วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 72 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2012, 20:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


conan123 เขียน:
ช่วยด้วยค่ะ ตอนนี้สงสัยจนตัน คิดว่าเราเข้าใจกฎแห่งกรรมผิดไปแน่ๆ

คือเราคิดว่า ถ้าชีวิตเราดำเนินไปตามกรรมที่ก่อไว้ ตั้งแต่ในอดีตชาติ นั่นแปลว่า กรรมก็จะส่งผลต่อการตัดสินใจของแต่ละคนด้วยสิคะ แบบนี้เราจะมีเจตจำนงเสรีได้ยังไง แบบนี้จะใช้ชีวิตไปทำไมคะ ใช้ไปงั้นๆเพราะชดใช้กรรม คิดแล้วท้อจัง

ที่ว่ากรรมส่งผลต่อการตัดสินใจ เป็นแบบนี้ค่ะ กรรมส่งผลให้เรามาเกิดในตระกูลไหน ยีนส์แบบไหน สมองแบบไหน (ฉลาด โง่ เป็นต้น) และยังส่งผลต่อสภาพแวดล้อมที่เราต้องเจออีกด้วย เช่น พ่อแม่เลี้ยงดีๆสอนให้เป็นคนดี อีคิวสูง มีเมตตากรุณา กับพ่อแม่เป็นโจรสอนลูกให้ขโมย หรือเพื่อนที่พบเจอ ครูที่พบเจอ นอกจากนี้ ยังมีคนทุกคนที่เราประสบพบเจอ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ หรือแม้แต่โอกาสที่จะศึกษาศาสนา ทุกอย่างก็เป็นเพราะกรรมเก่า และกรรมใหม่ที่เราตัดสินใจ มันก็มาจากผลของกรรมเก่า (เพราะสภาพร่างกายและสมอง และข้อมูลต่างๆที่ถูกป้อนลงสมอง ล้วนได้รับมาเพราะกรรมเก่า) เพราะถ้ากรรมเก่าให้เราเกิดมาในสมองดีๆ สภาพแวดล้อมดีๆ สมองเราก็จะตัดสินใจทำในเรื่องดีๆ แม้แต่ปริมาณออกซิเจนในที่ๆเราอยู่ก็มีผลต่อการทำงานของสมองต่างกัน ดังนั้นปริมาณออกซิเจนที่แต่ละคนได้รับก็เป็นกรรมเก่าด้วย

ดังนั้นมนุษย์ไม่มีเจตจำนงเสรีที่จะตัดสินใจอะไรด้วยตนเอง ทุกอย่างถูกชักจูงจากกฎแห่งกรรม แล้วแบบนี้มันต่างอะไรกับตัวละครในเกมส์ ที่่ดำเนินตามกฎของเกมส์นั้นล่ะคะ


ความคิดส่วนตัวนะ....

เรา..ไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมหรอก...ถ้าคุณรู้ว่าเกิดมาแล้วต้องใช้กรรม...คุณจะเกิดมั้ย?

ผมคนหนึ่งละ...จะไม่ยอมมาเกิด...ยอมลอยตุบป๋องในอากาศ

เราเกิดมาด้วยเจตจำนงเสรี...เพียงแต่ว่ามันเสรีแบบไม่รู้....คือไม่รู้ว่า...มันจะนำความทุกข์ทั้งมวลมาสู่จิตใจนี้....หนึ่งในความทุกข์นั้นก็คือ...ใช้กรรม...(ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่อยากใช้เลยสักนิด)

กรรม...มันเป็นเรื่องของวัฎฎะ...มีผลเฉพาะแต่ของที่อยู่ในวัฎฎะ

อะไรคือของในวัฎฎะ....ก็ธาตุทั้งหลาย...กรรมจึงส่งผลไปที่ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ...มันก็คือร่างกายของสัตว์ทั้งหลายนั้นเอง...ตราบใดที่คุณต้องมาอยู่ในสมบัติของวัฎฎะสงสารนี้...Body ของคุณก็ตกอยู่ในกฎของกรรม...

แล้ว...ความรู้สึกนึกคิดละ...ขึ้นกับกรรมเก่ามั้ย?

หากขึ้นอยู่กับกรรมเก่าแล้วละก้อ....โลกเรา...จะไม่มีพระพุทธเจ้า...หรืออรหันตเจ้าทั้งหลาย..อย่างแน่นอน

เจ้าชายสิทธัตถะเกิดเป็นกษัตริย์....ทำไมไม่อยากเป็นกษัตริย์ตามชาติที่เกิด
ท่านโกลิตะและท่านอุปติสสะ.....ก็คงเป็นผู้มั้งคั่งไปตามรอยของพ่อแม่..คงไม่มีพระโมคัลลานะและพระสารีบุตรเป็นแน่แท้...

งั้น....ความรู้สึกนึกคิด...ขึ้นอยู่กับอะไร?...

นี้แหละ....เจตจำนงเสรี....หากเกิดซ้ำ ๆ...ก็จะกลายเป็นอุปนิสัย

แม้จะมีอุปนิสัยแล้ว...เจตจำนงใหม่ ๆ ก็ยังเกิดขึ้นได้อีก...
(แม้องคคุลีมารจะมีอุปนิสัยของพระอรหันต์....แต่ก็ยังวิ่งฆ่าคน)

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า....มหาสมุทรทั้ง 4 ยังสามารถพยากรณ์ได้ว่าจะแห้งเมื่อไร.....แต่..จะให้พยากรณ์ว่า..ใครจะหลุดพ้นจากวัฎฎะสงสารนี้เมื่อไร..ทำไม่ได้เลย

กรรม....วัฎฎะสงสาร...การเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..แล้วดับไป...พยากรณ์ได้
ความรู้สึกนึกคิด....พยากรณ์ไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2012, 20:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

ความคิดส่วนตัวนะ....

เรา..ไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมหรอก...ถ้าคุณรู้ว่าเกิดมาแล้วต้องใช้กรรม...คุณจะเกิดมั้ย?

ผมคนหนึ่งละ...จะไม่ยอมมาเกิด...ยอมลอยตุบป๋องในอากาศ..


:b34:

เด๋วแม่...ป๊าาาาด...ตบให้กะบานแยกเรย... :b6: :b6: :b6:

โหยยยยย....

ไอ้เรารึ รู้ทั้งรู้ว่าการมาเกิดมันต้องใช้กรรมอย่างแสนสาหัส
แต่...เพราะเห็นว่าเพื่อนร่วมรุ่นลงมาเกิดกันเยอะ ซึ่งจะได้เจอกัน
เราก็อุตสาห์ยอมมาเกิด
เพราะถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไป เมื่อไรจะได้เจอกันอีกก็ไม่รู้

:b6: :b6: :b6:

อย่าประมาท สัมพันธ์จิตของสหายธรรมที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมา
จิตจะเข้าร่องที่จะได้มาเป็นกลัยาณธรรมกันต่อ
เกื้อหนุน ชักจูงกันไปจนกว่าจะถึงฝั่ง .... :b13:

:b6:

:b20:

ไม่เชื่อ...ลองมองกันและกัน ดี ๆ สิ่ ...

:b32: :b32: :b32:



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2012, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

ความคิดส่วนตัวนะ....

เรา..ไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมหรอก...ถ้าคุณรู้ว่าเกิดมาแล้วต้องใช้กรรม...คุณจะเกิดมั้ย?

ผมคนหนึ่งละ...จะไม่ยอมมาเกิด...ยอมลอยตุบป๋องในอากาศ..


:b34:

เด๋วแม่...ป๊าาาาด...ตบให้กะบานแยกเรย... :b6: :b6: :b6:

โหยยยยย....

ไอ้เรารึ รู้ทั้งรู้ว่าการมาเกิดมันต้องใช้กรรมอย่างแสนสาหัส
แต่...เพราะเห็นว่าเพื่อนร่วมรุ่นลงมาเกิดกันเยอะ ซึ่งจะได้เจอกัน
เราก็อุตสาห์ยอมมาเกิด
เพราะถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไป เมื่อไรจะได้เจอกันอีกก็ไม่รู้

:b6: :b6: :b6:

อย่าประมาท สัมพันธ์จิตของสหายธรรมที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมา
จิตจะเข้าร่องที่จะได้มาเป็นกลัยาณธรรมกันต่อ
เกื้อหนุน ชักจูงกันไปจนกว่าจะถึงฝั่ง .... :b13:

:b6:

:b20:

ไม่เชื่อ...ลองมองกันและกัน ดี ๆ สิ่ ...

:b32: :b32: :b32:


:b4: พี่เอกอนอย่านิพพานก่อนคุนน้องนะ เพราะคุนน้องไม่มีเพื่อน คือเราขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กันก่อนค่อยลงมาเกื้อหนุนกันต่อยุคพระศรีอริยะเมตไตย โอเคป่ะ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2012, 21:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


โหยยยย....น้องมาอ้อนอย่างนี้ เพ่ใจอ่อนแน่เรย...:b32: :b32:..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2012, 23:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

ความคิดส่วนตัวนะ....

เรา..ไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมหรอก...ถ้าคุณรู้ว่าเกิดมาแล้วต้องใช้กรรม...คุณจะเกิดมั้ย?

ผมคนหนึ่งละ...จะไม่ยอมมาเกิด...ยอมลอยตุบป๋องในอากาศ..


:b34:

เด๋วแม่...ป๊าาาาด...ตบให้กะบานแยกเรย... :b6: :b6: :b6:

โหยยยยย....

ไอ้เรารึ รู้ทั้งรู้ว่าการมาเกิดมันต้องใช้กรรมอย่างแสนสาหัส
แต่...เพราะเห็นว่าเพื่อนร่วมรุ่นลงมาเกิดกันเยอะ ซึ่งจะได้เจอกัน
เราก็อุตสาห์ยอมมาเกิด
เพราะถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไป เมื่อไรจะได้เจอกันอีกก็ไม่รู้

:b6: :b6: :b6:

อย่าประมาท สัมพันธ์จิตของสหายธรรมที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมา
จิตจะเข้าร่องที่จะได้มาเป็นกลัยาณธรรมกันต่อ
เกื้อหนุน ชักจูงกันไปจนกว่าจะถึงฝั่ง .... :b13:

:b6:

:b20:

ไม่เชื่อ...ลองมองกันและกัน ดี ๆ สิ่ ...

:b32: :b32: :b32:



555....เอิ๊ก..เอิ๊ก... :b32: :b32:
กลอนมันพาไป...ใครรู้ตัวเมื่อไร...ก็เห็นเอง...อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2012, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ครับ ท่านโฮ ละเอียด ดีครับ
บางที เขียนรวบรัด ส่งผลให้ดูคลาดเคลื่อนไปบ้าง ยังมีท่านโฮเห็น แยกแยะได้ ก็ ขอบคุณครับ ที่พิจารณาข้อความของผม

ยกตัวอย่าง เช่น ......... ถ้าพูดแบบละเอียด เป็นดังนี้คือ

เมื่อพูด ถึง ตา(จักขุ) คำเดียว..............
แท้จริงแล้ว ประกอบด้วย รูป(จักขุปสาทรูป) และนาม(จักขุวิญญาณ)

พูดแบบนี้ไม่ได้ครับ ถ้าเราเริ่มสนทนาเรื่องสมุฐานสี่ เราต้องลงลึกลงไปในรายละเอียด
ของรูปทั้ง28 ไม่งั้นจะเกิดความสับสน ที่พูดแบบนี้เป็นเพราะรูป28มีสมุฐานไม่เหมือนกัน

และที่คุณบอกว่า ถ้าพูดถึงตาคำเดียวแท้จริงหมายถึง จักขุปสาทและจักขุวิญญาณรวมอยู่ด้วย
พูดแบบนี้ไม่ถูก เคยเห็นคนพิการ"ตาบอด"มั้ย เขามีดวงตาอยู่นะครับ แต่ที่เขามองไม่เห็น
เป็นเพราะจักขุปสาทเขาใช้การไม่ได้ เมื่อไม่มีจักขุปสาทย่อมไม่มี จักขุวิญญาณ

หรือแม้จะไม่พิการ ยามเมื่อเราตกอยู่ในภวังคจิต ตา หู จมูก...ฯลฯ ยังอยู่ครบถ้วน
แต่ปสาทรูปก็เหมือนไม่มี เพราะมันไม่ทำงาน

ดังนั้นจะกล่าวถึงพระอภิธรรม ต้องรู้ให้ลึกลงไปในรายละเอียด
ไม่งั้นจะเกิดความสับสน อยากแนะนำครับ จิตยังไม่มีสัมมาทิฐิ
หรือมองอะไรตามความเป็นจริง ก็อย่าพึ่งสนใจพระอภิธรรมเลย
มันทำให้เกิดวิจิกิจฉา ลืมตัวลืมสติครับ

govit2552 เขียน:
จักขุปสาทรูป เกิดจากผลของกรรม (ส่วนจะเกิดจากสาเหตุอื่นอีก อันนี้ไม่ยืนยัน แล้วแต่ท่านโฮ)
จักขุวิญญาณ เกิดจากผลของกรรม (เป็นวิบากจิต)

อยากชวนสนทนาต่อครับ.......ที่คุณบอกว่า จักขุวิญญาณ เกิดจากผลของกรรม(เป็นวิบากจิต)
ผมเลยสงสัยครับ ในความคิดคุณ จักขุวิญญาณเป็นอะไรในปรมัตถ์ธรรมครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2012, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผมเลยสงสัยครับ ในความคิดคุณ จักขุวิญญาณเป็นอะไรในปรมัตถ์ธรรมครับ

อ้างคำพูด:
จิต ถูกแบ่ง ออกเป็น 4 ประเภท(ชาติ) ดังนี้คือ

วิบากจิต กิริยาจิต กุศลจิต อกุศลจิต


ขอตอบคำถาม สีแดงนะครับ
จักขุวิญญาณ จัดอยู่ใน วิบากจิต ........... ส่วนวิบากจิต จัดอยู่ใน จิต ... ครับ


หมายเหตุ ปรมัตธรรม 4 คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2012, 15:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... uth-25.htm :b42:

:b4: :b42: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2012, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
govit2552 เขียน:
จักขุปสาทรูป เกิดจากผลของกรรม (ส่วนจะเกิดจากสาเหตุอื่นอีก อันนี้ไม่ยืนยัน แล้วแต่ท่านโฮ)
จักขุวิญญาณ เกิดจากผลของกรรม (เป็นวิบากจิต)

อยากชวนสนทนาต่อครับ.......ที่คุณบอกว่า จักขุวิญญาณ เกิดจากผลของกรรม(เป็นวิบากจิต)
ผมเลยสงสัยครับ ในความคิดคุณ จักขุวิญญาณเป็นอะไรในปรมัตถ์ธรรมครับ :b13:

govit2552 เขียน:
ผมเลยสงสัยครับ ในความคิดคุณ จักขุวิญญาณเป็นอะไรในปรมัตถ์ธรรมครับ

อ้างคำพูด:
จิต ถูกแบ่ง ออกเป็น 4 ประเภท(ชาติ) ดังนี้คือ

วิบากจิต กิริยาจิต กุศลจิต อกุศลจิต

ขอตอบคำถาม สีแดงนะครับ
จักขุวิญญาณ จัดอยู่ใน วิบากจิต ........... ส่วนวิบากจิต จัดอยู่ใน จิต ... ครับ
หมายเหตุ ปรมัตธรรม 4 คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

ขอถามอีกที่ครับ ที่ว่า......."จักขุวิญญาณเกิดจากผลของกรรม"
คุณโกวิท เอามาจากธรรมในเรื่องใดครับ สมุฐานสี่หรือเป็นเรื่องอื่นครับ
ไม่ได้เซ้าซี้นะครับ คำตอบมันก็เข้าเค้าอยู่ครับ แต่เพื่อความแน่ใจ
เลยอยากให้ลงลึกกว่านี้ครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2012, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


conan123 เขียน:
ช่วยด้วยค่ะ ตอนนี้สงสัยจนตัน คิดว่าเราเข้าใจกฎแห่งกรรมผิดไปแน่ๆ

คือเราคิดว่า ถ้าชีวิตเราดำเนินไปตามกรรมที่ก่อไว้ ตั้งแต่ในอดีตชาติ นั่นแปลว่า กรรมก็จะส่งผลต่อการตัดสินใจของแต่ละคนด้วยสิคะ แบบนี้เราจะมีเจตจำนงเสรีได้ยังไง แบบนี้จะใช้ชีวิตไปทำไมคะ ใช้ไปงั้นๆเพราะชดใช้กรรม คิดแล้วท้อจัง

ที่ว่ากรรมส่งผลต่อการตัดสินใจ เป็นแบบนี้ค่ะ กรรมส่งผลให้เรามาเกิดในตระกูลไหน ยีนส์แบบไหน สมองแบบไหน (ฉลาด โง่ เป็นต้น) และยังส่งผลต่อสภาพแวดล้อมที่เราต้องเจออีกด้วย เช่น พ่อแม่เลี้ยงดีๆสอนให้เป็นคนดี อีคิวสูง มีเมตตากรุณา กับพ่อแม่เป็นโจรสอนลูกให้ขโมย หรือเพื่อนที่พบเจอ ครูที่พบเจอ นอกจากนี้ ยังมีคนทุกคนที่เราประสบพบเจอ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ หรือแม้แต่โอกาสที่จะศึกษาศาสนา ทุกอย่างก็เป็นเพราะกรรมเก่า และกรรมใหม่ที่เราตัดสินใจ มันก็มาจากผลของกรรมเก่า (เพราะสภาพร่างกายและสมอง และข้อมูลต่างๆที่ถูกป้อนลงสมอง ล้วนได้รับมาเพราะกรรมเก่า) เพราะถ้ากรรมเก่าให้เราเกิดมาในสมองดีๆ สภาพแวดล้อมดีๆ สมองเราก็จะตัดสินใจทำในเรื่องดีๆ แม้แต่ปริมาณออกซิเจนในที่ๆเราอยู่ก็มีผลต่อการทำงานของสมองต่างกัน ดังนั้นปริมาณออกซิเจนที่แต่ละคนได้รับก็เป็นกรรมเก่าด้วย

ดังนั้นมนุษย์ไม่มีเจตจำนงเสรีที่จะตัดสินใจอะไรด้วยตนเอง ทุกอย่างถูกชักจูงจากกฎแห่งกรรม แล้วแบบนี้มันต่างอะไรกับตัวละครในเกมส์ ที่่ดำเนินตามกฎของเกมส์นั้นล่ะคะ


เวลาเราศึกษาพระพุทธศาสนา เราอย่างมงาย พระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่าให้เรา รู้ตื่น มีสติ อยู่กับปัจจุบัน และที่สำคัญคือ ให้เราเป็นคนดี หากคุณงมงายกับอดีต เรื่องเก่าๆในอดีต คุณกำลังหลง พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญ ท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น หลายคนพอเห็นคนรวยแล้วก็อิจฉา แล้วมาพูดว่าเขารวยเพราะบารมี รวยเพราะมรดกพ่อแม่ คนที่ไม่ได้รวยเพราะมรดกก็มีมากมาย แต่เขามีหัวดี มีความขยัน มีความพยายาม กล้าเสี่ยง อดทน เขาจึงรวยก็มีถมไป รวยกันในชาตินี้โดยไม่ต้องง้อมรดก แต่คนที่อิจฉาเขาลืมมองว่าตัวเองทำไม่ได้เหมือนเขา หัวไม่ดีเหมือนเขา หรือไม่กล้าเสี่ยงเหมือนเขา จึงไม่รู้ถึงรสชาดของความลำบากก่อนจะรวย ได้แต่คอยติว่าเป็นเพราะสิ่งนั้น สิ่งนี้ ติไปทั่ว เขาเรียกว่าไม่มองตัวเอง แต่คอยโทษสภาพแวดล้อม แบบนี้จึงหลงอยู่ร่ำไป

เหตุที่มนุษย์ต้องเดินตามกฎ เพราะมนุษย์เกิดมาภายใต้กฎ หากไม่อยู่ภายใต้กฎ โลกนี้คงไร้เกณฑ์ ไร้การควบคุม คุณลองคิดดูสิ่ หากมนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎ ถ้างั้นหากผมไม่อยากแก่ และไม่อยากตาย ผมก็ไม่ต้องแก ไม่ต้องตายน่ะสิ่ แล้วถ้าคนทั้งโลกคิดแบบผมล่ะ คุณว่ามนุษย์จะล้นโลกไหมล่ะ อาหารจะพอต่อความต้องการมั้ย น้ำท่า ทรัพยากรจะเพียงพอต่อความต้องการมั๊ย

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2012, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


conan123 เขียน:

ดังนั้นมนุษย์ไม่มีเจตจำนงเสรีที่จะตัดสินใจอะไรด้วยตนเอง ทุกอย่างถูกชักจูงจากกฎแห่งกรรม แล้วแบบนี้มันต่างอะไรกับตัวละครในเกมส์ ที่่ดำเนินตามกฎของเกมส์นั้นล่ะคะ



ถูกต้องเจตจำนง เจตนานี้พระพุทธเจ้าเรียกว่ากรรม มนุษย์คิดจำนงตัดสินใจได้ด้วยตนเอง แต่เจตนาก็มีทั้งกุศลเจตนากับอกุศลเจตนา

เรื่องนี้เป็นนามธรรมซ้ำละเอียดอีกครับ ค่อยๆศึกษาดู :b1:

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=678.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2012, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
จิตที่ปฏิสนธิเป็นวิบากจิต วิบากจิตไม่ใช่กรรม
วิบากจิตเป็นจิตที่เกิดขึ้นเพราะกรรรมเป็นเหตุ
วิบากจิตจึงเป็นผลของกรรม

เมื่อปฏิสนธิแล้วก้เจริญเติบโต
มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย ซึ่งใครก็สร้างไม่ได้
แต่กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นได้
กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดจักขุปสาท โสตปสาท
ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท
ซึ่งเป็นรูปที่กระทบสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
และวิบากจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น
ที่ปรากฏทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
นี่คือจิตที่เป็นผลของกรรมหลังจากที่เกิดขึ้นมาแล้ว

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16401

อ้างคำพูด:
1.อกุศลชาติ (อกุสลาธมฺมา) ธรรมชาติ (จิต) ที่เกิดมาแล้วเป็นบาป มีโทษให้ผลเป็นความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ ได้แก่ อกุศลจิต 12 ดวง

2. กุศลชาติ (กุสลา ธมฺมา) ธรรมชาติ (จิต) ที่เป็นบุญ ไม่มีโทษ ให้ผลเป็นความสุข ความสบายใจ ได้แก่ มหากุศลจิต 8
รูปาวกุศลจิต 5 อรูปาวจรกุศลจิต 4 มัคคกุศล 4/20

3. วิบากชาติ (อพยากตา ธมฺมา) ธรรมชาติ (จิต) ที่ไม่กล่าวว่าเป็นกุศลหรืออกุศลในตัวเอง เป็นแต่เพียงผลที่เกิดจากกุศลหรืออกุศล ได้แก่ อกุศลวิบากจิต 7 อเหตุกกุศลวิบากจิต 8 มหาวิบากจิต 8 รูปาวจรวิบากจิต 5 อรูปาวจรวิบากจิต 4 ผลจิต 4/20

4. กิริยาชาติ (อพยากตาธมฺมา) ธรรมชาติ (จิต) ที่ไม่กล่าวว่าเป็นกุศลหรืออกุศลในตัวเอง ทั้งไม่ใช่ผลของกุศลและอกุศลด้วย มี 20 ดวง

http://www.abhidhamonline.org/thesis/th ... hesis2.htm

อ้างคำพูด:
อเหตุกกุศลวิบากจิต ซึ่งมีอยู่ ๘ ดวงด้วยกัน คือ
๑. จิตที่เกิดขึ้น ทางตาเพื่อเห็นรูปที่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า จักขุวิญญาณฝ่ายกุศลวิบาก
๒. จิตที่เกิดขึ้น ทางหูเพื่อได้ยินเสียงที่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า โสตวิญญาณฝ่ายกุศลวิบาก
๓. จิตที่เกิดขึ้น ทางจมูกเพื่อรู้กลิ่นที่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า ฆานวิญญาณฝ่ายกุศลวิบาก
๔. จิตที่เกิดขึ้น ทางลิ้นเพื่อรู้รสที่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า ชิวหาวิญญาณฝ่ายกุศลวิบาก
๕. จิตที่เกิดขึ้น ทางกายเพื่อรู้สัมผัสทางกายที่ดี และรู้สึกเป็นทุกข์
มีชื่อเรียกว่า กายวิญญาณฝ่ายกุศลวิบาก
๖. จิตที่เกิดขึ้น โดยรับอารมณ์ทั้ง ๕ ที่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า สัมปฏิจฉนจิตฝ่ายกุศลวิบาก
๗. จิตที่เกิดขึ้น พิจารณาอารมณ์ทั้ง ๕ ที่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า อุเบกขาสันตีรณฝ่ายกุศลวิบาก
๘. จิตที่เกิดขึ้น พิจารณาอารมณ์ทั้ง ๕ ที่ดียิ่ง พร้อมด้วยความดีใจ
มีชื่อเรียกว่า โสมนัสสันตีรณฝ่ายกุศลวิบาก

http://www.buddhism-online.org/Section03A_08.htm

อ้างคำพูด:
อกุศลวิบากจิต ซึ่งมีอยู่ ๗ ดวงด้วยกัน คือ
๑. จิตที่เกิดขึ้น ทางตาเพื่อเห็นรูปที่ไม่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า จักขุวิญญาณฝ่ายอกุศลวิบาก
๒. จิตที่เกิดขึ้น ทางหูเพื่อได้ยินเสียงที่ไม่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า โสตวิญญาณฝ่ายอกุศลวิบาก
๓. จิตที่เกิดขึ้น ทางจมูกเพื่อรู้กลิ่นที่ไม่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า ฆานวิญญาณฝ่ายอกุศลวิบาก
๔. จิตที่เกิดขึ้น ทางลิ้นเพื่อรู้รสที่ไม่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า ชิวหาวิญญาณฝ่ายอกุศลวิบาก
๕. จิตที่เกิดขึ้น ทางกายเพื่อรู้สัมผัสทางกายที่ไม่ดี และรู้สึกเป็นทุกข์
มีชื่อเรียกว่า กายวิญญาณฝ่ายอกุศลวิบาก
๖. จิตที่เกิดขึ้น โดยรับอารมณ์ทั้ง ๕ ที่ไม่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า สัมปฏิจฉนจิตฝ่ายอกุศลวิบาก
๗. จิตที่เกิดขึ้น พิจารณาอารมณ์ทั้ง ๕ ที่ไม่ดี และรู้สึกเฉยๆ
มีชื่อเรียกว่า สันตีรณจิตฝ่ายอกุศลวิบาก

http://www.buddhism-online.org/Section03A_07.htm

เจริญในธรรมครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2012, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ได้แก่

จักขุวิญญาณ (กุศลวิบาก ๑ และอกุศลวิบาก ๑) ทำทัศนกิจ คือ กิจเห็น

โสตวิญญาณ (กุศลวิบาก ๑ และอกุศลวิบาก ๑) ทำสวนกิจ คือ กิจได้ยิน

ฆานวิญญาณ (กุศลวิบาก ๑ และอกุศลวิบาก ๑) ทำคายนกิจ คือ กิจได้กลิ่น

ชิวหาวิญญาณ (กุศลวิบาก ๑ และอกุศลวิบาก ๑) ทำสายนกิจ คือ กิจลิ้มรส

กายวิญญาณ (กุศลวิบาก ๑ และอกุศลวิบาก ๑) ทำผุสสนกิจ คือ กิจรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

viewtopic.php?f=1&t=21328

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 03:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
เมื่อพูด ถึง ตา(จักขุ) คำเดียว..............
แท้จริงแล้ว ประกอบด้วย รูป(จักขุปสาทรูป) และนาม(จักขุวิญญาณ)

จักขุปสาทรูป เกิดจากผลของกรรม (ส่วนจะเกิดจากสาเหตุอื่นอีก อันนี้ไม่ยืนยัน แล้วแต่ท่านโฮ)
จักขุวิญญาณ เกิดจากผลของกรรม (เป็นวิบากจิต)

โฮฮับ เขียน:
ขอถามอีกที่ครับ ที่ว่า......."จักขุวิญญาณเกิดจากผลของกรรม"
คุณโกวิท เอามาจากธรรมในเรื่องใดครับ สมุฐานสี่หรือเป็นเรื่องอื่นครับ
ไม่ได้เซ้าซี้นะครับ คำตอบมันก็เข้าเค้าอยู่ครับ แต่เพื่อความแน่ใจ
เลยอยากให้ลงลึกกว่านี้ครับ :b13:

คุณโกวิทครับที่คุณว่า...."ไปเอาเรื่องที่ว่าจักขุวิญญาณมาจากผลของกรรม"
ผมถามคุณว่าไปเอามาจากไหน เพราะผมรู้ว่าคุณเริ่มจะสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก

ทำไมผมถึงได้กล่าวอย่างนั้น เป็นเพราะเรากำลังคุยกันในเรื่อง.........
รูปปรมัตถ์และสมุฐานสี่กันอยู่ แต่คุณไปเอาเรื่อง จิตปรมัตถ์มาคุย

แล้วยังสำทับว่า จักขุวิญญาณเป็นจิตและเป็นวิบากจิต มันเกิดจากกรรม
ผมก็เลยอยากรู้ว่าคุณไปเทียบเคียงกับธรรมใด คุณก็ตอบมา แต่สิ่งที่ได้รับ
มันไม่ได้มีความกระจ่างหรือเหตุผลที่แท้จริง

ที่คุณบอกว่า จักขุวิญญาณเป็นจิต....... อันนี้ใช่ครับ
และที่บอกว่า เป็นวิบากจิตและมีผลจากกรรม.......อันนี้อาจจะใช่หรือไม่ใช่
มันขึ้นอยู่ว่า คุณอธิบายในแง่ไหน เช่น สมุฐานสี่ นิยามห้า ปฏิจฯหรืออิทัปปัจยตา


ถ้าคุณจะอธิบายด้วยการ ยกเอาคำพูดของอาจารย์ที่สอนอภิธรรมหลายคน
มาช่วยอธิบายแทนคุณ คุณต้องคำนึงถึง ........ธรรมในส่วนอื่นๆของพระพุทธองค์ด้วย

ผมจะบอกให้คำพูดของคุณ มันแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่แรก
คุณบอกว่า จักขุวิญาณเป็นจิตและเป็นวิบากจิต มีผลมาจากกรรม
แต่ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า.....จิตเดิมประภัสสร
ในเมื่อจิตเดิมประภัสสรแล้วจะเป็นผลให้เกิดวิบากได้อย่างไรครับ

การอธิบายความในปรมัตถ์ธรรม ต้องแยกกันให้ดีหว่าง จิต เจตสิก รูป นิพพาน
เป็นเพราะคุณโกวิทไม่แยกแยะให้ดี ระหว่างรูปปรมัตถ์และจิตปรมัตถ์

ความสับสนมันเกิดขึ้นเพราะ ในมหาภูติรูปสี่ มันต้องมีจิตหรือนามเป็นตัวเชื่อม
ให้ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมตัวกันอยู่ได้

พิจารณาให้ดีแล้ว จิตเป็นตัวกรรมหรือกระทำ ส่วนวิบากเป็นรูป

ดังนั้นมันจึงตรงกับ สมุฐานที่ว่า มหาภูติรูปสี่เกิดจาก กรรม..จิต..อุตุและอาหาร
จิตก็คือ.....วิญญาณตัวรู้รูป
กรรมก็คือ...การกระทำของจิตหรือวิญญาณจนเกิดรูป
อุตุก็คือ....สภาพแวดล้อมที่พอเหมาะ อันสามารถทำให้รูปดำรงอยู่
อาหารก็คือ...ธาตุที่ช่วยให้รูปเจริญขี้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2012, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
จิตก็คือ.....วิญญาณตัวรู้รูป


ความเข้าใจที่ถูกต้องคือ จิตทำหน้าที่รู้อารมณ์ 6 ประการครับ ไม่ใช่รู้เฉพาะรูป อย่างเดียว
อ้างคำพูด:
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องจิตรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางทวารต่าง ๆ เพื่อให้เราพ้นจากความมืดบอด เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้วก็รู้ว่า อารมณ์ทั้งหมดที่จิตรู้ได้มี 6 อารมณ์
อารมณ์ที่หนึ่ง คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือ รูปารมณ์ ซึ่งรู้ได้ ทางตา เท่านั้น เราอาจเรียกว่า สิ่งที่เห็นทางตา หรือ สี เราอาจเรียกอารมณ์ว่าอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องรู้คือว่า เป็นสภาพธรรม ที่ปรากฏทางตา เท่านั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่วัตถุสิ่งของหรือบุคคลดังที่เราคิด เมื่อเราคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ หรือเป็นคน เราคิดถึงบัญญัติของสิ่งที่เห็น แต่ไม่ใช่การรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา
อารมณ์ที่สอง คือ เสียง หรือ สัททารมณ์
อารมณ์ที่สาม คือ กลิ่น หรือ คันธารมณ์
อารมณ์ที่สี่ คือ รส หรือ รสารมณ์
อารมณ์ที่ห้า คือ อารมณ์ ที่สามารถรู้ได้ ทางกาย หรือ โผฏฐัพพารมณ์ อารมณ์นี้ได้แก่:
สภาพแข็ง หรือ ธาตุดิน (ภาษาบาลีเรียกว่า ปถวีธาตุ) ซึ่งปรากฏลักษณะ แข็ง หรือ อ่อน ให้รู้ได้
อุตุ หรือ ธาตุไฟ (ภาษาบาลีเรียกว่า เตโชธาตุ ) ซึ่งปรากฏลักษณะ ร้อน หรือ เย็น ให้รู้ได้
สภาพไหว หรือ ธาตุลม (ภาษาบาลีเรียกว่า วาโยธาตุ ) ซึ่งปรากฏลักษณะ ไหว หรือ ตึง ให้รู้ได้
สภาพแข็ง (ดิน) สภาพเกาะกุม (นํ้า) อุตุ (ไฟ) สภาพไหว (ลม) เป็นรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน 4 รูป (มหาภูตรูป)
สภาพเกาะกุม (ภาษาบาลีเรียกว่า อาโปธาตุ) นั้นไม่สามารถรู้ได้ทางกายทวาร เมื่อกระทบนํ้า สภาพแข็งหรืออ่อน ร้อนหรือเย็น ไหวหรือตึง สามารถรู้ได้ทางกายทวาร สภาพเกาะกุม สามารถรู้ได้ ทางมโนทวาร เท่านั้น
ลักษณะของธาตุนํ้าจึงเป็นอารมณ์ประเภทที่ 6 คือ ธัมมารมณ์
ธัมมารมณ์ ได้แก่ อารมณ์ทั้งหมดที่ไม่ใช่อารมณ์ 5 ธัมมารมณ์ สามารถรู้ได้ ทางมโนทวารเท่านั้น


อ้างคำพูด:
ธัมมารมณ์ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ 6 นั้นมี 6 ประการ คือ
1. ปสาทรูป 5
2. สุขุมรูป 16
3. จิต
4. เจตสิก
5. นิพพาน
6. บัญญัติ


เจริญในธรรมครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 72 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร