่วแบบนี้พุทธพจน์เสียหายหมด
แบบนี้แหล่ะน้า สักแต่ว่า ก็อปปี้ตำรามา แต่ไม่เข้าใจความหมาย
ลุงหมานตาบอดกำลังเดินตกเหว พอมีคนมาช่วยจูง ดันสบัดมือหนีแถมด่าเขาอีก
อวดดีไม่เข้าท่า :b32:


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 04:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! นกชื่อ “มัยหกะ” ชอบเที่ยวไปตามซอกเขาและที่ต่าง ๆ
มาจับต้นเลียบที่มีผลสุก แล้วร้องว่า ของกู ของกู ในขณะที่มันร้องอยู่นั่นเอง
หมู่นกเหล่าอื่นที่บินมากินผลเลียบตามต้องการแล้วจากไป
นกมัยหกะก็ยังคงร้องว่า ของกู ของกู อยู่นั่นเอง ข้อนี้ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น
รวบรวมสะสมทรัพย์ไว้มากมาย แต่ไม่สงเคราะห์ญาติตามที่ควร ทั้งมิได้ใช้สอยเองให้ผาสุก
มัวเฝ้ารักษาและภูมิใจว่าของเรามี ของเรามี ดังนี้ เมื่อเขาประพฤติอยู่เช่นนี้
ทรัพย์สมบัติย่อมเสียหายไป ทรุดโทรมไปด้วยเหตุต่าง ๆ มากหลาย
เขาก็ยังคงคร่ำครวญอยู่อย่างเดิมนั่นเอง และต้องเสียใจในของที่เสียไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาดหาทรัพย์ได้แล้ว พึงสงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์ มีญาติ เป็นต้น”

ลุงหมานครับ ลุงหมานไม่มีสติพิจารณาว่า คำว่า"ของกู ของกู" มันน่าจะใช้กับใคร
เศรษฐีเขาก็ประพฤติในสิ่งที่เขาพึ่งมีพื่งได้ และที่สำคัญเขามีสิทธิ์ที่จะ
หวงแหวนทรัพสมบัติของเขา

แต่มีใครที่ไหนก็ไม่รู้ กระทำในลักษณะปรามาสพุทธพจน์ เอาพุทธพจน์มาดัดแปลง
โดยมีเจตนาในทางไม่ชอบเพราะริษยา การเอาเรื่อง"มัยหกะ"มาใช้ในความเห็นนี้
มันทำให้พระธรรมบิดเบือนแบบไร้สติ

ธรรมเรื่องนกมัยหก ท่านจะบอกถึงการ ไม่กระทำอะไรให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง
ประโยชน์ต่อตนเอง นั้นก็คือ ไม่ทำการอะไรให้ได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของ ในสิ่งที่ว่า

สรุปถ้ามีใครมาใช้คำว่า "ของกู ของกู" มันผิดกาละเทศะ
อันที่จริงแล้ว คนที่พูดต้องพูดว่า...."มันน่าจะเป็นของกู"
หยิบโยงมั่วเอาความริษยามาคลุกเคล้าธรรม น่าสมเพช :b6:


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! นักกายกรรมผู้มีกำลังมาก หรือนักมวยปล้ำผู้มีกำลังมหาศาลนั้น
ก่อนที่จะได้กำลังมาเขาก็ต้องออกกำลังกายไปก่อน การเสียสละนั้น คือ การได้มา
ซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไร ย่อมไม่ได้อะไร

จงดูเถิด! มนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคน แต่ต้นไม้ย่อมให้ผลที่ปลาย
เธอทั้งหลายจงพิจารณาดูความจริงตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเถิด
คือ แม่น้ำสายใดเป็นแม่น้ำตาย ไม่ไหล ไม่ถ่ายเทไปสู่ที่อื่น หยุดนิ่งขังอยู่ที่เดียว
แม่น้ำสายนั้นย่อมพลันตื้นเขินและสกปรกเน่าเหม็น เพราะสิ่งสกปรกลงมามิได้ถ่ายเท
นอกจากนี้บริเวณที่ใกล้แม่น้ำสายนั้น จะหาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สวยสดก็หายาก
แต่แม่น้ำสายใดไหลเอื่อยลงสู่ทะเล หรือแตกสาขาไหลออกเรื่อย ๆ ไม่รู้จักหมดสิ้น
คนทั้งหลายได้อาศัยอาบดื่ม และใช้สอยตามปรารถนา มันจะใสสะอาดอยู่เสมอ
ไม่มีวันเหม็นเน่า หรือสกปรกได้เลย พืชพันธุ์ธัญญาหาร ณ บริเวณใกล้เคียงก็เขียวสดสวยงาม”

ไม่ได้แยกแยะธรรมเลย ดูธรรมดูกาลหน่อย ไม่งั้นมันจะเป็นหัวมังกุท้ายมังกร
พิจารณาให้ดีก่อนว่า สิ่งไหนเป็นปัจจุบัน สิ่งในเป็นอดีต ปัจจุบันเป็นผลมาจากอดีต
อดีดเป็นเหตุให้เกิดปัจจุบัน

นักกายกรรมผู้มีกำลังมาก ก็คือปัจจุบัน เศรษฐีมีทรัพย์สินเงินทองก็คือปัจจุบัน
อดีตของทั้งสองเป็นมาอย่างไร มันก็ไม่ต่างกันตรงไหน มันก็คือต้องลงทุน
ลงแรงมา เพราะทุกสิ่งไม่ได้เนรมิตขึ้นมาเองได้

และจะบอกให้การถ่ายเทดั่งแม่น้ำสายนั้น ความหมายมันต้องทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น
แล้วไงผมเห็นแต่ละคนมาว่ากล่าว หาว่าเขาใช้เงินไม่สมฐานะ ใช้เงินตัวเองเพื่อตัวเอง
มันเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นตรงไหน ที่เศรษฐีเขายังเงินไม่สุรุ่ยสุหร่าย ก็เพื่อเก็บออม
เงินออมนี่แหล่ะ มันไปทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น ในลักษณะการกู้ยืมไปลงทุนสร้างงาน
โดยผ่านทางธนาคาร

พูดตรงๆผมเซ็งกับความเป็นนกแก้ว นกขุนทองของลุงจริงๆ :b32:


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 05:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย! บุคคลผู้ตระหนี่เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็ เก็บ ตุนไว้ไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง
ก็เหมือนแม่น้ำตายไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร ส่วนผู้ไม่ตระหนี่เป็นเหมือนแม่น้ำ
ที่ไหลเอื่อยอยู่เสมอฉะนั้น สาธุชนได้ทรัพย์แล้วพึงบำเพ็ญตนเสมือนแม่น้ำ
ซึ่งไหลใสสะอาดไม่พึงเป็นเช่นแม่น้ำตาย”

ถามสั้นๆ ลุงหมานเอาเงินทองที่ได้มา ไปเก็บไว้ที่ไหน
เอาไปฝังดินไว้ก็รีบๆเลย

ลุงกลับไปดูเงินของลุงบ้างหรือเปล่า ปีที่แล้วน้ำท่วมหนัก
ผมว่าปานนี้เงินเปื่อยเป็นกระดาษชำระที่ใช้แล้วแหง่ๆ



น่าสังเวช ไม่ได้มีสติแยกแยะธรรมเลย
วัยวุฒิไม่ได้ช่วยให้คนมีปัญญาขึ้นมาได้ :b32:


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
:b8: ขอบคุณคุณลุงสมานค่ะที่นำข้อความดีๆมาให้อ่าน
คุณSOAMUSAเขียน
อ้างคำพูด:
จริงๆ นะค่ะ อารมณ์ตอนขณะใกล้ตายนี่อันตรายมาก หากไปจับเอาสิ่งที่ทำไว้
แบบผิดๆ มาล่ะก็ เสร็จเลยค่ะ

ใช่ค่ะเพราะอารมณ์ตอนตายนี่ จะเป็นสิ่งที่จะพาเราไปที่ไหนค่ะ
แต่จิตของเราตอนนี้ ทุกๆวันก้อจะจำสิ่งที่ใครสอนเรื่องทำสมาธิ
หรือเค้าคุยกันเรื่องธรรมะ ในสมองส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องแบบนี้ค่ะ
จำแม่นด้วยน่ะค่ะ ยังนึกเสียดายเลยค่ะ ว่าตอนเรียนทำไมจำไม่ค่อยจะได้ :b12: :b41: :b55: :b50:

สิ่งที่มาปรากฏทางทวารทั้ง ๖ ที่เป็นปัจจุบัน เป็นนิมิตในขณะจุติได้
เพราะเราจะไม่รู้ได้ว่าเราจะจุติและปฏิสนธิเวลาใด
นักปฏิบัติทั้งหลายเขาจึงเน้นกันที่อารมณ์ปัจจุบันที่ดี
คือเราเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะจุติได้ทุกเวลา
เพราะการที่สัตว์ทั้งหลายจะจุตินั้นไม่มีอะไรเป็นที่สังเกตุได้ว่าจะจุติตอนไหน เวลาใด
ถ้าเราไม่ประมาทกับนิมิตที่เป็นปัจจุบัน แล้วเราจะได้นิมิตที่ดีดังใจหวัง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
bbby เขียน:
:b8: ขอบคุณคุณลุงสมานค่ะที่นำข้อความดีๆมาให้อ่าน
คุณSOAMUSAเขียน
อ้างคำพูด:
จริงๆ นะค่ะ อารมณ์ตอนขณะใกล้ตายนี่อันตรายมาก หากไปจับเอาสิ่งที่ทำไว้
แบบผิดๆ มาล่ะก็ เสร็จเลยค่ะ

ใช่ค่ะเพราะอารมณ์ตอนตายนี่ จะเป็นสิ่งที่จะพาเราไปที่ไหนค่ะ
แต่จิตของเราตอนนี้ ทุกๆวันก้อจะจำสิ่งที่ใครสอนเรื่องทำสมาธิ
หรือเค้าคุยกันเรื่องธรรมะ ในสมองส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องแบบนี้ค่ะ
จำแม่นด้วยน่ะค่ะ ยังนึกเสียดายเลยค่ะ ว่าตอนเรียนทำไมจำไม่ค่อยจะได้ :b12: :b41: :b55: :b50:

สิ่งที่มาปรากฏทางทวารทั้ง ๖ ที่เป็นปัจจุบัน เป็นนิมิตในขณะจุติได้
เพราะเราจะไม่รู้ได้ว่าเราจะจุติและปฏิสนธิเวลาใด
นักปฏิบัติทั้งหลายเขาจึงเน้นกันที่อารมณ์ปัจจุบันที่ดี
คือเราเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะจุติได้ทุกเวลา
เพราะการที่สัตว์ทั้งหลายจะจุตินั้นไม่มีอะไรเป็นที่สังเกตุได้ว่าจะจุติตอนไหน เวลาใด
ถ้าเราไม่ประมาทกับนิมิตที่เป็นปัจจุบัน แล้วเราจะได้นิมิตที่ดีดังใจหวัง

นักปฏิบัติที่ถูกต้องตามธรรม เขาเน้นปัญญามองอารมณ์ ตามความเป็นจริง
ความเป็นจริงก็คือ อารมณ์เป็นนามธรรม มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
จุดมุ่งหมายในการปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อให้ได้นิมิตที่ดีและ เพี่อการจุติและปฏิสนธิ์อะไรทั้งนั้น
สิ่งที่ถูกก็คือ ปฏิบัติภาวนาไม่ใช่เพื่อนิมิต เพราะนิมิตเป็นสิ่งที่"แม้จะเห็นจริง แต่มันไม่ใช่ความจริง"

การปฏิบัติที่แท้จริงก็คือปฏิบัติเพื่อ ให้จิตดวงสุดท้ายจุติแล้ว ไม่เกิดการปฏิสนธิ์อีกต่อไป


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


- กฏกติกาบอร์ด
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=39777

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณท่านพุทธฎีกา
ผมน่ะเลิกสนทนาด้วยแล้ว :b9: :b9: :b9:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ขอบคุณท่านพุทธฎีกา
ผมน่ะเลิกสนทนาด้วยแล้ว :b9: :b9: :b9:


ทำได้ก็ดี จะได้อโหสิกับวจีทุจริตของลุง...
ลุงหมาน เขียน:
คนที่โง่เกินกว่านี้มีอีกไหม ?
พยายามจะลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า
และพยายามจะยัดเยียดคำสอใหม่


ลุงหมาน เขียน:
ขยันโง่จริงๆ เขาเรียกว่าถามแบบโง่ๆ



ลุงหมาน เขียน:
ไอ่เรื่องโง่ๆละก็ไม่มีใครเกิน ยังมีการขยันโง่เสียด้วย


ลุงหมาน เขียน:
คนที่เข้ากระทู้นี้มาใหม่ๆละก็ จะเป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้าโฮฮับ
เพราะคนเก่าๆเขาจะไม่สนใจกันแล้ว เพราะเขาถือกันว่า "อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา" ยังไงๆ
ก็เอาไว้ขวางๆ....เล่น
แท้จริงก็หาธรรมะอะไม่ได้เลย ถามอย่างตอบอย่างทำเป็นเหมือนรู้
นี่แหละเป็นพฤติกรรมของคนที่ชอบเอาความโง่มาอวด


ลุงที่ผ่านมาเขาไม่เรียกสนทนา เขาเรียกว่า....ด่า

ก็แล้วๆกันไปเถอะ ถ้าความเห็นไหนผมเข้าไปแย้ง ก็ข้ามไปแบบที่เคยบอกผมแล้วกัน
กลัวจะทำไม่ได้แค่นั้นแหล่ะเอาแค่กระทู้นี้ไม่ได้เกี่ยวด้วยเลย ยังอดไม่ได้ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 02 ม.ค. 2013, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


cool ลุงหมาน ...หนูชอบอ่านธรรมะที่ลุงโพสท์มากค่ะ
ได้เข้าใจเพิ่มขึ้นจากเดิมค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสต์ เมื่อ: 03 ม.ค. 2013, 01:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คุณเต้

พอดีเพิ่งมาอ่านเจอ ข้อความที่คุณเต้แสดงความคิดเห็นไว้

เพียงจะบอกว่า ที่เป็นเช่นนี้


bbby เขียน:
เอ๊ะ!คุยแบบนี้ เค้าเรียกว่าไปคุยเรื่องของคนอื่นเค้าหรือปล่าวค่ะ :




เพราะ เป็นเหตุของความไม่รู้ที่ยังมีอยู่ จึงนำเรื่องหรือเหตุของผู้อื่น มาสร้างเป็นเหตุ ให้เกิดขึ้นใหม่ กับตัวเอง

คือ เหตุของเขา แต่เพราะ ความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงหลงนำมาสร้างเป็นเหตุใหม่ ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

สักวัน คุณเต้จะเข้าใจในสิ่งที่น้ำพูด

ไม่ควรไปวิพากย์วิจารณ์ใครๆ เพราะ นั่นคือ เหตุของเขา อย่านำมาเป็นเหตุให้เกิดขึ้นกับตัวเอง


ทำความเพียรให้มากๆค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 03 ม.ค. 2013, 01:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
เผื่อจะได้เป็นนิมิตตอนที่ลมหายใจจะหมดน่ะค่ะ :



นิมิต ที่คุณเเต้ นำมาพูดถึง คือ นิมิตแบบไหน

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99% ... 4%E0%B8%95

ถ้าหมายถึง นิมิต ที่แปลว่า เครื่องหมาย

นิมิต ที่สำคัญ ก่อนหมดลมหายใจ ขณะที่กำลังจะหมดลมหายใจ คือ สติ ค่ะ

ผู้ที่มี สติ สัมปชัญญะ เป็นที่พึ่งของตนเอง เป็นผู้ที่ไม่หวาดกลัว ในเรื่องของอนาคต

หากคุณเต้ ต้องการมี สติ สัมปชัญญะ เป็นที่พึ่งของตนเอง พึงทำความเพียรให้มากๆค่ะ ซึ่งเคยได้บอกไปบ้างแล้ว ว่าควรทำอย่างไร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 03 ม.ค. 2013, 09:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่เจริญอานาปาฯ...จะรู้วันตาย..อาการที่จะตาย...ของตน...อาจารย์ว่าอย่างนั้น..ซึ่งก็ตรงกับหลาย ๆท่าน...หนึ่งในนั้นก็คือยายทวด

หากกลัวตาย..นี้..ขาดสติรึเปล่านะ?


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร