วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ทุกข์ในไตรลักษณ์ มันไม่ใช่สภาวะที่เป็นทุกข์

ทุกข์ในไตรลักษณ์เป็นการรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่สภาวะที่เป็นทุกข์



แถไปเรื่อย :b1: หากคนอ่านคนฟังเผินๆ เหมือนแม่ยกขาประจำหอบเสื่อหอบหมอนตามไปปรบมือโห่ร้องว่า พี่โฮของอิชั้นนี่แน่จริงๆ พูดได้เข้าเค้า ว่างั้น คิกๆ แต่ที่ไหน ได้พูดขัดกันเอง

ปัดโธ่... :b9:

ทุกข์ในไตรลักษณ์ มันไม่ใช่สภาวะที่เป็นทุกข์

ทุกข์มันก็ทุกข์ มันก็บอกอยู่แล้ว ยังแถไปน้ำขุ่นๆ

ไอ้ตัวที่รู้ทกข์ เป็นวิชชา หรือ ปัญญาที่รู้ทุกข์ คือรู้สภาวทุกข์

ไม่ใช่อย่างที่โมเมชั่นนี่
อ้างคำพูด:
ทุกข์ในไตรลักษณ์เป็นการรู้ทุกข์


ควายไม่มีวัวปนเลย :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




imagesCAO5K5VY.jpg
imagesCAO5K5VY.jpg [ 8.52 KiB | เปิดดู 3157 ครั้ง ]
pk_smt550625_03.jpg
pk_smt550625_03.jpg [ 140.23 KiB | เปิดดู 3155 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
การศึกษาธรรมะจะให้ดีได้ต้องศึกษาอย่างเป็นระบบ ต้องศึกษาในห้องเรียน

ลุงหมานนี่มันเพี้ยนไปกันใหญ่ ผมว่าลุงๆป้าๆในรูปกลับบ้านไปนั่งเลี้ยงหลานไม่ดีกว่าหรือ
อรหันต์ไม่ใช่ ด็อกเตอร์น่ะ
และนิพพานก็ไม่ใช่ปฏิญาเอกด้วย


"เล็กๆไม่เรียนหนังสือ แก่ขึ้นมา เลยไม่ยอมเลี้ยงหลาน" :b35:


นรกมันเล่าร้อนอย่าไปปรามาสเลย...โฮฮับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




Y12032746-1.jpg
Y12032746-1.jpg [ 148.43 KiB | เปิดดู 3149 ครั้ง ]
Y11481587-31.gif
Y11481587-31.gif [ 21.34 KiB | เปิดดู 3149 ครั้ง ]
อยากทราบมีคำตอบครับ ไปที่ที่นี่ครับ


มรณาสันนวิถี เป็นวิถีจิตที่ใกล้จะตาย หมายถึง เมื่อมรณาสันนวิถีเกิดขึ้นแล้ว จุติจิต (จิตที่ดับสิ้นไปจากภพชาติปัจจุบัน) ย่อมเกิดขึ้นในลำดับที่ใกล้เคียงกัน จะไม่มีวิถีจิตที่มีอารมณ์เป็นอย่างอื่นเกิดขึ้น คั่นระหว่างจุติจิตอีก ในมรณาสันนวิถีนี้ มีชวนะจิตเกิดขึ้นเพียง ๕ ขณะเท่านั้น เพราะเหตุที่จิตมีกำลังอ่อน เนื่องจากอำนาจของกรรมที่ส่งมานั้น ใกล้จะหมดอำนาจอยู่แล้ว และอีกประการหนึ่ง หทัยวัตถุอันเป็นกัมมชรูป ซึ่งเป็นที่ตั้งของจิต ก็มีแต่จะเสื่อมสิ้นลงเรื่อยๆ กำลังของชวนะจิตอ่อนไป เหมือนไฟที่น้ำมันจะหมด หรือจะมอดอยู่แล้ว แสงสว่างของไฟ ก็ย่อมจะริบหรี่ เพราะหมดกำลังของปัจจัย คือน้ำมันและไส้นั่นเอง เมื่อหมดมรณาสันนวิถีแล้ว ต่อจากนั้นจุติจิตก็เกิดขึ้น ๑ ขณะ เรียกว่า สัตว์นั้นถึงแก่ความตาย
มรณาสันนวิถี (วิถีจิตของคนที่ใกล้ตาย) (๑)
มรณาสันนวิถี เป็นวิถีจิตที่ใกล้จะตาย หมายถึง เมื่อมรณาสันนวิถีเกิดขึ้นแล้ว จุติจิต (จิตที่ดับสิ้นไปจากภพชาติปัจจุบัน) ย่อมเกิดขึ้นในลำดับที่ใกล้เคียงกัน จะไม่มีวิถีจิตที่มีอารมณ์เป็นอย่างอื่นเกิดขึ้น คั่นระหว่างจุติจิตอีก มีชวนะจิตเกิดขึ้นเพียง ๕ ขณะเท่านั้น (ปกติจะเกิดขึ้น ๗ ขณะ)
เพราะเหตุที่จิตมีกำลังอ่อน เนื่องจากอำนาจของกรรมที่ส่งมานั้น ใกล้จะหมดอำนาจอยู่แล้ว และอีกประการหนึ่ง หทัยวัตถุอันเป็นกัมมชรูป ซึ่งเป็นที่ตั้งของจิต ก็มีแต่จะเสื่อมสิ้นลงเรื่อยๆ กำลังของชวนะจิตอ่อนไป เหมือนไฟที่น้ำมันจะหมด หรือจะมอดอยู่แล้ว แสงสว่างของไฟ ก็ย่อมจะริบหรี่ เพราะหมดกำลังของปัจจัย คือน้ำมันและไส้นั่นเอง
เมื่อหมดมรณาสันนวิถีแล้ว ต่อจากนั้นจุติจิตก็เกิดขึ้น ๑ ขณะ เรียกว่า สัตว์นั้นถึงแก่ความตาย
ในทันทีที่จุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยไม่มีจิตอื่น เกิดขึ้น มาคั่นระหว่าง จุติจิตกับปฏิสนธิจิตได้เลย
แต่สำหรับจุติจิตของพระอรหันต์นั้น จะไม่มีปฏิสนธิจิตมาเกิดต่อจากจุติจิตอีก เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว ภพชาติที่จะต้องเกิดอีกไม่มี เมื่อจุติจิตดับลง จึงเข้าสู่ปรินิพพาน

(ชวนะจิต หมายถึง การเสพอารมณ์ ๕ ของจิต คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ปกติของสัตว์จะเกิดขึ้น ๗ ขณะ)

อารมณ์ของมรณาสันนวิถี

ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายที่ยังมิได้เป็นพระอรหันต์นั้น จะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือเดรัจฉานก็ตาม ..หรือเป็นมนุษย์ เทวดา และพรหมก็ตาม เมื่อใกล้จะตาย นิมิตทั้ง ๓ คือ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมปรากฏเฉพาะหน้าในทวารใดทวารหนึ่ง แห่งทวารทั้ง ๖ นั้นเสมอ....
พระอนุรุทธาจารย์ จึงแสดงว่า...
"ตถา จ มรนฺตานํ ปน มรณกาเล กมฺมํวา
กมฺมนิมิตฺตํวา คตินิมิตฺตํวา ฉนฺนํ ทฺวารานํ
อญฺญตฺรสฺมํ ปตฺจุปฏฐาติ"
"อารมณ์ของมรณาสันนวิถี จึงได้แก่นิมิตอารมณ์ทั้ง๓ ประการ คือ
กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ และคตินิมิตอารมณ์"

กรรมอารมณ์ ได้แก่ ธรรมารมณ์ที่เกี่ยวกับกุศลกรรม อกุศลกรรม กรรมอารมณ์ที่เป็นฝ่ายกุศล ได้แก่ การทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม หรือเจริญภาวนา โดยทำมาแล้วด้วยความปีติโสมนัสอย่างไร ก็ให้ระลึกถึงความปีติโสมนัสให้เกิดขึ้น คล้ายกับว่าตนกำลังทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม หรือเจริญภาวนาอยู่ในขณะนั้น
ส่วนกรรมอารมณ์ที่เป็นฝ่ายอกุศล ได้แก่ การที่ตนเคยฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เคยฉกชิงวิ่งราว เคยโกรธแค้นพยาบาท ความเสียใจหรือความโกรธนั้น คล้ายๆกับว่า กำลังปรากฏขึ้นกับตน เพราะเหตุดังกล่าวเหล่านั้น
กรรมอารมณ์นี้เป็นความรู้สึกทางใจ จึงปรากฏได้เฉพาะทางมโนทวารทางเดียว เมื่อกรรมอารมณ์เป็นฝ่ายกุศลก็นำไปสู่สุคติ ถ้ากรรมอารมณ์เป็นฝ่ายอกุศลก็จะต้องนำไปสู่ทุคติ
กรรมนิมิตอารมณ์
กรรมนิมิตอารมณ์ ได้แก่ อารมณ์ ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และสภาพที่รู้ได้ทางใจ ที่เกี่ยวด้วยการกระทำของแต่ละบุคคล ที่ตนได้กระทำแล้วด้วยกาย วาจา ใจ ย่อมจะมาแสดงนิมิตเครื่องหมายให้รู้ได้"เมื่อใกล้จะตาย"
ถ้าเป็นฝ่ายกุศล ก็ให้รู้ให้เห็น เป็นการทำบุญให้ทาน เช่น เห็นโบสถ์ วิหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ตนเคยสร้าง เห็นพระภิกษุที่เคยบวชตนเอง หรือบวชลูก-หลาน เห็นพระพุทธรูปที่ตนเคยสร้าง เป็นต้น
มรณาสันนวิถีก็หน่วงเอาอารมณ์นั้นๆ มาเป็นอารมณ์ให้เป็นนิมิตเครื่องหมายในสิ่งต่างๆเหล่านั้น
กรรมนิมิตที่เป็นฝ่ายอกุศล เช่น เห็นแห อวน หอก ดาบ ปืนผาหน้าไม้ เครื่องประหัตประหารเบียดเบียนสัตว์ ที่ตนเคยใช้ในการทำบาปมาแล้ว เป็นต้น มรณาสันนวิถีก็จะน้อมเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์

กรรมนิมิตอารมณ์ ที่เป็นฝ่ายกุศล และอกุศลดังกล่าวมาแล้วนั้น ถ้าเป็นแต่เพียงนึกคิดถึงสิ่งต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น ก็จะปรากฏทางมโนทวาร(ทางใจ)เป็นอดีตอารมณ์ แต่ถ้าได้เห็นด้วยตาจริงๆ ได้ยินด้วยหูจริงๆ ได้กลิ่น รู้รส ถูกต้องสัมผัส เป็นความรู้สึกจริงๆ ก็เป็นนิมิตอารมณ์ ที่ปรากฏทางปัญจทวาร(ทวาร ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย) และเป็นปัจจุบันอารมณ์
กรรมนิมิตที่เป็นฝ่ายกุศล ย่อมนำไปสู่"สุคติ" แต่ถ้ากรรมนิมิตเป็นฝ่ายอกุศล ก็ย่อมนำไปสู่ "ทุคติ"
คตินิมิตอารมณ์
คตินิมิตอารมณ์ เป็นนิมิตเครื่องหมาย ที่จะนำไปสู่" สุคติ หรือทุคติ "ถ้าเป็นคตินิมิตอารมณ์ที่จะนำไปสู่"สุคติ" ก็จะปรากฏเป็นปราสาทราชวัง วิมานทิพยสมบัติ เทพบุตร เทพธิดา เห็นครรภ์มารดา เห็นวัดวา เห็นบ้านเรือน เห็นผู้คน หรือเห็นภิกษุสามเณร ล้วนแต่เห็นสิ่งที่ดีๆ
คตินิมิตอารมณ์ ที่จะนำไปสู่"ทุคติ"ก็จะปรากฏเป็นเปลวไฟ ถ้ำ เหว ป่าทึบ เห็นนายนิรยบาล เห็นสุนัข เห็นแร้งกา เป็นต้น ที่กำลังเบียดเบียนทำอันตรายตน ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ดีทั้งสิ้น
คตินิมิตอารมณ์ ย่อมปรากฏได้ในทวารทั้ง ๖ แต่ส่วนมากจะปรากฏทางจักขุทวาร และทางมโนทวาร คือเห็นทางตากับทางใจเป็นส่วนมาก และจัดเป็นปัจจุบันอารมณ์
อารมณ์ของมรณาสันนวิถีนี้ ย่อมจะมีอารมณ์ที่เป็นกรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏ แก่วิถีจิตสุดท้ายที่ใกล้ชิดกับ"จุติจิต"ที่สุด และอารมณ์ทั้งสามนี้ ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจของกรรมทั้ง ๔ ประการตามลำดับ คือ...
(จุติจิต หมายถึง จิตที่ดับสิ้นไปจากภพชาติปัจจุบัน)

(คัดจากหนังสือ พระอภิธรรมมัตถสังคหะ)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงหมาน เมื่อ 11 ธ.ค. 2012, 02:49, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2012, 01:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
การศึกษาธรรมะจะให้ดีได้ต้องศึกษาอย่างเป็นระบบ ต้องศึกษาในห้องเรียน

ลุงหมานนี่มันเพี้ยนไปกันใหญ่ ผมว่าลุงๆป้าๆในรูปกลับบ้านไปนั่งเลี้ยงหลานไม่ดีกว่าหรือ
อรหันต์ไม่ใช่ ด็อกเตอร์น่ะ
และนิพพานก็ไม่ใช่ปฏิญาเอกด้วย


"เล็กๆไม่เรียนหนังสือ แก่ขึ้นมา เลยไม่ยอมเลี้ยงหลาน" :b35:


นรกมันเล่าร้อนอย่าไปปรามาสเลย...โฮฮับ

"นรกมันเล่าร้อนอย่าไปโหนเลย...ลุงหมาน" มือมันจะพอง มาฟังเทศดีกว่าผมจะเทศให้ฟัง

ลุงรู้มั้ยว่า ขณะที่เรากำลังทำบุญหรือทำมหากุศลใดๆ ท่านไม่ให้จิตของผู้กระทำมีอกุศลจิต
ตัวอย่างเช่น กำลังใสบาตรแต่จิตไปเคียดแค้นชิงชังคนอื่น หรืออีกตัวอย่างก็คือ ....
การเอาพระรัตนไตย มากระทบกระเทียบคนอื่น ด้วยจิตที่เป็นอกุศล
ท่านว่า เกิดชาติหน้าจะพิกลพิการ บ้าใบ้บอด หมดสิทธิ์บรรลุธรรม :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2012, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ทุกข์ในไตรลักษณ์ มันไม่ใช่สภาวะที่เป็นทุกข์
ทุกข์ในไตรลักษณ์เป็นการรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่สภาวะที่เป็นทุกข์

แถไปเรื่อย :b1: หากคนอ่านคนฟังเผินๆ เหมือนแม่ยกขาประจำหอบเสื่อหอบหมอนตามไปปรบมือโห่ร้องว่า พี่โฮของอิชั้นนี่แน่จริงๆ พูดได้เข้าเค้า ว่างั้น คิกๆ แต่ที่ไหน ได้พูดขัดกันเอง

อิตากรัชกายมันเพี้ยนแล้ว ตัวเองเป็นคนเริ่มต้นหรือเป็นคนโม้ เราเขามาแย้งแล้วให้เหตุผล
ดันมาว่าเราแถ เห็นชอบอ้างคำศัพท์แต่ไม่รู้จักไวยากรณ์ แบบนี้ไม่ได้เรื่องเลยวุ้ย!

คนที่สมควรจะใช้คำว่า...แถ ก็คือนาย...กรัชกาย
คนอื่นเข้ามาจับผิดคำพูดนายได้ นายก็เลยเกิดอาการแถแบบนี้...

กรัชกาย เขียน:
ควายไม่มีวัวปนเลย :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2012, 05:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




charl-2012-11-03-1351941215-1964042831263925211.gif
charl-2012-11-03-1351941215-1964042831263925211.gif [ 18.27 KiB | เปิดดู 3128 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ทุกข์ในไตรลักษณ์ มันไม่ใช่สภาวะที่เป็นทุกข์
ทุกข์ในไตรลักษณ์เป็นการรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่สภาวะที่เป็นทุกข์

แถไปเรื่อย :b1: หากคนอ่านคนฟังเผินๆ เหมือนแม่ยกขาประจำหอบเสื่อหอบหมอนตามไปปรบมือโห่ร้องว่า พี่โฮของอิชั้นนี่แน่จริงๆ พูดได้เข้าเค้า ว่างั้น คิกๆ แต่ที่ไหน ได้พูดขัดกันเอง

อิตากรัชกายมันเพี้ยนแล้ว ตัวเองเป็นคนเริ่มต้นหรือเป็นคนโม้ เราเขามาแย้งแล้วให้เหตุผล
ดันมาว่าเราแถ เห็นชอบอ้างคำศัพท์แต่ไม่รู้จักไวยากรณ์ แบบนี้ไม่ได้เรื่องเลยวุ้ย!

คนที่สมควรจะใช้คำว่า...แถ ก็คือนาย...กรัชกาย
คนอื่นเข้ามาจับผิดคำพูดนายได้ นายก็เลยเกิดอาการแถแบบนี้...



จะแย้งจะอะไรไม่ว่า กรัชกายช้อบชอบ แต่จะต้องแย้งอย่างมีหลักฐาน มิใช่พูดไปเรื่อยทำเกรียนแตกอย่างเด็กแว้น อย่างที่พี่โฮประพฤติอยู่ทุกๆวันนี้ :b1:

ดูทั่วๆไปในหัวสมองพี่โฮไม่มีอะไรนอกจากขี้เลื่อย ผสมแกลบ คิกๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2012, 07:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




001.jpg
001.jpg [ 98.93 KiB | เปิดดู 3123 ครั้ง ]
Y11481587-31.gif
Y11481587-31.gif [ 21.34 KiB | เปิดดู 3123 ครั้ง ]
โฮฮับไปศึกษาธรรมะเสียให้ดีก่อนแล้วค่อยมาว่ามาสอนคนอื่นเขา...มันบาปนะ..
บ้านอยู่ใน กทม.หรือเปล่าล่ะ จะได้แนะนำได้ถูกต้อง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2012, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




_1_~1.JPG
_1_~1.JPG [ 26.81 KiB | เปิดดู 3118 ครั้ง ]
ที่ตั้งของเทวดาชั้นดาวดึงส์อยู่ยอดเขาสิเนรุ (ดูในภาพ)
ประวัติของเทวดาชั้นตาวติงสา (ดาวดึงส์)
ที่กระทำสงครามกับเทวอสุระ(เทพอสูร) ๕ จำพวก

ดั้งเดิมมาในสมัยต้นกัป เทวโลกชั้นตาวติงสานั้นเป็นสถานที่อยู่ของเทวดาอสูรทั้งหลาย ครั้นต่อมา มฆมานพได้ไปบังเกิดเป็นพระอินทร์ในชั้นนั้น อยู่มาวันหนึ่งพระอินทร์ได้มีการประชุมเทวดาทั้งหลายในชั้นตาวติงสา และมีการเลี้ยงเหล้า เมื่อการเลี้ยงเหล้าได้ผ่านไปโดยเรียบร้อยตามความประสงค์ของพระอินทร์ ผู้เป็นจอมเทวะแล้วบรรดาเทวดาที่...
มาชุมนุมกันอย่างคับคั่งในเวลานั้น ยังมีเทวดาชั้นตาวติงสาพวกหนึ่งมีความมึนเมามากที่สุด เทวดาพวกนี้ได้แก่พวกเวปจิตติอสูร เป็นต้นนั้นเอง

ฝ่ายพระอินทร์ เมื่อเห็นพวกเทวดาเหล่านี้เมามากสมความมุ่งหมายของตนตามที่ได้ตั้งใจไว้ ก็สบโอกาสอันเหมาะที่จะลงมือกระทำการกำจัดพวกเทวดาเหล่านี้ให้พ้นออกไปจากชั้นตาวติงสา ฉะนั้น พระอินทร์กับบริวารซึ่งกำลังเตรียมพร้อมอยู่แล้วต่างก็พากันรุมจับเวปจิตติอสูรโยนลงไปใต้ภูเขาสิเนรุด้วยอำนาจฤทธิ์ของพระอินทร์และบริวาร

ณ ภายใต้ภูเขาสิเนรุ มีนครอยู่นครหนึ่ง ซึ่งคล้ายกันกับนครที่มีอยู่ในชั้นตาวติวสาเทวโลก เมื่อเวปจิตติอสูรกับพวกถูกจับตัวโยนลงมา ณ ภายใต้ภูเขาสิเนรุนั้น ในขณะนั้นปรากฏว่า เวปจิตติอสูรกับพวกกำลังเมาจัด ทั้งการกระทำนั้นก็เป็นไปด้วยอิทธิฤทธิ์ ฉะนั้น เวปจิตติอสูรกับพวกก็ยังไม่รู้วาตนได้ถูกจับตัวโยนลงมา ณ ภายใต้ภูเขาสิเนรุแม้แต่ประการใด ทั้งนี้ก็เพราะภายใต้ภูเขาสิเนรุนั้นมีนคคล้ายกันกับนครของชั้นตาวติงสา ฉะนั้น เวปจิตติอสูรกับพวกจึงไม่มีความสงสัยหรือระแวงใจแม้แต่อย่างใด คงอยู่ไปเป็นปกติเหมือนกับที่เคยอยู่ในนครชั้นตาวติงสา

ทั้งสองนครนี้มีข้อที่พึงสังเกตให้รู้ได้ว่าต่างกันนั้นก็อยู่ที่ต้นไม้ เพราะในชั้นตาวติงสานครมีต้นไม้ชื่อว่า ปาริฉัตตกะ (ต้นทองหลาง) แต่นครของอสูรภายใต้ภูเขาสิเนรุ มีต้นปาฏลิ (ต้นแคฝอย) แต่ชื่อของนครทั้งสองนี้เหมือนกันคือชื่อว่าอยุชฌปุรนคร ฉะนั้น เวปจิตติอสูรกับพวกจึงไม่มีความสงสัยแม้แต่ประการใด ต่อมาเมื่อถึงฤดูออกดอกต้นไม้ที่อยู่ในนครภายใต้ภูเขาสิเนรุก็มีดอกขึ้น เมื่อเวปจิตตอสูรกับพวกได้เห็นดอกไม้นี้แล้ว ก็เกิดความระแวงใจขึ้นทันทีว่าไม่ใช่เป็นต้นไม้ที่อยู่ในนครชั้นตาวติงสา ต้นไม้ที่อยู่ในนครตาวติงสานั้นเป็นต้นทองหลาง แต่นี่เป็นต้นแคฝอย ก็รู้ไดว่าในขณะที่ตนกับพวกมีการเลี้ยงเหล้ากันในชั้นตาวติงสานั้น ตนกับพกมีความเมาจัด ฉะนั้น จึงเป็นโอกาสให้พระอินทร์กับพวกทำการจับตัวโยนลงมาภายในสถานที่นี้ เมื่อเวปจิตติอสูรกับพวกได้สำนึกแล้ว ก็มีความโกรธแค้นต่อพระอินทร์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ประชุมกันเพื่อจะทำสงครามกับพระอินทร์ เพื่อจะชิงเอาอยุชฌปุรนครในชั้นตาวติงสากลับคืนมาเป็นของตนอย่างเดิม

การประชุมได้ตกลงกันโดยพร้อมเพรียงกันว่า จะต้องทำสงครามกับพวกพระอินทร์อย่างแน่นอน เวปจิตติอสุระจึงได้จัดกองทัพขึ้น เรียกว่า กองทัพอสูร, สถานที่ของภูเขาสิเนรุที่เป็นตอนล่างนั้น นับแต่บนพื้นมหาสมุทรขึ้นไปแบ่งออกเป็น ๕ ชั้น ชั้นหนึ่งๆ มีลักษณะเป็นพื้นที่เวียนไปรอบๆ เขา เช่นเดียวกันกับบันไดเวียน

พื้นที่เวียนไปรอบเขาหนึ่งรอบก็เป็นชั้นหนึ่ง ในชั้นหนึ่งๆ ก็ต้องมีเทวดารักษาสถานที่ประจำอยู่ทั้ง ๕ ชั้น โดยนับแต่ตอนล่างขึ้นไป

ฉะนั้น ตอนล่างของภูเขาสิเนรุอันเป็นชั้นที่หนึ่งนั้น มีเทวดาที่มีรูปร่างเหมือนพญานาคชื่อว่านาคะ คอยดูแลรักษาประจำอยู่ ถัดขึ้นไปชั้นที่สองก็มีเทวดาชื่อว่าคฬุนะ (ครุฑ) คอยดูแลรักษาประจำอยู่ ชั้นที่สามมีเทวดาชื่อว่ากุมภัณฑะ คอยดูแลรักษาประจำอยู่ ชั้นที่สี่มีเทวดาชื่อว่ายักขะ คอยดูแลรักษาประจำอยู่ ชั้นที่ห้ามีเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาประจำอยู่ เมื่อสถานที่ภูเขาสิเนรุมีลักษณะเป็นพื้นที่เวียนเรียบภูเขาเป็น ๕ ชั้นนี้ พร้อมกับมีเทวดารักษาอยู่ทุกๆชั้น ฉะนั้น เมื่อพวกเวปจิตติอสุระจะยกกองทัพขึ้นไปสู้รบกับพระอินทร์ จึงต้องยกกองทัพขึ้นไปตามลำดับชั้นของภูเขา เมื่อกองทัพอสูรได้ยกมาถึงชั้นที่หนึ่งอันเป็นสถานที่เทวดารักษาประจำอยู่ เทวดานาคทั้งหลายก็พากันยกพวกออกมาต่อต้านตมหน้าที่ของตนที่มีหน้าที่รักษาสถานที่นั้นๆ แต่เทวดาที่มีหน้าที่รักษาสถานทั้ง ๕ ชั้นไม่มีฤทธิ์หรือกำลังพอเพียงที่จะทำการต่อสู้กับกองทัพอสูรได้ จึงพากันแตกพ่ายหนีไปทุกๆชั้น กองทัพอสูรก็ผ่านขึ้นไปโดยลำดับ จนถึงกับพระอินทร์ต้องยกกองทัพออกมาสู้ด้วยตนเอง

ในการทำสงครามระหว่างพระอินทร์กับอสูรนั้น ไม่เหมือนกับการทำสงครามในมนุษย์ การทำสงครามในมนุษย์มีการตาย บาดเจ็บสาหัสและไม่สาหัส เช่นแขนขาด ขาขาดร่างกายมีบาดแผลโลหิตไหล, ส่วนการทำสงครามในชั้นเทวโลกไม่มีการตายและบาดเจ็บ คงเป็นเหมือนรูปหุ่นกับรูปหุ่นรบกัน ถ้าฝ่ายใดสู้ไม่ไหวเพราะมีพวกน้อยกว่าก็พากันหลบหนีเข้าไปในนคร แล้วก็พากันปิดประตูนครที่มีประจำอยู่ทั้ง ๔ ทิศเสีย ฝ่ายชนะก็ต้องถอยไปเพราะไม่สามารถจะทำลายประตูเข้าไปได้

การทำสงครามระหว่างพระอินทร์กับอสูรนี้ ต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ บางครั้งพระอินทร์เป็นฝ่ายแพ้ พระอินทร์กับพวกก็พากันหนีเข้าไปในนครและปิดประตูนครเสียพวกอสูรก็ต้องถอยทัพกลับ เพราะมาสามารถจะตีหักเข้าไปได้ บางครั้งพระอินทร์เป็นฝ่ายชนะตีกองทัพอสูรแตกพ่ายไป แล้วพระอินทร์ก็ยกกองทัพประชิดติดตามไปจนถึงนครของพวกอสูร พวกอสูรก็พากันหนีเข้าไปในนครและปิดประตูนครทั้ง ๔ ทิศเสีย พระอินทร์ก็ไม่สามารถจะตีหักเข้าไปได้เช่นเดียวกัน จึงจำเป็นต้องยกทัพกลับไป โดยเหตุที่นครทั้งสองฝ่ายจึงมีชื่อว่า อยุชฌปุรนคร แปลว่านครที่สามารถป้องกันเหตุอันตรายที่เกิดจากภายนอกได้

การแสดงประวัติของเทวดาชั้นตาวติงสาที่ต้องกระทำสงครามกันนี้ มีมาในสารัตถทีปนีฏีกา และนวังคุตตรอัฏฐกถา

การกระทำสงครามซึ่งกันและกัน ระหว่างพระอินทร์กับอสูร นับจำเดิมตั้งแต่สมัยต้นกัปตลอดเรื่อยมาจนถึงสมัยพุทธกาลและจนกระทั่งถึงบัดนี้ พระอินกับพวกอสูรก็ยังคงกระทำสงครามกันอยู่เสมอ

เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลมีเรื่องเกิดขึ้น โดยพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในพระบาลีมหาวัคคสังยุตดังนี้ว่า
ในมัชฌิมประเทศ มีสระโบกขรณีอยู่สระหนึ่ง ชื่อว่า สุมาคธะ ภายในสระนี้มีดอกบัวบานแย้มอยู่ทั่วไป ที่ริมขอบสระโบกขรณีมีบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งพักผ่อนร่างกายอยู่ ในขณะที่เขากำลังนั่งพักผ่อนอยู่นั้น บุรุษผู้นี้ก็รำพึงถึงเรื่องราวต่างๆ ว่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ ต้นไม้นานาชนิดที่มีอยู่ในโลก ตลอดจนถึงสิ่งทั้งหลายมีแผ่นดิน มหาสมุทร เป็นต้นเหล่านี้เกิดมาจากไหนหนอ ขณะที่เขารำพึงถึงเรื่องต่างๆอยู่นั้น ตรงหน้าของบุรุษผู้นั้น ปรากฏเป็นกองทัพกองหนึ่งที่พรั่งพร้อมด้วยพลรบทั้ง ๔ เหล่า คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลเท้า ที่กำลังพ่ายแพ้แก่ศัตรูแล้วพากันหลบหนีมาทางสระโบกขรณีนี้เมื่อกองทัพทั้ง ๔ เหล่าได้หนีมาถึงสระโบกขรีแล้ว ต่างก็เนรมิตตัวให้เล็กลงแล้วเข้าไปในดอกบัวที่มีอยู่ในสระนั้นจนหมดสิ้นทั้งกองทัพ เพื่อจะไม่ให้ฝ่ายข้าศึกที่ติดตามมาภายหลังได้พบเห็น เมื่อพวกอสูรได้เนรมิตตัวเข้าไปหลบซ่อนอยู่ภายในดอกบัวได้แล้ว ต่างก็ชวนกันเดินทางเล็ดลอดหนีต่อไปยังนครของตนที่ตั้งอยู่ ณ ภายใต้ภูเขาสิเนรุ
บุรุษที่กำลังนั่งอยู่นั้น เมื่อได้เห็นเหตุการณ์อันเป็นสิ่งที่เหลือวิสัยที่เขาจะพึงเห็นได้เช่นนี้ ก็มีความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วหวนคิดขึ้นว่าเรานี้จะเป็นบ้าแน่แล้ว เพราะได้มาพบเห็นสิ่งที่ผิดปกติแปลกจากความเป็นธรรมดาไป จึงได้นำเรื่องราวตามที่ตนได้ไปพบเห็นมานั้น ทูลถามต่อพระพุทธองค์ พระองค์จึงทรงมีพระดำรัสตอบว่า เรื่องที่เขาได้พบเห็นนั้นเป็นความจริง กองทัพที่แตกพ่ายหนีมานั้นเป็นกองทัพฝ่ายอสูรที่กำลังถูกพวกพระอินทร์ตีแตกและกำลังติดตามตัวอยู่ พวกอสูรเหล่านั้นจึงได้พากันเนรมิตตังเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในดอกบัวก่อน เพื่อจะไม่ให้พวกพระอินทร์ที่กำลังยกทัพตามมาเห็นนั้น แล้วจึงพากันหนีต่อไปยังนครของตน ณ ภายใต้ภูเขาสิเนรุ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2012, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




11417-4.jpg
11417-4.jpg [ 18.34 KiB | เปิดดู 3100 ครั้ง ]
ทวีปทั้ง ๔ ทวีป

๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
-มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
-สมัยหนึ่งมนุษย์ในชมพูทวีปเคยมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง
-ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน
-ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป" เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"

๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เป็นแผ่นดินกว้าง ๙,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
-มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
-มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"

๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
-มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
-มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"

๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
-มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)" ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2012, 20:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง อสูรหรือยักษ์ รบ กับ เทวดา..นี้

ฟังหลวงพ่อองค์นี้เล่า..ก็สนุกดีนะ..



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2012, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เรื่อง อสูรหรือยักษ์ รบ กับ เทวดา..นี้

ฟังหลวงพ่อองค์นี้เล่า..ก็สนุกดีนะ..


ขอบคุณครับคุณกบ ว่าแต่ว่าผมอยากเอา youtube มาลงมั่งอ่ะทำยังไง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงหมาน เมื่อ 12 ธ.ค. 2012, 07:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2012, 10:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อ๊บซ์ อ๊บซ์ ชอบฟังนิทาน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2012, 10:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ...บันเทิง..ละก้อ...ช้อบชอบ...

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2012, 19:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ขอบคุณครับคุณกบ ว่าแต่ว่าผมอยากเอา youtube มาลงมั่งอ่ะทำยังไง


ผมก็ทำไม่ได้ทุกอันนะครับ...เอาเท่าทีรู้นะ..

เริ่มจากเปิด youtube นั้น ๆ แล้วไปคลิกเพื่อ copy http;//www ที่ช่อง บนสุด

แล้วนำมาวาง...

เช่น..."https://www.youtube.com/watch?v=QE0EDzX7oiE&feature=related"

ถ้ามี s หลัง http ให้ตัดออก
ถ้ามีอะไรหลัง &....ก็ให้ตัดออก...จากตัวอย่าง..คือ.&feature=related ให้ตัดออกครับ

ก็จะเหลือแค่..."http://www.youtube.com/watch?v=QE0EDzX7oiE"
แล้ว...สุดท้าย..ก็ล้อมด้วย.."[youtube]......[/youtube]"

ก็จะได้....."[youtube] http://www.youtube.com/watch?v=QE0EDzX7oiE [/youtube]"

ผลก็จะได้อย่างนี้ครับ..


หากอยากให้อยู่ตรงกลางหน้ากระดาน...ก็ล้อมด้วย.."[cen ter].......[/cen ter]" อีกที

ผลก็จะออกมาอย่างนี้ครับ...


เพื่อน ๆ ท่านใดจะช่วยเพิ่มเติม...ก็จักขอบคุณอย่างมากครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2012, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




ขอบคุณครับ คุณกบว่าแต่ว่ากว่าจะได้เหนื่อยเลย...เพราะมันไม่เหมือนกันจริงๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร