วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2012, 16:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
ชีวิตสุดท้ายเพื่อ Happy Soul
พหูสูตแห่งสุขภาวะที่ดีในการใช้ชีวิต


"อะไรที่เป็นสัจธรรม ผมเขียนและบรรยายได้หมด ไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์ สังคม ชีววิทยา ผมทำได้ทุกเรื่อง ชีวิตที่ผ่านมา ทำทำงานทุกวัน ไม่เคยพักร้อนตอนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ไม่เคยพัก การทำงานก็คือ การพัก ที่เราไม่เครียดเพราะเราช่างคุย ก็แบ่งเบาเรื่องในใจออกไปได้ แม้บางครั้งเครียด เพราะเอนไซม์ในสมองเปลี่ยน ต้องพึ่งพายาเหมือนกัน"เป็นคำพูดของ ศาสตราจารย์ นพ.ประสาน ต่างใจ ผู้มีประสบการณ์ในชีวิตมายาวนาน

คุณหมอประสาน มีชีวิตตั้งแต่เมื่อ 23 กันยายน 2471 นับกาลเวลายาวนานจนอายุเกือบจะ 80 ปี ในเดือนกันยายนนี้แล้ว ที่สำคัญ ผู้คนทั้งหลาย เรียกคุณหมอว่า "พหูสูต "เพราะความเป็นคุณหมอที่อ่านมาก เห็นมาก รู้เรื่องราวเป็นไปในสังคมมากมาย ด้วยสายตาที่พบปะผู้คน บวกกับความสนใจเป็นมาเป็นไปของกระแสโลก โดยเฉพาะ เรื่องความ ปรัชญา ศาสนา และความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ในฐานะเป็นแพทย์

"ผมเป็นคนที่อยู่ใกล้เคียงกับพุทธศาสนามาตั้งแต่ไหนแต่ไรเด็กๆ แม่เป็นนายกพุทธบริษัทของจังหวัด ใกล้ชิดวัดใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างมีความสมดุลมาตลอด เพราะมีความศรัทธาในศาสนาและมีศีลธรรมในการดำเนินชีวิต (Happy Soul-ทางสงบ) ทำตั้งแต่เด็กจนเป็นชีวิตจิตใจ"

แม้วันนี้ คุณหมอประสาน จะเกษียณอายุราชการมาหลายปี แต่ทำงานทุกวัน เหมือนหนุ่มสาวออฟฟิศ โดยใช้เวลาจำนวนหนึ่งไปกับการอ่านหนังสือเพื่อใช้เขียนหนังสือทำวิจัยเป็น Happy Brain เพราะศึกษาหาความรู้ พัฒนาตนเองตลอดเวลา จากแหล่ง ต่างๆ นำไปสู่การเป็นมืออาชีพ และความมั่นคงก้าวหน้าในการทำงานเป็นปกติในความรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองเกิดมาจะต้องทำอย่างนั้น หมอประสานชี้ชัดว่า มันคุ้นเคยกับงานเหมือนกับการท่องเที่ยว ฉะนั้น ประโยชน์ที่จะได้ คือสิ่งที่รู้ไปสอนคนอื่นนั่นเอง

สิ่งที่เรียนรู้ ทำให้เรารู้จักตัวเอง รู้จักความสัมพันธ์ของตัวเองกับโลก ความสัมพันธ์ของเรากับสิ่งแวดล้อม ด้านหนึ่ง เรารู้ว่าต้องมีความรัก สามัคคี เอื้อเฟื้อต่อชุมชน สังคมและสภาพแวดล้อมที่ดี (Happy Society)

นำไปสู่การรักษาความสมดุลในตัว เพื่อทำตนเป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง โดยคิดถึงตัวเองให้น้อย แต่รู้ตัวตลอดเวลาว่าทำอะไรอยู่ทำสิ่งใดให้กับส่วนร่วม กับมนุษย์ชาติ กับโลก กับจักรวาล ถือเป็นเป้าหมาย ที่ นพ.ประสาน ตั้งใจทำให้กับสังคม

"ผมเชื่อว่าชีวิตเกิดมามีหน้าที่ อันนี้คือการทำงาน เพื่อเรียนรู้และก้าวเดินผ่านไปตลอดเวลา เรียนรู้ผ่านตัวตน ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนกับสิ่งแวดล้อม กับโลก จักรวาล โดยเฉพาะระยะหลังทำงานใกล้คนเจ็บป่วยระยะสุดท้าย คนที่ใกล้ตาย เป็นคนที่เราจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ เพราะคนกลุ่มนี้พอถึงเวลาจริงๆ ทำให้เขารู้ตัวว่า คุณต้องหยุดพัก เลิกห่วงได้แล้ว หยุดคิด มันเป็นเวลาที่ต้องคิดถึงตัวเอง คิดถึงอนาคต นึกถึงวัน นรรานณุสติตลอดเวลา "นี่เองที่คุณหมอประสาน พยายามสะกิดใจคนป่วยให้ใช้ชีวิตบั้นปลายสุดท้ายอย่าง "รู้สติ"

ทุกคนต้องเกิด แก่ เจ็บและตายร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครหนีพ้นการเกิดแก่เจ็บตายเหล่านี้ แต่ละขั้นตอนเป็นการเรียนรู้มหาศาลมากกว่าหนังสือที่พวกเราเรียนจากมหาวิทยาลัย คือเรียนจากหนังสือจากวิชาแพทย์วิทยา วิทยาศาสตร์ แทบจะไม่มีความหมาย เมื่อเทียบกับความรู้ที่ได้จากการสะสมประสบการณ์การอ่าน การฟัง และการพูดคุยกับผู้อื่น

ฉะนั้น คนที่เป็นอาจารย์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยส่วนมากเข้าใจตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ จบแค่นั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่จริงๆ แล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เลื่อนไหล เคลื่อนที่ เป็นอนิจจังตลอดเมื่อเรารู้ว่า เป็นอนิจจัง จะไปยึดถือทำไม ไม่เห็นต้องยึดถือตัวตนต้องให้ก้าวผ่านไปให้ได้

เพราะชีวิตสุดท้าย เป้าหมายเพื่อ Happy Soul หากทำให้ชีวิตสงบได้ Happy Heart ย่อมจะก่อเกิดความมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อกันและกัน เมื่อนั้นกายและใจย่อมเข้มแข็ง ปลาบปลื้ม นำมาสู่ Happy Body ที่สมบูรณ์ตามมานั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2012, 16:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ดร.ประสาน : การสั่นเกิดจาก ทุกอย่าง เหมือนดนตรี จักรวาลประกอบไปด้วยดนตรี ดนตรีมันต้องสั่น ถ้าไม่สั่นจักรวาลก็ไม่มีชีวิต จริงๆแล้วชีวิตคือการสั่น ที่ว่างที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ มันมีอยู่เยอะแยะ สมมติว่า เราเอาส้มเขียวหวานมา 1 ลูก ไปวางตรงกลางสนามฟุตบอล ส้มอันนั้นคือนิวเคลียสของอะตอม สนามคืออะตอม 1 อะตอม และมีอิเล็กตรอนวิ่งอยู่รอบๆสนาม ที่ว่างนี้จิตจะเข้าไปอยู่ จิตจะเข้ามาอยู่ทุกๆที่ที่มีที่ว่างจะมีจิตทั้งนั้น จิตจึงมีทุกอย่างทั้งวัตถุ และไม่ใช่วัตถุ จิตจะขึ้นกับสมอง สมองเหมือนบ้านมีหน้าต่าง ถ้าในสัตว์ชั้นต่ำก็จะมีสมองเป็นบ้านหลังเล็กๆถ้าในมนุษย์ก็จะบ้านหลังใหญ่โต ทีนี้หน้าที่ของบ้านคือปล่อยให้ลมเข้า ลมที่เข้าๆ ออกๆ ก็จะพาจิตมาอยู่ สมองจึงมีหน้าที่บริหารจิต แต่ในการบริหารจิตจะขึ้นอยู่กับสมองว่าซับซ้อนแค่ไหน จะบริหารจนมีจิตสำนึก คนเราพอมีสติจะรู้ได้ทันทีว่าควรทำอะไร จักรวาลมีหน้าที่อย่างเดียวคือวิวัฒนาการ โลกมีหน้าที่อย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างมีหน้าที่อย่างเดียว คือ วิวัฒนาการ จิตเมื่อมีความแตกต่าง ระหว่างสัตว์กับคน ทำให้ลักษณะ มีความแตกต่างกัน จิตที่หยาบก็จะเป็นจิตของโจร ขโมย แต่ถ้าเราพัฒนาจิตได้ยิ่งละเอียด ยิ่งดี

ผู้ถาม : สเปกตรัม สามารถวัดได้ใช่หรือไหม และวัดอย่างไร

ดร.ประสาน : วัดได้ เหมือน แก้ว 9 ประการ จิตของเรามี 9 ชั้น จากจิตที่หยาบมาก แต่สามารถเปลี่ยนได้โดยการฝึกสมาธิได้จากจิต เป็นจิตสำนึก จนถึงจิตรู้ละเอียด จิตรู้มี 3 อย่างคือ รู้รวด รู้ว่ารู้ รู้แจ้ง จะไม่มีอารมณ์ มีเพียงอย่างเดียวคือ ตอบสนอง จิตของคนที่มีอารมณ์ มี 2 แบบ คือ ทำลายกับทำให้ดีขึ้น รู้กับความจำ ทำให้เกิดอารมณ์ที่ดีขึ้น ลักษณะของสมองทำให้จิต เปลี่ยนไป และวิวัฒนาการจนกลายเป็นจิตสำนึก จิตสำนึกก็ยังไม่เป็น สเปกตรัม การเกิดๆ ตายๆ ก็เพื่อวิวัฒนาการของจิตเท่านั้น

ผู้ถาม : จิตของเราสามารถวิวัฒนาการทั้งขึ้นและลงใช่ไหม

ดร.ประสาน : มันเป็นขามาแล้วขากลับ ขามาคือ 1 เป็นหลากหลาย ขากลับ จากหลากหลายเป็น 1 เราจึงมีการวิวัฒนาการ การให้กลับไปที่ 1 คือ นิพพาน นิพพาน คือการรู้แจ้งเห็นจิง ดังนั้น เราจึงต้องเรียน 3 อย่างคือ รู้รวด รู้ว่ารู้ รู้แจ้ง ถ้าเรายังไม่รู้ เราก็ต้องมาเกิดๆ ดับๆ เพื่อให้จิตวิวัฒนาการ การที่จะรู้ได้ขึ้นอยู่กับคน บางคนเร็ว บางคนช้า เราเกิดมาเพื่อการเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อตามสเปกตรัมของจิต ทั้งสามรู้จึงเป็นเป้าหมายของเรา ทั้งหมดนี้มันเป็น พลังงาน จิต วัตถุ 3 อย่างอยู่ด้วยกันแยกจากกันไม่ได้ เรารู้ว่าพลังงานเป็นอย่างไร เราคิดว่าเรารู้ แต่ความจิงเรารู้ไม่หมด ในแต่ละชาติเราเกิดมาเพื่อวิวัฒนาการอย่างเดียว ทั้งหมดแล้วเป็นไปเพื่อวิวัฒนาการนั้นเอง

ผู้ถาม : คนเราเกิดมาเพื่อ เรียนรู้ พัฒนา ต้องทำอย่างไร

ดร.ประสาน : คือการทำ สมาธิ และการพบกับความสุขอย่างลึกล้ำ เช่น งานภาพวาด เวลาเราดูและน้ำตาเราซึมออกมานี้แหละคือ การมีความสุขอย่างลึกล้ำ การรักก็เป็นการบรรลุธรรมได้ โดยการรักไม่เห็นแก่ตัว รักด้วยความเข้าใจและเมตตาถือว่าเป็นความสุข ความสุขประกอบด้วย 3 อย่าง ความถนัด เงื่อนไข ได้ทำตามความชอบ หรือ อิสระ อิสระที่แท้จริงคือปัญญา

ผู้ถาม : อิสระ แท้จิงคือปัญญา มันเป็นปัญญาอย่างไร

ดร.ประสาน : ปัญญามี 2 ระดับ คือ สติปัญญา ที่เราใช้กันอยู่ กับปัญญาที่แท้จริง โดยการได้มาจากการปฏิบัติธรรม

ผู้ถาม : ดังนั้นคือที่ว่าเราวิวัฒนาการ และมีไปกลับ ดังนั้นการวิวัฒนาการจะขึ้นๆลงๆใช่ไหม

ดร.ประสาน : โดยทั่วไปถ้าเป็นคนแล้วก็จะเป็นคน ไม่กลับไปเป็นสัตว์ เราต้องนึกเสมอว่า พระพุทธเจ้าพูด จะมีทั้ง นักปราชญ์ และคนที่หยาบฟัง มนุษย์ถือว่าเป็นยอดสุดในโลก

ผู้ถาม : ถ้างั้นก็จะขัดหลักของธรรม ที่ฆ่าสัตว์จะย้อนกลับไปเป็นสัตว์

ดร.ประสาน : ไม่ขัด อย่าลืมว่า คำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นคำพูดของคน ถ้าพระพูดอย่าไปขัดเข้า เพราะเป็นชาวบ้านธรรมดาและไปบวช เขาก็จะแปลเป็นอย่างนั้น ก็อย่าไปขัดเขามันไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง

ผู้ถาม : เคยอ่านหนังสือมาที่ว่าทุกอย่างบนโลกเล็กที่สุด คือ คลื่น อย่างมนุษย์สามารถเชื่อมต่อกับวัตถุหรือผู้คนโดยไม่มีมิติทางการเข้ามาคั่นด้วยการควบคุมจิตใต้สำนึก สามารถเชื่อมต่อได้ไหม

ดร.ประสาน : ความคิดเป็นสิ่งเชื่อมโยงติดต่อกัน เป็นเรื่องจริงนะ เมื่อมนุษย์ ไปถึงที่สุดแล้ว จะไม่มีวัตถุซักอัน และจะเล็กลงจนเป็นคลื่น เช่น คลื่นจิต คลื่นวิทยุ ล้วนแล้วเป็นการสั่นสะเทือน ของวัตถุและจิตใจ ทั้งหมด 3 อย่างแยกกันไม่ได้จิตเป็นสิ่งที่ละเอียดที่สุดจนถึง นิพพาน การวิวัฒนาการ กับการพัฒนาจิตไม่เหมือนกันนะ วิวัฒนาการ คือ ธรรมชาติมันเป็นไปเองของมัน แต่ถ้าพัฒนาเป็นการตั้งใจทำ

ผู้ถาม : ถ้าเราไปฆ่าคนอื่น เมื่อตายไป จะกลับมาเป็นคนอีกหรือป่าว

ดร.ประสาน : คนที่เกิดมาเป็นคนมันคนละประเด็นกัน คือกรรมไม่ได้แปลว่า เมื่อเราทำอะไรไปแล้วจะได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป ไม่ใช่เมื่อเราฆ่าไก่ และเมื่อตายไป เกิดมาเราจะกลายเป็นไก่ คนเราเกิดมาเพียงอย่างเดียว เพื่อวิวัฒนาการทางจิต

ผู้ถาม : ถ้าคนเราเกิดมาและไม่ทำอะไรเลย ก็จะไม่วิวัฒนาการอะไรใช่ไหม เช่น นั่งๆนอนๆ

ดร.ประสาน : ใช่ ก็ต้องรอหลายชาติ เค้าก็จะคิดได้เอง คนที่ทำบาป ก็ไปใช้บาป แต่ที่ใช้ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดมาเป็นอย่างนั้น ที่ว่าทำอะไรและเกิดมาเป็นอย่างนั้น มันเป็นภาษาพูดเฉยๆ อยู่ที่เราจะตีความหมาย พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่มีความจำเป็นเพื่อให้เข้าใจในทุกสติปัญญา ไม่ใช่เรื่องผิดเรื่องถูก มันเป็นของเก่าแก่ เราจะต้องใช้โยนิโสมนัสติการซึ่งมี 2 ระดับ คือ โลกียะ ใช้สติปัญญาที่เรียนมา อีกอย่างคือ ใช้ปรีชาญานในการวิเคราะห์ วิจารณ์ ทุกสิ่งอย่างมี 2 อย่าง ขาไป ขากลับ การวิวัฒนาการมันมีอยู่แล้วทุกคน มันเป็นความสุขอันลึกล้ำ หรือ นั่งสมาธิอย่างลึกล้ำ มันเป็นช่องทางให้มีการวิวัฒนาการ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปของมันเอง ความสุขนั้นมี 2 ระดับ ความสุขทางกาย และความสุขทางใจ ความสุขทางกาย คือ เงิน แต่ความสุขจิงๆไม่เกี่ยวกับเงิน ความสุขทางใจมันสูงกว่าเงินเยอะแยะ ทุกสิ่งทุกอย่างมีความหมายอย่างละเอียด ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติ ทั้ง 2 ระดับ เราก็เข้าใจได้หมดทั้งโลก ทุกสิ่งเร่งได้แต่ว่าทำไม่ได้ เร่งโดยกฏธรรมชาติ สิ่งพวกนี้คือสิ่งใหม่ วิธีคิดใหม่ เราจะต้องค่อยๆเปลี่ยนระบบความคิดใหม่ จริงๆแล้วถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยมันก็จะเป็นไปตามระบบ แต่มนุษย์ชอบเข้าไปเปลี่ยนแปลง

ผู้ถาม : 2012

ดร.ประสาน : คือจักรวาลมันหมุนอยู่ตลอด การหมุนแต่ละรอบ ครบรอบประมาณ 250ล้านปี 2012 เป็นเวลาที่โลกจะอยู่ตรงกลาง คือ แนวเดียวกับจักรวาล

ผู้ถาม : แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

ดร.ประสาน : ทุกศาสนาจะบอกให้ระวังปีนี้ เพราะเขาบอกว่าปี 2012 ประชากรบนโลกจะตาย 70-80% วันนี้เป็นความเชื่อของศาสนา แต่ทางวิทยาศาสตร์ บอกว่าเราจะไปอยู่แนวเดียวกับจักรวาล จะเป็นอะไรก็ตามที ที่ทำให้โลกล่มสลายไป ว่ากันว่า จะมีประชากรเหลือเพียง 18% แต่ในขณะเดียวกัน เราจะมีจิตวิญญาณที่ดีขึ้นมันเป็นธรรมชาติโลกควรมี 2500-3000 ล้านปี แต่มี7000ล้านปี จึงต้องมีคนตายจากไป ตอนนั้นก็จะมีคนสนใจที่จะปฏิบัติธรรมขึ้น ไปวัดมากขึ้น ไปเรียนมาก สมัยก่อนไม่มี การสอนคือการเร่งในการพัฒนา การฝึกก็เป็นของดี แต่ต้องอยู่ที่ใจ จิตของเราอยากจะฝึกก็ต่อเมื่อ ทุกข์ มนุษย์เราจะทำได้ในส่วนที่ร้ายๆ เพราะจำไว้เป็นบทเรียนของเรา ความทุกข์ก็เป็นความสุข หลายคนบรรลุธรรมเพราะเป็นมะเร็งเยอะนะ ความสุขคือความเป็นอิสระทั้งกายและใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2012, 16:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตวิวัฒน์เตรียมพร้อมเพื่อจิตวิญญาณโลกานุวัตร ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ

Article Thai, ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ12 September, 2012No comments





ก่อนอื่น อยากจะพูดว่าผู้เขียนไม่ใช่สักแต่เชื่อเฉยๆ แต่เชื่อมั่นอย่างที่สุดในสองเรื่อง คือหนึ่ง ในพุทธศาสนา กับสอง ในแควนตัมฟิสิกส์ที่นักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หลายๆ คนเขียนไว้ว่า ทั้งสองศาสตร์ “มีความสอดคล้องแนบขนานกันที่สุด” นอกจากนี้ ผู้เขียนยังเชื่อในบทความกับข้อคิดข้อเขียนส่วนใหญ่ของคาร์ล จุง จุงเป็นอัจฉริยะในเรื่องจิตโดยเฉพาะจิตไร้สำนึกที่ผู้เขียนสนใจมาก จุงได้เขียนเรื่องของจิตจักรวาลไว้ว่า เป็นจิตไร้สำนึกในขั้นลึกสุดลึกของจิต – ที่มีอย่างไม่จำกัดหรือไม่สิ้นสุด – “ถอยหลังไป…ถอยหลังไปสู่ความมืดมิด…ที่ไม่มีใครรู้” จุงเป็นผู้อธิบายไว้ในช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ ๑๙๓๐ (The Archetypes and The Collective Unconscious) เขาเรียกจิตนี้ว่า จิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาล (universal unconscious continuum) หรือที่ผู้เขียนเรียกว่าจิตจักรวาลนั่นเอง

นั่นเป็นเรื่องที่ผู้เขียนรู้จากที่ได้อ่านๆ มา แต่ส่วนที่ได้จากการครุ่นคิดอย่างจริงจังเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะสี่ห้าปีหลังๆ ผู้เขียน “รู้แน่นอน” ว่าจิตนั้นไม่ใช่สมอง และสมองไม่ใช่จิตทั้งในสัตว์และในคน แต่จิตไร้สำนึกจักรวาล – หลังเกิดจักรวาลขึ้นมาแล้วซึ่งพุทธศาสนาบอกว่าโดยจิตปฐมภูมิ (ญานา) ที่แยกจากพลังงานปฐมภูมิ (ญานะปราณ) ไม่ได้ – นั้น จะวิ่งเข้ามาอยู่ในทุกๆ ที่ว่างของอวกาศของจักรวาล ไม่ว่าที่ว่างนั้นจะเล็กละเอียดสักปานใด แม้ที่ว่างระหว่างอะตอมในสมอง สมองจึงมีความสำคัญยิ่งสำหรับสัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์ แม้ว่ามันจะไม่ใช่จิต เพราะสมองคือตำแหน่งแหล่งที่บริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึกใหม่ๆ ตลอดเวลา

จิตของสัตว์แต่ละตัวและคนแต่ละคนจะประกอบด้วยสองส่วน คือหนึ่ง จิตจักรวาลหรือจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาลที่กล่าวมาแล้ว กับสอง จิตสำนึกที่ผ่านการบริหารของสมองไปแล้ว แต่มนุษย์แต่ละคนนั้น ได้ตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในภพภูมิที่มีสมอง เช่นในโลกมนุษย์อีก จิตสำนึกเก่าในชาติก่อน จะถูกสะสมเป็นจิตไร้สำนึกในชาติใหม่ที่มีสมองใหม่ในชาติใหม่ – ที่เรียกว่า “บารมี” – ซึ่งจะเกิดเป็นคนที่มีสมองที่พร้อมจะบริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึกตลอดเวลา จึงเป็นผู้ที่มีปัญญาหรือ “พรสวรรค์” ในรูปแบบต่างๆ

ไม่ถึงสามสี่ปีที่ผ่านมา ในเมืองนอกมีผลงานวิจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องจิตและสมอง หรือประสาทวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย ที่ต่างชี้บ่งไปในทางจิตไม่ใช่สมอง หรือสมองเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่บริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึกเท่านั้น เช่น Amit Goswami: Creative Evolution, 2008 and 2007 Shift Reports, Mario Beauregard: The Spiritual Brain, Matthieu Recard: Personal Communication

กลุ่มจิตวิวัฒน์ก่อตัวมาราวเจ็ดปีแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะ “เร่ง” ให้มนุษย์มีวิวัฒนาการทางจิตที่ควบคุมพฤติกรรมหรือความประพฤติทั้งหลายของมนุษย์เรา แน่นอนที่สมาชิกของกลุ่มจะรู้ดี เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยาส่วนมากในปัจจุบันรู้ จากงานวิจัยมากหลายที่ชี้บ่งเช่นนั้นแทบจะเป็นเอกฉันท์ หมอประเวศ วะสี ผู้เป็นเสมือนประธานของกลุ่มบอกคล้ายๆ กับว่า วัตถุประสงค์คือการระดมความคิดของสมาชิกเพื่อหาทางสื่อให้ประชาชนในวงกว้างสนใจ และเร่งขบวนการวิวัฒนาการธรรมชาติของจิตให้มีจิตสำนึกใหม่หรือ “จิตใหญ่” จะได้ควบคุมความประพฤติของคนและสังคมไทย – ซึ่งในสายตาของหลายๆ คนคิดว่าในขณะนี้คนทั้งโลก รวมทั้งและโดยเฉพาะคนไทยและสังคมไทย – มีความเสื่อมสลายทางศีลธรรมและจริยธรรมลงไปกว่าแต่ก่อนมาก การแก้ไขวิกฤตอันใหญ่หลวงครั้งนี้ ไม่มีทางที่จะใช้มาตรการอะไรได้นอกจากจิตสำนึกของชาวโลกและชาวไทยเองเท่านั้น

บทความนี้มีความสำคัญมากสำหรับจักรวาล โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยเรา เพราะว่ามีถึง ๔ เรื่อง ที่ดูเผินๆ อาจจะไม่เกี่ยวกัน แต่ผู้เขียนเข้าใจว่าเกี่ยวกันและจัดมารวมกันเพื่อนำเสนอท่านผู้อ่านได้ช่วยพิจารณาว่า ถูกต้อง ชอบธรรม และควรปฏิบัติหรือไม่? ประการใด?

เรื่องที่หนึ่ง ชาวโลกประมาณหนึ่งในสาม ต่างรู้แล้วว่า กระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (Alexander King’s Social Revolution ที่เยอรมัน Paul H. Ray’s Cultural Creative ที่อเมริกา ประเวศ วะสี คลื่นลูกที่สามแห่งสมัยรัตนโกสินทร์ ที่ประเทศไทย ประสาน ต่างใจ สู่มิติที่ห้า และ บุพนิมิตกระบวนทัศน์ใหม่ ประเทศไทยเหมือนกัน และ Jose Arguelles and Stephanie South’s Cosmic History ที่อเมริกา) นั่นคือวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ และการย่างเท้าก้าวถึงยุคแห่งจิตวิญญาณ ในปี ค.ศ.๒๐๑๓ ไปแล้ว

เรื่องที่สอง นักการเมืองและนักเศรษฐกิจ นักธุรกิจ เพราะความเชื่อมั่นในวัตถุรูปธรรมและวิทยาศาสตร์กายภาพ จึงเป็นวัตถุนิยมอย่างไม่รู้ตัว หรือไม่มีความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์ใหม่ หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์แต่ติดตามวิทยาศาสตร์ใหม่ไม่พอ หรือไม่ได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งว่า วิทยาศาสตร์ใหม่หรือฟิสิกส์แห่งยุคใหม่นั้นมีความสอดคล้องอย่างที่สุด โดยหลักการ กับศาสนาที่อุบัติขึ้นที่อินเดียและจีน เช่น ศาสนาพุทธหรือศาสนาเต๋า ซึ่งวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ คือคนส่วนใหญ่ของโลก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์สังคม นักธุรกิจ นักการเมือง ฯลฯ เมื่อถึงยุคดังกล่าว โดยเฉพาะในประเทศไทยจะมีศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมแทบทั้งสิ้น

เรื่องที่สาม นักคิดใหญ่ๆ พวกนิวเอจ รวมทั้งผู้เขียน ล้วนแล้วแต่ถือว่า กระบวนทัศน์ใหม่หรือการปฏิบัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางสังคมใหม่ในครั้งนี้ คือวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ หรือสู่ระดับที่สูงกว่า เช่นเดียวกับวิวัฒนาการทางกายจากหมา สู่ลิง และมนุษย์

ส่วนเรื่องสุดท้าย คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบที่เป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบทุกระบบที่มีในจักรวาลแห่งนี้ โดยกฎของทฤษฎีไร้ระเบียบ เราคงต้องการตัวดึงดูดหรือตัวเร่งที่มีความสำคัญต่อการ “โผล่ปรากฏ” ของรูปแบบระบบใหม่ ตัวดึงดูดหรือตัวเร่งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งกับทฤษฎีไร้ระเบียบ และเป็นกลไกธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ ตัวดึงดูดจะทำหน้าที่เร่งให้มีการเปลี่ยนแปลงโดยกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ ที่เป็นกฎของธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ค้นพบเช่นกัน จนไปถึงขอบของจุดแห่งทางสองแพร่ง (margin of chaos) ซึ่งทางสองแพร่งนี้ (bifurcation) จะนำสู่ความล่มสลายจบสิ้นของกระบวนทัศน์ “เก่า” และการ “โผล่ปรากฏ” (emergent) ของกระบวนทัศน์ใหม่ที่มีรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง การหาตัวดึงดูดที่ให้การเปลี่ยนแปลงที่แน่นอนและเหมาะสมจึง “สำคัญอย่างยิ่ง” คือจะต้องเป็นธรรมชาติหรือเป็นบุคคลที่มีบารมีสูง การโผล่ปรากฏกระบวนทัศน์ใหม่ทางจิต จึงจะมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณขึ้นมาได้

เพราะฉะนั้น หัวเรื่องของบทความนี้ หมายความว่าโลกมนุษย์กำลังย่างเท้าเข้าสู่ยุคสมัยแห่งจิตวิญญาณ นั่นคือจะเป็นประวัติศาสตร์ของทั้งโลกเลย ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่า ถึงเวลาที่มนุษยชาติจะได้ผ่านพ้นวัยเด็กหรือวัยรุ่นมาเป็นผู้ใหญ่เสียที เรามนุษย์โลกทั้งผองรวมทั้งในประเทศไทยที่กำลังแตกแยกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนับวันยิ่งซับซ้อนเป็นทวีคูณ เพราะว่าทุกคนจะมีความทุกข์ยิ่งกว่าเก่า – ที่ผู้เขียนคิดเอาเองว่า – ความทุกข์ที่มนุษย์ในยุค ๒,๕๐๐ ปีก่อน หรือยุคสมัยที่พระพุทธองค์ค้นพบและสอนเรื่องของ “ทุกขา” ซึ่งคิดว่าจะมีหลักการคล้ายๆ กัน เพราะว่าสังคมใหญ่และซับซ้อนมากขึ้นกับจำนวนประชากรของโลกที่มีมากขึ้นยิ่งนัก ความแตกแยกขัดแย้งของคนไทยกันเองหรือระหว่างประเทศ รวมทั้งมนุษย์โลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวกับปาเลสไตน์ เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ หรือระหว่างพวกสุดโต่งทางชาติ-ศาสนาที่แตกแยกกัน กระทั่งฆ่าแกงกัน ฯลฯ ทั้งหมดทำให้โลกมีความทุกข์มากขึ้นๆ โดยมองทางออกไม่เห็น

ผู้เขียนเชื่อว่ามีสาเหตุจากประชากรโลกที่มีมากขึ้นเร็วมากๆ หนึ่ง วิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีวัตถุนิยมกายภาพหนึ่ง และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีทำให้คนทั่วทั้งโลกเห็นแก่เงินมากยิ่งกว่าอื่นใดทั้งสิ้น อีกหนึ่ง ความแตกแยกกันหรือ “ทุกขา” เมื่อไล่ไปแล้วคือ เงิน จนกระทั่งทำให้ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่าจิตจักรวาลคงจะลงโทษมนุษยชาติอย่างสาสม นั่นเป็นการมองในทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เดินเป็นเส้นตรง กับเหตุที่ก่อผลข้างล่างหรือข้างล่าง (downward causation) นั่นคือสิ่งที่นำทฤษฎีไร้ระเบียบ ทฤษฎีที่ไม่เคยผิดเลย ซึ่งผู้เขียนคิดว่าตรงกับพุทธศาสนาว่า “ตถตา” “มันเป็นเช่นนั้นเองง”

ผู้เขียนขอรับรองว่า ท้ายที่สุดแล้ว ธรรมชาติระดับบนหรือ “ธรรมชาติที่สุดของธรรมชาติ” โลกจะต้องมีรูปแบบของสังคมรูปแบบใหม่ หรือยุคสมัยจิตวิญญาณโลกานุวัตร “โผล่ปรากฏ” ออกมา (หลังจากผ่านพ้นทางสองแพร่งแล้ว) ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าระบบสังคมใหม่ซึ่งเป็นระบบแห่งจิตวิญญาณที่จะต้องเกิดขึ้น (noosphere) ซึ่งนักคิดนักปรัชญาหลายคน รวมทั้งปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง และศรีอรพินโท จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ การเปลี่ยนแปลงทางจิตสู่จิตวิญญาณและยุคสมัยแห่งจิตวิญญาณโลกานุวัตร ต้องเกิดขึ้นและกระบวนทัศน์ใหม่จะต้องเกิดขึ้น เพราะว่าวัฏจักรของธรรมชาติ “เป็นไปเช่นนั้นของมันเอง”

อย่าลืมว่า อย่างดีความเคยชินหรือสามัญสำนึกที่ทำให้เราเชื่อมั่นในสิ่งหรือเรื่องใดๆ นั้น เพิ่งอยู่กับเราจริงๆ เพียงอย่างมากเมื่อเราตั้งหลักฐานบ้านช่องแล้ว หรือเมื่อ ๑๕,๐๐๐ ปีมานี้เอง แต่ธรรมชาติไม่ว่าระดับไหน อยู่กับโลกเรามาพร้อมๆ กับธรรมชาติด้านลบเพื่อรักษาดุลยภาพของโลกไว้ ผู้อ่านทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ ย่อมจะคิดออกว่า จักรวาลหรือโลกมนุษย์ เรามีทั้งรูปกับนาม หรือมีทั้งกายกับจิต เราคงจะคิดแต่เฉพาะสิ่งที่ตาเรามองเห็นหรือที่เรารับรู้ไม่ได้ เพราะย่อมมีสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีทางเห็นไม่ว่าจะขยายอย่างไร เหมือนกลางวันที่สว่างจ้า กับกลางคืนที่มืดมิด ธรรมชาติจะต้องมีอยู่คู่กันเสมอ ถ้าหากว่ากายมีวิวัฒนาการทางรูปกายได้ จิตย่อมต้องมีวิวัฒนาการได้ มนุษย์เราไม่ได้เป็นเช่นปัจจุบันเป็นแสนเป็นหมื่นปีเสียเมื่อไหร่? ทุกวันนี้ เหลียวไปมองประเทศไหนจะมีผู้แสวงหาการอยู่รอดและความจริงที่แท้อยู่ทุกหัวระแหง รวมทั้งที่บ้านเรา มีคนเข้าวัด ปฏิบัติศาสนาทำสมาธิ หรือเข้าป่าแสวงหาธรรมชาติกันมากขึ้น

ในทางอ้อม มนุษย์เราเริ่มรู้ว่าเราอยู่กับมายาแสงสีและความไม่จริงมาตลอดตั้งแต่ต้นเลย กลุ่มจิตวิวัฒน์และการเตรียมพร้อมเพื่อยุคสมัยจิตวิญญาณโลกานุวัตร ซึ่งในบ้านเราจะเริ่มมาถึงภายในสองหรือสามปีนี้ ก็เพื่อการณ์นั้น

ที่มา http://jitwiwat.blogspot.com


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร