วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 12:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 11 พ.ย. 2012, 04:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้ด้วยปัญญาที่เกิด ในทางพุทธศาสนา จะทำให้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในสัญญา (+...)หรือที่เรียกว่าความรู้ ในทางโลก

ยังยึดมั่น ก็แสดงว่า ยังไม่เกิด ปัญญา
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 12 พ.ย. 2012, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงเรียกว่าปัญญาเหมือนกัน แต่ปัญญาที่พระอรหันต์เรียก กับที่คนธรรมดาเรียก ย่อมต่างกัน
wink

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ย. 2012, 00:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2012, 00:24
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


ความรู้ เกิดปัญญา ทางโลก
ความจริง เกิดปัญญา ทางธรรม
ความว่าง เป็นการจบสิ้นท้้งทางโลกและทางธรรม


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ย. 2012, 05:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การหยิบยกเอาบัญญัติมาเล่นคำ แบบที่เพื่อนๆกำลังทำอยู่ มันก็ไม่ใช่ทั้งความรู้และปัญญา
มันเป็นได้แค่ความหลง อันประกอบด้วย โทสะและโมหะ

สาเหตุก็เพราะวิจิกิจฉา เป็นเพราะตัวเองไม่เข้าใจธรรม ก็เลยเกิดโทสะเกิดอัตตา
ปฏิเสธธรรมที่เห็น แล้วปรุงแต่งวาจาเป็นวจีทุจริต กระแน่ะกระแหน่ธรรม :b13:

ความรู้มันทำให้เกิดปัญญาได้ เขาเรียก....สุตตมยปัญญา

การที่จขกทตั้งกระทู้นี้ขึ้น มันเหมือนการประจานตัวเองในเรื่องธรรม
ที่สำคัญแสดงอัตตาที่แท้จริง ถ้ายังขืนมีอคติแบบนี้ ไม่ยอมรับธรรม
ไม่ยอมรับผู้อื่น ผมว่ายังอีกไกลหลายชาติครับกว่าจะเข้าใจ ประโยคที่ตัวเอามาตั้งกระทู้

เอาพุทธพจน์ไปอ่านเล่นๆ.....
เปรียบบุคคลด้วยดอกบัว ๓ เหล่า
[๕๑๑] ดูกรราชกุมาร ครั้นอาตมภาพทราบว่าท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนา และอาศัย
ความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ. เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ
ก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี
มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยาก
ก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัว
หลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ
บางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งขึ้น
พ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้น
ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี
มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยาก
ก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี. ดูกรราชกุมาร ครั้งนั้นอาตมภาพ
ได้กล่าวรับท้าวสหัมบดีพรหมด้วยคาถาว่า
ดูกรพรหม เราเปิดประตูอมตนิพพานแล้ว เพื่อสัตว์ทั้งหลาย
ผู้มีโสต จงปล่อยศรัทธามาเถิด เราสำคัญว่าจะลำบาก จึงไม่
กล่าวธรรมอันคล่องแคล่ว ประณีต ในมนุษย์ทั้งหลาย.
ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงเปิดโอกาส เพื่อจะแสดง-
*ธรรมแล้ว จึงอภิวาทอาตมภาพ ทำประทักษิณแล้ว หายไปในที่นั้นเอง.


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ย. 2012, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ความรู้" เป็นคำแปลตำว่า "ปัญญา" :b1: ปัญญา แปลว่า ความรู้ ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ฯลฯ
ความรู้ หรือปัญญา มีหลายขั้นหลายระดับ คือ มีทั้งที่เรียกว่า โลกียปัญญา และที่เรียกว่า โลกุตรปัญญา

สัญญา ก็มีทั้งอกุศลสัญญา และกุศลสัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 13 พ.ย. 2012, 20:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพาน เป็น สภาวะแบบใด ครับ


โพสต์ เมื่อ: 14 พ.ย. 2012, 02:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
"ความรู้" เป็นคำแปลตำว่า "ปัญญา" :b1: ปัญญา แปลว่า ความรู้ ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ฯลฯ

ถ้าจะตีความหมายคำว่า"ความรู้"คือ "ปัญญา" เราจะไม่เรียก ความรู้
จะต้องเรียกว่า "ตรัสรู้"

พระพุทธเจ้าค้นพบหนทางหลุดพ้นได้เอง แสดงว่า พระองค์มีปัญญาเกิดขึ้นก่อน
จึงเรียก สิ่งที่พระพุทธรู้ว่า ปัญญา

สรุปก็คือ ถ้าจะให้ความหมาย ความรู้คือปัญญา ความหมายนี้ใช้ได้แต่พระพุทธเจ้า

เราเป็นพุทธศาสนิกชนปฏิบัติโดยการนำเอา ความรู้หรือปัญญาของพระพุทธเจ้ามาใช้
เราจึงไม่สามารถเรียก ความรู้หรือปัญญาของพระพุทธเจ้าว่า ปัญญาได้
เป็นเพราะเราต้องนำเอาปัญญาของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติให้เกิดผลเสียก่อน

ดังนั้นความหมายของ"ความรู้" ที่ใช้กับสาวกของพระพุทธเจ้า จึงยังมิใช่ปัญญา
เราต้องนำความรู้นั้นไปปฏิบัติให้เกิดผลเสียก่อน จึงจะเรียกผลที่เกิดว่า ปัญญา

ที่กล่าวมาเข้าหลักของ...ปริยัติ...ปฏิบัติ...และปฏิเวธ
ปริยัติ คือ ปัญญาของพระพุทธเจ้า แต่เป็นความรู้ของเรา
ปฏิบัติ คือ การปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า
ปฏิเวธ คือ ผลที่เกิดเป็นปัญญาของเรา แต่เป็นความรู้หรือปัญญาของพระพุทธเจ้า

กรัชกายเห็นไปบ่นในห้องสมาธิ เรื่องความสำคัญของปริยัติ
จะบอกให้ ปริยัติไม่มีความสำคัญสำหรับพระพุทธเจ้า หรือกับปัจเจกพุทธเจ้า
เพราะท่านใช้ปัญญาของท่านเอง แต่ถ้าเป็นสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า
ปริยัติย่อมมีความสำคัญ เพราะเราต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธเจ้ามาเป็นความรู้
หรือมาเป็นปริยัติ

กรัชกาย เขียน:
ความรู้ หรือปัญญา มีหลายขั้นหลายระดับ คือ มีทั้งที่เรียกว่า โลกียปัญญา และที่เรียกว่า โลกุตรปัญญา

อยู่ดีไปเอาโลกียะมาปนกับโลกุตระให้มันวุ่นวายทำไม ปัญญาก็คือปัญญา
ความฉลาดก็คือความฉลาด ความโง่ก็คือความอ่อนด้อยของสมอง
ไม่มีปัญญาก็คือ ความไม่รู้
มันคนละเรื่องคนละความหมาย ดันเอามารวมกัน
แล้วให้ยศฐาบรรดาศักดิ์มันซะโก้เลย

กรัชกาย เขียน:
สัญญา ก็มีทั้งอกุศลสัญญา และกุศลสัญญา

มั่วอีกแล้ว จะบอกกรัชกายให้ สัญญาที่แปลว่า ความจำได้น่ะ
ไม่ได้หมายถึง ความจำในเรื่องเนื้อหาความคิด ความจำได้ในความหมาย
ของสัญญาคือ หมายรู้อารมณ์อันเกิดจากเวทนา ไม่ใช่จำได้ที่เกี่ยวกับสมอง

ในกระบวการขันธ์ สัญญาเป็นอาการของจิต ที่ไม่ได้เป็นทั้งกุศลและอกุศล
การจะเกิด กุศลและอกุศลได้จะต้องมีการปรุงแต่งของเวทนาและสัญญาจนเป็น.... จิตสังขาร


โพสต์ เมื่อ: 14 พ.ย. 2012, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
นิพพาน เป็น สภาวะแบบใด ครับ


หากต้องการรู้สภาวะของนิพพาน (แบบพุทธะขั้นสุดท้าย) ก็ต้องปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสคือราคะ โทสะ โมหะที่ครอบงำจิตใจให้เบาบางลง หรือ หมดไปโน่น เมื่อกิเลสหมดไปแล้ว หลังจากนั้น สภาวะของนิพพานก็ปรากฎ นั่นแหละสภาวะนิพพาน :b1: พอนึกออกไหมครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 14 พ.ย. 2012, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างวิหารลานเจดีย์ สร้างสะพาน ฯลฯ เลี้ยงอาหารเด็กอนาถา-คนชรา ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปิดทองฝังลูกนิมิต ฯลฯ ยังใช้ได้เสมอ :b12: และเป็นทางเลือกต้นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 14 พ.ย. 2012, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 10:41
โพสต์: 114

แนวปฏิบัติ: ลัทธินิยมความจริง
สิ่งที่ชื่นชอบ: เฒ่าทะเล
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความรู้คือความจำหรือประสบการณ์
ประสบการณ์ตรงคือความรู้ที่เราพบเจอด้วยตนเอง
ประสบการณ์ทางอ้อมคือความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของคนอื่น
ความรู้ยังถูกแบ่งเป็น ความรู้ที่เป็นจริง ความรู้ที่เป็นเท็จ ความรู้ที่เป็นจริงปนเท็จ(ใส่สีตีไข่)
ความรู้ที่ได้รับมาควรไตร่ตรองเสียก่อนไม่ว่าจะเป็นความรู้ของใครก็ตาม(กาลามสูตร)

ปัญญาคือการนำความรู้หรือประสบการณ์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
คนที่มีความรู้มากมายแต่นำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เราเรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
ดังนั้นความรู้ไม่ใช่ปัญญาแต่คนมีปัญญาต้องมีความรู้้


โพสต์ เมื่อ: 14 พ.ย. 2012, 16:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


แกงได เขียน:
ความรู้คือความจำหรือประสบการณ์
ประสบการณ์ตรงคือความรู้ที่เราพบเจอด้วยตนเอง
ประสบการณ์ทางอ้อมคือความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของคนอื่น
ความรู้ยังถูกแบ่งเป็น ความรู้ที่เป็นจริง ความรู้ที่เป็นเท็จ ความรู้ที่เป็นจริงปนเท็จ(ใส่สีตีไข่)
ความรู้ที่ได้รับมาควรไตร่ตรองเสียก่อนไม่ว่าจะเป็นความรู้ของใครก็ตาม(กาลามสูตร)

ปัญญาคือการนำความรู้หรือประสบการณ์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
คนที่มีความรู้มากมายแต่นำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เราเรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
ดังนั้นความรู้ไม่ใช่ปัญญาแต่คนมีปัญญาต้องมีความรู้้



:b17:


โพสต์ เมื่อ: 14 พ.ย. 2012, 17:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b10:

:b32:

เรื่องมีสาระเอกอนดูจะไม่ถนัดเรย ว๊าาาาาา

:b12:


โพสต์ เมื่อ: 14 พ.ย. 2012, 20:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 15 พ.ย. 2012, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความรู้และปัญญา แบ่งเป็นสองส่วน คือ ..

- โลกียะปัญญา
- โลกุตระปัญญา

ไอสไตน์ คิดค้น ทฤษฎีสัมพันธ์ภาพ หรือ E=MC^2
เรียกว่า โลกียะปัญญา

พระพุทธเจ้า ตรัสรู้อริยะสัจสี่ เรียกว่า โลกุตระปัญญา

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ย. 2012, 03:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างวิหารลานเจดีย์ สร้างสะพาน ฯลฯ เลี้ยงอาหารเด็กอนาถา-คนชรา ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปิดทองฝังลูกนิมิต ฯลฯ ยังใช้ได้เสมอ :b12: และเป็นทางเลือกต้นๆ

กรัชกายรบกวนหน่อยเด๊ะ ไปก็อปความเห็นเรื่องวิญญาณ สัญญาในเว็บของกรัชกาย
มาโพสที่เว็บธรรมจักร แล้วเราจะสาธยายให้ฟัง เราเห็นกรัชกายกำลังพุ่งลงเหวอยู่แล้ว :b32:

กล้าป่าว.... :b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร