วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 04:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
:b1:เดี๋ยวพิจารณาของผมก่อนว่าตัดตอนใหน ไม่ไคร่ชัดเจนนัก

รู้แต่ว่าเวลากระทบแล้วเกิดความคิดปรุงแต่งแล้วจิตเริ่มจมในความคิดจะตั้งไว้สติไม่ให้จิตจม

แล้วกำหนดรู้ เมื่อไม่ตามจม ความคิดนั้นก็ทำหน้าที่แล้วก็จบ ก็ไม่ทุกข์อะไร

ความคิดใหนมันหนักเิกิดปรุงเป็นอารมณ์ที่ยุ่งยาก ก็ขนสติปัญญามาช่วยสะสาง

แต่ยังไม่ทุกความคิดนะ มีแว่บบ้าง แต่พอประคองไปได้ ไม่ทุกข์เท่าไหร่

บางทีก็มีกระทบสภาวะธรรมบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ตามจังหวะชีวิต

แต่ไม่ได้กะเกณฑ์ อะไร ปล่อยไปตามจังหวะชีวิต

ตอนนี้มีแต่เรื่องลูกนี่แหละ ที่ต้องค้นต้องคิด ต้องขนธรรมมะมาช่วยปล่อยวางมากหน่อย

เดี๋ยวก็ผ่านไปตามกฏอนิจจัง s002
ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไมจบมันผ่านไปได้เสมอ แต่สำคัญตรงที่เราจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ต่างหากแม้ความทุกข์นั้นก็ไม่เหลือ คงเหลือแต่ความไม่รู้ที่จะไม่ให้ทุกข์ต่างหาก
หรือพูดง่ายเรายังดับการปรุงแต่งจริงๆไม่ได้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
มาทำความเข้าใจเรื่องกิจจญาณในข้อสมุทัยสัจกันให้มากๆ อะไรที่ควรละ ก็ตัณหา ก็กิเลสทุกอย่างนั้นแหละที่เราควรละ เมื่อละกิเลสได้แล้วตัวอุปาทานนั้นจะจางคลายไปเอง คนส่วนใหญ่แล้วมักจะคิดว่าไปที่อุปาทานเลยที่เดียว มันก็เลยเถิดกันไปใหญ่ มันไม่มีทางละอุปาทานได้หรอกครับ คราบใดยังไม่เข้าใจวิธี

มั่วได้มั่วดี มั่วไม่บันยะบันยัง บอกแล้วพูดธรรมอย่าพูดในลักษณะเหมือนคนกำลังอัพยา
มันต้องเน้นประเด็นธรรมที่จะพูด ไม่ใช่เป็นอย่างนี้ แบบนี้เขาเรียก ฟุ้งธรรมไร้สาระ ไร้แก่นสาร

แล้วมาเพ้อเจ้อละกิเลสตัวอุปาทานจะคลายจาง ถามหน่อยรู้จักกฎอิทัปปจยตามั้ย
สักแต่ว่าพูดแก้เหงา บอกให้หางานทำ ถ้าไม่ทำงานก็ให้ไปบวชก็ไม่เชื่อ :b32:
bigtoo เขียน:
ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน นี่แหล่ครับที่เรามักจะข้ามขั้นตอนที่ถูกต้องเพราะถ้อยคำในการเขียนอธิบายในกิจในอริยสัจข้อที่2(สมัทัย)มันตีความไว้ว่า ละตัณหา อุปาทานก็เลยกายเป็นไม่ละตัญหา ไปละอุปาทานกันทีเดียวเลย ต้องกลับไปดูที่เหตุเกิดอุปาทาน ตรงนี้นักปฎิบัติก็เลยเสพแบบไม่มีอุปาทานกันมาก

ผมว่าสิ่งที่บิกทู่พูดมันไม่ได้ละหรอกครับ ผมว่ามันจะเละซะล่ะมากกว่า
กิเลสตัณหา มันก็อยู่ส่วนของมัน ไม่อยากมีกิเลสก็อย่าไปข้องแวะกับมัน
ต่างคนต่างอยู่

พูดมาได้ละตัณหา ถ้าพูดถึงการละตัณหา ไม่ใช่ทำให้ตัณหาหมดไป
แต่ต้องไปปฏิบัติ ในส่วนของมรรค นั้นคืออริยมรรคมีองค์แปด
ต้องทำให้อวิชากลายเป็นวิชชา

ที่บิกทู่มาพูดจาแบบนี้ เป็นเพราะบิกทู่ยังไม่เขาใจหลักธรรมเบื้องต้น
นั้นก็คือยังไม่รู้ว่า..อริยสัจจ์สี่คืออะไร ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้จักว่า กิเลสคืออะไร
จึงทำให้ปฏิบัติผิดที่ผิดทาง

ไม่ต้องพูดถึงธรรมที่สูงเลย กะอีแค่ตั้งชื่อกระทู้
ยังไม่เข้าใจความหมาย กระทู้ชื่อหนึ่ง แต่คำอธิบายดันไปพูดอีกเรื่อง
พูดเรื่องผิด แถมเนื้อหาในเรื่องก็ผิดอีกต่างหาก ผิดซ้ำผิดซาก
แบบนี้ผมถึงได้บอกว่าจขกท "มั่วจนเละ"


กิจญาณ.....หมายถึงญาณหรือปัญญาหยั่งรู้กิจในอริยสัจจ์
กิจในอริยสัจจ์ก็คือคืออริยมรรคมีองค์แปด จขกทเอากิเลสตัณหา
มาละเลงอริยสัจจ์สี่ซะเลอะเทอะไปหมด :b32:

bigtoo เขียน:
ถึงจะบรรยายธรรมตามตัวหนังสือกันเก่งสักเท่าใดมันก็เป็นการละเล่นทางเชาว์ปัญญากันเท่านี้นเอง เจาะลงไปไม่ถึงรากเหง้าของกิเลส ตรงนี้จะไม่มาทางเห็นจิตใจตังเองที่แท้จิง และจะไม่สามารถทนการยั่วต่อกิเลสไ้ด้แท้จริง จะทนได้นิดหน่อยก็ยอมแพ้มันในที่สุด

มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่เขาบรรยายธรรมจนจขกทเข้าใจไปว่า บรรยายธรรมตามตัวหนังสือ
เป็นเพราะจขกท เป็นคนไม่แตกฉานในปริยัติ ไร้ซี่งปัญญาในการพิจารณาธรรม
มันจึงทำให้หลงผิด คิดว่าการพูดธรรมในลักษณะพูดไปเรื่อย สร้างภาพจินตนาการยกยอตัวเอง
เป็นการพูดธรรมที่ถูกต้อง ที่ไหนได้ผู้ฟังเขามองจขกทเป็น พวกขี้โม้ เป็นอรหันต์ด้วยปาก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 03:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ตั้งใจเลิกเสพกามทั้งหมด เลิกไม่ได้ก็ให้ลด จากมากก็ให้เหลือน้อยโดยใช้วิธีกำหนดว่าสมควรจะทำอะไรกี่ครั้ง ทำอะไรได้บ้าง หรือขีดเส้นให้เราเดิน เราจะได้ให้กิเลสมีทางเิดินแคบลงก่อน ดูทีวีจะดูได้ตอนไหน ดูอะไรได้บ้าง เลิกได้เลิกเลย เรื่องเที่ยวนี้งดได้งดเลย เรื่องกิน กินอย่าให้เกินสัก2มื้อเท่านั้น เรื่องเสพเมถุน ถ้ายังเลิกไม่ได้เพราะมีภรรยากำหนดวันให้น้อยลง

มันมีด้วยหรือเลิกเสพกาม กามคืออะไร เมถุนคืออะไร จขกทยังมั่วเลย
จะเลิกเสพกาม ก็ต้องเลิกใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะทั้งหมดที่กล่าวมา
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเสพกาม ไม่ทราบว่าจขกททำได้มั้ย
แต่ผมว่าจขกท พูดไม่คิดซะมากกว่า
bigtoo เขียน:
ถ้าไม่มีภรรยา กำหนดเลยเดือนละกี่ครัง เอาให้น้อยที่สุด ผมเิคยกำหนดที่ละหลายๆเดือน บางครั้งสามเดือน บางครั้งหกเดือน บางครั้งเก้าเดิอน พอเรารู้วิธีหรือลูกล่อลูกชนมันได้แล้ว พอดีภรรยาบอกไม่อยากยุ่ง ผมตั้งใจตลอดชีวิตเลย และจะได้รู้ว่าเรายังข้ามอะไรไปได้จริงหรือไม่ได้จริง

เอาเรื่องกิเลสกับศีลมาปนกันยุ่งไปหมด ไอ้ศีลที่คุณว่า ดูแล้วเหมือนกับพวกชีเปลือยถือศีล
ความหมายก็คือ จะเป็นพระก็ไม่ใช่จะเป็นนักบวชก็ไม่เชิง

ปากคุยโม้คุยโตว่า ตัวเองถือศีลแปด แต่ดูเนื้อหาที่คุยมันเกี่ยวกับศีลแปดตรงไหน
ถามหน่อยเข้าใจเรื่องศีลข้อสามในศีลแปดมั้ย ที่ว่าด้วย...อพรหมจริยา เวรมณี
และเข้าใจเรื่องศีลข้อเจ็ดในศีลแปดที่ว่าด้วย........
นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี


อยู่กินนอนกับผู้หญิงในฐานะผัวเมีย ถึงจะไม่เสพเมถุนก็ตามเถอะ
มันผิดศีล ในเรื่องพรหมจริยาหรือเปล่า
และศีลข้อเจ็ดที่ห้ามดูการเล่นที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ถามหน่อยบิกทู่เข้าไปดูเว็บโป๊
มันไม่ผิดศีลข้อนี้หรอกหรือ
บิกทู่ถ้าจะแถสร้างเรื่องกลับมา....จงอย่าลืมเอาใส่สมองไว้ว่า ศีลเป็นข้อห้าม
ทำก็คือทำ เขาห้ามทำก็คือห้ามทำไม่ว่ากรณีใดๆ(กันไว้ก่อนสำหรับคนชอบแถ :b32: )

bigtoo เขียน:
เอาแบบดูกำลังตัวเองก่อนต้องคิดว่าเรามีกำลังเยอะก่อนนะ อย่าคิดว่าเรามีกำลังน้อย ทำไม่ได้ก็ลดลงมา คนส่วนใหญ่่แล้วชอบทำน้อยก่อน ถ้าทำได้ค่อยๆพัฒนาให้มากขึ้นเรื่อยๆมันก็เลยไม่ไปถึงไหน นี่คือหลักการดำเนินชีวิตที่ต้องกำหนดไม่งั้นเราไม่รู้หรอกว่ากิเลสมันเล่นงานเราตอนไหน หรือง่ายๆสุดดูวินัยพระนั้นแหล่ะเอาให้ได้มากที่สุด ไม่ได้หวงห้ามไว้แต่พระหรอกครับ
และมีขบวนการอีกอย่างคือวิธีปฎิบัติภาวนา อันนี้ขอบอกตรงๆนะมันยากมากที่จะอธิบายแต่ไม่ยากที่จะปฎิบัติ ถ้าไม่รังเกลียดขอแนะนำหลักสูตร10วันของอาจารย์โกเอ็นก้า จะได้ผลสุด

ผมว่าเริ่มแรกจขกท ไปทำตัวให้มันอยู่ในกรอบคำสอนของพุทธองค์ไม่ดีกว่าหรือ
ตัวเองยังไม่รู้เรื่อง ยังมีหน้ามาแนะคนโน้นคนนี้ให้ชาวบ้าน ผมว่าคุณเหมาะที่จะให้ชาวบ้าน
แนะนำมากกว่าครับ

ให้อีตากรัขกายแนะนำก็ได้ จะชวนกันไปทำสังฆทาน
หรือไปฝังลูกนิมิตรวัดไหน ถ้าจะให้ดีไปล้างส้วมวัดก็ได้บุญดีเหมือนกันน่ะบิกทู่ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:

เมื่อผมนั่งสมาธิพิจารณาธรรมทั้งหลายมันก็เป็นไปตามนั้นร้อนเกิดขึ้นก็หาย เสียงอะไรเิกิดขึ้นก็หาย อะไรๆเกิดขึ้นก็ดับไปไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วไม่มีไม่ดับเลย ก็เข้าใจได้ดี แต่ดันมาสงสัย เขาว่าร่างกายไม่มีตัวตนเป็นขันต์5 รูป เวทนา สัญา สังขาร วิญญาณก็พอเข้าใจได้ แต่ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นตัวตนก็ยังไม่หายสงสัย ไอ้เจ็บนี้ก็เจ็บไม่เห็นมันหายไปสักที่ต้องเปลี่ยนอริยบทถึงหาย มันง่ายไปหรือเปล่า ดันไปนึกถึงคำพูดของอาจารย์พุทธทาส นั้งไปเลยครั้งเดียวใ้มันรู้ไปเลยที่สุดมันเป็นยังไง และหลวงพ่อจรัญ บอกนิพพานอยู่หลังความตาย

ไอ้เราก็ถ้าไม่สุดก็ไม่ใช่เราซะด้วย มันต้องลองกันสักตั้งแล้วจะได้หายสงสัย ตายเป็นตายวะ ก็พบทั้งหมด

อยู่ตรงนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเกิดในมโนทวาร มันเจ็บที่สุดดูมันมันมีเจ็บกว่านี้อีกมั้ย หน้าเขียวหน้า

ดำเลย สุดท้าย กายมันไม่ได้แตกทางร่างกายจริงๆหรอกครับ มันไปแตกในมโนทวารให้เ็ห็นฉีกขาดจากกัน

สลายเป็นความว่างไม่มีอะไรเหลือ ก็เข้าสู้สูญญาตาโลกไม่มีเหลือในมโนทวารปรากฎเป็นภาพว่างเปล่าอธิบาย

ได้แค่นี้แหละ ไม่รู้จะเข้าใจหรือเปล่า ความสงสัยทั้งหมดจบสิ้นไม่มีเหลือ



วิธีทำของน้อง big และของสำนักนี้ เป็นอัตตกิลมถานุโยค เป็นวิธีของฤษีชีไพรเป็นโยคะ สัมมาปัญญาไม่เกิด พูดให้เห็นภาพก็คือน้อง big ก้มหน้าก้มตาดันหงุดๆแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ พอเข้าใจมั้ยครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bigtoo เขียน:

เมื่อผมนั่งสมาธิพิจารณาธรรมทั้งหลายมันก็เป็นไปตามนั้นร้อนเกิดขึ้นก็หาย เสียงอะไรเิกิดขึ้นก็หาย อะไรๆเกิดขึ้นก็ดับไปไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วไม่มีไม่ดับเลย ก็เข้าใจได้ดี แต่ดันมาสงสัย เขาว่าร่างกายไม่มีตัวตนเป็นขันต์5 รูป เวทนา สัญา สังขาร วิญญาณก็พอเข้าใจได้ แต่ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นตัวตนก็ยังไม่หายสงสัย ไอ้เจ็บนี้ก็เจ็บไม่เห็นมันหายไปสักที่ต้องเปลี่ยนอริยบทถึงหาย มันง่ายไปหรือเปล่า ดันไปนึกถึงคำพูดของอาจารย์พุทธทาส นั้งไปเลยครั้งเดียวใ้มันรู้ไปเลยที่สุดมันเป็นยังไง และหลวงพ่อจรัญ บอกนิพพานอยู่หลังความตาย

ไอ้เราก็ถ้าไม่สุดก็ไม่ใช่เราซะด้วย มันต้องลองกันสักตั้งแล้วจะได้หายสงสัย ตายเป็นตายวะ ก็พบทั้งหมด

อยู่ตรงนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเกิดในมโนทวาร มันเจ็บที่สุดดูมันมันมีเจ็บกว่านี้อีกมั้ย หน้าเขียวหน้า

ดำเลย สุดท้าย กายมันไม่ได้แตกทางร่างกายจริงๆหรอกครับ มันไปแตกในมโนทวารให้เ็ห็นฉีกขาดจากกัน

สลายเป็นความว่างไม่มีอะไรเหลือ ก็เข้าสู้สูญญาตาโลกไม่มีเหลือในมโนทวารปรากฎเป็นภาพว่างเปล่าอธิบาย

ได้แค่นี้แหละ ไม่รู้จะเข้าใจหรือเปล่า ความสงสัยทั้งหมดจบสิ้นไม่มีเหลือ



วิธีทำของน้อง big และของสำนักนี้ เป็นอัตตกิลมถานุโยค เป็นวิธีของฤษีชีไพรเป็นโยคะ สัมมาปัญญาไม่เกิด พูดให้เห็นภาพก็คือน้อง big ก้มหน้าก้มตาดันหงุดๆแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ พอเข้าใจมั้ยครับ :b1:
นี่แหล่ะครับที่คนมักจะกลัวกันแล้วบอกว่าเป็นอัตตกิละ มันไม่ใช่การทรมานตนหรอกครับคนละเรื่องกันไม่ใช่การไปนั่งบนตะปู ยืนกินแดดกิรลม แช่น้ำอะไรบ้าๆบ่อ ก็เลยไม่เจอของดี และส่นนี้เป็นส่วนที่ผมปฎิบัติเอง ไม่เกี่ยวกับการสอนของสำนักปฎิบัติใดๆ มันเป็นการที่เราสงสัยขึ้นมาในใจเอง เลยหายสงสัยทั้งหมดทั้งสิ้นเดินหน้าลุย ไม่มีกิจไหนให้น่าธรรมยิ่งกว่าการเดินออกจากวัฎฎะสงสาร .บทอธิฐานความเพียรอีกพระองค์แสดงเพื่ออะไรภิกษุ ท ! เรายังรู้สึกได้อยู่ซึ่งธรรม ๒ อย่าง คือความไม่รู้จักอิ่ม จักพอ (สันโดษ) ในกุศลธรรมทั้งหลาย และ ความเป็นผู้ไม่ถอยกลับ(อัปปฏิวานี)ในการทำ ความเพียร.
ภิกษุ ท ! เราย่อมตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการ อธิษฐานจิต) ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบากบั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว จักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้
ภิกษุ ท ! การตรัสรู้เป็นสิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท อนุตตรโยคักเขมธรรม ก็เป็น สิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท.
ภิกษุ ท ! ถ้าแม้พวกเธอ พึงตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการอธิ ฐานจิต)ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือด แห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบาก บั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้วจักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้ แล้วไซร้;
ภิกษุ ท ! พวกเธอก็จักกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า อันเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรผู้ออก บวชจากเรือนเป็นผู้ไม่มีเรือนโดยชอบ, ได้ต่อกาลไม่นานในทิฏฐธรรม เข้าถึงแล้ว แลอยู่ เป็นแน่นอน.

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
มาทำความเข้าใจเรื่องกิจจญาณในข้อสมุทัยสัจกันให้มากๆ อะไรที่ควรละ ก็ตัณหา ก็กิเลสทุกอย่างนั้นแหละที่เราควรละ เมื่อละกิเลสได้แล้วตัวอุปาทานนั้นจะจางคลายไปเอง คนส่วนใหญ่แล้วมักจะคิดว่าไปที่อุปาทานเลยที่เดียว มันก็เลยเถิดกันไปใหญ่ มันไม่มีทางละอุปาทานได้หรอกครับ คราบใดยังไม่เข้าใจวิธี

มั่วได้มั่วดี มั่วไม่บันยะบันยัง บอกแล้วพูดธรรมอย่าพูดในลักษณะเหมือนคนกำลังอัพยา
มันต้องเน้นประเด็นธรรมที่จะพูด ไม่ใช่เป็นอย่างนี้ แบบนี้เขาเรียก ฟุ้งธรรมไร้สาระ ไร้แก่นสาร

แล้วมาเพ้อเจ้อละกิเลสตัวอุปาทานจะคลายจาง ถามหน่อยรู้จักกฎอิทัปปจยตามั้ย
สักแต่ว่าพูดแก้เหงา บอกให้หางานทำ ถ้าไม่ทำงานก็ให้ไปบวชก็ไม่เชื่อ :b32:
bigtoo เขียน:
ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน นี่แหล่ครับที่เรามักจะข้ามขั้นตอนที่ถูกต้องเพราะถ้อยคำในการเขียนอธิบายในกิจในอริยสัจข้อที่2(สมัทัย)มันตีความไว้ว่า ละตัณหา อุปาทานก็เลยกายเป็นไม่ละตัญหา ไปละอุปาทานกันทีเดียวเลย ต้องกลับไปดูที่เหตุเกิดอุปาทาน ตรงนี้นักปฎิบัติก็เลยเสพแบบไม่มีอุปาทานกันมาก

ผมว่าสิ่งที่บิกทู่พูดมันไม่ได้ละหรอกครับ ผมว่ามันจะเละซะล่ะมากกว่า
กิเลสตัณหา มันก็อยู่ส่วนของมัน ไม่อยากมีกิเลสก็อย่าไปข้องแวะกับมัน
ต่างคนต่างอยู่

พูดมาได้ละตัณหา ถ้าพูดถึงการละตัณหา ไม่ใช่ทำให้ตัณหาหมดไป
แต่ต้องไปปฏิบัติ ในส่วนของมรรค นั้นคืออริยมรรคมีองค์แปด
ต้องทำให้อวิชากลายเป็นวิชชา

ที่บิกทู่มาพูดจาแบบนี้ เป็นเพราะบิกทู่ยังไม่เขาใจหลักธรรมเบื้องต้น
นั้นก็คือยังไม่รู้ว่า..อริยสัจจ์สี่คืออะไร ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้จักว่า กิเลสคืออะไร
จึงทำให้ปฏิบัติผิดที่ผิดทาง

ไม่ต้องพูดถึงธรรมที่สูงเลย กะอีแค่ตั้งชื่อกระทู้
ยังไม่เข้าใจความหมาย กระทู้ชื่อหนึ่ง แต่คำอธิบายดันไปพูดอีกเรื่อง
พูดเรื่องผิด แถมเนื้อหาในเรื่องก็ผิดอีกต่างหาก ผิดซ้ำผิดซาก
แบบนี้ผมถึงได้บอกว่าจขกท "มั่วจนเละ"


กิจญาณ.....หมายถึงญาณหรือปัญญาหยั่งรู้กิจในอริยสัจจ์
กิจในอริยสัจจ์ก็คือคืออริยมรรคมีองค์แปด จขกทเอากิเลสตัณหา
มาละเลงอริยสัจจ์สี่ซะเลอะเทอะไปหมด :b32:

bigtoo เขียน:
ถึงจะบรรยายธรรมตามตัวหนังสือกันเก่งสักเท่าใดมันก็เป็นการละเล่นทางเชาว์ปัญญากันเท่านี้นเอง เจาะลงไปไม่ถึงรากเหง้าของกิเลส ตรงนี้จะไม่มาทางเห็นจิตใจตังเองที่แท้จิง และจะไม่สามารถทนการยั่วต่อกิเลสไ้ด้แท้จริง จะทนได้นิดหน่อยก็ยอมแพ้มันในที่สุด

มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่เขาบรรยายธรรมจนจขกทเข้าใจไปว่า บรรยายธรรมตามตัวหนังสือ
เป็นเพราะจขกท เป็นคนไม่แตกฉานในปริยัติ ไร้ซี่งปัญญาในการพิจารณาธรรม
มันจึงทำให้หลงผิด คิดว่าการพูดธรรมในลักษณะพูดไปเรื่อย สร้างภาพจินตนาการยกยอตัวเอง
เป็นการพูดธรรมที่ถูกต้อง ที่ไหนได้ผู้ฟังเขามองจขกทเป็น พวกขี้โม้ เป็นอรหันต์ด้วยปาก :b32:
ผมว่าคุณไปเรียนนักธรรมเอกใหม่ดีกว่าอย่ามาบรรยายธรรมเลย เนื้อธรรมมันต้องคนเข้าใจจริง พวกตาขาวมันบรรยายไม่ได้หรอก กิจจญาณเป็น1ในญาณทั้ง3 และหน้าที่ในแต่ละหน้าที่ก็ต่างกัน เช่นทุกข์ควรกำหนดรู้ รู้แล้วทำไง(กูไม่เอากับมึงแล้วโวยมันต้องเกิดอาการอย่างนี้เขาเรียกว่ารู้ทุกข์ ข้อ2 หน้าที่ในสมุทัย คือควรละ อะไรควร ก็ความอยากไง อยากได้ อยากมี ฯ และง่ายๆสั้น กิเลสตัณหาไง (มึงกับกูต้องอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้วชาตินี้มันต้องอย่างนี้) ข้อ3นิโรธ ควรทำให้แจ้ง ข้อ4มรรค ควรทำให้เจริญขึ้นตรงนี้แหละคือวิธีดำเนินชีวิต ก็เอาข้อสมุทัยที่เป็นต้นต่อนั้นและมาลงตรงนี้พร้อมกับการปฎิบัติ ตรงนี้ถ้าปฎิบัติผิดก็ออกทะเลเหมือนพี่โฮนะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 05:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ตั้งใจเลิกเสพกามทั้งหมด เลิกไม่ได้ก็ให้ลด จากมากก็ให้เหลือน้อยโดยใช้วิธีกำหนดว่าสมควรจะทำอะไรกี่ครั้ง ทำอะไรได้บ้าง หรือขีดเส้นให้เราเดิน เราจะได้ให้กิเลสมีทางเิดินแคบลงก่อน ดูทีวีจะดูได้ตอนไหน ดูอะไรได้บ้าง เลิกได้เลิกเลย เรื่องเที่ยวนี้งดได้งดเลย เรื่องกิน กินอย่าให้เกินสัก2มื้อเท่านั้น เรื่องเสพเมถุน ถ้ายังเลิกไม่ได้เพราะมีภรรยากำหนดวันให้น้อยลง

มันมีด้วยหรือเลิกเสพกาม กามคืออะไร เมถุนคืออะไร จขกทยังมั่วเลย
จะเลิกเสพกาม ก็ต้องเลิกใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะทั้งหมดที่กล่าวมา
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเสพกาม ไม่ทราบว่าจขกททำได้มั้ย
แต่ผมว่าจขกท พูดไม่คิดซะมากกว่า
bigtoo เขียน:
ถ้าไม่มีภรรยา กำหนดเลยเดือนละกี่ครัง เอาให้น้อยที่สุด ผมเิคยกำหนดที่ละหลายๆเดือน บางครั้งสามเดือน บางครั้งหกเดือน บางครั้งเก้าเดิอน พอเรารู้วิธีหรือลูกล่อลูกชนมันได้แล้ว พอดีภรรยาบอกไม่อยากยุ่ง ผมตั้งใจตลอดชีวิตเลย และจะได้รู้ว่าเรายังข้ามอะไรไปได้จริงหรือไม่ได้จริง

เอาเรื่องกิเลสกับศีลมาปนกันยุ่งไปหมด ไอ้ศีลที่คุณว่า ดูแล้วเหมือนกับพวกชีเปลือยถือศีล
ความหมายก็คือ จะเป็นพระก็ไม่ใช่จะเป็นนักบวชก็ไม่เชิง

ปากคุยโม้คุยโตว่า ตัวเองถือศีลแปด แต่ดูเนื้อหาที่คุยมันเกี่ยวกับศีลแปดตรงไหน
ถามหน่อยเข้าใจเรื่องศีลข้อสามในศีลแปดมั้ย ที่ว่าด้วย...อพรหมจริยา เวรมณี
และเข้าใจเรื่องศีลข้อเจ็ดในศีลแปดที่ว่าด้วย........
นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี


อยู่กินนอนกับผู้หญิงในฐานะผัวเมีย ถึงจะไม่เสพเมถุนก็ตามเถอะ
มันผิดศีล ในเรื่องพรหมจริยาหรือเปล่า
และศีลข้อเจ็ดที่ห้ามดูการเล่นที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ถามหน่อยบิกทู่เข้าไปดูเว็บโป๊
มันไม่ผิดศีลข้อนี้หรอกหรือ
บิกทู่ถ้าจะแถสร้างเรื่องกลับมา....จงอย่าลืมเอาใส่สมองไว้ว่า ศีลเป็นข้อห้าม
ทำก็คือทำ เขาห้ามทำก็คือห้ามทำไม่ว่ากรณีใดๆ(กันไว้ก่อนสำหรับคนชอบแถ :b32: )

bigtoo เขียน:
เอาแบบดูกำลังตัวเองก่อนต้องคิดว่าเรามีกำลังเยอะก่อนนะ อย่าคิดว่าเรามีกำลังน้อย ทำไม่ได้ก็ลดลงมา คนส่วนใหญ่่แล้วชอบทำน้อยก่อน ถ้าทำได้ค่อยๆพัฒนาให้มากขึ้นเรื่อยๆมันก็เลยไม่ไปถึงไหน นี่คือหลักการดำเนินชีวิตที่ต้องกำหนดไม่งั้นเราไม่รู้หรอกว่ากิเลสมันเล่นงานเราตอนไหน หรือง่ายๆสุดดูวินัยพระนั้นแหล่ะเอาให้ได้มากที่สุด ไม่ได้หวงห้ามไว้แต่พระหรอกครับ
และมีขบวนการอีกอย่างคือวิธีปฎิบัติภาวนา อันนี้ขอบอกตรงๆนะมันยากมากที่จะอธิบายแต่ไม่ยากที่จะปฎิบัติ ถ้าไม่รังเกลียดขอแนะนำหลักสูตร10วันของอาจารย์โกเอ็นก้า จะได้ผลสุด

ผมว่าเริ่มแรกจขกท ไปทำตัวให้มันอยู่ในกรอบคำสอนของพุทธองค์ไม่ดีกว่าหรือ
ตัวเองยังไม่รู้เรื่อง ยังมีหน้ามาแนะคนโน้นคนนี้ให้ชาวบ้าน ผมว่าคุณเหมาะที่จะให้ชาวบ้าน
แนะนำมากกว่าครับ

ให้อีตากรัขกายแนะนำก็ได้ จะชวนกันไปทำสังฆทาน
หรือไปฝังลูกนิมิตรวัดไหน ถ้าจะให้ดีไปล้างส้วมวัดก็ได้บุญดีเหมือนกันน่ะบิกทู่ :b32:
ผมเชื่อแล้วล่ะครับพี่โฮฮับผู้บรรลุธรรมของพยามาร คุณมันแยกไม่ออกหรอกอะไรดีอะไรชั่วนะ อันไหนตัวเองทำได้ก็ว่าดี อันไหนทำไม่ได้ก็ว่าเขาผิด สั่งสอนลูกน้องยังไม่เป็นเลยทำเขาน้ำหูน้ำตาไหล ไหนจะเมียหนีไปอีก ไปเถอะกลับไปเรียนนักธรรมตรีเอาวุฒิมาโชว์ไป จะมาสร้างประสบการณ์เองเหมือนขีวิตผมดูยากสะแล้วตีธรรมะไม่ออก เลยทำความป่วนให้เกิดขึ้นทั้งบริษัท นึกว่าเท่สินะ

ผมจะสอนให้วิธีแนะนำคนอื่นนะครับมันต้องเริ่มจากทำตัวเองให้ดีจนเขารู้สึกยอมรับเราได้เพียงเรามองเขาก็หวั่นแล้ว ยิ่งคนอื่นไม่ใช่ลูกหลานเรายิ่งต้องระวัง ผมจะเตือนแม้กระทั้งคนที่เขาทำผดเรื่องกาเม ด้วยวิธีชวนให้เขาเรียนรู้ธรรมะเมื่อเขาเรียนรู้เข้าฟังเรื่องศิลมากๆมันจะไปสะกิดใจเขาเอง เรื่องศิลข้อ3ทุกครั้งที่พระเทศน์หรือมีการคุยเรื่องศิลเขาจะสะกิดใจทุกที เขาก็จะเริ่มรู้ว่าอะไรที่เราทำผิดนะมันกบเกลื่อนไม่อยู่เขาจะละอายใจเอง ไม่ใช่ไปว่าเขาแรงๆ ยิ่งในบริษัทแล้วยิ่งง่าย มันมีวิธีเยอะมากผมทำให้คนทั้งบริษัทยอมรับตัวผมได้ก็แล้วกัน โดยไม่ใช้คำพูดหรอกครับใช้การกระทำอยากรู้มั้ยเขาำกันอย่างไร ความสม่ำเสมอ การรู้จักให้นั้นแหละครับไม่ว่าอะไรสม่ำเสมอ และเขาจะเกรงใจเราเอง แม้กระทั้งท่านประธารบริษัทยังฝากคำชมมาให้เสมอๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่เขาบรรยายธรรมจนจขกทเข้าใจไปว่า บรรยายธรรมตามตัวหนังสือ
เป็นเพราะจขกท เป็นคนไม่แตกฉานในปริยัติ ไร้ซี่งปัญญาในการพิจารณาธรรม
มันจึงทำให้หลงผิด คิดว่าการพูดธรรมในลักษณะพูดไปเรื่อย สร้างภาพจินตนาการยกยอตัวเอง
เป็นการพูดธรรมที่ถูกต้อง ที่ไหนได้ผู้ฟังเขามองจขกทเป็น พวกขี้โม้ เป็นอรหันต์ด้วยปาก :b32:
ผมว่าคุณไปเรียนนักธรรมเอกใหม่ดีกว่าอย่ามาบรรยายธรรมเลย เนื้อธรรมมันต้องคนเข้าใจจริง พวกตาขาวมันบรรยายไม่ได้หรอก กิจจญาณเป็น1ในญาณทั้ง3 และหน้าที่ในแต่ละหน้าที่ก็ต่างกัน เช่นทุกข์ควรกำหนดรู้ รู้แล้วทำไง(กูไม่เอากับมึงแล้วโวยมันต้องเกิดอาการอย่างนี้เขาเรียกว่ารู้ทุกข์ ข้อ2 หน้าที่ในสมุทัย คือควรละ อะไรควร ก็ความอยากไง อยากได้ อยากมี ฯ และง่ายๆสั้น กิเลสตัณหาไง (มึงกับกูต้องอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้วชาตินี้มันต้องอย่างนี้) ข้อ3นิโรธ ควรทำให้แจ้ง ข้อ4มรรค ควรทำให้เจริญขึ้นตรงนี้แหละคือวิธีดำเนินชีวิต ก็เอาข้อสมุทัยที่เป็นต้นต่อนั้นและมาลงตรงนี้พร้อมกับการปฎิบัติ ตรงนี้ถ้าปฎิบัติผิดก็ออกทะเลเหมือนพี่โฮนะครับ

แน่ะพูดแล้วยังไม่เชื่อ ขี้เลนขี้โคลนไม่สนใจตะเกียกตะกาย ลุยถั่วมันลูกเดียว
ฟังนะบิกทู่ ทีบิกทู่พูดมา มันไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเลย มันก็แค่บิกทู่ไปก็อปใน
วิกิพีเดียมาแล้วก็เติมจินตนาการตัวเองลงไป หยิบคำพูดหลวงปู่หลวงตามาประดับ
ผลก็คือ เป็นตาบ้าหอบฟาง

โม้เรื่องศีลไว้กลับไปทำให้มันถูกตามที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไม่ดีหรือ
เดี๋ยวก็เป็นนิครนถ์แบบตากรัชกายว่าหรอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ผมเชื่อแล้วล่ะครับพี่โฮฮับผู้บรรลุธรรมของพยามาร คุณมันแยกไม่ออกหรอกอะไรดีอะไรชั่วนะ อันไหนตัวเองทำได้ก็ว่าดี อันไหนทำไม่ได้ก็ว่าเขาผิด สั่งสอนลูกน้องยังไม่เป็นเลยทำเขาน้ำหูน้ำตาไหล ไหนจะเมียหนีไปอีก ไปเถอะกลับไปเรียนนักธรรมตรีเอาวุฒิมาโชว์ไป จะมาสร้างประสบการณ์เองเหมือนขีวิตผมดูยากสะแล้วตีธรรมะไม่ออก เลยทำความป่วนให้เกิดขึ้นทั้งบริษัท นึกว่าเท่สินะ

นี่แหล่ะเขาเรียกการทำงาน คนอย่างบิกทู่ไม่เข้าใจหรอก เพราะกลัวงาน หนักไม่เอาเบาไม่สู้
ขี้โม้ฆ่าเวลาไปวันๆ จะโม้เรื่องงานก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำงาน เลยต้องโม้เรื่องศีล
โม้เรื่องศีลไม่ว่า แต่ทำตัวเป็นปีศาจคาบคัมภี แต่งเรื่องใส่ความคนอื่น
มุสาหน้าด้านๆ มาหาว่าเมียชาวบ้านหนี
มันจนแต็มแล้ว นึกอะไรได้ก็ใส่ๆไปด้วยความโกรธ
เรารึก็บอกแล้วว่า เรากับเมียสมัครใจหย่ากัน นี่ก็ยังคบกันเป็นเพื่อน
บิกทู่มันหมดหนทางใส่ความเขาหน้าตาเฉย :b32:
bigtoo เขียน:
ผมจะสอนให้วิธีแนะนำคนอื่นนะครับมันต้องเริ่มจากทำตัวเองให้ดีจนเขารู้สึกยอมรับเราได้เพียงเรามองเขาก็หวั่นแล้ว ยิ่งคนอื่นไม่ใช่ลูกหลานเรายิ่งต้องระวัง ผมจะเตือนแม้กระทั้งคนที่เขาทำผดเรื่องกาเม ด้วยวิธีชวนให้เขาเรียนรู้ธรรมะเมื่อเขาเรียนรู้เข้าฟังเรื่องศิลมากๆมันจะไปสะกิดใจเขาเอง เรื่องศิลข้อ3ทุกครั้งที่พระเทศน์หรือมีการคุยเรื่องศิลเขาจะสะกิดใจทุกที เขาก็จะเริ่มรู้ว่าอะไรที่เราทำผิดนะมันกบเกลื่อนไม่อยู่เขาจะละอายใจเอง ไม่ใช่ไปว่าเขาแรงๆ ยิ่งในบริษัทแล้วยิ่งง่าย มันมีวิธีเยอะมากผมทำให้คนทั้งบริษัทยอมรับตัวผมได้ก็แล้วกัน โดยไม่ใช้คำพูดหรอกครับใช้การกระทำอยากรู้มั้ยเขาำกันอย่างไร ความสม่ำเสมอ การรู้จักให้นั้นแหละครับไม่ว่าอะไรสม่ำเสมอ และเขาจะเกรงใจเราเอง แม้กระทั้งท่านประธารบริษัทยังฝากคำชมมาให้เสมอๆ

ก่อนที่จะแนะนำคนอื่น ผมว่าคุณไปเลิกนิสัยขี้โม้ขี้คุย ยกตนข่มท่านให้ได้ก่อนไม่ดีหรือ
ไอ้บุคคลิกแบบคุณ มันเหมือนพวกเซลล์แมนขายเครื่องกรองน้ำ บรรยายสรรพคุณซะเลิศหรู่
ที่ไหนได้ มันก็ไอ้ท่อพีวีซีราคาถูก ทำเป็นผูกเน็ตไทร์ ที่ไหนได้ขี้ไครเต็มบ้องหู ขี้เล็บดำปี๋ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
"อยู่กินนอนกับผู้หญิงในฐานะผัวเมีย ถึงจะไม่เสพเมถุนก็ตามเถอะ
มันผิดศีล ในเรื่องพรหมจริยาหรือเปล่า"
และ"ศีลข้อเจ็ดที่ห้ามดูการเล่นที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ถามหน่อยบิกทู่เข้าไปดูเว็บโป๊
มันไม่ผิดศีลข้อนี้หรอกหรือ"

บิกทู่ถ้าจะแถสร้างเรื่องกลับมา....จงอย่าลืมเอาใส่สมองไว้ว่า ศีลเป็นข้อห้าม
ทำก็คือทำ เขาห้ามทำก็คือห้ามทำไม่ว่ากรณีใดๆ(กันไว้ก่อนสำหรับคนชอบแถ )

บิกทู่ไม่คิดจะแก้ข้อกล่าวหาหรือที่ผมว่า
คุณเอาศีลเอาคำสอนพระพุทธเจ้าละเลงมั่ว :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว




images (3).jpg
images (3).jpg [ 11.25 KiB | เปิดดู 2310 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
"อยู่กินนอนกับผู้หญิงในฐานะผัวเมีย ถึงจะไม่เสพเมถุนก็ตามเถอะ
มันผิดศีล ในเรื่องพรหมจริยาหรือเปล่า"
และ"ศีลข้อเจ็ดที่ห้ามดูการเล่นที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ถามหน่อยบิกทู่เข้าไปดูเว็บโป๊
มันไม่ผิดศีลข้อนี้หรอกหรือ"

บิกทู่ถ้าจะแถสร้างเรื่องกลับมา....จงอย่าลืมเอาใส่สมองไว้ว่า ศีลเป็นข้อห้าม
ทำก็คือทำ เขาห้ามทำก็คือห้ามทำไม่ว่ากรณีใดๆ(กันไว้ก่อนสำหรับคนชอบแถ )

บิกทู่ไม่คิดจะแก้ข้อกล่าวหาหรือที่ผมว่า
คุณเอาศีลเอาคำสอนพระพุทธเจ้าละเลงมั่ว :b13:
เสียเวลาเปล่า ค่อยๆศึกษาชีวิตไปนะน้องนะ ยังพอมีเวลา ชีวิตมันต้องอาศัยประสบการณ์ถึงจะเข้าใจจริง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กิจจะญาณในข้อ สมุทัย(เหตุให้เกิดทุกข์)พระองค์แสดงตรงนี้ นี่คือต้นตอของความทุกข์ทั้งหมด ดับที่เหตุทุกอย่างก็ดับ และอะไรคือสิ่งที่ควรละ ก็ความอยากทั้งหลายนั้นแหล่ะครับ อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ทั้งหมดนี่แหล่ตัวปัญญหาแต่ ไม่ใช่ว่าจู่ๆจะลุกขึ้นมาตัดอะไรๆได้เลยหรอกนะครับ มันมีแต่ในความฝัน

กิเลสมันก็มีวิชาของมันเหมือนกัน ที่แรกมันมาเป็นแขกเราเฉยๆ เราไปทำความรู้จักมันไปสนิทกับมันมันเลยเคยตัว มันก็กลายมาเป็นผู้อาศัย ผู้มาเป็นผู้อาศัยอยู่ไปนานๆมันมาเป็นเจ้าของบ้านและเป็นเจ้านายเราไปซะแล้ว มันอยากได้อะไรเราก็หาให้มัน ตอบสนองมันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว

ก็มีทางอยู่ทางหนึ่งคือทางแห่งมรรคมีองค์แปดนั้นแหล่ะครับ ที่เป็นทางเดียวที่จะกำจัดสลัดกิเลสที่มันมาเป็นเจ้านายเราให้ออกจากเราไปได้ เริ่มต้นค้วยที่เราเข้าไปกำหนดรู้ทุกข์นั้นแหล่ครับ แต่ขั้นตอนปฎิบัติต้อง รู้ว่าอะไรคืออะไร รู้ทุกข์มีจริง ร่วมทั้งรู้บุญรู้บาป รู้ว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่ว เป็นสัมมาทิฎฐิขั้นอ่อนๆพอให้ออกเดินทางก่อนเมื่อสัมมาทิฎฐิอ่อนเกิดแล้ว สัมมาสังกัปโปคือการดำริออกจากกามก็เริ่มตามมาด้วยเข่นสิ่งไหนควรละ ควรลด ควรเลิก ก็เข้าไปจัดแจงซะอะไรที่เป็นตัณหานั้นแหล่ะครับกิจของสมุทัยควรละ

มรรค2ข้อแรกที่เป็นปัญญาก็จัดการเกี่ยวกับ ทุกข์ สมุทัย คือทั้งกำหนดรู้และอะไรควรละครับ มรรคข้ออื่นก็ต้องปฎิบัติให้ครบ ปฎิบัติไปทุกอย่างจะพัฒนาขึ้นมาสมบูรณ์ ครบทุกองค์มรรค นิโรธที่ควรทำให้แจ้งก็ปรากฎ ท่านทั้งหลายต้องดูที่ต้นต่อดีๆเพราะ สมุทัยนั้นเองเป็นต้นต่อของทั้งหมด มรรคที่เป็นข้อปัญญาจึงเป็นตัวนำถ้าไม่รู้ว่าอะไรคือทุกข์จะทำอะไรไปเพื่ออะไร และไม่รู้สาเหตุเกิดทุกข์ จะไปหาต้นตอเจออย่างไร

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กิจจะญาณในข้อ สมุทัย(เหตุให้เกิดทุกข์)พระองค์แสดงตรงนี้ นี่คือต้นตอของความทุกข์ทั้งหมด ดับที่เหตุทุกอย่างก็ดับ และอะไรคือสิ่งที่ควรละ ก็ความอยากทั้งหลายนั้นแหล่ะครับ อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ทั้งหมดนี่แหล่ตัวปัญญหาแต่ ไม่ใช่ว่าจู่ๆจะลุกขึ้นมาตัดอะไรๆได้เลยหรอกนะครับ มันมีแต่ในความฝัน

ที่บิกทู่พูดมา เขาไม่เรียกกิจจญาณ แต่สิ่งที่บิกทู่พูดอยู่เขาเรียกว่า...สัจจญาณ

สัจจญาณคือญาณหยั่งรู่อริยสัจจ์แต่ละอย่าง บิกทู่มั่วครับ
bigtoo เขียน:
กิเลสมันก็มีวิชาของมันเหมือนกัน ที่แรกมันมาเป็นแขกเราเฉยๆ เราไปทำความรู้จักมันไปสนิทกับมันมันเลยเคยตัว มันก็กลายมาเป็นผู้อาศัย ผู้มาเป็นผู้อาศัยอยู่ไปนานๆมันมาเป็นเจ้าของบ้านและเป็นเจ้านายเราไปซะแล้ว มันอยากได้อะไรเราก็หาให้มัน ตอบสนองมันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว

เละแล้วครับ พูดธรรมแบบนี้ เขาเรียกฟุ้งบัญญัติครับ
ไม่สมควรเอามาพูดในที่สาธารณะครับ
bigtoo เขียน:

ก็มีทางอยู่ทางหนึ่งคือทางแห่งมรรคมีองค์แปดนั้นแหล่ะครับ ที่เป็นทางเดียวที่จะกำจัดสลัดกิเลสที่มันมาเป็นเจ้านายเราให้ออกจากเราไปได้ เริ่มต้นค้วยที่เราเข้าไปกำหนดรู้ทุกข์นั้นแหล่ครับ แต่ขั้นตอนปฎิบัติต้อง รู้ว่าอะไรคืออะไร รู้ทุกข์มีจริง ร่วมทั้งรู้บุญรู้บาป รู้ว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่ว เป็นสัมมาทิฎฐิขั้นอ่อนๆพอให้ออกเดินทางก่อนเมื่อสัมมาทิฎฐิอ่อนเกิดแล้ว สัมมาสังกัปโปคือการดำริออกจากกามก็เริ่มตามมาด้วยเข่นสิ่งไหนควรละ ควรลด ควรเลิก ก็เข้าไปจัดแจงซะอะไรที่เป็นตัณหานั้นแหล่ะครับกิจของสมุทัยควรละ

สัมมาทิฐิไม่มีอ่อนมีแก่แบบบิกทู่ว่าหรอกครับ การทำให้เกิดสัมมาทิฐิเนื่องๆ
ต้องอาศัยสติและความเพียรครับ

แล้วไอ้ที่บอกว่ากิจของสมุทัย กิจของสมุทัยมันมีซะที่ไหนครับ
มันมีแต่ สัจจญาณในสมุทัย ส่วนกิจจญาณเขาเรียกว่า อริยมรรคหรือการปฏิบัติครับ

bigtoo เขียน:

มรรค2ข้อแรกที่เป็นปัญญาก็จัดการเกี่ยวกับ ทุกข์ สมุทัย คือทั้งกำหนดรู้และอะไรควรละครับ มรรคข้ออื่นก็ต้องปฎิบัติให้ครบ ปฎิบัติไปทุกอย่างจะพัฒนาขึ้นมาสมบูรณ์ ครบทุกองค์มรรค นิโรธที่ควรทำให้แจ้งก็ปรากฎ ท่านทั้งหลายต้องดูที่ต้นต่อดีๆเพราะ สมุทัยนั้นเองเป็นต้นต่อของทั้งหมด มรรคที่เป็นข้อปัญญาจึงเป็นตัวนำถ้าไม่รู้ว่าอะไรคือทุกข์จะทำอะไรไปเพื่ออะไร และไม่รู้สาเหตุเกิดทุกข์ จะไปหาต้นตอเจออย่างไร

อันนี้ก็เละครับ เรื่องการดับทุกข์ ละเหตุมันต้องอาศัยสติปัฏฐานสี่ครับ
อริยมรรคเขาเอาไว้หาสัมมาวิมุตติครับ การที่จะทำให้เกิดอริยมรรคในแต่ละองค์
ต้องอาศัยโพชฌงค์เจ็ดครับ กรุณาอย่าเอาอริยมรรคไปพูดมั่วๆซิครับ
ไม่รู้จริงก็ไม่ต้องพูดก็ได้ครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:

นี่แหล่ะครับที่คนมักจะกลัวกันแล้วบอกว่าเป็นอัตตกิละ มันไม่ใช่การทรมานตนหรอกครับคนละเรื่องกันไม่ใช่การไปนั่งบนตะปู ยืนกินแดดกิรลม แช่น้ำอะไรบ้าๆบ่อ ก็เลยไม่เจอของดี และส่นนี้เป็นส่วนที่ผมปฎิบัติเอง ไม่เกี่ยวกับการสอนของสำนักปฎิบัติใดๆ มันเป็นการที่เราสงสัยขึ้นมาในใจเอง เลยหายสงสัยทั้งหมดทั้งสิ้นเดินหน้าลุย ไม่มีกิจไหนให้น่าธรรมยิ่งกว่าการเดินออกจากวัฎฎะสงสาร .บทอธิฐานความเพียรอีกพระองค์แสดงเพื่ออะไรภิกษุ ท ! เรายังรู้สึกได้อยู่ซึ่งธรรม ๒ อย่าง คือความไม่รู้จักอิ่ม จักพอ (สันโดษ) ในกุศลธรรมทั้งหลาย และ ความเป็นผู้ไม่ถอยกลับ(อัปปฏิวานี)ในการทำ ความเพียร.

ภิกษุ ท ! เราย่อมตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการ อธิษฐานจิต) ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบากบั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว จักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้
ภิกษุ ท ! การตรัสรู้เป็นสิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท อนุตตรโยคักเขมธรรม ก็เป็น สิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท.
ภิกษุ ท ! ถ้าแม้พวกเธอ พึงตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการอธิ ฐานจิต)ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือด แห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบาก บั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้วจักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้ แล้วไซร้;

ภิกษุ ท ! พวกเธอก็จักกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า อันเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรผู้ออก บวชจากเรือนเป็นผู้ไม่มีเรือนโดยชอบ, ได้ต่อกาลไม่นานในทิฏฐธรรม เข้าถึงแล้ว แลอยู่ เป็นแน่นอน.


ผู้อ่านพระสูตรสำนวนนี้ แล้วก็อ่านมุมเดียวแล้วยึดเป็นหลักปฏิบัติเลย ก้มหน้าก้มตาเอาเป็นเอาตายทำหงุดๆ บีบคั้นตนเอง เพื่อที่จะเป็นเหมือนสุตรนั้น
น้อง big ไปอ่านสูตรที่พระโสณะเดินจงกรมจนเท้าแตก แล้วพระพุทธเจ้าแนะนำบ้างดิ คำสอนมีหลายด้านหลายมุมดูให้ถ้วนทั่ว

พระสูตรที่นำมาเนี่ย หมายถึงผู้ที่ปฏิบัติจนเห็นทางรู้ทางแล้ว เหมือนคนเห็นแสงสว่าง่ที่ปลายอุโมงค์แล้ว อย่างพระโพธิสัตว์คืนวันตรัสรู้ฉะนั้น ยังงี้ได้ตายเป็นตายได้

เทียบกับน้อง big ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ตะวันออกตะวันตกเลย ดันสะแระ :b32: นีก็เป็นอัตตกิลมถานุโยคชนิดหนึ่ง มิใช่นอนบนหนาม-บนตะปูเท่านั้น เข้าใจมั้ย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2012, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ญาณ 3

ญาณ ในที่นี้หมายถึง จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจเป็นของบุคคล ด้วยผลของการปฏิบัติให้สมบรูณ์ ในศีล สมาธิ ปัญญา จนสภาพจิตใจของบุคคลนั้น ไม่หวั่นไหว เป็นสมาธิสงบ ปราศจากกิเลส ท่านจำแนกไว้ 3 ประการคือ


เขียนโดย : วิทยาทาน วัน/เวลา : 13/8/2551 16:54:10

1. สัจจญาณ

ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ ได้แก่หยั่งรู้ว่า นี้เป็นทุกข์ นี้เป็นสมุทัยนี้เป็นนิโรธ นี้เป็นนิโรธคามินีปฏิปทา
เขียนโดย :วิทยาทาน
วัน/เวลา :13/8/2551 16:56:14

2. กิจจญาณ

ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ได้แก่ หยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติ ที่ควรกำหนดรู้ สมุทัยเป็นสภาพที่ควรละ นิโรธเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิป
ทา เป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด
เขียนโดย :วิทยาทาน
วัน/เวลา :13/8/2551 16:58:52

3. กตญาณ

ปรีชาหยั่งรู้กิจอันได้กระทำแล้ว ได้แก่ หยั่งรู้กิจ 4 อย่างนั้นว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ก็ได้กำหนดรู้แล้ว ทุกขสมุทัยเป็นสภาพที่ควรละก็ได้แล้ว ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิดก็ได้เกิดแล้ว

ญาณทั้ง 3 ประการนี้ ได้เกิดขึ้นในอริยสัจทั้ง 4 ข้อ ๆละ 3 ครั้ง รวมเป็น 12 ครั้ง ที่เรียกว่า มีวน 3 มีอาการ 12 ซึ่งเป็นญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า

ดูกิจขัอ2ตัวแดงกิจในสมุทัยคือ สภาพที่ควรละ สัจจญาณนั้น คือการหยั่งรู้ นี้คือทุกข์ นี่คืเหตุเกิดทุกข์ ฯ รู้เฉยๆรู้ว่ามีสิ่งนี้ ส่วนกิจจญาณคือหน้าที่ดูดีๆถ้าไม่เข้าใจตรงนี้แล้วเดินมรรคไม่มีทางถูกรับรองได้เลย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 11 ก.ย. 2012, 17:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร