วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 02:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 11:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


บ้านหนึ่งหลัง....
มีหลังคา...มีเสา...มีคาน..มีพื้น...มีประตูหน้าต่าง..มี..ฯลฯ

ต้องใช้..ตะปู..ใช้ปูน..ใช้เหล็ก...ใช้หินใช้ทราย..ฯลฯ

พอตอนลงมือสร้าง...ก็นำของเหล่านี้ที่เตรียมใว้แล้ว..มาใช้...

ของที่เตรียมใว้แล้ว..จะใช้ก็ใช้ได้ทันที...

ไม่ใช่จะทำเสา...แล้วจึงวิ่งไปหาหินทรายปูน

เมื่อเวลาพวกเราจะมาฆ่ากิเลส...ก็เช่นกัน

ตัวอย่างนะ...


พอเจอกามราคะ....จะต้องวิ่งไปพิจารณาอสุภะ..แล้วมันจะทันใช้งานหรอ??

ต้องเตรียมเอาใว้ก่อนซิ....

ว่างๆ ก็มั่นพิจารณาไป....สะสมวัตถุดิบไป...ทำให้พร้อม

พอผัสสะ....รู้กามราคะเกิด....ก็นำผลการพิจารณา....ว่าไม่เห็นมีอะไรสวย...มาใช้ได้เลย...

มันถึงจะทัน...(ทันก่อนที่มันจะตกตกกอนนอนก้นในจิต)

ในชีวิตประจำวัน...เราควรมั่น...พิจารณาข้อธรรมต่าง ๆ ..โดยเฉพาะ..ร่างกาย...ความตาย...กรรม

สะสมอาวุธเข้าใว้..เมื่อเจอศัตรูก็นำออกใช้ได้ทัน

ของจริง..มันอยู่ที่เจอกันซึ่งหน้า...ที่ฝึก ๆ มา...มันสนามซ้อม


ที่เขาว่า...อยู่กับปัจุบัน....ก็ตรงนี้แหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 14:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแนะนำการปฏิบัติของผมนะครับ อาจจะแปลกไปหน่อย

การปฏิบัิติของผม คือการปฏิบัติเพื่อเห็นความจริงครับ เอาไว้ไปด้ับความเชื่อ หรือ อวิชชา
คือการวิปัสสนาภาวนา (เจริญปัญญา) แล้วนำความรู้ีที่ได้เอาไปใช้ดับเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงครับ
ก่อนอื่นต้องรู้ที่มาของทุกข์ที่เกิดกับคนเราก่อนครับ
1. ทุกข์ธรรมชาติ ทุกข์นี้ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ครับ ห้ามไม่ให้แก่ ห้ามไม่ให้เจ็บ ห้ามไม่ให้ตายไม่ได้ครับ
คือทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
2. ทุกข์ที่เราสะสมเอง คือ ทุกข์ที่เกิดจากปัญหาต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นเอง ยากที่จะแก้เพราะเราสะสมมันทุกวินาทีแล้วเราไม่สะสาง หรือทำให้มันเบาบางลง การรู้ไม่เท่าทันสิ่งที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้เกิดความโลภ (พอใจ) ความโกรธ (ไม่พอใจ) ทำให้เกิดปัญหาต่้างๆตามมา สุดท้ายแก้ไม่ได้
ใจเราก็ทุกข์ตามมา คิดสั้นฆ่าตัวตายบ้าง

ถ้าหากท่านต้องการดับทุกข์ หรือเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงท่านก็ต้องเอาความจริงมาดับความเชื่อ หรือ ความไม่รู้ในตัวท่านให้หมด หรือเบาบางลงบ้าง ก็คือวิปัสสนาให้เห็นสภาพตามความเป็นจริงของโลกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยพิจารณาขันธ์ 5 ว่าไม่เที่ยง มีเกิด มีดับ ไม่มีตัวตน เราก็จะใช้ดับทุกข์ธรรมชาติได้ คือทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ เราก็จะไม่กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวแก่
ส่วนพิจารณาอินทรีย์ 6 ว่าไม่เที่ยง มีเกิด มีดับ เราใช้ดับทุกข์ที่เราสะสมได้ เอาไว้ดับ คือ โลภ โกรธ หลง ไม่ให้เกิดแล้วทุกข์สะสมก็จะไม่เกิดกับตัวเรา

การวิปัสสนาพิจารณาอินทรีย์ 6 ก็ให้พิจารณาสิ่งที่มากระทบเราทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การปฏิบัตินี้ทำได้ทุกเวลา ยกเว้นตอนหลับ ดำเนินให้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่กระทบไม่พิจารณา ยกตัวอย่าง
เห็นพัดลม พิจารณาพัดลมไม่เที่ยง เกิด ดับ (เกิดจากปัจจัยมารวมกัน สุดท้ายเก่า และชำรุด)
ได้ยินเสียง พิจารณาเสียงไม่เที่ยง เกิด ดับ (สุดท้ายเสียงก็หาย) กินข้าวได้รส พิจารณาว่ารสไม่เที่ยง เกิด ดับ (สุดท้ายรสก็หาย) ได้กลิ่น พิจารณาว่ากลิ่นไม่เที่ยง เกิด ดับ (สุดท้ายกลิ่นก็หาย) ถ้าทำอย่างนี้ได้ความพอใจ ไม่พอใจก็จะไม่เกิดกับตัวเรา นี่คือการฝึกให้เห็นความจริง เพื่อไม่ให้ความพอใจ ไม่พอใจ มาแทนที่

ยกตัวอย่างผู้ไม่วิปัสสนา คือ สมมุติมีคนมาด่าเรา
เสียง ผัสสะ หู > เราปรุงแต่งเสียง(จิต) > เกิดความไม่พอใจ>แสดงออกทางวาจา,กาย > ปัญหาตามมา > เข้าคุก > ทุกข์สะสม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติธรรม ในทางพุทธศาสนา แบ่งออกเป็น ๓ หลักใหญ่คือ
๑.การปฏิบัติธรรมโดยการ ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนข้อต่างๆด้วย กาย,วาจา,(หมายรวมถึงใจด้วย) ที่ข้าพเจ้าไม่เขียนว่า กาย วาจา ใจ ก็ด้วยเหตุที่ว่า พฤติกรรมการกระทำทุกชนิดของตัวบุคคล ล้วนเกิดจาก ใจและสมอง ถ้ารู้จักควบคุม ใจและสมอง พฤติกรรมการกระทำด้วย กาย และวาจา ย่อมดี ย่อมถูกต้อง ย่อมสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีได้ โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
๒.การปฏิบัติสมาธิ การปฏิบัติสมาธินี้จัดว่า เป็นการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรม อิทธิบาทสี่ และโดยอนุโลมจัดเป็นหลักธรรมข้อ "พรหมวิหารสี่" การปฏิบัติสมาธิ เป็นการฝึกศึกษา อบรม ขัดเกลา ให้รู้จักควบคุมใจและสมอง ในการปฏิบัติสมาธิตามหลักพุทธศาสนา จะมีข้อแนะนำให้ผู้ปฏิบัติได้รู้ว่า การปฏิบัติสมาธิล้วนต้องเป็นไปตามหลัก "ฌาน๔,๕"(ชาน) หมายความว่าถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติสมาธิ ก็จะเป็นไปตามหลัก "ฌาน"(ชาน) แต่ไม่มีข้อกำหนดกฏเกณฑ์ว่า แต่ละบุคคลจะเป็นอย่าง "ฌาน"(ชาน)ในทุกข้อ บางท่านอาจจะเกิดปรากฏการณ์เริ่มตั้งแต่ "ปฐมฌาน"(ฯชาน) แต่บางท่านก็อาจจะไม่เกิดอย่าง ปฐมฌาน อาจจะได้สมาธิ หรือปฏิบัติสมาธิได้เลย ก็เป็นได้ เมื่อท่านทั้งหลายสามารถปฏิบัติสมาธิได้ดีแล้ว ก็จะเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะที่ดีตามศักยภาพของบุคคลนั้นๆ เป็นผู้รู้จักควบคุมใจและสมอง อันทำให้เกิดเป็นธรรมแห่ง สัตบุรุษ นั่นก็คือ "สัปปุริสธรรม"(อันนี้ไปหาอ่านศึกษาเอาเองนะขอรับ) ตามมาด้วยเป็นอัตโนมัติ
๓.การปฏิบัติธรรมชั้นอริยบุคคล นั่นก็คือ การวิปัสสนา อันนี้ข้าพเจ้าไม่สอนขอรับ เอาเป็นว่า ถ้าคุณปฏิบัติตามข้อ ๑ และข้อ ๒ ก็เป็นการ ปฏิบัติวิปัสสนา รูปแบบหนึ่งขอรับ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
(ผู้เขียน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2012, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


นับตั้งแต่ครั้งแรกที่โพส เวลาก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว พอมีเวลาได้กลับมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเคยโพสไว้ อดจะละอายใจไม่ได้ นี่เราโพสอย่างนั้นจริงๆหรือนี่ เราในตอนนั้นคิด-พูดอย่างนั้นจริงๆหรือนี่

เห็นตัวเองสมัยก่อน ในคำพูดแต่ละโพส เต็มไปด้วยความอยากรู้ธรรม ความอยากก้าวหน้าในธรรม อยากได้ผล คาดหมายว่าผลต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่อ่านมา แต่ไม่รู้จักทำเหตุ

และยังเห็นความยึดมั่นในความรู้ของตัวเองที่อ่านที่จำมา เข้าใจผิดว่าตัวเองรู้ถูกแล้ว ในตอนนั้นตอบโต้หลายท่าน เพราะคิดว่าตัวเองเข้าใจถูกแล้ว พอมาวันนี้ มาอ่านแต่ละคอมเม้นท์ กลับกลายเป็นว่าเห็นด้วยกับที่หลายๆท่านพูด

ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านอีกครั้งที่แนะนำตักเตือน และขอโทษด้วย หากผมเคยได้ล่วงเกินท่านใดด้วยความอวดเก่งอวดดีของผม ผมยังขอโอกาสทุกท่านให้โปรดเมตตาตักเตือนผมเช่นเคย ตามที่ท่านเห็นสมควร

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นมากจริงๆ

ที่เขียนข้อความนี้ขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง ก็เพราะหวังว่ากรณีของผม อาจจะเป็นกรณีศึกษาของสหายธรรมท่านอื่นๆ ไว้ให้ท่านใช้ตรวจสอบใจท่านเอง

1. ท่านที่อยากได้ผล แล้วท่านทำอะไรอยู่ ท่านวาดวิมานในอากาศแบบที่ผมทำเมื่อก่อน หรือท่านสร้างเหตุเพื่อผลนั้น

2. ท่านที่อยากให้ธรรมทาน ท่านให้คนที่ต้องการ ให้เพราะอยากช่วยเหลือ หรือท่านให้เพื่อสนองความอยากแสดงธรรมของตัวเอง

3. ท่านที่คิดว่ารู้แล้วเข้าใจแล้ว ท่านรู้อะไร ท่านเข้าใจอะไร ถ้ารู้แล้วเข้าใจแล้วจริงท่านหายทุกข์จากเรื่องที่ท่านเข้าใจเด็ดขาดแล้วหรือยัง ถ้ายังทุกข์อยู่ ท่านเข้าใจถูกถึงที่สุดในเรื่องนั้นๆแล้วแน่หรือ

สุดท้ายทุกอย่างก็วกเข้ามาที่ใจเราเอง เป็นเรื่องการทำตัวเองให้มีความสุขขึ้น เป็นเรื่องตัวเราเองทั้งหมด

ในโอกาสนี้ก็อยากจะขอคำแนะนำต่อไปด้วย

ปัจจุบันนี้ผมมีความเห็นว่าเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของคนอื่นชัดเจน จนบางครั้งรู้สึกว่าตัวเองไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่นเลย ทำให้รู้สึกว่าหรือบางทีเราอาจจะเห็นแก่ตัวเกินไป จึงอยากทราบว่า เรื่องของตัวเอง-เรื่องของคนอื่น ควรจะทำอย่างไรจึงจะพอดี

ขอบคุณครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2012, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูละคร...แล้วย้อนดูตัว

ดูธรรมนอก....แล้วย้อนมาดูธรรมใน

โอปนยิโก...ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2012, 11:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันนี้ผมมีความเห็นว่าเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของคนอื่นชัดเจน จนบางครั้งรู้สึกว่าตัวเองไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่นเลย ทำให้รู้สึกว่าหรือบางทีเราอาจจะเห็นแก่ตัวเกินไป จึงอยากทราบว่า เรื่องของตัวเอง-เรื่องของคนอื่น ควรจะทำอย่างไรจึงจะพอดี

ความคิดเห็น ครับ

มีสตินะ ดูมันว่าคิดไปเรื่องกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นอกุศลก็อบรมมัน สอนมัน อย่าให้คิดแบบนั้น อย่าให้มันออกมาทางวาจา และกาย แล้ววางมันเสีย

วางมันโดยมาตามลมหายใจก็ได้ ดูกริยาทางกายทั่วตัวก็ได้ หรืออะไรก้ได้ ให้มันดับเร็ว แล้วแต่กุศโลบายของใคร

ดูมันให้เห็นว่า ไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ต้องอบรมมัน ทำให้มากๆ ครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2012, 03:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ปัจจุบันนี้ผมมีความเห็นว่าเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของคนอื่นชัดเจน จนบางครั้งรู้สึกว่าตัวเองไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่นเลย ทำให้รู้สึกว่าหรือบางทีเราอาจจะเห็นแก่ตัวเกินไป จึงอยากทราบว่า เรื่องของตัวเอง-เรื่องของคนอื่น ควรจะทำอย่างไรจึงจะพอดี

ความคิดเห็น ครับ

มีสตินะ ดูมันว่าคิดไปเรื่องกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นอกุศลก็อบรมมัน สอนมัน อย่าให้คิดแบบนั้น อย่าให้มันออกมาทางวาจา และกาย แล้ววางมันเสีย

วางมันโดยมาตามลมหายใจก็ได้ ดูกริยาทางกายทั่วตัวก็ได้ หรืออะไรก้ได้ ให้มันดับเร็ว แล้วแต่กุศโลบายของใคร

ดูมันให้เห็นว่า ไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ต้องอบรมมัน ทำให้มากๆ ครับ

:b8:

ทำได้จริงหรือครับ ผมว่าคำพูดของคุณเป็นคำพูดที่พยายามกลบเกลื้อน
ไม่อยากให้คนอื่นรู้กิเลสในใจตัวเองมากกว่าครับ....

ที่สอนคนอื่นทำได้หรือเปล่าครับ ผมถามหน่อย การโพสเนื้อหาส่อเสียด
กระทบกระเทียบชาวบ้าน คุณไม่รู้หรอกหรือว่า...มันเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับสิ่งที่คุณพูด
แบบนี้แถวบ้านผมเรียกว่า สักแต่ว่ามีปากครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2012, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าเป็น ดินจัดดิน หินจัดหิน

แท้จริงแล้ว เป็นอย่างเดียวกัน

แต่เนื่องจากปัญญายังไม่จ้าฉาน ความเห็นว่าต่างจึงยังมี

แต่เมื่อรู้ว่า ยังเห็นว่าต่าง นั่นแสดงว่าเจอป้ายชี้ประตูธรรม

ก็ให้ทำตามป้าย คือปล่อยผ่านความเห็นว่าต่าง ว่าเป็นเรา เป็นเขา ของเรา ของเขา

ระหว่างนี้จะทำอะไรดี?

เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป

ดังนั้น ก็เติมเหตุไปตามกำลังความสามารถ อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะนั้นๆ
ผลจะเป็นอย่่างไรก็ตามเหตุปัจจัย ธรรมดา

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron