วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 05:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
bigtoo เขียน:
ก็จะรู้ความจริงที่เหนือความจริง


คงหมายถึงความจริงที่ไม่ได้เห็นได้ด้วยตาหรือคิดเอา(จินตนาการ)แต่เป็นความจริงที่ประจักษ์แจ้งแก่จิตหรือสภาวะธรรมใช่ไหมครับ :b20:
นั้นแหละครับคือความจริงครับ ที่เห็นอยู่มายา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณbigtooเขียน

อ้างคำพูด:
ธรรมะนั้นมันไม่ได้อยู่แต่ในคัมภีร์หรอกครับพี่ ธรรมะอยู่ในชีวิตจริงตลอดอยู่ที่ประสบการณ์จริงๆประสบการณืจริงนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิปัสสนาแบบธรรมชาติคนที่ผ่านอะไรมามากๆแล้วนั้น ฟังธรรมะของพระพุทธองค์หน่อยเดียวก็เข้าใจได้แล้วสบายๆ บางคนเก่งเรื่องตามตำรา อันนี้เรื่องจริง แต่ก็ถืดว่าดีมากแล้ว เพราะสะสมไปเดี๋ยวก็จะเจอประสบการณ์เอง




ตรงนี้เห็นดวยกับคุณbigtooมากๆเลยค่ะ ความเข้าใจของเราน่ะค่ะ เราคิดว่าธรรมะนั้น
ถ้ารู้แต่ไม่ปฎิบัติเหมือนไม่เข้าถึงแก่นของธรรมะ (ไม่รู้ว่าพูดถูกหรือปล่าวน่ะค่ะ :b12: )
ทุกวันนี้ชีวิตก็เลยมีความสุข ก็เลยทำให้รู้ว่าความสุขทางใจนั้นหาได้ไม่ยากเลย :b1: :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณbigtooเขียน

อ้างคำพูด:
ธรรมะนั้นมันไม่ได้อยู่แต่ในคัมภีร์หรอกครับพี่ ธรรมะอยู่ในชีวิตจริงตลอดอยู่ที่ประสบการณ์จริงๆประสบการณืจริงนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิปัสสนาแบบธรรมชาติคนที่ผ่านอะไรมามากๆแล้วนั้น ฟังธรรมะของพระพุทธองค์หน่อยเดียวก็เข้าใจได้แล้วสบายๆ บางคนเก่งเรื่องตามตำรา อันนี้เรื่องจริง แต่ก็ถืดว่าดีมากแล้ว เพราะสะสมไปเดี๋ยวก็จะเจอประสบการณ์เอง




ตรงนี้เห็นดวยกับคุณbigtooมากๆเลยค่ะ ความเข้าใจของเราน่ะค่ะ เราคิดว่าธรรมะนั้น
ถ้ารู้แต่ไม่ปฎิบัติเหมือนไม่เข้าถึงแก่นของธรรมะ (ไม่รู้ว่าพูดถูกหรือปล่าวน่ะค่ะ :b12: )
ทุกวันนี้ชีวิตก็เลยมีความสุข ก็เลยทำให้รู้ว่าความสุขทางใจนั้นหาได้ไม่ยากเลย :b1: :b41: :b55: :b48:
ความสุขเกิดขึ้นได้ด้วยใจจริงๆคัรบ ไม่ต้องมีเหยื่อล่อ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 23:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สร้างคำพูดขึ้นมาให้ฟุ้งซ่านอีก "ความจริงที่เหนือความจริง" ความจริงน่ะมันสุดแล้ว ไม่มีอะไรที่เหนือความจริงอีกหรอก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสุขทางใจเกิดได้ แต่มันต้องมีเหตุคือการกระทำมาก่อน แล้วจะดับก็เพราะเหตุ ดูตัวอย่าง ทั้งเหตุและผล


ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ เลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่
ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร

ผมอ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรก คือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่
ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ
หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่า เวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่า ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นอัปปมัญญา ๔ แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณในทิศเบื้องหน้า จากนั้นก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ
กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่า กายหายไป คือไม่มีกาย

เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วย หรือ ความสุขนี้ดีกว่า ความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก (ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆ เพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คน (ส่วนใหญ่) ในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่า ลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปิติ คือ ปิติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือ มีความรู้พร้อมอยู่
จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน

หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=29.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 23:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอมองเห็นเหตุคือการกระทำและผลที่ได้รับ และการดับของผลมั้ย แล้วผลจะดับก็มีเหตุอีก มันอาศัยกันและกันเกิด อาศัยกันและกันดับ

มิใช่โผล่มาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ฉันยังงั้น ฉันยังงี้ เหมือนฟ้าผ่ากลางแดด :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 00:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 03:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
รำคาญ เป็นนิวรณ์ตัวหนึ่ง มีชื่อว่า อุทธัจจกุกกุกจะ แปลว่าฟุ้งซ่านรำคาญ ควรกำจัดเสีย

พอเริ่มก็มั้วแล้ว แค่นจะมาพูดโลกุตตระ อุทธัจจกุกกุกจะ แปลว่าฟุ้งซ่านน่ะใช่
แต่ไอ้รำคาญเอามาจากไหน ปากพูดฉอดว่าให้แยกธรรม แยกโลกีย์แยกโลกุตตระ

อีตานี่เอามาปนกันมั่วเลย ไปดูใหม่ซิว่า.....รำคาญมันเป็นอะไรในปรมัตถ์ :b32:


นี่แหละพูดกับคนไม่รู้ตำราเสียบ้าง ก็งี้แหละ อุทธัจจะ + กุกกุกจะ = อุทธัจจกุกกุจจะ

ถึงว่า พูดกับนักศึกษาครูพักลักจำ ซึ่งเปรียบไปเหมือนมวยทะเล หาหลักอะไรไม่มี มั่วไปเรื่อยแถมด้านอีกต่างหาก :b1:

ปากก็พูดให้แยกธรรม แล้วที่พูดมาถามหน่อยแยกเป็นมั้ย
ถ้าจะพูดแต่โลกุตตระ ต้องไปเน้นพูดแต่ปรมัตถ์ แล้วที่นู๋กรัชกายพูดมามันเป็นปรมัตถ์ตรงไหน

ดันบอกว่าอุทธัจจกุกกุจจะ หมาย ฟุ้งซ่านรำคาญ
เราโฮฮับบอก ฟุ้งซ่านนะใช่ แต่รำคาญไม่ใข่

ที่บอกว่า ใช่ ก็คือ...อุทธัจจะ เป็นความฟุ้งซ่าน
แต่กุกกุกจะ ไม่ใช่รำคาญ
"และรำคาญไม่ใช่ปรมัตถ์มันเป็นบัญญัติ"

พุทโธ่! ทำมาพูดให้แยกธรรม ตัวเองกลับเอาบัญญัติมามั่วปรมัตถ์เฉยเลย
ฟุ้งซ่านเป็นปรมัตถ์ รำคาญไม่ใช่ รำคาญเป็นบัญญัติ
ตัวปรมัตถ์ของกุกกุกจะ เขาเรียกว่า...ความเดือดร้อนใจ

จะดูความหมาย ของอุทธัจจกุกกุจจะ มันต้องไปดูเรื่อง จิต เจตสิก
ในทางปรมัตถ์ อุทธัจจะ กับกุกกุกจจะ มันเป็นอาการของจิต มีอุทธัจจะเป็นเหตุ
และมีกุกกุกจะเป็นผล
ถ้าจะพูดให้นู๋กรัชกายเข้าใจ ก็คือ อุทธัจจะหรือฟุ้งซ่านเป็นเหตุให้กุกกุกจะหรือความเดือนร้อนใจ
ที่นี่มาดูว่าความเดือดร้อนใจกับความรำคาญมันเหมือนกันมั้ย

ความเดือดร้อนใจ ความสับสนไม่รู้จะเอาอย่าไรดี ต่อเหตุหรือส่งที่เกิดในใจ
แต่ความรำคาญมันตรงตัวอยู่แล้วว่า จิตมันปฏิเสธต่อสิ่งที่เกิดในใจ


ถ้าจะพูดในเชิงของสมุทัย กุกกุกจะมีเหตุมาจาก รูปราคะ
ส่วนความรำคาญมีเหตุมาจาก ปฏิฆะ

พูดลงลึกไปอีก กุกกุกจะเป็นอาการของจิต ที่เป็นโมหะแต่อย่างเดียวโดยปราศจากโทสะหรือโลภะ
ส่วนความรำคาญมันเป็นบัญญัติที่ตั้งมาใหม่ ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นอากาของจิต
ที่เรียกว่าโทสะนั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
พอมองเห็นเหตุคือการกระทำและผลที่ได้รับ และการดับของผลมั้ย แล้วผลจะดับก็มีเหตุอีก มันอาศัยกันและกันเกิด อาศัยกันและกันดับ

มิใช่โผล่มาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ฉันยังงั้น ฉันยังงี้ เหมือนฟ้าผ่ากลางแดด :b1:
พี่กายเล่ามามีแคนี้เหรอที่พี่ทำอานาปานสติ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่บอกว่า ใช่ ก็คือ...อุทธัจจะ เป็นความฟุ้งซ่าน
แต่กุกกุกจะ ไม่ใช่รำคาญ
"และรำคาญไม่ใช่ปรมัตถ์มันเป็นบัญญัติ"


ขอความรู้ที่ว่า กุกกุกจะ ไม่ใช่รำคาญ เป็นบัญญัติ อุทธัจจะ เป็นปรมัตถ์

อธิบายความแตกต่างระหว่างอุทธัจจะ กับ กุกกุกจะ กิเลสสองตัวนี้ในแง่ปรมัตถ์กับบัญญัติดังกล่าวให้ดูเป็นขวัญตาหน่อยดิ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พอมองเห็นเหตุคือการกระทำและผลที่ได้รับ และการดับของผลมั้ย แล้วผลจะดับก็มีเหตุอีก มันอาศัยกันและกันเกิด อาศัยกันและกันดับ

มิใช่โผล่มาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ฉันยังงั้น ฉันยังงี้ เหมือนฟ้าผ่ากลางแดด :b1:
พี่กายเล่ามามีแคนี้เหรอที่พี่ทำอานาปานสติ


คห.ที่อ้างอิงมา เขาถามว่าเห็นสาระข้อความนี่ไหม

อ้างคำพูด:
ผมอ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรก คือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่
ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ
หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่า เวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่า ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นอัปปมัญญา ๔ แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณในทิศเบื้องหน้า จากนั้นก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ
กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่า กายหายไป คือไม่มีกาย

เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วย หรือ ความสุขนี้ดีกว่า ความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก (ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆ เพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คน (ส่วนใหญ่) ในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่า ลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปิติ คือ ปิติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือ มีความรู้พร้อมอยู่
จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน



เห็นเหตุแห่งการกระทำ และผลที่เกิดจากกระทำไหม ? ช่วยหยิบเหตุและผลของการปฏิบัติออกมาให้ดูหน่อยดิ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 06:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พอมองเห็นเหตุคือการกระทำและผลที่ได้รับ และการดับของผลมั้ย แล้วผลจะดับก็มีเหตุอีก มันอาศัยกันและกันเกิด อาศัยกันและกันดับ

มิใช่โผล่มาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ฉันยังงั้น ฉันยังงี้ เหมือนฟ้าผ่ากลางแดด :b1:
พี่กายเล่ามามีแคนี้เหรอที่พี่ทำอานาปานสติ


คห.ที่อ้างอิงมา เขาถามว่าเห็นสาระข้อความนี่ไหม

อ้างคำพูด:
ผมอ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรก คือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่
ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ
หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่า เวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่า ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นอัปปมัญญา ๔ แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณในทิศเบื้องหน้า จากนั้นก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ
กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่า กายหายไป คือไม่มีกาย

เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วย หรือ ความสุขนี้ดีกว่า ความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก (ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆ เพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คน (ส่วนใหญ่) ในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่า ลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปิติ คือ ปิติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือ มีความรู้พร้อมอยู่
จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน



เห็นเหตุแห่งการกระทำ และผลที่เกิดจากกระทำไหม ? ช่วยหยิบเหตุและผลของการปฏิบัติออกมาให้ดูหน่อยดิ :b1:
เหตุผลของการปฎิบัตินะครับ คือการที่เราได้รู้จักความจริงว่าอะไรคืออะไรนั้นจะทำให้เราได้เข้าใจว่ามันคืออะไรเราจะได้ใช้ชีวิตที่ถูกต้องและชีวิตที่ถูกต้องนั้นจะต้องทำอย่างไร ชีวิตที่ถูกต้องนั้นคือการดำเนินชีวิตที่จะต้องสลัดกำจัดความยึดมันถือมั่นในตัวตนให้หมดสิ้นเพื่อความหลุดพ้นจากวัฎฎะให้ได้นี่คือจุดหมายสูงสุด

และอะไรคือความจริงที่เราต้องรู้ ปัญญาสูงสุดที่เราจะต้องเข้าไปให้ถึงสภาวะนั้นคืออนิจจังทุกขังอนัตตา ซึ่งมีอยู่3ระดับ หนึ่งรับรู้จากการฟังและอ่านมา สองรับรู้จากการตรึกนึกคิดไตร่ตรองเอาด้วยหตุผลที่ได้ฟังมา สามรับรู้ได้โดยเข้าไปประจักษ์กับสภาวะแท้จริงทั้งนามและรูปหรือกายและจิตที่แท้จริง
ดังที่ได้กล่าวแล้ว

และอะไรคือขั้นตอนที่จะทำให้เราได้พบความจริงนั้นก็มีหลายทางแต่ละท่างก็ให้ผลซึ่งแตกต่างกันแต่ให้สาระเดียวกันคือเห็นไตรลักษณะเหมือนกันแต่ให้กำลังปัญญาที่แตกต่างกัน เป็นผลให้การกำจัดกิเลสได้แตกต่างกัน เพราะว่าการเข้าถึงสภาวะสูงสุดได้นั้นจะต้องอาศัยอินทรีย์5ที่แตกต่างกันตามแต่ละคนได้สะสมมา

การนั่งเป็นอริยบทใหญ่ให้พลังมากที่สุด ส่วนอริยบทอื่นเป็นอริยบทย่อยซึ่งต้องทำทุกอริยบทเพื่อให้สติสมบูรณ์ตลอดเวลา แต่ขาดอริยบทนั่งไม่ได้หรือถ้าไปเน้นอริยบทอื่นเป็นหลักก็ได้อย่างเช่นเดินจงกรม แต่ควรเน้นอริยบทนั่งเป็นหลักดีกว่าเพราะพระองค์ก็สั่งสอนสาวกประจำ นั่งตัวตรงดำรงสติให้มั่นฯ เหตุผลการนั่งสมาธิวิปัสนานั้นเพื่อวางอุเบกขา ทั้งสุข และทุกข์เพื่อความหลุดพ้นทั้งสุขและทุกข์ ในขณะที่นั่งนั้นจะมีความสุขที่ไม่สามารถหาจากที่ไหนได้คือความสุขในสมาธินั้นเอง และการนั่งสมาธินั้นก็จะมีความทุกข์ที่มากมายแต่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่มนุษย์เราจะทนได้สามารถพัฒนาให้ใจวางเฉยกับความพอใจและไม่พอใจทั้งหลายได้ เพราะชีวิตมนุษย์เราวนเวียนยึดเขาผลักออกกับสิ่งสองสิ่งนี้ตลอด

ถ้าเราสามารถวางใจทั้งสองอย่างทั้งสุขและทุกข์ได้ท่านก็จะได้พบกับสิ่งที่อยู่เหนือสุขและทุกข์สิ่งนั้นก็คือความว่างที่ไม่มีทั้งสุขและทุกข์อย่างแท้จริง เป็นอุเบกขาอย่างแท้จริงหมดทั้งโลภะโทษะ โมหะ นั้นคือเหตุผลว่าทำไม่เราถึงต้องนั่งวิปัสสนา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 15 ก.ย. 2012, 13:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน



นี่ครับจุดเริ่มต้นของสมาธิ ของสุขและของวิปัสสนา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน



นี่ครับจุดเริ่มต้นของสมาธิ ของสุขและของวิปัสสนา :b1:
เป็นผลสมาธิครับ เป็นความสุขที่ละเอียดขึ้นเท่านั้นเองต้องปล่อยวาง หรือจะเสพเพื่อความคุ้นเคยเรียกว่าเอาเป็นเครื่องอยู่ในปัจจุบันก็ได้ดีกว่าไม่มีเครื่องอยู่ปล่อยจิตวิ่งไปในกามาวจรครับ แต่หาใครจะทำได้ง่ายๆต้องพยายามทำเหมือนเราหาเงินนะครับต้องพยายาม เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติชนิตหนึ่งต้องแสวงหาสร้างให้เกิดได้ครับ ก็มีโทษเหมือนกันถ้าไม่ได้เรียนรู้อริยสัจมาก่อน แต่คนที่เรียนรู้อริยสัจเขาตัดได้ในเวลาสมควรตัด และเสพได้ในเวลาสมควรเสพครับ พระองค์ทรงสรรเสริญเรื่องฌาณมากมีหลายพระสูตรครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2012, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool ก็ไม่รู้ว่าศัพท์กุ๊กกุ๊กแปลว่าอะไรหรอกนะ

แต่เราคิดว่า ถ้าว่าในระดับกิเลส ความรำคาญเป็น การปรุงแต่ง ที่ต่อเนื่องมาจาก ปฏิฆะ การกระทบกระทั่งทางใจนะ

ควรมิควร ก็ต้องควร อิอิ :b13: :b13: :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 73 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร