วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 05:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 114 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2012, 16:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rotala เขียน:
http://www.plarnkhoi.com/home.html
s006 s002


:b32: หวังว่าเอกอนคงไม่ไปทำให้หนังสือของท่านเกิดอาการขายดีนะ... :b9:

อิอิ แต่ขายดี ก็ดี เพราะท่านก็คงเอาเงินรายได้ที่ได้ไปทำประโยชน์ในมูลนิธิที่ท่านดูแลอยู่


:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2012, 17:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

:b32: :b32:
อายตนเขาแปลกเสมอ... :b16:

บางคน..อายตนนี้แสดงผ่าน TV..ก็มี.. :b10: :b10:

อิอิ...แปลกมาก s002


จริง ๆ สมัยที่เอกอนยังไม่ได้เข้ามาสนใจพุทธศาสนา

นั่นคือ แสดงว่า การเห็นอะไรประมาณนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการบรรลุธรรมขั้นไหน อะไร
หรือ การเป็นทิพย์แท๊ปอะไร

ก็คือ มันจะเห็น ก็เห็น มันจะเป็น ก็เป็น
มันเป็นเรื่องที่ธรรมชาติไม่ได้สร้างมนุษย์มาให้ต้องมีทักษะอะไรที่เหมือน ๆ กัน ไปเสียทั้งหมด
แต่ธรรมชาติได้สร้างมนุษย์ให้มีอะไรที่แตกต่าง เพื่อแชร์ทักษะกันเพื่อความอยู่รอด

เหมือนกะ ถ้าเราทำอาหารไม่เก่ง แต่การจะได้กินอาหารที่อร่อย
เราก็แค่ไปหาคนที่เขาทำอาหารอร่อย และแลกเปลี่ยนเขาด้วยทักษะที่เรามี
และเขาต้องการ
คือ บางครั้ง เราก็ต่างเกิดมาเพื่อเติมเต็มความสุขให้แก่กันและกัน

และมันก็พาเราให้ตกไปสู่หลุมพรางแห่งความพร่อง
และ โหยหาการเติมเต็ม ไม่หยุดหย่อน

ธรรมชาติได้มอบทักษะ และความพร่อง มาให้เราได้เรียนรู้
ที่จะ อยู่ร่วมกัน ...

..........

คือตอนนั้น ยังไม่ได้สนใจในเรื่องจิต ศาสนา ปรัชญา เรย

..........

เอกอน ชอบกับคำตอบในลักษณะนี้นะ
คือ บางทีเราไม่ได้จำเป็นต้องรู้ความจริง ก็ได้
ในแต่ละช่วงชีวิต ช่วงจังหวะเวลา มันจะมีคำตอบที่ดีที่สุด
คำตอบที่จะ หยุดใจเอาไว้ ในสภาวะที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับตัวเอง

..........

คนโง่ อุบายที่เขาจะใช้มาเล่นกับ จิต
มันก็จะเป็นอะไรแบบ ง่าย ๆ
อุบายง่าย ๆ ที่ค่อย ๆ วางกับดัก ให้จิตคอยไหลไปในอารมณ์ที่ต้องการ

:b13: :b13: :b4: :b4: :b13: :b13:



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2012, 18:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


และพอวางอุบายมาก ๆ
มันก็จะส่องกลับไปหาไอ้ตัวที่ชอบวางอุบายนั่นล่ะ
ว่าทำไมมันต้องวางอุบาย แล้วทำไมมันต้องไปเห็นไอ้ตัววางอุบาย

แล้วทำไมมันต้องเห็น มันเห็นได้ไง เพราะสิ่งที่เห็นมันเป็นยังไง มันจึงเห็น

:b10: :b10: :b10:

5555

ชีวิต...เอกอนไม่เคยหยุดตั้งคำถาม

:b22: :b22: :b22:

ถ้าจะให้เลิกนิสัยชอบวางอุบาย

ก็คือ กรู...ต้อง...ม่าย...เห็น...

5555

แล้วทำไง กรู...จะ...ม่าย...เห็น...วะ...

5555


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 12 พ.ย. 2012, 18:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2012, 18:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่าน

พึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง

เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูก่อนพาหิยะ

ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูก่อนพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจัก

เป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อ

รู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มี

ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีใน

ระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.


ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยกุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ

ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพาหิย-

ทารุจีริยกุลบุตรด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป.


:b20: :b20: :b20:

ภาษาที่ใช้ในพระสูตรนี้ อ่านแล้วเข้าใจง่ายนะ

เข้าใจง่ายแน่ ถ้าเราอ่านแล้ว ตีความไปในทำนองว่า

พระองค์สอนให้ เห็นช้าง ก็ให้สักแต่ว่าเห็น
เห็นแจกัน ก็ให้สักแต่ว่าเห็น

แต่จริง ๆ แล้ว มันเห็นอะไรกันแน่ แล้วสักแต่ว่าเห็นมันแล้ว
มันถึงขั้นทำให้บรรลุธรรมได้กันล่ะ

ท่านพาหิยะ ไม่ได้ฝึกปฏิบัติตามพระสูตรนี้
เพียงแต่หนทางที่ท่านผ่านมา มันมีอะไรบางอย่างที่ขัดข้องอยู่ในใจ
ที่เมื่อฟังพระสูตรนี้จบ ท่านก็บรรลุทันที

ท่าน พาหิยะ ฝึกวิชาสายไหนมา ... :b10:
บรรยากาศถึงได้เหมาะเจาะกับท่านเช่นนั้น...

... :b12: :b13:


:b12: :b4: :b4: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2012, 19:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


การใช้ "สักแต่ว่า" บางกรณี ทำให้ บรรลุธรรมได้เร็ว

และการใช้ "สักแต่ว่า" บางกรณี ก็ทำให้ บรรลุธรรมได้ช้า

การเลือกเฟ้นธรรมมาใช้

ถ้าตราบใดเรายังวิ่งไปหาความคิด ไม่ช้า ก็เร็ว เราจะพบว่าเราเลือกผิด

แต่ถ้าเราถามใจ แล้วเดินตามหนทางแห่งใจ
ถ้าใจนั้นปราถนา ความสงบ สันติ นิพพาน ใจก็จะแสดงหนทางให้เดิน
แต่ด้วยอำนาจแห่ง กิเลสตัณหา เรามักจะไม่เลือกทางที่ตรงกับ ใจ

ซึ่ง นิพพานที่ตรงกับความคิด
กับ นิพพานที่ตรงกับใจ
มัน........

คือ คิดน่ะ มันไม่ได้มีหน้าที่รู้
แต่สิ่งที่รู้ได้ คือ ใจ
ดังนั้น ถ้าเรามัวแต่ไปถามทางกับผู้ที่ไม่รู้ เราจะเดินทางไปเจออะไร
ถ้าจะถาม ก็หาผู้รู้ทางให้เจอ แล้วถามเขา...

:b16: :b16: :b12: :b12: :b16: :b16:

:b32: :b32: อิอิ ท่านมูโดนเอกอนยึดกระทู้ ... :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2012, 19:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ พิมพ์ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีสาระ

แบบว่ามีแต่ สาระแน จะพิมพ์น่ะ

ก็แบบว่า ไม้จิ้มฟันมันตั้งอยู่บนโต๊ะอาหาร
ข้างจานอาหาร แต่มันก็ไม่ได้มีไว้กินน่ะ
แต่คนส่วนมากก็ติดอกติดใจกับมัน

ที่มันมีไว้เขี่ย ทิ้ง


:b9: :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2012, 23:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
....นี้คือส่วนแก้ไข....
(อยากลบ..นะ.)..อิอิ
........
ถ้าเอาคำว่า...เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ...ฯลฯ ...ไปกระซิบที่หูท่านพาหิยะเมื่อชาติที่แล้ว....

คิดว่า....ท่านจะบรรลุธรรมในชาตินั้นเลยมั้ย?

แต่ทุกวันนี้....เราต่างใช้คีย์เว่อร์ดของคนอื่นแต่ไม่รู้ที่มากัน...

เราต้องเพียรของเรา..คีย์เว่อร์ดของเรา..เราจะพบมันเอง


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 14 พ.ย. 2012, 19:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2012, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


น้อยคนนัก ที่จะ เห็นสักแต่ว่าเห็น แบบว่า...

พอเห็นในสิ่งที่ตนคาดหมายว่าจะเห็น ก็จะนึกครึ้มอยู่ แล้วทำทีเป็นไม่สนใจ, พร่ำบอกแก่ตนเองว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น
แต่ถ้าสิ่งที่เห็นนั้น ไม่ตรงกับที่คาดหมายว่าจะเห็น ก็จะเริ่มหาข้ออ้าง ว่ามันเป็นเพราะอย่างนู้นอย่างนี้, พอหาข้ออ้างได้อย่างที่ต้องการแล้ว ก็จะค่อยพร่ำบอกแก่ตนเองว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น


:b6: น้อยคนนักที่จะยอมรับว่า สิ่งที่เห็นนั้น เป็นเพียงภาพสะท้อนจากจิต จากความคาดหวังที่ซ่อนอยู่ หรือไม่ก็เป็นภาพ ที่ถูกส่งมาให้ จากจิตอื่น โดยเฉพาะจากจิตในอาณาเขตของสวรรค์ (ซึ่งเกินกว่าตาที่สามจะมองเห็นได้)

ส่วนมากก็จะคิดว่า มันเป็นภาพจาก ญาณอันวิเศษ ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายความว่า, ผู้เห็นไม่ได้ เห็นสักแต่ว่าเห็น

แทงใจดำ ขวางโลกดีมะ :b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2012, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าใจนั้นปราถนา ความสงบ สันติ นิพพาน ใจก็จะแสดงหนทางให้เดิน smiley


http://www.dharma-gateway.com/monk/grea ... eeriya.htm

ความปรารถนาในอดีต

กระทำมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้า

ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ แห่งหังสวดีนคร เมื่อเติบใหญ่ก็ได้เล่าเรียนจนถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มีความรู้ไม่ขาดตกบกพร่องในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย วันหนึ่งท่านได้ไปยังสำนักของพระปทุมมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ได้เร็วไว) ท่านปรารถนาจะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ครั้นเมื่อครบ ๗ วันแล้ว จึงหมอบลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลขอพรโดยเริ่มว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อ ๗ วันก่อนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้สถาปนาภิกษุองค์ใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญา ในอนาคตกาล ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้น คือ พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าความปรารถนาของเขาจักสำเร็จผล จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญาแล

เขาได้ทำบุญไว้เป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติในกามาวจร ๖ ชั้นในเทวโลกนั้นแล้ว ก็ได้เสวยสมบัติมีจักรพรรดิสมาบัติ เป็นต้น ในมนุษยโลกอีกหลายร้อยโกฏิกัป จนสิ้นพุทธันดรหนึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2012, 13:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
น้อยคนนัก ที่จะ เห็นสักแต่ว่าเห็น แบบว่า...

พอเห็นในสิ่งที่ตนคาดหมายว่าจะเห็น ก็จะนึกครึ้มอยู่ แล้วทำทีเป็นไม่สนใจ, พร่ำบอกแก่ตนเองว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น
แต่ถ้าสิ่งที่เห็นนั้น ไม่ตรงกับที่คาดหมายว่าจะเห็น ก็จะเริ่มหาข้ออ้าง ว่ามันเป็นเพราะอย่างนู้นอย่างนี้, พอหาข้ออ้างได้อย่างที่ต้องการแล้ว ก็จะค่อยพร่ำบอกแก่ตนเองว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น


:b6: น้อยคนนักที่จะยอมรับว่า สิ่งที่เห็นนั้น เป็นเพียงภาพสะท้อนจากจิต จากความคาดหวังที่ซ่อนอยู่ หรือไม่ก็เป็นภาพ ที่ถูกส่งมาให้ จากจิตอื่น โดยเฉพาะจากจิตในอาณาเขตของสวรรค์ (ซึ่งเกินกว่าตาที่สามจะมองเห็นได้)

ส่วนมากก็จะคิดว่า มันเป็นภาพจาก ญาณอันวิเศษ ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายความว่า, ผู้เห็นไม่ได้ เห็นสักแต่ว่าเห็น

แทงใจดำ ขวางโลกดีมะ :b6: :b6: :b6:


:b13: :b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2012, 17:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rotala เขียน:
ถ้าใจนั้นปราถนา ความสงบ สันติ นิพพาน ใจก็จะแสดงหนทางให้เดิน smiley


http://www.dharma-gateway.com/monk/grea ... eeriya.htm

ความปรารถนาในอดีต

กระทำมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้า

ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ แห่งหังสวดีนคร เมื่อเติบใหญ่ก็ได้เล่าเรียนจนถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มีความรู้ไม่ขาดตกบกพร่องในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย วันหนึ่งท่านได้ไปยังสำนักของพระปทุมมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ได้เร็วไว) ท่านปรารถนาจะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ครั้นเมื่อครบ ๗ วันแล้ว จึงหมอบลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลขอพรโดยเริ่มว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อ ๗ วันก่อนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้สถาปนาภิกษุองค์ใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญา ในอนาคตกาล ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้น คือ พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าความปรารถนาของเขาจักสำเร็จผล จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญาแล

เขาได้ทำบุญไว้เป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติในกามาวจร ๖ ชั้นในเทวโลกนั้นแล้ว ก็ได้เสวยสมบัติมีจักรพรรดิสมาบัติ เป็นต้น ในมนุษยโลกอีกหลายร้อยโกฏิกัป จนสิ้นพุทธันดรหนึ่ง


smiley smiley smiley

:b4: :b13: :b13: :b4:

:b16: :b27: :b27: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2012, 17:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Rotala เขียน:
ถ้าใจนั้นปราถนา ความสงบ สันติ นิพพาน ใจก็จะแสดงหนทางให้เดิน smiley


http://www.dharma-gateway.com/monk/grea ... eeriya.htm

ความปรารถนาในอดีต

กระทำมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้า

ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ แห่งหังสวดีนคร เมื่อเติบใหญ่ก็ได้เล่าเรียนจนถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มีความรู้ไม่ขาดตกบกพร่องในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย วันหนึ่งท่านได้ไปยังสำนักของพระปทุมมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ได้เร็วไว) ท่านปรารถนาจะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ครั้นเมื่อครบ ๗ วันแล้ว จึงหมอบลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลขอพรโดยเริ่มว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อ ๗ วันก่อนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้สถาปนาภิกษุองค์ใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญา ในอนาคตกาล ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้น คือ พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าความปรารถนาของเขาจักสำเร็จผล จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญาแล

เขาได้ทำบุญไว้เป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติในกามาวจร ๖ ชั้นในเทวโลกนั้นแล้ว ก็ได้เสวยสมบัติมีจักรพรรดิสมาบัติ เป็นต้น ในมนุษยโลกอีกหลายร้อยโกฏิกัป จนสิ้นพุทธันดรหนึ่ง

ทำไมท่านไม่เลือก สำเร็จไปเสียตั้งแต่สมัยพระปทุมมุตตระ นะ
ทำไมพระปทุมมุตตระ เห็นเช่นนั้นแล้ว
จึงไม่กล่าวธรรมใดเพื่อให้ท่านเปลี่ยนใจ :b1:
ราวกับว่าการเนินช้าขนาดนั้น ในวันนั้นของท่านพาหิยะ ไม่ใช่นัยยะสำคัญ
ฯลฯ

:b1: :b1:

ทำไม

:b12: :b12: :b12:

ทำไม ชาวพุทธยุคนี้ กลับเน้นการรีบ ๆ ไปกันเสียส่วนใหญ่
...
มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ คลาดเคลื่อน

มันมีทัศนะบางอย่างที่...มีเงื่อนงำ

:b6: :b10: :b10: :b6:

นึกแล้ว อยากรู้ใจพระปทุม..จัง

:b20: :b20: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2012, 19:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อยากรู้จัก....ก็ไม่ยาก...นิ

อิอิ... :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2012, 16:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


viewtopic.php?f=7&t=43905&p=312566#p312566

อ้างคำพูด:
ส่วนเรื่องสุดท้าย คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบที่เป็นธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบทุกระบบที่มีในจักรวาลแห่งนี้ โดยกฎของทฤษฎีไร้ระเบียบ เราคงต้องการตัวดึงดูดหรือตัวเร่งที่มีความสำคัญต่อการ “โผล่ปรากฏ” ของรูปแบบระบบใหม่ ตัวดึงดูดหรือตัวเร่งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งกับทฤษฎีไร้ระเบียบ และเป็นกลไกธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ ตัวดึงดูดจะทำหน้าที่เร่งให้มีการเปลี่ยนแปลงโดยกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ ที่เป็นกฎของธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์ค้นพบเช่นกัน จนไปถึงขอบของจุดแห่งทางสองแพร่ง (margin of chaos) ซึ่งทางสองแพร่งนี้ (bifurcation) จะนำสู่ความล่มสลายจบสิ้นของกระบวนทัศน์ “เก่า” และการ “โผล่ปรากฏ” (emergent) ของกระบวนทัศน์ใหม่ที่มีรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง การหาตัวดึงดูดที่ให้การเปลี่ยนแปลงที่แน่นอนและเหมาะสมจึง “สำคัญอย่างยิ่ง” คือจะต้องเป็นธรรมชาติหรือเป็นบุคคลที่มีบารมีสูง การโผล่ปรากฏกระบวนทัศน์ใหม่ทางจิต จึงจะมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณขึ้นมาได้
....
ผู้เขียนขอรับรองว่า ท้ายที่สุดแล้ว ธรรมชาติระดับบนหรือ “ธรรมชาติที่สุดของธรรมชาติ” โลกจะต้องมีรูปแบบของสังคมรูปแบบใหม่ หรือยุคสมัยจิตวิญญาณโลกานุวัตร “โผล่ปรากฏ” ออกมา (หลังจากผ่านพ้นทางสองแพร่งแล้ว) ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าระบบสังคมใหม่ซึ่งเป็นระบบแห่งจิตวิญญาณที่จะต้องเกิดขึ้น (noosphere) ซึ่งนักคิดนักปรัชญาหลายคน รวมทั้งปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง และศรีอรพินโท จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ การเปลี่ยนแปลงทางจิตสู่จิตวิญญาณและยุคสมัยแห่งจิตวิญญาณโลกานุวัตร ต้องเกิดขึ้นและกระบวนทัศน์ใหม่จะต้องเกิดขึ้น เพราะว่าวัฏจักรของธรรมชาติ “เป็นไปเช่นนั้นของมันเอง”


:b32: :b9: :b9: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2012, 17:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


บทความนี้ตั้งแต่ปี 43

อ้างคำพูด:
จิตร่วมหากมากพอ - ช่วยโลกได้


หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

30 เมษายน 2543 กองบรรณาธิการ
คอลัมน์ - ความทรงจำนอกมิติ

บทความวันนี้จะพูดถึงความพยายามของคนจำนวนน้อยมากๆ จำนวนหนึ่ง ที่เชื่อว่าโลกกำลังก้าวสู่ความพินาศหายนะจากประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ และกับรูปแบบของสังคมเศรษฐกิจ และการเมืองที่เบี่ยงเบนไปจากธรรมชาติ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์แทบทุกคนเชื่อว่า ศตวรรษนี้จะเป็นศตวรรษที่ - หากเราไม่ช่วยกันทำอะไรเสียแต่ขณะนี้วันนี้ - มนุษยชาติจะต้องประสบกับความเจ็บปวดสูญเสียและความทุกข์ทรมานอย่างที่ ไม่เคยปรากฏมาก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนจำนวนน้อยทั่วทั้งโลกที่ว่านั้นเชื่อว่า หากว่าเรามาช่วยกันทำสมาธิหรือสวดภาวนาร่วมกัน ด้วยกระแสจิตที่ อบอุ่นดีงามเปี่ยมความรักความเมตตา ก็อาจสามารถจะให้พลังอำนาจให้ ความหมายอันลึกล้ำกับมนุษยชาติและกับโลก ที่จะยังความสงบสุขความ ปลอดภัยให้แก่มวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกได้

ในหนังสือเรื่องปรากฏการณ์ของมนุษย์ ปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง (Pierre Teihard de Chardin, The Phenomenon of Man, Revised English Ed.,1965) บอกว่าโลกนั้นนอกจากมีมิติหรือระนาบทางภูมิธรณี (geosphere) ที่อยู่บนผิวโลกและใต้ผิวโลกลงไป และไบโอสเฟียร์อันเป็นระนาบแห่งชีวิต (biosphere) ที่อยู่บนผิวโลกขึ้นไปถึงชั้นบรรยากาศโลกชั้นแรกแล้ว ก็ยังมีระนาบหรือชั้นแห่งจิตหรือวิญญาณ (noorsphere) ที่อยู่นอกสุดของ ชั้นบรรยากาศโลก

หากว่าเมื่อไรก็ตามที่จิตที่ดีงามสูงส่งมีพลังงานมากพอที่จะ จุดให้เกิดเป็นประกายแสงขึ้นในระนาบชั้นแห่งวิญญาณ “....ไม่ว่าที่จุดใดหาก ประกายแสงที่มีพลังพอได้ปรากฏขึ้น นั่นคือจุดกำเนิดของการระเบิดที่ต่อเนื่อง รุนแรงที่สุด ที่ในทันใดจะทำให้โฉมหน้าของโลกสว่างไสวไปทั่ว และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของโฉมหน้าใหม่ของโลก ” อย่าคิดว่านั้นเป็นวาทะของจักจิตนิยมธรรมดา เพราะเตยาไม่ใช่ธรรมดา นอกจากจะเป็นนักปรัชญาและเป็นนักบวช ในนิกายคาทอลิกแล้ว เตยายังเป็นนักโบราณคดีวิทยาศาสตร์และนักปฐพีวิทยา ระดับนำของโลกด้วย ที่ในปัจจุบันนี้นักวิชาการต่างยอมรับว่าเป็นปราชญ์ อัจฉริยะคู่กับศรีอรพินโธ

ประเด็นก็คือจะต้องเป็นพลังจิตเท่าไร จะต้องมีจำนวนคนมากน้อยแค่ไหน ถึงจะให้ประกายไฟพอที่จะก่อปฏิกิริยาลูกโซ่ของพลังจิตทำให้เกิด การระเบิดอย่างรุนแรงดังกล่าว จนทำให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงของโลกและ มนุษยชาติที่ว่าได้? นักปฏิบัติจิตและกูรูซาวรัสเซียที่มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้มีพลัง จิตอย่างแรงกล้าชื่อ เกิร์ดเย็ฟฟ์ (GI Gurdjieff) บอกว่าไม่จำเป็นต้องจำนวนมาก เพียงหนึ่งร้อยคนก็อาจเพียงพอที่จะให้ประกายที่จะก่อปฏิกิริยาลูกโซ่ได้ “ แต่ต้องเป็นการตรัสรู้ที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง ” ซึ่งทุกวันนี้เราสามารถจะค้นหาผู้ ตรัสรู้ผู้ได้นิโรธสมบัติเช่นนั้นได้ที่ไหน? นักฟิสิกส์และนักจิตวิทยาชื่อ ปีเตอร์ รัสเซลล์ เสนอว่า “ ทางเลือกก็คือหากว่าผู้ที่ปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงาม - ที่แม้ว่าจะไม่ถึงระดับตรัสรู้สักจำนวนหนึ่ง - ทำสมาธิร่วมกันโดยมีเป้า หมายต่อโลกต่อมนุษยชาติอย่างเดียวกัน ก็อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงระดับโลกได้” มหาฤาษีมเหศโยคีเองก็บอกเช่นนั้น และกล่าวว่า หากประชากรโลก เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ปฏิบัติสมาธิด้วยวิธีของท่าน (TM Sidhi) เป็นประจำทุก วันในเวลาเดียวกัน ก็จะสามารถโน้มนำให้มนุษยชาติโดยรวมมีวิวัฒนาการ ทางจิตสูงขึ้นได้ นั้นคืออรุณรุ่งสู่ “ยุคแห่งการรู้แจ้ง”

ด้วยทฤษฎีทางฟิสิกส์มี ผู้คำนวณออกมาได้ว่า พลังจิตในสมาธิจะให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สะท้อนไป มารอบผิวโลกในบรรยากาศชั้นสูงสุด โดยจะมีความถี่คลื่นเท่ากับความถี่คลื่น สะท้อนของคลื่นวิทยุที่มีความถี่ 7.5 Hz ด้วยความถี่ขนาดนี้ คลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าเมื่อได้วิ่งไปรอบโลกจนครบรอบและกลับมาถึงที่เดิม ก็จะพอดีกับรอบ ของคลื่นชุดต่อไป (in-phase) เช่นเดียวกับคลื่นจิตจากสมาธิของคนอื่นๆ ทำให้เกิดพลังสะท้อน (resonance) มีความเข้มขึ้นเรื่อยๆ จากสภาวะซ้อน ซ้ำของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในทุกๆ รอบ นั้นคือหลักการของการรวมความเข้ม ของแพ็กเกตของอนุภาคโฟตอนที่มารวมกันในการสร้างลำแสงเลเซอร์

นักฟิสิกส์คำนวณว่า ความแรงหรือความเข้มของคลื่นจะมีค่าเท่ากับผลรวม ของจำนวนคลื่นยกกำลังสอง นั้นก็คือ หากว่าเป็นคลื่นสองคลื่น ความเข้ม ของคลื่นก็จะมีค่าเท่ากับสี่เท่าของคลื่นแม่เหล็กคลื่นเดียว ดังนั้นหากเป็นคลื่น สิบคลื่นก็จะให้ความเข้มความแรงคลื่นเท่ากับหนึ่งร้อยเท่า (10 x 10)

เพราะฉะนั้นหากว่าคน 80,000 คน คิดอย่างใจจดใจจ่อ หรือคิดแผ่กระแส จิตให้เป็นความรักความเมตตาแก่ทุกสรรพสิ่ง หรือการสวดมนต์ทำสมาธิร่วมกัน ก็จะสามารถทำให้ชาวโลกทั้งหมด (80,000 x 80,000 = 6,400,000,000 คน) มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณได้ หรือสามารถยัง ความปลอดภัยให้แก่โลกได้ ไม่ว่าชาวโลกบางคนนั้นๆ จะเป็นคนเลวคนชั่วคนเล่เก๊ หรือคิดวุ่นวายไม่ได้เรื่องอย่างไร ต่างก็จะมีการปรับความคิดของตัว เองสู่ความรักความเมตตาพร้อมกันไปด้วย ซึ่งสุดท้ายก็จะแผ่เป็นความ ปรารถนาดีที่มีต่อโลกและต่อสรรพสิ่งทั้งหมด อย่าลืมว่าความคิดกระแสจิตก็ คือพลังงานก็คือคลื่นที่ทุกวันนี้สามารถพิสูจน์ได้บางส่วนแล้วว่า ส่วนหนึ่ง ของชีวพลังงานเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (BEM - Bioelectromanetic wave)

ดังนั้นเอง ผู้ห่วงใยโลกและมนุษยชาติถึงได้เชิญชวนให้เราหลายๆ คนมาร่วมปฏิบัติจิตด้วยกัน ปัจจุบันนี้มีคนจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ ที่มีการปฏิบัติสมาธิ มีการร่วมกันสวดมนต์ภาวนากันเป็นประจำวันแทบว่า ในทุกประเทศ คาร์ล จุง บอกว่า เราทุกคนมีศักยภาพของการมีจิตร่วมกันสื่อต่อกัน (synchronicity) ได้โดยไม่มีเวลาของอดีต - อนาคต จุงเล่าว่า ในช่วงสองสามปีก่อนที่นาซียึดครองเยอรมนีและยึดครองจิตร่วมของชาวเยอรมัน คนไข้จำนวนมากเหลือเกินมีลางสังหรณ์เกี่ยวกับความป่าเถื่อนความรุนแรง และความทรมานของมนุษยชาติที่ยุโรป ทุกวันนี้เหตุการณ์เช่นนั้นอาจอธิบายได้ด้วยความจริงทางแควนตัม

การสำรวจชาวอเมริกันเร็วๆ นี้พบว่า ร่วม 20 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่ได้ปฏิบัติสมาธิเป็นประจำ (Duane Elgin ; Global Consciousness Change, 1996) ที่แน่นอนย่อมชี้บ่งสภาวะจิตของผู้ ปฏิบัตินั้นๆ แม้ว่าการปฏิบัติที่มากขึ้นจะมีเป้าหมายอยู่ที่ตนเองหรือครอบครัว หรือจะต่างคนต่างทำ (random) แทนที่จะเป็นความปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์ ต่อสรรพสิ่งและต่อโลกทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่สามารถทำให้คลื่นพลังจิตมีความ เข้มข้นพอที่จะจุดประกายให้เกิดการระเบิด และให้การเปลี่ยนแปลงที่ลึกล้ำต่อ จิตวิญญาณของชาวโลกส่วนใหญ่ได้ ปีเตอร์ รัสเซลล์ บอกว่า แม้ผู้ปฏิบัติมี ถึงหนึ่งร้อยคนที่ให้พลังงานคลื่นหนึ่งร้อยคลื่น แต่หากต่างคนต่างทำ และเป้าหมายไม่ตรงกัน ก็จะมีค่าของความเข้มข้นไม่ถึงสิบคลื่น (Peter Russell ; Global Brain Awaken, 1996) แทนที่จะได้พลังงานที่มีความเข้มข้น ยกกำลังสอง (100 x 100)

ปัจจุบันมีสมาคมมีชมรมหรือองค์กรผู้ปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิเพื่อ มวลมนุษย์และสรรพสิ่ง รวมทั้งเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของโลกมากมาย ที่ทุกคนในโลกสามารถมีส่วนร่วมในเว็บไซต์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต โดยชมรมสมาคมเหล่านั้นต่างกำหนดเวลาและความยาวนานของการปฏิบัติ มากน้อยแตกต่างกันไป เช่นการทำจิตให้แน่นิ่งอยู่กับความเมตตาปรารถนาดี ต่อมนุษย์และสรรพสิ่งเป็นเวลานานครั้งละ 15 นาที ในช่วงเวลาเที่ยงวัน ของวันที่หนึ่งของเดือนในทุกๆ เดือน ที่ผู้เขียนร่วมด้วยเป็นครั้งคราว

มีอยู่องค์กรหนึ่งชื่อ “ ความรักความเมตตาเท่านั้นดำรงอยู่อย่างสถาพร ” ที่เชื้อเชิญให้ผู้สนใจตั้งจิตและภาวนาแต่ประโยคที่ว่านั้นซ้ำๆ (Only Love Prevails..Only Love Prevails...etc.) เป็นประจำเมื่อไรก็ได้ ซึ่งองค์กรดัง กล่าวเชื่อว่า ผลที่ได้มาจะต้องเป็นบวกหรือเป็นด้านดีงามอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นที่ ทอม ฮาร์ตแมน กล่าว “ยิ่งมีผู้ปรารถนาดีให้ความเมตตาให้อภัย มากเท่าไร ก็จะมีจำนวนคนที่มีความเมตตาให้อภัยเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น - ยิ่งมีคนปรารถนาความสงบแสวงหาความดีงามทางจิตใจมากเท่าไร ความสุขสงบความปลอดภัยก็จะเกิดแก่โลกมากขึ้นเท่านั้น” (Thom Hartmann, The Last Hours of Ancient Sunlight, 1999).


http://pad.fix.gs/index.php?topic=320.0


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 114 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร