วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 21:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 114 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2012, 17:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ในหนังสือเรื่องปรากฏการณ์ของมนุษย์ ปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง (Pierre Teihard de Chardin, The Phenomenon of Man, Revised English Ed.,1965) บอกว่าโลกนั้นนอกจากมีมิติหรือระนาบทางภูมิธรณี (geosphere) ที่อยู่บนผิวโลกและใต้ผิวโลกลงไป และไบโอสเฟียร์อันเป็นระนาบแห่งชีวิต (biosphere) ที่อยู่บนผิวโลกขึ้นไปถึงชั้นบรรยากาศโลกชั้นแรกแล้ว ก็ยังมีระนาบหรือชั้นแห่งจิตหรือวิญญาณ (noorsphere) ที่อยู่นอกสุดของ ชั้นบรรยากาศโลก


:b32: :b32: :b32:

จริง ๆ นะ เอกอนไม่เคยรู้จักท่านนี้ และไม่เคยอ่านงานเขียนของท่าน

มีใครเห็นระนาบนี้บ้าง ...
เพราะนั่นคือ ที่มาที่ไปของ ความเห็นนี้เรยล่ะ

eragon_joe เขียน:
ท่านมูเคยคิดมั๊ย คัมภีร์ ที่ว่าส่งผ่านกันอยู่ในรูปของ ธาตุ
มันเป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าใจ
แต่ เราต้องลืมการใช้ภาษาพูด/ภาษาเขียนไป อย่าเอาความเข้าใจวัฒนธรรมการสื่อสารของคน
ไปวัดว่า ชนอีกกลุ่มเขาจะสื่อสารกันในรูปแบบเดียวกับเรา
เพราะในแง่มุมของอายตนะจิต
มันไม่ได้อ่านภาษา มันรับรู้ เข้าใจการสื่อสารด้วย รูปแบบพลังงานต่าง ๆ

การรับความรู้เข้ามา ก็สามารถทำกันได้แบบ ยิงธาตุ(ตำรา)เข้าไปในสนามพลังงานที่ต้องการ
ผู้รับ ที่ต้องการองค์ความรู้ มีหน้าที่ ปรับสนามพลังงานให้เหมาะสมที่จะรับสิ่งนั้น ๆ ได้

แต่ สภาวะธรรมทั้งสอง ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน หรือมีจังหวะที่มีความสอดคล้องกัน
สภาวะธรรมจึงจะประสานสอดแทรกเข้ากันได้
จึงจะเกิดการถ่ายเทพลังงานไปสู่กันและกัน เกิดองค์ความรู้ในธาตุนั้น ๆ

การถือ คัมภรี์ ไปไหนมาไหน คือ การพก ธาตุ นั้น ๆ ไป
เมื่อ ธาตุ นั้น ๆ ที่แสดงคุณลักษณะนั้น ๆ
ประกอบอยู่กับ องค์ประกอบสนามพลังงานไหน
สนามพลังงานนั้น ก็จะแสดงสภาวะ ธรรม ตามกำลังธาตุนั้นออกมา



เพียงแต่เอกอนเรียกสิ่งนี้ว่า layer :b1:

เพราะ ภูมิความรู้ของนักเขียนท่านนี้ อยู่ใน layer ระดับหนึ่ง และเมื่อเกิดผัสสะ
ผู้ที่เข้าไปผัสสะก็จะรู้ในสิ่งที่ท่านรู้
การถ่ายทอดภูมิปัญญา เราไม่ได้ต้องมานั่งพูดคุยกัน
แต่เราส่งผ่านกันแบบ touching layer

แต่ก่อนเอกอนก็เคยคิดว่า ความรู้ ความเข้าใจ เกิดจากการปฏิบัติ การสะสมความคิด
และการทำอะไรต่อมิอะไร ทำให้มันงอกเงย ชัดเจน สมบูรณ์ ขึ้นมา
คิดว่า ปัญญา เกิดจาก การที่เราสร้างมันขึ้นมา สะสมมันขึ้นมา

จนกระทั่ง เห็นการเข้าไป touching layer แล้วเห็นลักษณะการส่งผ่าน ซึมซับ
เอกอนก็ไม่เคยเห็น ภูมิปัญญาที่เป็นสิ่งที่สร้างจากเรา...ของเรา
เห็นแต่ ผัสสะ การรู้ สิ่งที่ถูกรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2012, 12:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


และนี่คือลักษณะการถ่ายทอดของผู้ที่เห็น ลักษณะการ touching ต่าง ๆ

eragon_joe เขียน:

:b49: :b50: :b49:

บทที่ 5
จิตเสียดายภพชาติ

ภายหลังจากที่สภาวะจิตบรรลุธรรมในภูมิธรรมโสดาปัตติผลแล้ว
นับตั้งแต่นั้นได้มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับหลวงพ่อสายทอง
คือ ทุก ๆ ครั้งที่ภาวนาจนถึงสภาวะจิตละเอียดนิ่งสงบ
กลับได้ยินเสียงคล้ายมีคนมาร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนการ
อาลัยอาวรณ์สิ่งที่จะต้องพลัดพรากจากกันไป
เสียงร้องไห้สะอื้นไห้ระงมตลอดเวลาที่หลวงพ่อสายทอง
บำเพ็ญภาวนานับตั้งแต่บำเพ็ญผ่านสมรภูมิรบกับกิเลส
จึงเป็นที่สงสัยแก่หลวงพ่อสายทองยิ่งนักถึงเหตุที่มาของ
ต้นเสียงนั้นเป็นใครมาจากไหนกัน
“ใครมันมาร้องไห้อยู่แถวนี้”
เมื่อสำรวจดูกลับไม่พบเห็นใคร ๆ แม้แต่ภูติ ผี วิญญาณ
เทพเทวดาใด ๆ
....

บทที่ 6
ใจตนเองอยู่ที่ใด
…..
..”ใจนั้นมันอยู่ที่ไหนกันแน่”
วิเวกธุดงค์ออกมายังภูเขาลูกหนึ่ง ภายในถ้ำเขตจังหวัดมุกดาหาร
เมื่อได้สถานที่ถูกใจแล้ว หลวงพ่อสายทองจึงได้ถามตนเอง
“ใจที่แท้จริงของเรานั้นมันอยู่ที่ใด”
หลวงพ่อสายทอง ได้มาพิจารณาเสียงร้องไห้สะอื้นนับตั้งแต่
เร่งบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างดุเดือด เข้มข้นจนสภาวะจิตบรรลุ
ภูมิธรรมอริยะในขั้นต้น เป็นประจำแทบทุกคืนที่มักจะได้ยิน
เสียงร่ำร้องสะอื้น คล้ายความรำพึงรำพันที่ต้องสูญบางอย่างไป
ด้วยใจอาลัยอาวรณ์ ร้องไห้สะอึกสะอื้นคล้ายความเสียใจ
เพราะไม่อยากจะจากสิ่งที่หวงแหนเหนียวแน่นเหมือน
มีความผูกพันมานานหลายภพหลายชาติไปเสียอย่างนั้น
“เสียงร่ำไห้นี้ มันเป็นเสียงอะไร เสียงที่ร้องไห้รำพันนี้
ใครมันมาร้องไห้กันแน่”

หลวงพ่อสายทอง ถามตนเองเพราะความสงสัยที่
หลับตาภาวนาลงครั้งใดก็มักจะได้ยินกับเสียงเหล่านี้
ตลอดเวลา หลวงพ่อสายทองจึงกำหนดจิตถาม
“เสียงที่เกิดขึ้นนี้ ใครมาร้องไห้ เป็นเทพเทวดาตนใด
ที่มาร่ำร้องไห้รำพัน”
เมื่อกำหนดจิตถามตนเองแล้ว หลวงพ่อสายทองจึง
ได้ภาวนาหาต้นเหตุ สมถะตั้งมั่นในจิตดีแล้ว
ปัญญาธรรมจิตที่ละเอียดพิจารณาจนรู้ถึงต้นเหตุ
แห่งเสียงที่เกิดขึ้น พิจารณาจนแน่ใจ
พิจารณาย้อนไปย้อนกลับไปกลับมา จึงได้ทราบ
ที่มาของต้นเหตุเสียงนั้นที่แท้จริงไม่ใช่ใครอื่นเลย
เสียงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเสียงของจิต (กิเลในจิตแสดงออกมา)
ตนเองที่ร้องไห้ พิจารณาหาเหตุผล “ทำไมจึงร้องไห้”
ผู้รู้ในจิตกิเลสที่ละเอียดบอกให้ทราบ
“เพราะความเสียดายในภพชาติ ยังไม่อยากจากไป
จึงร้องไห้เพราะความเสียดายภพชาติ”
จิตที่ยังอาลัยในภพชาติแจ้งให้หลวงพ่อสายทองรับทราบ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อหลวงพ่อสายทองนั่งภาวนา
กลับไม่ได้ยินเสียงร่ำร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมารบกวนอีกต่อไป

......

บทที่ 19
ครูบาอาจารย์เมตตาเตือนให้เร่งจบกิจในชาตินี้
….
ความรู้ภายในจิตหลวงพ่อสายทองรับรู้ทันที
พระอรหันต์ที่มาโปรดครั้งนี้พร้อมกันคือท่านหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
และหลวงปู่ขาว อนาลโย มาตามลำดับ
จึงทำให้หลวงพ่อสายทองทราบโดยอัตโนมัติว่า
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ นั้นมีพรรษามากกว่าหลวงปู่ขาว อนาลโย
ท่านมีเมตตาโปรด
“สายทองเอ้ย แก้วน้ำนั้นมันใสสะอาดน่ะ”
ในนิมิตนั้นท่านได้แสดงการเทน้ำใส่ลงไปในแก้วให้หลวงพ่อสายทองดู
มองเห็นน้ำในแก้วนั้นใสสะอาด แม้กระนั้นครูบาอาจารย์ได้ให้ปัญญาธรรม
เพื่อที่จะไม่ให้มีเรือนมารองรับน้ำอีกต่อไป
“แต่ทางที่ดีที่สุดนั้นคือให้ทำลายแก้วซะ”
“กำหนดจิตเข้าไปอยู่ในแก้ว”
หลวงพ่อสายทองรับทราบและปฏิบัติตามคำชี้แนะ
จากนั้นหลวงปู่ขาว อนาลโย จึงได้ยกอุปมาจิตที่อยู่ในแก้วนั้นเหมือนมี
อวิชชาห่อหุ้มจิตใจ เมื่อครูบาอาจารย์มาเทศน์โปรดให้อุบายธรรมเช่นนี้
หลวงพ่อสายทองสามารถรับรู้เข้าใจในจิตได้อัตโนมัติทันที..
แม้จิตใจจะใสบริสุทธิ์เพียงใดแต่จิตก็ยังไม่เป็นอิสระเพราะ
ยังมีแก้วครอบไว้คือ อวิชชาครอบงำไว้ ไม่ให้จิตเป็นอิสระ
ถึงแม้จิตนั้นจะบริสุทธิ์เพียงใดก็ตามก็ยัมีอวิชชาเคลือบแฝงอยู่ในนั้น
หากนักภาวนาที่หมายมุ่งเอานิพพานเป็นที่ตั้งต้องทำลายแก้วนั้นเสีย
......
.....
การปรากฏรูปกายของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรันตสาวก
ได้มีเมตตามาโปรดหลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโมในครั้งนี้
เป็นความเมตตาของพระอรหันต์ทั้งหลายที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน
ไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้
เพราะว่าถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว
แต่ยังครองร่างอันเป็นสิ่งสมมติอยู่ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้อง
แสดงสมมติตอบรับกัน คือต้องมาในร่างสมมติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราว
ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่
ก็ไม่มีสมมติอันใดมาแสดงเพื่ออะไร ฉะนั้นการมาในร่างสมมติจึงมาเพื่อสมมติเท่านั้น
ถ้าไม่มีสมมติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา
พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทรงทราบเรื่องอดีตอนาคตก็ทรงถือเอานิมิต
คือสมมติอันดั่งเดิมของเรื่องนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่น
ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไรเป็นต้น
ก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าองค์นั้น และพระอาการนั้น ๆ
เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้าไม่มีสมมติของสิ่งนั้น ๆ เป็นเครื่องหมาย
ก็ไม่มีทางทราบได้ในทางสมมติ เพราะวิมุตติล้วน ๆ ไม่มีทางแสดงได้
ฉะนั้น การที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้มาโปรดในครั้งนี้
เพราะอาศัยสมมติเป็ฯหลักพิจารณาที่จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมติดั่งเดิม
เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมติในเวลาต้องการอยู่ วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออก
โดยทางสมมติเพื่อความเหมาะสมกัน
ถ้าเป็นวิมุตติล้วน ๆ จิตที่บริสุทธิ์รู้เห็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกันก็เพียงแต่
รู้อยู่เห็นอยู่เท่านั้น ไม่มีทางแสดงให้รู้ยิ่งกว่านั้นไปได้
เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ก็จำต้องนำสมมติเข้ามาช่วยเสริมให้วิมุตติเด่นขึ้น
พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เพราะท่านนิพพานไปแล้ว
ร่างกายตัวตนท่านก็ไม่มี ท่านจะเอากายที่ไหนมาปรากฏให้รู้เห็น
ท่านจะเอาปากที่ไหนมาคุยให้ฟัง แต่ที่เป็นไปได้เช่นนั้น
เพราะเป็นจิตรู้ของผู้ทำสมาธิภาวนาไปถึงขั้นหนึ่ง
ถึงจิตสัมผัสธรรรม ซึ่งทำจิตให้เป็นพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จิตดวงนี้จึงได้แสดงมโนภาพขึ้นมาให้รู้เห็นได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเรียกว่านิมิต
นิมิตบางทีเห็นพระพุทธเจ้า พระสาวกเดินเข้ามาหา
หรือบางทีก็มายืนเทศน์สอน แต่แท้ที่จริงไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือพระสาวก
เหล่านั้นเดินมาเทศน์หรือมานั่งเทศน์ให้ฟัง
แต่ว่าจิตรู้ของผู้นั้นเองที่สภาวะถึงธรรมแล้ว จึงแสดงปรากฎการณ์ให้ได้รู้ได้เห็น

“โย ธมม ปสสติ โส ม ปสสติ” ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นถือว่าเห็นเรา
ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นถือว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นเราเห็นธรรม
ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นพระสงฆ์ ผู้ใดเห็นธรรมเห็นพระสงฆ์ ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นเรา”

......



:b49: :b50: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2012, 13:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9: :b9:

กระทู้นี้เป็นชั่วโมงฟรีสไตล์สำหรับเอกอนจริง ๆ

:b9: :b9: :b9:

จริง ๆ เอกอนก็ไม่ค่อยจะปลื้มกับระบบการศึกษา-สืบทอดพุทธศาสนาของไทยสักเท่าไร

เพราะพวกที่มีทัศนะออกแนว NEWAGE อย่างเอกอนมักจะถูกเขี่ย ไปกองเป็นพวกนอกกรอบ
เหมือนเป็นพวก นอกคอก ปฏิบัติจนเพี้ยน พวกหลุดโลก

นักปฏิบัติชาวต่างประเทศเขามีงานวิจัยนำเสนอ ...

ส่วนประเทศไทย นิยมการนำเสนอเป็นในลักษณะ การแสกนกรรม เงี๊ยะ

:b6: :b32:

สงสัยมั๊ยว่าทำไมนักปฏิบัติชาวไทย มันออกแนว สำแดงเดช
ส่วนนักปฏิบัติต่างชาติเห็น ระนาบ เห็นร่องรอยความสัมพันธ์ วิทยาศาสตร์ กับ จิตวิญญาณ
เพราะ

eragon_joe เขียน:
สัญญา ทำงานมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง

เมื่อกำลังสมาธิถึงระดับหนึ่ง สัญญา จะทำงานคลาดเคลื่อน ในระยะแรก ๆ
เพราะ ไม่มีกรรไกรตัดผ้า เขาจึงหยิบกรรไกรตัดเล็บมาให้แทน

เป็นการเปรียบเทียบที่เอกอนใช้น่ะ
เมื่อเราเข้าไปถึงสมาธิในระดับที่ เราไม่เคยเข้าถึงมาก่อน

มีโอกาสที่จะได้เจอกับสภาวะหนึ่งของการตอบสนองต่อผัสสะ
ก็คือเหมือนกับมีคนเอาภาพกรรไกรตัดผ้าให้เด็กดู
และบอกให้เด็กคนนั้นเข้าไปในบ้าน และหยิบสิ่งที่เห็นไปให้เรา
แต่เมื่อเขาเข้าไป เขาหาไม่เห็นกรรไกรตัดผ้า
แต่เขาจะต้องหยิบอะไรสักอย่างไปให้เรา
และเขาจะหยิบสิ่งที่มีอะไรบางอย่างที่ใกล้เคียงกันที่เขาเห็นได้ในตอนนั้นนั่นล่ะ มาให้เรา

:b1: :b1: :b1:


เพราะสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเสพคุ้น กันไปต่างกัน สิ่งที่อยู่ในคลัง
มันคือทุกอย่าง การเรียนการสอน การปลูกฝัง ความเชื่อ ธรรมเนียม ประเพณี ละคร KFC :b32:

สำหรับพระอาจารย์สายทอง ท่านเป็นพระสายพระอาจารย์มั่น

ส่วน เตยา - ท่านเป็นนักโบราณคดีวิทยาศาสตร์และนักปฐพีวิทยา

:b16: :b12: :b12: :b16:

สังคมชาวพุทธไทย เราต่างป้อนอาหารใส่ปากกันมาอย่างนั้น
และชาวพุทธไทย ก็เป็นนักบริโภคที่ดี

แม้แต่บริโภคอาหารที่ดีก็ตาม แต่นิสัยการบริโภคก็เหมือนเดิม
ทำให้ปรากฎการติดอาหาร แต่เข้าไม่ถึงวิธีย่อยให้ถึงคุณค่าของอาหาร

:b12: :b12: :b12: :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 24 พ.ย. 2012, 14:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2012, 14:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
น้อยคนนัก ที่จะ เห็นสักแต่ว่าเห็น แบบว่า...

พอเห็นในสิ่งที่ตนคาดหมายว่าจะเห็น ก็จะนึกครึ้มอยู่ แล้วทำทีเป็นไม่สนใจ, พร่ำบอกแก่ตนเองว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น
แต่ถ้าสิ่งที่เห็นนั้น ไม่ตรงกับที่คาดหมายว่าจะเห็น ก็จะเริ่มหาข้ออ้าง ว่ามันเป็นเพราะอย่างนู้นอย่างนี้, พอหาข้ออ้างได้อย่างที่ต้องการแล้ว ก็จะค่อยพร่ำบอกแก่ตนเองว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น


:b6: น้อยคนนักที่จะยอมรับว่า สิ่งที่เห็นนั้น เป็นเพียงภาพสะท้อนจากจิต จากความคาดหวังที่ซ่อนอยู่ หรือไม่ก็เป็นภาพ ที่ถูกส่งมาให้ จากจิตอื่น โดยเฉพาะจากจิตในอาณาเขตของสวรรค์ (ซึ่งเกินกว่าตาที่สามจะมองเห็นได้)

ส่วนมากก็จะคิดว่า มันเป็นภาพจาก ญาณอันวิเศษ ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายความว่า, ผู้เห็นไม่ได้ เห็นสักแต่ว่าเห็น

แทงใจดำ ขวางโลกดีมะ :b6: :b6: :b6:


:b32: :b4: :b4: :b32:

นี่...ท่านมูก็มีออกแนว ระนาบ กะเขาด้วย

:b13: :b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2012, 19:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2015.0

พอดีวันนี้ไปเจอกระทู้นี้ของท่าน mes

ชิ .. ไม่รู้จักมาเยี่ยมลานธรรมบ้างเรย :b6:

และเพิ่งรู้นะนี่ ว่าท่านอ๊บซ์ไปโผล่หลายลาน :b32:

จริง ๆ จะเข้าไปทักทาย แต่ไม่ได้เป็นสมาชิก
จริง ๆ เคยสมัคร แต่ลืมไปแล้วว่าใช้ชื่ออะไร

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2012, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2015.0

พอดีวันนี้ไปเจอกระทู้นี้ของท่าน mes

ชิ .. ไม่รู้จักมาเยี่ยมลานธรรมบ้างเรย :b6:

และเพิ่งรู้นะนี่ ว่าท่านอ๊บซ์ไปโผล่หลายลาน :b32:

จริง ๆ จะเข้าไปทักทาย แต่ไม่ได้เป็นสมาชิก
จริง ๆ เคยสมัคร แต่ลืมไปแล้วว่าใช้ชื่ออะไร

:b12:

คุนน้องจำได้ว่าเคยคุยเรื่องพระศรีอาริฯกับพี่ แล้วพี่เอกอนก็ไปขุดคุ้ยมาให้คุนน้องอ่านเลยหรอ แหมๆรู้ใจจัง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2012, 20:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
eragon_joe เขียน:
http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2015.0

พอดีวันนี้ไปเจอกระทู้นี้ของท่าน mes

ชิ .. ไม่รู้จักมาเยี่ยมลานธรรมบ้างเรย :b6:

และเพิ่งรู้นะนี่ ว่าท่านอ๊บซ์ไปโผล่หลายลาน :b32:

จริง ๆ จะเข้าไปทักทาย แต่ไม่ได้เป็นสมาชิก
จริง ๆ เคยสมัคร แต่ลืมไปแล้วว่าใช้ชื่ออะไร

:b12:

คุนน้องจำได้ว่าเคยคุยเรื่องพระศรีอาริฯกับพี่ แล้วพี่เอกอนก็ไปขุดคุ้ยมาให้คุนน้องอ่านเลยหรอ แหมๆรู้ใจจัง :b32:


:b32: :b32:

พอดีแอบไปส่องกบ แล้วเห็นน่ะ

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2012, 20:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตาที่สาม..นี้..ร้ายจริง..

อิอิ.... :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2012, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฎิบัติการขวางโลก s007 s007 s007

:b6: ขวางโลก 1: พึงสังวรณ์... ไม่มีการบรรลุธรรมใด สำเร็จด้วยการบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างเข้มข้น. ไม่มีการละกิเลสใด สำเร็จด้วยการบำเพ็ญสมถะฌาณอย่างเข้มข้น

:b6: ขวางโลก 2: อริยบุคคล เมื่อเข้าสมาธิ, จะไม่มีนิมิตอันใดทั้งสิ้น, ลองย้อนกลับไปอ่านเรื่องฌาณ ที่ข้าพเจ้าอันขวางโลก โม้ไว้

:b6: ขวางโลก 3: อริยบุคคลที่ละกิเลสอย่างหยาบได้ทั้งหมด (อนาคามี และอรหันต์) ย่อมเผยแพร่ธรรมได้ แต่ย่อม ไม่ตั้งตนเป็นอาจารย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจำแลงรูปนิมิตไปปรากฎในจักษุของบุคคลอื่น เพราะเป็นการกระทำที่จัดว่า ไม่เคารพต่อกัน, ผู้ที่มีความละอาย อันเป็นคุณสมบัติของเทวโลก จะเข้าใจถึงข้อนี้ได้ โดยจำเป็นต้องอธิบายใดๆ

:b6: ขวางโลก 4: ไม่ขอเอ่ยชื่อนะ. แต่ภิกษุที่เห็นนิพพานว่าเป็น แดน มีอาณาเขต เข้าออกได้. ย่อมไม่ใช่พระอรหันต์ และกว่านั้น อาจไม่ใช่อริยบุคคลชั้นใดเลย
กรุณาย้อนกลับไปอ่าน ขวางโลก 1:

จบตอน :b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2012, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


s004 ขวางโลกต่ออีกเล็กน้อย ฮิฮิ

อย่าสนใจตาที่สามมาก...
กระบวนการตาที่สาม รวมถึงขั้นต่างๆ ในสมถะฌาณ ไม่ปรากฎในพระไตรปิฏก. จึงย่อมอนุมานได้ว่า พระพุทธเจ้าย่อมรู้ว่า กระบวนการเหล่านี้ จะสิ้นสุดลงในกึ่งพุทธกาล

:b6: สิ่งที่ปรากฎในพระไตรปิฏก ย่อมคงอยู่ตลอดอายุของศาสนา, ซึ่งว่ากันว่า 5000 ปี
พระไตรปิฏกฉบับแรก จะถูกบันทึกในรูปแบบใด ย่อมเกินกว่าที่เราๆ ท่านๆ จะรู้ได้. แต่แน่นอนว่า มันย่อมเป็นรูปแบบที่สามารถคงสภาพอยู่ได้ตลอด 5000 ปี

หากจะให้เดาเอา เนื้อความทั้งหมดอาจถูกสลักอยู่ในธาตุ (ในความหมายว่าเป็น วัสดุ) ที่มีความคงทนสูง. มันอาจเป็นวัสดุที่ไม่ปรากฎบนโลกก็ได้
เมื่อครบกำหนดเวลา วัสดุก็เสื่อมสภาพลง จนไม่สามารถถอดความออกมาได้อีก

เอาให้เป็นไซไฟมากขึ้น มันอาจถูกบันทึกในรูปแบบของคลื่นเสียงที่จารึกบนแผ่นหินก็ได้ (คล้ายแผ่นเสียง) ตื่นเต้นดีมะ อิอิ :b32: :b32: :b32:


:b6: คำว่า ธาตุ ในทางศาสนาและปรัชญา มีความหมายไม่เหมือนกับธาตุในความหมายที่ปกติเราเข้าใจกัน

กลุ่มของสนาม 2 มิติ ที่มีเวกเตอร์วิ่งชนตัวมันเอง และเกาะกลุ่มกันแน่น เรียกว่า ธาตุดิน. ธาตุดินจึงเกิดมาจาก ธาตุน้ำ และเมื่อเกิดแล้ว ก็ย่อมส่งเสริมธาตุน้ำ, ซึ่งเป็นการไหลของสนาม 2 มิติ ทางวิทย์อาจเรียกว่าเป็น สนามแม่เหล็ก หรือแรงโน้มถ่วง
ธาตุดินที่ไม่ได้เกาะเกี่ยวกันแน่น และเคลื่อนไปพร้อมๆ กับธาตุน้ำ ย่อมกลายเป็น ธาตุลม
ธาตุดินที่ปลดปล่อยพลังงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อธาตุดินและธาตุน้ำที่อยู่โดยรอบ ย่อมเรียกว่าเป็น ธาตุไฟ

:b6: ในแง่นี้
ธาตุลม ย่อมส่งเสริมธาตุไฟ และหักล้างธาตุดิน เพราะธาตุลมที่มีกำลังแรง ย่อมเสมือนการยิงอนุภาคใส่ธาตุดิน เกิดเป็นธาตุไฟ
ธาตุน้ำ ย่อมส่งเสริมธาตุดิน และหักล้างธาตุไฟ. ธาตุน้ำที่มีกำลัง ย่อมลดการสั่นของอนุภาค และย่อมทำให้อนุภาคเกาะเกี่ยวกันได้มั่นคงขึ้น
ธาตุดิน ย่อมส่งเสริมธาตุน้ำ และหักล้างธาตุลม. อนุภาคก่อให้เกิดการปั่น ที่ทางวิทย์เรียกว่า มวล. ซึ่งก็คือสิ่งเดียวกับแรงโน้มถ่วงนั่นแหล่ะ.
ธาตุดินที่มีกำลัง ย่อมบั่นทอนการเคลื่อนไหวของธาตุลม อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว
ธาตุไฟ ย่อมส่งเสริมธาตุลม และหักล้างธาตุดินและน้ำ. ธาตุไฟย่อมบั่นทอนการเกาะเกี่ยวกันของธาตุดิน และลดเสถียรภาพของธาตุน้ำ เป็นบ่อเกิดของธาตุลม

จับคู่กันได้เป็น ธาตุดิน-น้ำ และธาตุลม-ไฟ

เริ่มออกแนวซินแส อิอิ :b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2012, 14:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิต 3 มิติ ก็ที่เราเห็น...และไม่เห็น.อิอิ

แล้ว...ชีวิตใน 2 มิติ....จะเป็นงัยหว่า..!!!

ชีวิต ใน 1 มิติ...ก็ยิ่งเกินจะคิด...อิอิ...ชีวิตที่ไม่มีการไป...การมา...แต่ปรากฎได้ทุกที่ของชีวิตทุก ๆ มิติ ....555


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2012, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธ....พระธรรม...พระสงฆ์.....เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ได้อย่างไร?....

ได้อย่างนี้.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2012, 13:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จิตจะ ตัด/ขาด จาก ภพ ได้ง่าย ๆ

เพราะ ตัณหา เปรียบดัง ยางเหนียว
พระพุทธองค์ เปรียบเปรย เช่นนั้น

ยางนั้น เป็น แรงกระทำ อย่างหนึ่ง
ที่ จิตเข้าไปรู้ได้

Quote Tipitaka:
จิตเสียดายภพชาติ

ภายหลังจากที่สภาวะจิตบรรลุธรรมในภูมิธรรมโสดาปัตติผลแล้ว
นับตั้งแต่นั้นได้มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับหลวงพ่อสายทอง
คือ ทุก ๆ ครั้งที่ภาวนาจนถึงสภาวะจิตละเอียดนิ่งสงบ
กลับได้ยินเสียงคล้ายมีคนมาร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนการ
อาลัยอาวรณ์สิ่งที่จะต้องพลัดพรากจากกันไป
เสียงร้องไห้สะอื้นไห้ระงมตลอดเวลาที่หลวงพ่อสายทอง
บำเพ็ญภาวนานับตั้งแต่บำเพ็ญผ่านสมรภูมิรบกับกิเลส
จึงเป็นที่สงสัยแก่หลวงพ่อสายทองยิ่งนักถึงเหตุที่มาของ
ต้นเสียงนั้นเป็นใครมาจากไหนกัน
“ใครมันมาร้องไห้อยู่แถวนี้”
เมื่อสำรวจดูกลับไม่พบเห็นใคร ๆ แม้แต่ภูติ ผี วิญญาณ
เทพเทวดาใด ๆ
...........
เมื่อกำหนดจิตถามตนเองแล้ว หลวงพ่อสายทองจึง
ได้ภาวนาหาต้นเหตุ สมถะตั้งมั่นในจิตดีแล้ว
ปัญญาธรรมจิตที่ละเอียดพิจารณาจนรู้ถึงต้นเหตุ
แห่งเสียงที่เกิดขึ้น พิจารณาจนแน่ใจ
พิจารณาย้อนไปย้อนกลับไปกลับมา จึงได้ทราบ
ที่มาของต้นเหตุเสียงนั้นที่แท้จริงไม่ใช่ใครอื่นเลย
เสียงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเสียงของจิต (กิเลในจิตแสดงออกมา)
ตนเองที่ร้องไห้ พิจารณาหาเหตุผล “ทำไมจึงร้องไห้”
ผู้รู้ในจิตกิเลสที่ละเอียดบอกให้ทราบ
“เพราะความเสียดายในภพชาติ ยังไม่อยากจากไป
จึงร้องไห้เพราะความเสียดายภพชาติ”
จิตที่ยังอาลัยในภพชาติแจ้งให้หลวงพ่อสายทองรับทราบ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อหลวงพ่อสายทองนั่งภาวนา
กลับไม่ได้ยินเสียงร่ำร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมารบกวนอีกต่อไป


การปฏิบัติ มันจะสะท้อน

การู้ การเข้าไปรู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ อยู่ตลอดเวลา

ถ้าไม่มี อะไรดึงเราไปให้คิดไปเป็นสิ่งอื่นเสียก่อน



Quote Tipitaka:
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า
“ อานนท์ กรรมชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช
ตัณหาชื่อว่ายางเหนียวในเมล็ดพืช
วิญญานดำรงอยู่ได้เพราะธาตุหยาบของสัตว์
มีความหลงไม่รู้ความจริงเป็นเครื่องปิดกั้น มีตัณหาเป็นเชื้อเครื่องผูกเหนี่ยวใจไว้
การเกิดใหม่จึงมีต่อไปอีก” และตรัสอีกว่า
“ตัณหาทำให้สัตว์ต้องเกิดอีก จิตของสัตว์ย่อมแล่นไป
สัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่อาจ หลุดพ้นจากทุกไปได้”


Quote Tipitaka:
เมื่อมนุษย์เจริญวิปัสสนาจนเกิดมรรคจิตครบ ๔ ครั้ง
ก็จะกำจัดกิเลสตัณหาในจิตของตนเองให้หมดสิ้นไปได้อย่างสิ้นเชิง
เขาจะไม่ต้องเกิดใหม่อีกต่อไป เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์มะม่วง
ที่มียางเหนียวอยู่ภายในเมื่อนำไปปลูกจะงอกเป็นต้นมะม่วงได้อีก
แต่ถ้านำไปต้มกำจัดยางเหนียวให้หมดไป
หลังจากนั้นนำไปปลูกโดยวิธีใดก็ตามจะไม่งอกอีกแล้ว
กิเลสตัณหาในดวงจิตของเราก็เช่นกัน แต่ถ้าไม่สามารถทำมรรคจิตให้เกิดครบ ๔ ครั้งได้
แม้สามารถทำมรรคจิตให้เกิดเพียงครั้งเดียวก็จัดว่าเข้าสู่กระแสพระนิพพานแล้ว
ที่เรียกกันว่าบรรลุโสดาบัน
เมื่อ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนวิปัสสนาญาณขึ้นถึงญาณที่ ๑๔
โสดาปัตติมรรคจะทำหน้าที่ประหารตัวมิจฉาทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดาน
ได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง มิจฉาทิฏฐินี่แหละที่เป็นตัวเชื้อให้เราต้องตกอบาย
คือ กำเนิดเตรัจฉาน เปรต อสุรกาย ตกนรก


จงปลง อาลัย เสีย

:b45: :b45: :b45:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 28 พ.ย. 2012, 16:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2012, 13:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คือ การที่เราจะตัดภพ ตัดชาติได้นั้น

จิต จะแสดงสภาวะ
ไม่ใช่ คิดเอา นะ
ถ้าคิดเอา มันคิดไปได้เรื่อย ตั้งแต่ หมู หมา กา ไก่ ไม้จิ้มฟัน ยันเรือรบ
ยิ่งคิดกระจาย โจทย์ที่ต้องตีก็ยิ่งกระจาย
เพราะมันปรากฎเป็น ภาวะจำแลง มากมาย
มันมีพระสูตรที่พระพุทธองค์เปรียบ วิญญาณประหนึ่งนักมายากลตรงสี่แยก

การปฏิบัติ เราต้องถอดสมการ

พระสูตรที่เหมาะตามกาล
พระสูตรที่จะมาแทง สภาวะ นั้น ๆ

บางครั้ง เรามีพระสูตรอยู่ในคลังเยอะ แต่หยิบมาใช้ไม่ถูก
บางครั้ง เราไม่มีพระสูตรอยู่ในคลัง ก็ไปไม่ถูก เช่นกัน

เป็นเรื่อง กรรม ที่ ธรรม ทั้งสอง จะโคจรมาพบกันในเวลาอันเหมาะสม
และถูกนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม

ดังนั้น เบื้องต้น
จงทำความดี ละเว้นความชั่ว... :b10: :b5: :b9:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2012, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%9B%E ... B8%82.html

พบบิดาในอดีตชาติ

พอออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ออกเดินทาง และในระหว่างทางนั้น ท่านได้พบกับหลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งออกจาริกไปตามป่าเขาทำนองเดียวกับท่าน หลวงพ่อสงฆ์ผ่านพรรษา ๔ แก่กว่าหลวงปู่บุดดาหนึ่งพรรษา แต่อายุหลวงพ่อสงฆ์แก่กว่าท่านหลายปี เพราะท่านบวชภายหลังมีครอบครัวแล้ว และเมื่อท่านพบหลวงพ่อสงฆ์ ท่านก็ระลึกได้ว่า เคยเป็นบิดาของท่านในอดีตชาติ ท่านก็เรียกคุณพ่อสงฆ์ตั้งแต่แรกพบจนถึงที่สุดแห่งวาระของท่านเอง

ถ้ำนี้มีคุณ

ท่านทั้งสองได้ร่วมจาริกแสวงหาที่วิเวกอันเหมาะแก่การเจริญภาวนาเรื่อยมา จนมาพบถ้ำคูคา ตำบลหัวหวาย อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นถ้ำกว้างมีปล่องทะลุกลางเขาลูกย่อม ๆ อยู่ในดงยาง เป็นชัยภูมิร่มรื่น มีหนองน้ำใหญ่อยู่ห่างจากหน้าถ้ำไปทิศตะวันออกของทางรถไฟสายเหนือห่างประมาณ ๑ กิโลเมตร อยู่ระหว่างสถานีดงมะกุและสถานีหัวหวายห่างจากหมู่บ้านทั้ง 2 ตำบล ข้างละประมาณ ๒ กม. เศษ ปากถ้ำอยู่ทางตีนเขา ภายในถ้ำลมถ่ายเทได้ดี

ท่านได้อาศัยภายในถ้ำนี้และแยกกันอยู่คนละฟาก ได้อาหารบิณฑบาตจากหมู่บ้านดังกล่าว ถ้ำภายในเขาภูคานี้เป็นที่สงบและวิเวกปากถ้ำเรียบเป็นดิน เชิงเขาลาดขึ้นพอบรรจบถึงเขาก็เป็นปากถ้ำพอดี กว้างราว ๖-๗ เมตร สูง 3 เมตรเศษ เป็นดินราบขึ้นไปจนถึงยอดมีแท่นราบตรงกลางปล่องตรงกับยอดเขาพอดี ปล่องถ้ำเหมือนรูปงอบใบใหญ่สูงกว่าปากถ้ำเล็กน้อย ขอบล่างลาดลงโดยรอบเป็นช่องและชอกมากบ้าง น้อยบ้าง

สถานที่ท่านใช้พักผ่อนและจำวัด ปรากฏว่าตรงที่ท่านใช้ภาวนานั้น มีปล่องลมหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่จำวัดก็หลบเข้าไปในช่องไม่ถูกลมเลย ก่อนที่ท่านจะมาอยู่ในถ้ำนี้ มีแคร่ร้างแสดงว่ามีบุคคลอื่นมาใช้สถานที่นี้ก่อนแล้ว

สถานที่ท่านใช้เป็นที่เดินจงกรมในตอนบ่ายและพักผ่อนสนทนาธรรมกันตอนเย็นนั้นเป็นบริเวณสันเขาตอนใต้ เป็นทางลาดขึ้นปากถ้ำได้สะดวก ใช้ด้านตะวันออกเป็นที่ลาดเดินจงกรม มีต้นไม้และสันเขาช่วยกำบังแดดในตอนบ่าย

ตะขาบเจ้ากรรม

ตอนอยู่ถ้ำภูคานี้แม้จะสนทนาก็ต่างองค์ต่างอยู่ในที่ของตน คราวหนึ่งเสียงของหลวงปู่บุดดาเงียบหายไป หลวงพ่อสงฆ์ผิดสังเกตจึงเดินไปดูก็เห็นหลวงปู่บุดดานั่งหลับตา มีตะขาบตัวใหญ่มากขึ้นไปขดอยู่กลางศีรษะของท่าน หลวงพ่อสงฆ์ต้องเอาผ้าอาบของท่านหย่อนลงให้ตะขาบไต่ขึ้นผ้าแล้วจึงเอาไปปล่อยนอกถ้ำ

หลวงปู่บุดดา ท่านเล่าว่า มันไต่ขึ้นภายในสบงผ่านเอวแล้วผ่านหลังท่านขึ้นไป ท่านจึงต้องกลั้นลมหายใจ ปิดหู ปิดตา จมูก ปากหมด เจ้าตะขาบจึงเข้าไม่ได้ เมื่อหลวงพ่อสงฆ์เอาไปปล่อยปรากฏว่ามันกัดตัวเองจนขาดเป็นท่อน ๆ กองอยู่ที่ปล่อยนั่นเอง

พรรษาที่ ๔ ตัดกิเลสบรรลุธรรม

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘ พอใกล้เข้าพรรษา ท่านทั้งสองได้ไปจำพรรษา ณ วัดป่าหนองคู จ.นครสวรรค์ และพอออกพรรษาก็กลับมาร่วมปฏิบัติธรรม ณ ถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์ โดยต่างเร่งความเพียรเจริญสมณธรรม อย่างเต็มที่เกือบจะไม่ได้พักผ่อน และในคืนวันหนึ่งเวลาประมาณระหว่าง ๒๐.๐๐ น. ถึง ๒๓.๐๐ น. ซึ่งเป็นเวลาสนทนาธรรมของทั้งสองท่าน หลวงพ่อสงฆ์ได้ถามหลวงปู่บุดดาว่า “...ยังถือวินัยอยู่หรือ” หลวงปู่บุดดา ตอบว่า “...ไม่ถือวินัยได้ไง ถ้าเราจะเดินผ่านต้นไม้-ของเขียวก็ต้องระวัง...มันจึงเป็นอุปาทานทำความเนิ่นนานต้องช้ามาถึง ๔ พรรษา” หลวงพ่อสงฆ์ว่า “วินัยมันมีสัตว์-มีคนรึ” หลวงปู่บุดดาว่า “มีตัวซี ถ้าไม่มีตัวจะถือวินัยได้ยังไง...วินัยก็ผู้ถือนั่นเอง ...เสขิยวัตร ๗๕ เป็นตัวไม่ได้หรอก ...เนื้อหนัง กระดูก ตับไต ไสพุง มันไม่ใช่ตัวถือวินัย...ตัวถือวินัยเป็นธรรมนี่” ....เถียงกันไป เถียงกันมาชั่วระยะหนึ่ง... พอปัญญา-บารมีเกิดขึ้นตกลงกันได้ว่า “เอ๊ะ ! ไม่มีจริง ๆ เน้อ ...ผู้ถือไม่มี มีแต่ระเบียบของธรรมเท่านั้น ไปถือมั่น-ยึดมั่นไม่ได้นี่”

พอหยุดความลง ทันใดนั้นเองหลวงพ่อสงฆ์เพ่งมองดูเห็นหลวงปู่บุดดา จู่ ๆ ก็นิ่งเงียบนัยน์ตาลืมค้างอยู่ ไม่กระพริบตา เบิกตาโพลงอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานอยู่ประมาณสองชั่วโมงกว่าถึง กลับมาพูดได้-ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลวงปู่บุดดาได้ใช้ปัญญาตัดกิเลสได้แล้วในขณะที่นั่งลืมตา ซึ่งหลวงปู่บุดดา บอกว่าถ้าเกิดปัญญาขึ้นในอิริยาบถทั้ง ๔ ซึ่งขณะนั้นถ้าลืมตาตัดก็ต้องลืมตาตัด ถ้านั่งตัดก็ต้องนั่งตัด ถ้ายืนตัด เดินตัดหรือนอนตัดก็ต้องยืนตัด-เดินตัด หรือนอนตัด ขึ้นอยู่ว่าใครจะตัดกิเลสได้ขณะไหน... อย่างพระอานนท์ตัดได้ตอนเอนกายขณะกำลังจะนอนนั่นเอง...

สำหรับหลวงปู่บุดดา ขณะมีอายุได้ ๓๒ ปี-พรรษาที่ ๔ ซึ่งถ้ายังใช้กรรมไม่หมดก็ไม่ถึง โลกกุตระ แต่พอใช้หนี้กรรมหมดแล้วก็เป็นอโหสิกรรม ขณะนั่งลืมตาอยู่ก็บรรลุธรรมได้

หลวงปู่บุดดา บอกว่า “ขณะนั้นอวิชาดับหมด รู้สึกสว่างแจ้งขึ้นมาเอง ความไม่มีตัวตนเห็นได้ชัดเจนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัว เป็นปรมัตถธรรม ธรรมทุกอย่างเป็นธรรมชาติส่วนกลาง คงอยู่ในจิตของตนเอง กิเลสหลุดไปเอง แต่ชีวิตยังคงอยู่มีความเป็นปรกติทุกอย่าง ทั้งกายสังขาร-จิตสังขารก็หยุด รูปก็หยุดหมด ไม่มีสัตว์เกิดสัตว์ตาย กิเลสไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ขันธ์ของกิเลสก็ไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ...สุดชาติของอาสวะของสังโยชน์ ๑๐ อนุสัย ๗ ออกวันเดียวกันและเวลาเดียวกันนั่นแหละ...”

หลวงพ่อสงฆ์ท่านนั่งเฝ้าหลวงปู่บุดดาอยู่นานกว่าสามชั่วโมงแล้วจึงออก “นิมนต์เถอะครับ...แน่นอนแล้ว” พอรุ่งเช้าถึงเวลาออกบิณฑบาต หลวงพ่อสงฆ์บอกว่า “โลกกุตระธรรมแล้วขอนิมนต์ให้หลวงปู่บุดดาเดินหน้า”แต่หลวงปู่บุดดาว่า“หน้าก็หน้าคุณธรรม แต่พรรษาอ่อนกว่าต้องเดินหลังซี !” ตกลงหลวงปู่บุดดาคงเดินตามหลังหลวงพ่อสงฆ์เหมือนเดิม

ต่อมาอีกไม่กี่วันหลวงพ่อสงฆ์ ซึ่งเร่งปรารภความเพียรมาอย่างหนักก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ณ ถ้ำภูคาเช่นเดียวกัน ท่านไม่ถือทั้งนามและรูป เพราะการหลงนาม หลงรูป มันก็หลงเกิด หลงตาย ไม่มีสิ้นสุด (ในช่วงบั้นปลายของชีวิตท่านได้มาพักจำพรรษาที่วัดอาวุธวิกสิตาธรรม เขตบางพลัด กทม. ตลอดมา จนถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙)

:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 114 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร