วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ค. 2025, 16:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2012, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เป็นเรื่องแปลก แต่จริง อยู่อย่างหนึ่ง

เวลา มีความเป็น เรา ที่มีอยู่ มองไม่เห็น

เวลา มีความเป็น เขา กลับมองเห็น

ยิ่งพูดยืดยาวมากเท่าไหร่ ถ้อยคำมักจะย้อนกลับไปหาผู้พูด บ่งบอกถึง สิ่งที่ผู้พูด ยังติดยังข้องอยู่ แต่มองไม่เห็น เพราะมองแต่นอกตัว มองสิ่งที่ยังอยากมอง

ใครจะข้องจะขัด จะเป็นอะไรยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน ใครจะค้นหาอะไร ยังไง ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน

วลัยพร ก็ยังมีกิเลสนะ
ฉะนั้น เป็นเรื่องชิวๆ ยอมรับแบบสบายๆ


ผิดกับ ที่คิดว่า ไม่มีอะไร ทั้งๆที่มีนี่สิ

เอาเป็นว่า เหตุมี ผลย่อมมี



แปลไทย เป็นไทย


เวลา มีความเป็น เรา ที่มีอยู่ หมายถึง เวลาว่าผู้อื่น(เราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเราหรือสิ่งที่ตนยังมีและยังเป็นอยู่) มองไม่เห็น

เวลา มีความเป็น เขา หมายถึง ผู้อื่นว่าผู้อื่น(สิ่งที่เกิดขึ้นหรือสิ่งที่ผู้อื่นเป็นอยู่) กลับมองเห็น

สรุป ได้แก่ การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น (อุปทานที่มีอยู่)


ผิดกับ ที่คิดว่า ไม่มีอะไร หมายถึง คนที่คิดเอาเองว่า ไม่มีอะไร ทั้งๆที่มีนี่สิ


วลัยพร ไม่เคยมีความคิด ที่คิดว่า ไม่มีอะไร จะไม่มีอะไรได้ยังไง อนุสัยกิเลส ยังมีอยู่เลย
ส่วน ใครที่คิดว่า ไม่มีอะไร นั่นล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่มีอยู่ของคนๆนั้น

ทุกสรรพสิ่ง ล้วนมีเหตุ เป็นแดนเกิด เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี


เมื่อความโง่ ได้แก่ โง่กับกิเลสของตน(ติดดี) จึงมักหลงสร้างเหตุของการเกิด ให้เกิดขึ้นมาใหม่เนืองๆ



walaiporn เขียน:
เหตุของ วลัยพร เป็นเพียงสัญญา สัญญาที่ ขุดแคะงัดแงะขึ้นมา ที่เกิดขึ้นเองจากสภาวะ แล้วใส่ปริยัติลงไป เท่านั้นเอง

เพราะวลัยพร ไม่รู้ทั้งปริยัติ ไม่รู้ทั้งอภิธรรม มีแต่การปฏิบัติ ต่อเนื่องเป็นหลัก สิ่งที่เขียนๆลงไป เป็นเพียงสัญญา ที่เกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นอยู่

วลัยพรรู้แต่เพียงว่า ภพชาติหรือการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ทำยังไง ถึงจะทำให้ภพชาตินั้นๆ สั้นลง นี่คือ สิ่งที่เรียกว่า ปัญญา เพราะ รู้แล้วจบ ไม่กระทำต่อ

ผิดกับอวิชชา มีแต่สัญญา รู้แล้ว มีแต่ยึด มีแต่สร้างๆๆๆๆๆ สร้างเหตุของการเกิดภพชาติปัจจุบัน ให้เกิดขึ้นเนืองๆ ณ ปัจจุบัน ขณะๆๆๆ เป็นเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติวัฏฏสงสาร ตายแล้วเกิด ซ้ำซากๆๆๆๆๆๆๆ อยู่อย่างนั้น เบื่อกันบ้างไหม

สำหรับวลัยพร ยิ่งกว่าเบื่อ เห็นแล้วอยากจะอ้วกๆๆๆๆๆๆๆ ที่อยู่ทุกวันนี้ มีแต่ความเบื่อหน่าย เห็นแต่เหตุ เห็นแต่การตายและเกิดซ้ำซาก

เกิดมาแล้ว ก็โง่ โง่มาก่อนที่จะรู้ โง่แล้วหลงก่อนที่จะรู้ หลงสร้างเหตุ กว่าจะรู้ล่ะ เห็นไหม ชีวิตมีแต่เรื่องซ้ำซาก เดิมๆซ้ำๆ ดีใจ-เสียใจ สุข-ทุกข์ ดี-ชั่วฯลฯ นั่นแหละ คือ ความโง่ที่ยังมีอยู่

ติดดี เหมือนคนท้องเสีย เดินไปขี้ไป หลงคิดว่าขี้เป็นทอง กอบขี้ขึ้นมาอีก ขี้แตกแค่ตัวเองไม่พอ เอาขี้ที่หลงคิดว่าทอง เที่ยวแจกจ่ายชาวบ้าน คนที่สร้างเหตุมาด้วยกัน ก็หลงหอบเอาขี้นั้นไปต่อ คนที่ไม่มีเหตุร่วมกัน เขาก็เมินหน้าหนี ขี้ทั้งนั้น ทองที่ไหน

คนที่รู้แล้ว เขาไม่มาเสียเวลากับขี้หรอก ขี้แล้วทิ้งเลย ต่อให้เห็นเป็นทอง เขาก็ทิ้ง เพราะ เป็นเพียงแค่ทองปลอม ถูกแดด ถูกฝนนานเข้า ทองมันก็เปลี่ยนสภาพ โถที่แท้หลงหอบ หลงเก็บมาตั้งนาน ที่แท้ ขี้ดีๆนี่เอง

ภพ(สุคติ ทุคติ) ที่เกิดขึ้นมาใหม่ แล้วแต่เหตุปัจจัย ขณะจุติ จิตนึกคิดสิ่งใดอยู่(สังขาร) ย่อมไปตามเหตุปัจจัยนั้น (วิญญาณขันธ์) ถ้าหมดเหตุ ก็ไม่ต้องเกิด

ถ้ายังมีเหตุ(วิญญาณขันธ์ เป็นสเหตุกะ เป็นอเหตุกะ) ได้แก่ อวิชชา ก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารต่อไป(๓๑ ภูมิ)

แตกต่างตรงนี้ ระหว่าง ปัญญา กับ อวิชชา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 00:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชา.....มุ่งแต่แก้ปัญหานอก....ไม่แก้ใน

วิชชา...จะแก้ปัญหาที่ภายใน...แก้ได้เมื่อไร...ทั้งข้างนอกข้างในก็หมดปัญหา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตหยิบยกความเห็นมาจากกระทู้อื่น เนื่องด้วยเห็นว่ามันตรงกับ
หัวข้อกระทู้นี่ดีครับ............
bigtoo เขียน:
สิ่งที่bigtooกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ถ้าเรากล้าที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยการไม่หนีความจริง เรากล้าที่จะสู้อย่างเรื่องดูหนังอย่างว่าอย่างมีสติ(ดูเพื่อฝึกหัดกำลังนะไม่ใช่ดูเพื่อความเพลิน) ตอนนี้ผลมันออกมาแล้ว

จิตไม่ปรุงแต่งเรื่องนี้เลย แค่คิดถึงจิตจะถูกปฎิเสธทันที่..

เหมือนที่bigtooกินอาหารมื้อเดียว แต่ทำกับข้าวตอนเย็นให้ภรรยาทานนั้น เราวางใจได้บ่อยๆกิเลสก็หมดแรงลงไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าอะไรๆ มันจะดูง่ายไปหมด ขอเพียงเรามีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ชัดเจน เราผ่านได้ไม่ยากครับ ลองใช้เกลือจิ้มเกลือดูได้นะ :b4:

จะขออธิบายให้คุณบิกทู่แกเข้าใจในสิ่งที่แกกำลังหลง(ไกลเสียด้วย) การคิดการทำของแก
ตรงกับคำว่าโง่กับกิเลสของตน

บิกทู่รู้หรือเปล่า กำลังเป็นตัวตลกให้ผู้รู้เขาขบขัน ใครเขาพยายามดึง
ให้บิกทู่เดินไปในทางที่ถูก ยิ่งดีงบิกทู่ก็ยิ่งฝืน

หลักการปฏิบัติของบิกทู่มันผิดในความเขาใจในตัวกิเลส และเรื่องศีล
ยิ่งไปกันใหญ่หลงศีลหลงธรรม
bigtoo เขียน:
สิ่งที่bigtooกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ถ้าเรากล้าที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยการไม่หนีความจริง เรากล้าที่จะสู้อย่างเรื่องดูหนังอย่างว่าอย่างมีสติ(ดูเพื่อฝึกหัดกำลังนะไม่ใช่ดูเพื่อความเพลิน) ตอนนี้ผลมันออกมาแล้ว
จิตไม่ปรุงแต่งเรื่องนี้เลย แค่คิดถึงจิตจะถูกปฎิเสธทันที่..

แสดงความเห็นเหมือนเด็กอนุบาล ไม่หนีความจริงตลกจัง
สมมุติว่า ยาบ้าหรือเหล้ากินแล้วขาดสติ ฉันไม่หนีความจริง
ฉันกินมันได้ฉันกินแล้วควบคุมตัวเองได้เอาแบบนี้ใช่ไหม "พูดไม่คิด"

จะบอกให้ความจริง ความหมายตามที่พระพุทธเจ้าบอกก็คือ ...รู้
รู้ก็คือรู้กิเลสตัณหา เมื่อทวารทั้งห้าของเราไปกระทบกับสิ่งเร้าภายนอก
ย่อมต้องรู้ได้ว่า นั้นคือกิเลสตัณหา เมื่อรู้แล้วก็หยุดมันซะด้วยการปลีกตัวหรือปิดทวารนั้นเสีย
ตามหลักที่พระพุทธองค์บอกในเรื่องของ...วิเวก

ดูก็รู้ครับว่า บิกทู่ไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร กิเลสก็คือตัณหา
ตัณหามันมีสามอย่าง....
๑.กามตัณหา คือ ความอยากหรือไม่อยาก ใน สัมผัสทั้ง 5
๒.ภวตัณหา คือ ความอยากทางจิตใจ เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว ไม่ต้องการให้มันเปลี่ยนแปลง
๓.วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากทางจิต ความอยากดับสูญ


บิกทู่ลองดูซิที่บิกทู่บอกดูรูปหรือหนังโป๊ เพื่อฝึกหัดกำลัง
เมื่อดูแล้วจิตจะปฏิเสธเรื่องนี้ นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
ลองไปดูซิว่า กิเลสตัณหาในเรื่องของ...กามตัณหามันมีทั้งความอยากและความไม่อยาก

เมื่อเราไปดูรูปโป๊ ตัณหาที่เรื่องว่าความไม่อยาก จะไปบ่งการจิตจนเกิดอาการที่เรียกว่าโทสะ
จิตที่มีโทสะอย่าเข้าใจว่ากำลังโมโหนะครับ จิตมีโทสะคือ จิตกำลังผลักไสสิ่งที่มากระทบก็คือ

และที่บิกทู่คิดเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองเจ๋งแล้ว มันเป็นเพราะเกิดโมหะ กำลังหลงไม่รู้อาการที่เกิด
ในจิตตน แบบนี้มันจึงตรงกับหัวข้อกระทู้ที่ว่า...โง่กับกิเลสของตน
bigtoo เขียน:
เหมือนที่bigtooกินอาหารมื้อเดียว แต่ทำกับข้าวตอนเย็นให้ภรรยาทานนั้น เราวางใจได้บ่อยๆกิเลสก็หมดแรงลงไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าอะไรๆ มันจะดูง่ายไปหมด ขอเพียงเรามีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ชัดเจน เราผ่านได้ไม่ยากครับ ลองใช้เกลือจิ้มเกลือดูได้นะ :b4:

ก็เพราะโง่กับกิเลสของตน จึงทำให้เข้าใจไปว่า ต้องกินข้าวมื้อเดียวกิเลสจึงจะหมดไป
กิเลสมันไม่ได้เกิดจากการกินหรือไม่กิน กิเลสที่แท้มันเกิดจากตัวการหรือเหตุดังนี้..
๑.รูปตัณหา คือ อยากได้รูป (ที่มองเห็นด้วยตา)
๒.สัททตัณหา คือ อยากได้เสียง
๓.คันธตัณหา คือ อยากได้กลิ่น
๔.รสตัณหา คือ อยากได้รส
๕.โผฏฐัพพตัณหา คือ อยากได้โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกายสัมผัส)
๖.ธัมมตัณหา คือ อยากในธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด)

ต้นเหตุต้นสายของกิเลสตัณหามันอยู่ภายนอก เพียงแต่เราไปกระทบมันเขา
แล้วไปเกิดติดอกติดใจ

บิกทู่บอกว่ากินข้าวมื้อเดียว แล้วทำเป็นดีอกดีใจว่า ตนเองไม่มีกิเลส
มันเกี่ยวกับกินข้าวที่ไหน กิเลสมันเกิดก่อนกินข้าว คนกินข้าวเพราะหิว
มันเป็นกิเลสที่ไหน บิกทู่ลองไปดูหรือไปถามเจ้าสำนักของบิกทู่ดูว่า
ความหิวเป็นกิเลสหรือเปล่า

บิกทู้กำลังโง่กับกิเลสตนเอง ในเรื่องกลิ่น ถ้าบิกทู่ไม่มีกิเลสเมื่อได้กลิ่นกับข้าว
มันก็แค่รู้ว่า จมูกไปกระทบกับสิ่งเร้าภายนอกแค่นั้น ไม่ใช่พอจมูกได้กลิ่นกับข้าว
แล้วเกิดอาการหอมยั่วยวน ไอ้อาการหอมยั่วยวนมันเกิดอาการปรุงแต่งขึ้นแล้ว
ยังมาโง่กับกิเลสตนเองอยู่ได้

เรื่องที่โม้บอกว่าไม่ยุ่งกับเมีย มันก็ไม่เกี่ยวว่าจะยุ่งหรือไม่
เพราะสิ่งที่พูดถึงคือเมีย ไม่ใช่กิ๊กหรือชู้
ถ้าจะพูดถึงกิเลสในเรื่องนี้ต้องไปดูที่ บิกทู่ยังมองเมียตัวเองว่าสาวว่าสวย
มันเป็นกิเลสในเรื่องของ...รูปตัณหา เข้าใจมั้ย


อยากขอร้องเลิกพูดซะที เรื่องกิเลสหมดแรง กิเลสไม่มี
ถ้ากิเลสไม่มีจริงๆแล้ว มันไม่โพสรูปหรือพูดซ้ำพูดซาก
ไอ้เรื่องพรรณนี้หรอก เพราะมันอยากได้ใคร่ดีแต่เรื่องอย่างนี้
มันก็เลยแสดงอาการบ่อยๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 05:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ขออนุญาตหยิบยกความเห็นมาจากกระทู้อื่น เนื่องด้วยเห็นว่ามันตรงกับ หัวข้อกระทู้นี่ดีครับ............
bigtoo เขียน:
สิ่งที่bigtooกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ถ้าเรากล้าที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยการไม่หนีความจริง เรากล้าที่จะสู้อย่างเรื่องดูหนังอย่างว่าอย่างมีสติ(ดูเพื่อฝึกหัดกำลังนะไม่ใช่ดูเพื่อความเพลิน) ตอนนี้ผลมันออกมาแล้ว จิตไม่ปรุงแต่งเรื่องนี้เลย แค่คิดถึงจิตจะถูกปฎิเสธทันที่.. เหมือนที่bigtooกินอาหารมื้อเดียว แต่ทำกับข้าวตอนเย็นให้ภรรยาทานนั้น เราวางใจได้บ่อยๆกิเลสก็หมดแรงลงไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าอะไรๆ มันจะดูง่ายไปหมด ขอเพียงเรามีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ชัดเจน เราผ่านได้ไม่ยากครับ ลองใช้เกลือจิ้มเกลือดูได้นะ :b4:
จะขออธิบายให้คุณบิกทู่แกเข้าใจในสิ่งที่แกกำลังหลง(ไกลเสียด้วย) การคิดการทำของแก ตรงกับคำว่าโง่กับกิเลสของตน บิกทู่รู้หรือเปล่า กำลังเป็นตัวตลกให้ผู้รู้เขาขบขัน ใครเขาพยายามดึง ให้บิกทู่เดินไปในทางที่ถูก ยิ่งดีงบิกทู่ก็ยิ่งฝืน หลักการปฏิบัติของบิกทู่มันผิดในความเขาใจในตัวกิเลส และเรื่องศีล ยิ่งไปกันใหญ่หลงศีลหลงธรรม
bigtoo เขียน:
สิ่งที่bigtooกล่าวก่อนหน้านี้ว่า ถ้าเรากล้าที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยการไม่หนีความจริง เรากล้าที่จะสู้อย่างเรื่องดูหนังอย่างว่าอย่างมีสติ(ดูเพื่อฝึกหัดกำลังนะไม่ใช่ดูเพื่อความเพลิน) ตอนนี้ผลมันออกมาแล้ว จิตไม่ปรุงแต่งเรื่องนี้เลย แค่คิดถึงจิตจะถูกปฎิเสธทันที่..
แสดงความเห็นเหมือนเด็กอนุบาล ไม่หนีความจริงตลกจัง สมมุติว่า ยาบ้าหรือเหล้ากินแล้วขาดสติ ฉันไม่หนีความจริง ฉันกินมันได้ฉันกินแล้วควบคุมตัวเองได้เอาแบบนี้ใช่ไหม "พูดไม่คิด" จะบอกให้ความจริง ความหมายตามที่พระพุทธเจ้าบอกก็คือ ...รู้ รู้ก็คือรู้กิเลสตัณหา เมื่อทวารทั้งห้าของเราไปกระทบกับสิ่งเร้าภายนอก ย่อมต้องรู้ได้ว่า นั้นคือกิเลสตัณหา เมื่อรู้แล้วก็หยุดมันซะด้วยการปลีกตัวหรือปิดทวารนั้นเสีย ตามหลักที่พระพุทธองค์บอกในเรื่องของ...วิเวก ดูก็รู้ครับว่า บิกทู่ไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร กิเลสก็คือตัณหา ตัณหามันมีสามอย่าง.... ๑.กามตัณหา คือ ความอยากหรือไม่อยาก ใน สัมผัสทั้ง 5 ๒.ภวตัณหา คือ ความอยากทางจิตใจ เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว ไม่ต้องการให้มันเปลี่ยนแปลง ๓.วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากทางจิต ความอยากดับสูญ บิกทู่ลองดูซิที่บิกทู่บอกดูรูปหรือหนังโป๊ เพื่อฝึกหัดกำลัง เมื่อดูแล้วจิตจะปฏิเสธเรื่องนี้ นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ลองไปดูซิว่า กิเลสตัณหาในเรื่องของ...กามตัณหามันมีทั้งความอยากและความไม่อยาก เมื่อเราไปดูรูปโป๊ ตัณหาที่เรื่องว่าความไม่อยาก จะไปบ่งการจิตจนเกิดอาการที่เรียกว่าโทสะ จิตที่มีโทสะอย่าเข้าใจว่ากำลังโมโหนะครับ จิตมีโทสะคือ จิตกำลังผลักไสสิ่งที่มากระทบก็คือ และที่บิกทู่คิดเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองเจ๋งแล้ว มันเป็นเพราะเกิดโมหะ กำลังหลงไม่รู้อาการที่เกิด ในจิตตน แบบนี้มันจึงตรงกับหัวข้อกระทู้ที่ว่า...โง่กับกิเลสของตน
bigtoo เขียน:
เหมือนที่bigtooกินอาหารมื้อเดียว แต่ทำกับข้าวตอนเย็นให้ภรรยาทานนั้น เราวางใจได้บ่อยๆกิเลสก็หมดแรงลงไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าอะไรๆ มันจะดูง่ายไปหมด ขอเพียงเรามีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ชัดเจน เราผ่านได้ไม่ยากครับ ลองใช้เกลือจิ้มเกลือดูได้นะ :b4:
ก็เพราะโง่กับกิเลสของตน จึงทำให้เข้าใจไปว่า ต้องกินข้าวมื้อเดียวกิเลสจึงจะหมดไป กิเลสมันไม่ได้เกิดจากการกินหรือไม่กิน กิเลสที่แท้มันเกิดจากตัวการหรือเหตุดังนี้.. ๑.รูปตัณหา คือ อยากได้รูป (ที่มองเห็นด้วยตา) ๒.สัททตัณหา คือ อยากได้เสียง ๓.คันธตัณหา คือ อยากได้กลิ่น ๔.รสตัณหา คือ อยากได้รส ๕.โผฏฐัพพตัณหา คือ อยากได้โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกายสัมผัส) ๖.ธัมมตัณหา คือ อยากในธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจนึกคิด) ต้นเหตุต้นสายของกิเลสตัณหามันอยู่ภายนอก เพียงแต่เราไปกระทบมันเขา แล้วไปเกิดติดอกติดใจ บิกทู่บอกว่ากินข้าวมื้อเดียว แล้วทำเป็นดีอกดีใจว่า ตนเองไม่มีกิเลส มันเกี่ยวกับกินข้าวที่ไหน กิเลสมันเกิดก่อนกินข้าว คนกินข้าวเพราะหิว มันเป็นกิเลสที่ไหน บิกทู่ลองไปดูหรือไปถามเจ้าสำนักของบิกทู่ดูว่า ความหิวเป็นกิเลสหรือเปล่า บิกทู้กำลังโง่กับกิเลสตนเอง ในเรื่องกลิ่น ถ้าบิกทู่ไม่มีกิเลสเมื่อได้กลิ่นกับข้าว มันก็แค่รู้ว่า จมูกไปกระทบกับสิ่งเร้าภายนอกแค่นั้น ไม่ใช่พอจมูกได้กลิ่นกับข้าว แล้วเกิดอาการหอมยั่วยวน ไอ้อาการหอมยั่วยวนมันเกิดอาการปรุงแต่งขึ้นแล้ว ยังมาโง่กับกิเลสตนเองอยู่ได้ เรื่องที่โม้บอกว่าไม่ยุ่งกับเมีย มันก็ไม่เกี่ยวว่าจะยุ่งหรือไม่ เพราะสิ่งที่พูดถึงคือเมีย ไม่ใช่กิ๊กหรือชู้ ถ้าจะพูดถึงกิเลสในเรื่องนี้ต้องไปดูที่ บิกทู่ยังมองเมียตัวเองว่าสาวว่าสวย มันเป็นกิเลสในเรื่องของ...รูปตัณหา เข้าใจมั้ย อยากขอร้องเลิกพูดซะที เรื่องกิเลสหมดแรง กิเลสไม่มี ถ้ากิเลสไม่มีจริงๆแล้ว มันไม่โพสรูปหรือพูดซ้ำพูดซาก ไอ้เรื่องพรรณนี้หรอก เพราะมันอยากได้ใคร่ดีแต่เรื่องอย่างนี้ มันก็เลยแสดงอาการบ่อยๆ
เอาเถอะ คนเรามันก็ต่างกันตรงนี้แหลพี่โฮ มันต่างกันตรงความคิดนี่แหล่ะครับ จะให้เหมือนกันมันคงไม่มีทาง เหมือนทางโลกน่ะครับถ้าผมเป็นคนคิดธรรมดา ผมก็คงเรียน ป.ตรีเหมือนคนคนอื่น และผมก็คงจะจบป.ตรีแล้วมาทำงานกินเงินเดือน แล้วก็ทำงานจนแก่อายุ60แล้วก็ออกมาเลี้ยงหลาน คงไม่มีโอกาส ล้มลุกคุกคลาน สูงบ้าง ต่ำบ้าง ครบทุกรสชาติของชีวิตอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

คุณโฮอาจจะคิดว่าเป็นปมด้อยของผมก็ไม่เป็นอะไรหรอก ความจริงก็คือความจริงคือ จบ ม.6ผมยอมรับได้สบายๆ ส่วนเรื่องการปฎิบัตินั้นต่างคนต่างมีวิธีคิดเป็นของตนเอง ผมก็เพียงแต่ยกตัวอย่างมาก็เท่านั้น และการพิสูจน์คนในการปฎิบัติธรรมเขาไม่ได้ดูกันที่คำพูดเพียวอย่างเดียว เขาดูกันที่ศิล ละเว้นอะไรกันได้มากแค่ไหน พูดใครๆก็พูดได้ จะเอาแบบเลิศหรูอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้น แต่ถึงเวลาเอาเข้าจริงๆก็วิ่งใส่เอาๆกิเลสน่ะครับ

ผมเรียนมาวิธีฝึกวิปัสนาวิชาที่ผมเรียนบวกกับความที่ผมเป็นคนไม่ยึดติดกับสำนักที่ผมเรียนมา ผมแสวงหาอาจารย์อ่านตำราอยู่เป็นประจำฟังธรรมเสมอๆทำให้ผมเก็บในส่วนที่ดีของแต่ละอาจารย์มาผสมผสานกัน ทำให้ผมปฎิบัติจนก้าวหน้าลดละเลิกได้จริงๆ ไม่ได้แต่คุยธรรมะไปวันๆ แล้วเลิกอะไรไม่ได้

เอาเถอะท่านก็มีความคิดเห็นของท่านก็คิดได้ทำได้ทั้งนั้น มันไม่ผิดอะไร ต่างคนต่างคิด ส่วนเรื่องกินข้าวใครจะกินกันไปก็กินไปซิ ผมไม่เคยกล่าวว่ามันผิด แต่ที่ผมเลือกที่จะทำในสิ่งนี้ เพราะผมเพียงแต่สงสัยในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ก็เท่านั้น และคำตอบผมเป็นผู้รู้เท่านั้นใครจะมารู้ นอกจากคนที่เขาปฎิบัติเท่านั้น คุณอาจจะบอกว่าเคยมาแล้วผมทำมาหมดแล้ว นั้นมันก็เรื่องของคุณมันไม่เกี่ยวกับผม

ผมศรัทธาในพระองค์ผมก็ทำตามก็เท่านั้นมันน่าจะเพียงพอกับคำตอบนะครับ ถ้าคุณย้อนกับไปอ่านคุณจะเห็นว่าผมไม่เคยห้ามใครเรื่องกินเลย ส่วนเรื่องดูหนังโป๊นั้น มันเป็นการทดลองใจของผมต่างหากไม่ได้ดูเพื่อความพลิน ฝึกมานานแล้วก็ลองดูพิจารณาธรรมะในขนาดนั้นมันเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็รู้ว่าจิตใจที่เข้มแข็งจะผ่านได้ถ้าใครยังอ่อนอยู่ก็จบกันเสร็จมันก็เท่านั้นเอง และตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมแล้ว ส่วนเรื่องอาหารก็นัยเดียวกัน รักนะจู๊บๆ:b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุจากความไม่รู้(อวิชชา) ที่มีอยู่ จึงคิดแก้ไข(ทั้งนอกและใน หรือสิ่งที่เกิดขึ้น) จึงกลายเป็นวัวพันหลัก(เหตุ) ไม่รู้จบ

ไม่ว่าจะนอกหรือใน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยของสิ่งๆนั้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายนอก(ผัสสะ) หรือเกิดขึ้นภายใน ขณะจิตเป็นสมาธิ(สัมมาสมาธิ)อยู่

พระผู้มีพระภาค ทรงผ่านสิ่งต่างๆหรือสภาวะเหล่านี้มาหมดแล้ว จึงทรงวางแนวทางไว้ให้


เย ธมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุง ตถาคโต

เตสัญจ โย นิโรโธ จ เอวัง วาที มหาสมโณฯ


(เย ธัมมา) อันว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใด (เหตุปปะภะวา) มีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน (คือ เกิดจากเหตุนั่นเอง) (จ) ด้วย


(โย นิโรโธ) อันว่า ความดับใด (เตสัง ธรรมานัง)แห่งธรรมทั้งหลาย เหล่านั้น (จ) ด้วย


(ตถาคโต) อันว่า พระตถาคต (อาห) ตรัส (เหตุง)ซึ่งเหตุ (เตสัง ธรรมานัง)แห่งธรรมทั้งหลาย เหล่านั้นด้วย


(อาห)ตรัส (ตัง นิโรธัง) ซึ่งความดับนั้นด้วย


(มหาสมโณ) อันว่าพระมหาสมณะ (วาที) เป็นผู้มีปกติกล่าว (เอวัง) อย่างนี้


ซึ่งได้แก่ โยนิโสมนสิการ คือ ดูตามความเป็นจริง รู้ตามความเป็นจริง ไม่เอาทิฏฐิ(ความเห็นของตน) ที่มีอยู่ ลงไปแทรกแซงในสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้น


ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา


เนื่องด้วยเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และอนุสัยกิเลส ที่มีอยู่ การห้ามความคิด ไม่ให้เกิด ห้ามได้ยาก(ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของขณะนั้นๆ)


แต่ละยุค แต่ละสมัย เหตุปัจจัยของแต่ละคน บัญญัติคำของ โยนิโสมนสิการ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ของผู้คนในยุคนั้น สมัยนั้น


พระผู้มีพระภาค จึงทรงวางแนวทางไว้ให้อีก ได้แก่ การสำรวมอินทรีย์ คือ รักษาใจ เมื่อรักษาใจไว้ได้ เหตุของการสร้างเหตุทางวจีกรรมและกายกรรม ย่อมเกิดขึ้นน้อยลง ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่และที่สร้างขึ้นมาใหม่

เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี สภาวะที่เกิดขึ้น จึงจบลงไปตามเหตุปัจจัย

เหตุมี ผลย่อมมี สภาวะใหม่เกิดขึ้นต่อ เนื่องจากเหตุปัจจัย ที่ยังมีอยู่(เหตุเก่าและมโนกรรม เหตุใหม่)


อินทรียสังวร



พุทธวจน
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘.

http://buddhaoat.blogspot.com/p/blog-page_4836.html



หมายเหตุ:


บางคนอาจมีข้อสงสัยว่า เมื่อผัสสะเกิด ใช้หลักโยนิโสมนสิการ ทำเช่นนี้เนืองๆ ผลที่ได้รับ คือ อะไร?

ผลที่ได้รับ คือ สัมมาสติ เป็นเหตุของการเกิด จิตตสมาธิ(อิทธิบาทภาวนา)

เมื่อหยุดสร้างเหตุนอกตัว เป็นเหตุให้ รู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตมากขึ้นเรื่อยๆ สัมมาสมาธิย่อมเกิด




สัมมาสมาธิ เกิดได้ ๒ ทาง คือ

๑. เจตนาทำให้เกิดขึ้น ได้แก่ การปรับอินทรีย์ คือ ทำสมาธิให้เกิดก่อน(อิทธิบาท ๔ สมาธิ/อิทธิบาทภาวนา) แล้วจึงปรับอินทรีย์

เมื่อสัมมาสมาธิเกิด ใช้หลัก โยนิโสมนสิการ ไม่นำทิฏฐิที่มีอยู่ เข้าไปแทรกแซงสภาวะที่เกิดขึ้น มรรค มีองค์ ๘ ย่อมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย (โยนิโสมนสิการ)

๒. ปัจจุบัน ขณะ(ผัสสะ/สิ่งที่เกิดขึ้น) ใช้หลัก โยนิโสมนสิการ ได้แก่ ดูตามความเป็นจริง หยุดสร้างเหตุนอกตัว เป็นเหตุให้ รู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตมากขึ้นเรื่อยๆ สัมมาสมาธิย่อมเกิด มรรคมีองค์ ๘ ย่อมเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะ ตามเหตุปัจจัย(โยนิโสมนสิการ)



สัมมาสติ เป็นเหตุของ การสร้างเหตุ การดับเหตุของการเกิดภพชาติปัจจุบัน ได้แก่ เหตุ (วจีกรรม กายกรรม) ที่เกิดจาก ความรู้สึกยินดี ยินร้าย โดยมีตัณหา เป็นแรงหนุนนำ ให้เกิดการกระทำ จากความไม่รู้ที่มีอยู่

สัมมาสมาธิ เป็นเหตุของ การสร้างเหตุ การดับเหตุของการเกิดภพชาติในวัฏฏสงสาร (สมุจเฉทประหาณ) ได้แก่ อนุสัยกิเลส(สังโยชน์ ๑๐)


ไม่ว่าผู้ใด จะเริ่มต้นสร้างเหตุของการเกิด สภาวะศิล โดยใช้ บัญญัติ นำร่อง แล้วปฏิบัติตาม

หรือ จะเริ่มต้นสร้างเหตุของการเกิด สภาวะศิล โดยใช้หลัก โยนิโสมนสิการ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

ปัญญาที่เกิด ย่อมเกิดจากเหตุปัจจัยนั้นๆ และจากเหตุปัจจัยที่มีอยู่


เมื่อกระทำ ด้วยตัณหา(ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรๆในสมมุติ)
เหตุมี ผลย่อมมี(๓๑ ภพภูมิ)

เมื่อกระทำ มุ่งหวังเพื่อดับเหตุของการเกิดทั้งปวง
เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี(ภพชาติในวัฏฏสงสารสั้นลง จนกระทั่งหมดสิ้นไป ตามเหตุปัจจัย)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เอาเถอะ คนเรามันก็ต่างกันตรงนี้แหลพี่โฮ มันต่างกันตรงความคิดนี่แหล่ะครับ จะให้เหมือนกันมันคงไม่มีทาง เหมือนทางโลกน่ะครับถ้าผมเป็นคนคิดธรรมดา ผมก็คงเรียน ป.ตรีเหมือนคนคนอื่น และผมก็คงจะจบป.ตรีแล้วมาทำงานกินเงินเดือน แล้วก็ทำงานจนแก่อายุ60แล้วก็ออกมาเลี้ยงหลาน คงไม่มีโอกาส ล้มลุกคุกคลาน สูงบ้าง ต่ำบ้าง ครบทุกรสชาติของชีวิตอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น :

คุณก็อย่าพูดมั่ว เรื่องของพระธรรมมาบอกได้ไงว่าต่างกันที่ความคิด
แล้วไอ้เรื่องชีวิตคุณผมไม่เห็นมันจะมีอะไรแปลกกว่าชาวบ้านตรงไหน
จบม.6มันแปลกตรงไหนหรือ อย่าคิดไปเองซิว่า ตัวเองแตกต่างจากคนอื่น
อย่าคิดไปเองว่า โลกคือลครแล้วมีตนเองเป็นตัวนำเป็นพระเอก
การศึกษาทางโลก มันไม่ได้เป็นประเด็นปัญหาในการปฏิบัติธรรมเลย
มันคนละเรื่อง จบป.4ก็เป็นอรหันต์ได้ จบด็อกเตอร์ก็เป็นอรหันต์ได้
จะบอกให้ที่คุณพูดมาทั้งหมด เป็นเพราะกำลังหลงตัวเอง
bigtoo เขียน:
คุณโฮอาจจะคิดว่าเป็นปมด้อยของผมก็ไม่เป็นอะไรหรอก ความจริงก็คือความจริงคือ จบ ม.6ผมยอมรับได้สบายๆ ส่วนเรื่องการปฎิบัตินั้นต่างคนต่างมีวิธีคิดเป็นของตนเอง ผมก็เพียงแต่ยกตัวอย่างมาก็เท่านั้น และการพิสูจน์คนในการปฎิบัติธรรมเขาไม่ได้ดูกันที่คำพูดเพียวอย่างเดียว เขาดูกันที่ศิล ละเว้นอะไรกันได้มากแค่ไหน พูดใครๆก็พูดได้ จะเอาแบบเลิศหรูอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้น แต่ถึงเวลาเอาเข้าจริงๆก็วิ่งใส่เอาๆกิเลสน่ะครับ

ใครไปดูถูกคนคุณที่จบม.6กันครับ จะบอกให้ที่ผมดูถูกคุณก็คือ คุณหลงตัวเอง
คิดว่าตัวเองดึเลิศวิเศษวิโสกว่าคนอื่น มองไม่เห็นหัวคนอื่น

คุณไม่ทำงานมีเมียหาเลี้ยง คุณจบม.6ยังมีเมียจบโท
เพื่อนๆที่รวยกว่าคุณ ยังคบคุณเป็นเพื่อน แทนที่คุณจะเห็นความดีของคนเหล่านั้น
คุณกลับคิดไปว่า เพราะคุณมีดีเขาถึงยอมคบยอมเป็นเมียคุณ
รู้หรือยังว่า ปมด้อยของคุณคืออะไร เขาดูถูกคุณตรงไหน

แล้วยังมีเรื่องขี้คุยขี้โม้อีกครับที่เป็นปมด้อยของคุณ

bigtoo เขียน:
ผมเรียนมาวิธีฝึกวิปัสนาวิชาที่ผมเรียนบวกกับความที่ผมเป็นคนไม่ยึดติดกับสำนักที่ผมเรียนมา ผมแสวงหาอาจารย์อ่านตำราอยู่เป็นประจำฟังธรรมเสมอๆทำให้ผมเก็บในส่วนที่ดีของแต่ละอาจารย์มาผสมผสานกัน ทำให้ผมปฎิบัติจนก้าวหน้าลดละเลิกได้จริงๆ ไม่ได้แต่คุยธรรมะไปวันๆ แล้วเลิกอะไรไม่ได้

ไอ้ที่บอกว่าไม่ยึดติดสำนักนั้นน่ะ ถามหน่อยก่อนจะพูดน่ะคิดก่อนหรือเปล่า
สำรวจตรวจตราให้ดีก่อนหรือเปล่าว่า การกระทำกับคำพูด มันสวนทางกันหรือไม่
ที่ว่าไม่ยึดติดสำนัก ถามแล้วทำไมความเห็นคุณทุกความเห็นต้องมี ลิ้งเว็บไซด์
ของสำนักคุณครับ หลักฐานข้างล่าง..
bigtoo เขียน:
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


ที่บอกลด ละเลิกได้นี่น่ะผมว่า เลิกขี้โม้เลิกสรรเสริญเยินยอตัวเองให้ได้ก่อนดีมั้ย
bigtoo เขียน:
เอาเถอะท่านก็มีความคิดเห็นของท่านก็คิดได้ทำได้ทั้งนั้น มันไม่ผิดอะไร ต่างคนต่างคิด ส่วนเรื่องกินข้าวใครจะกินกันไปก็กินไปซิ ผมไม่เคยกล่าวว่ามันผิด แต่ที่ผมเลือกที่จะทำในสิ่งนี้ เพราะผมเพียงแต่สงสัยในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ก็เท่านั้น และคำตอบผมเป็นผู้รู้เท่านั้นใครจะมารู้ นอกจากคนที่เขาปฎิบัติเท่านั้น คุณอาจจะบอกว่าเคยมาแล้วผมทำมาหมดแล้ว นั้นมันก็เรื่องของคุณมันไม่เกี่ยวกับผม

ใช่ครับต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ นั้นต้องเป็นเรื่องทางโลก แต่ถ้าเป็นเรื่องทางธรรมแล้ว
ถ้ามาพูดนอกลู่นอกทางแล้ว คนที่นับศาสนาพุทธทุกคนมีสิทธิแย้งครับ

ถ้าคุณไม่ต้องการให้ใครมาแย้งคุณ คุณต้องไปพูดกับกระจกในห้องคุณตามลำพัง
รับรองได้คนที่อยู่ในกระจก มันไม่แย้งคุณหรอกครับ มันจะพูดตามคุณด้วยซ้ำ
bigtoo เขียน:

ผมศรัทธาในพระองค์ผมก็ทำตามก็เท่านั้นมันน่าจะเพียงพอกับคำตอบนะครับ ถ้าคุณย้อนกับไปอ่านคุณจะเห็นว่าผมไม่เคยห้ามใครเรื่องกินเลย ส่วนเรื่องดูหนังโป๊นั้น มันเป็นการทดลองใจของผมต่างหากไม่ได้ดูเพื่อความพลิน ฝึกมานานแล้วก็ลองดูพิจารณาธรรมะในขนาดนั้นมันเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็รู้ว่าจิตใจที่เข้มแข็งจะผ่านได้ถ้าใครยังอ่อนอยู่ก็จบกันเสร็จมันก็เท่านั้นเอง และตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมแล้ว ส่วนเรื่องอาหารก็นัยเดียวกัน รักนะจู๊บๆ

ง่ายๆสั้นๆ คุณจะทำอะไรมันเป็นเรื่องของคุณ ถ้าไม่อ้างพระพุทธเจ้า
หรือพระธรรมของพระพุทธเจ้า แค่นี้แหล่ะหวังว่าคงเข้าใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
เอาเถอะ คนเรามันก็ต่างกันตรงนี้แหลพี่โฮ มันต่างกันตรงความคิดนี่แหล่ะครับ จะให้เหมือนกันมันคงไม่มีทาง เหมือนทางโลกน่ะครับถ้าผมเป็นคนคิดธรรมดา ผมก็คงเรียน ป.ตรีเหมือนคนคนอื่น และผมก็คงจะจบป.ตรีแล้วมาทำงานกินเงินเดือน แล้วก็ทำงานจนแก่อายุ60แล้วก็ออกมาเลี้ยงหลาน คงไม่มีโอกาส ล้มลุกคุกคลาน สูงบ้าง ต่ำบ้าง ครบทุกรสชาติของชีวิตอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น :

คุณก็อย่าพูดมั่ว เรื่องของพระธรรมมาบอกได้ไงว่าต่างกันที่ความคิด
แล้วไอ้เรื่องชีวิตคุณผมไม่เห็นมันจะมีอะไรแปลกกว่าชาวบ้านตรงไหน
จบม.6มันแปลกตรงไหนหรือ อย่าคิดไปเองซิว่า ตัวเองแตกต่างจากคนอื่น
อย่าคิดไปเองว่า โลกคือลครแล้วมีตนเองเป็นตัวนำเป็นพระเอก
การศึกษาทางโลก มันไม่ได้เป็นประเด็นปัญหาในการปฏิบัติธรรมเลย
มันคนละเรื่อง จบป.4ก็เป็นอรหันต์ได้ จบด็อกเตอร์ก็เป็นอรหันต์ได้
จะบอกให้ที่คุณพูดมาทั้งหมด เป็นเพราะกำลังหลงตัวเอง
bigtoo เขียน:
คุณโฮอาจจะคิดว่าเป็นปมด้อยของผมก็ไม่เป็นอะไรหรอก ความจริงก็คือความจริงคือ จบ ม.6ผมยอมรับได้สบายๆ ส่วนเรื่องการปฎิบัตินั้นต่างคนต่างมีวิธีคิดเป็นของตนเอง ผมก็เพียงแต่ยกตัวอย่างมาก็เท่านั้น และการพิสูจน์คนในการปฎิบัติธรรมเขาไม่ได้ดูกันที่คำพูดเพียวอย่างเดียว เขาดูกันที่ศิล ละเว้นอะไรกันได้มากแค่ไหน พูดใครๆก็พูดได้ จะเอาแบบเลิศหรูอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้น แต่ถึงเวลาเอาเข้าจริงๆก็วิ่งใส่เอาๆกิเลสน่ะครับ

ใครไปดูถูกคนคุณที่จบม.6กันครับ จะบอกให้ที่ผมดูถูกคุณก็คือ คุณหลงตัวเอง
คิดว่าตัวเองดึเลิศวิเศษวิโสกว่าคนอื่น มองไม่เห็นหัวคนอื่น

คุณไม่ทำงานมีเมียหาเลี้ยง คุณจบม.6ยังมีเมียจบโท
เพื่อนๆที่รวยกว่าคุณ ยังคบคุณเป็นเพื่อน แทนที่คุณจะเห็นความดีของคนเหล่านั้น
คุณกลับคิดไปว่า เพราะคุณมีดีเขาถึงยอมคบยอมเป็นเมียคุณ
รู้หรือยังว่า ปมด้อยของคุณคืออะไร เขาดูถูกคุณตรงไหน

แล้วยังมีเรื่องขี้คุยขี้โม้อีกครับที่เป็นปมด้อยของคุณ

bigtoo เขียน:
ผมเรียนมาวิธีฝึกวิปัสนาวิชาที่ผมเรียนบวกกับความที่ผมเป็นคนไม่ยึดติดกับสำนักที่ผมเรียนมา ผมแสวงหาอาจารย์อ่านตำราอยู่เป็นประจำฟังธรรมเสมอๆทำให้ผมเก็บในส่วนที่ดีของแต่ละอาจารย์มาผสมผสานกัน ทำให้ผมปฎิบัติจนก้าวหน้าลดละเลิกได้จริงๆ ไม่ได้แต่คุยธรรมะไปวันๆ แล้วเลิกอะไรไม่ได้

ไอ้ที่บอกว่าไม่ยึดติดสำนักนั้นน่ะ ถามหน่อยก่อนจะพูดน่ะคิดก่อนหรือเปล่า
สำรวจตรวจตราให้ดีก่อนหรือเปล่าว่า การกระทำกับคำพูด มันสวนทางกันหรือไม่
ที่ว่าไม่ยึดติดสำนัก ถามแล้วทำไมความเห็นคุณทุกความเห็นต้องมี ลิ้งเว็บไซด์
ของสำนักคุณครับ หลักฐานข้างล่าง..
bigtoo เขียน:
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


ที่บอกลด ละเลิกได้นี่น่ะผมว่า เลิกขี้โม้เลิกสรรเสริญเยินยอตัวเองให้ได้ก่อนดีมั้ย
bigtoo เขียน:
เอาเถอะท่านก็มีความคิดเห็นของท่านก็คิดได้ทำได้ทั้งนั้น มันไม่ผิดอะไร ต่างคนต่างคิด ส่วนเรื่องกินข้าวใครจะกินกันไปก็กินไปซิ ผมไม่เคยกล่าวว่ามันผิด แต่ที่ผมเลือกที่จะทำในสิ่งนี้ เพราะผมเพียงแต่สงสัยในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ก็เท่านั้น และคำตอบผมเป็นผู้รู้เท่านั้นใครจะมารู้ นอกจากคนที่เขาปฎิบัติเท่านั้น คุณอาจจะบอกว่าเคยมาแล้วผมทำมาหมดแล้ว นั้นมันก็เรื่องของคุณมันไม่เกี่ยวกับผม

ใช่ครับต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ นั้นต้องเป็นเรื่องทางโลก แต่ถ้าเป็นเรื่องทางธรรมแล้ว
ถ้ามาพูดนอกลู่นอกทางแล้ว คนที่นับศาสนาพุทธทุกคนมีสิทธิแย้งครับ

ถ้าคุณไม่ต้องการให้ใครมาแย้งคุณ คุณต้องไปพูดกับกระจกในห้องคุณตามลำพัง
รับรองได้คนที่อยู่ในกระจก มันไม่แย้งคุณหรอกครับ มันจะพูดตามคุณด้วยซ้ำ
bigtoo เขียน:

ผมศรัทธาในพระองค์ผมก็ทำตามก็เท่านั้นมันน่าจะเพียงพอกับคำตอบนะครับ ถ้าคุณย้อนกับไปอ่านคุณจะเห็นว่าผมไม่เคยห้ามใครเรื่องกินเลย ส่วนเรื่องดูหนังโป๊นั้น มันเป็นการทดลองใจของผมต่างหากไม่ได้ดูเพื่อความพลิน ฝึกมานานแล้วก็ลองดูพิจารณาธรรมะในขนาดนั้นมันเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็รู้ว่าจิตใจที่เข้มแข็งจะผ่านได้ถ้าใครยังอ่อนอยู่ก็จบกันเสร็จมันก็เท่านั้นเอง และตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมแล้ว ส่วนเรื่องอาหารก็นัยเดียวกัน รักนะจู๊บๆ

ง่ายๆสั้นๆ คุณจะทำอะไรมันเป็นเรื่องของคุณ ถ้าไม่อ้างพระพุทธเจ้า
หรือพระธรรมของพระพุทธเจ้า แค่นี้แหล่ะหวังว่าคงเข้าใจ
เอาแหละไอ้เรื่องที่คุณเขียนไว้คุณจำอะไรไม่ได้ก็ไม่เป้นอะไร ที่คุณว่าผมเรื่องปมด้อย ผมไม่ถือหรอกเพราะผมจบแค่ม6มันเรื่องจริง

ถ้าคุณคิดว่าการที่ผมเอาเรื่องจริงมาพูด ว่าเป็นเรื่องโม้นี่แปลก เรื่องโม้คือเรื่องโกหกไม่จริง เขาถึงเรียกว่าโม้ แต่ถ้าทนยอมรับไม่ได้กับเรื่องจริงเขาเรียกว่า ไม่ยอมรับความจริงรู้มั้ย ประวัติบุคคลเขาก็เล่าความจริงกันทั้งนั้นแหล่ะถึงจะมีคนเขาชื่นชม มีใครเขียนประวัติแบบไม่เล่าอะไรเลย

ผมนี่นะไม่เห็นหัวคนอื่น555ขนาดหมาไม่ใช่หมาของผม 3-4ตัว ผอมผมยังให้อาหารกิน วิ่งหนีฝนไม่มีที่หลบฝน ผมยังเปิดบ้านให้เข้ามาหลบฝนเลย นับอะไรกับคน แต่คุณมาโต้ตอบธรรมะกับผม ผมก็ต้องยกตัวอย่างที่ดีที่ทำได้มาก็แค่นั้น ทำไม่ได้ก็ยอมรับก็จบเรื่อง (ทำได้ไมล่ะที่ถามไปเรื่องอย่างว่านะถ้าทำได้ก็บอกมา)

และผมก็ไม่เคยใช่คำพูดดูถูกอย่างเช่น"" บึ้อสมชื่อะไรทำนองนี้""ทู๋สมชื่อ"" อย่างนี้นะ มันบ่งบอกถึงอะไรรู้มั้ย

เรื่องแย้งก็แย้งมาซิครับ แต่ความคิดมันสิทธิของแต่ละคนที่จะคิดจะทำ

และเรื่องที่ผมบอกว่าไม่ยึดติดสำนักไหน ขอให้เข้าใจด้วยการปฎิบัติกับการนำเสนอสิ่งที่คิดว่าดี ทำไมผมถึงคิดว่าดีรู้มั้ย ผมเข้าอบรมที่นี่แค่10วัน ผมเลิกบุหรี่ที่ติดมาเกือบ20ปีได้ เลิกนอกใจภรรยา เลิกกินเหล้าและอะไรๆได้มาก ก็เปิดโอกาสให้คนที่เขาเปิดใจที่จะศึกษาธรรมะได้มีทางเลือกก็เท่านั้น แค่ความหวังดียังคิดเป็นยึดติดนี่แสบจริงๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เอาแหละไอ้เรื่องที่คุณเขียนไว้คุณจำอะไรไม่ได้ก็ไม่เป้นอะไร ที่คุณว่าผมเรื่องปมด้อย ผมไม่ถือหรอกเพราะผมจบแค่ม6มันเรื่องจริง

ใครจะไปจำได้ล่ะ ว่าไปที่ก็แต่งเรื่องใหม่มาเถียงน้ำขุ่นๆทุกที
ผมตามคุณมารูนี่ คุณก็มุดออกรูโน้น ถามเมื่อไรคุณจะเชื่อมั่นกับคำพูดคุณซักที

ไม่อยากเชื่อเลยว่า บิกทู่ออายุ40กว่า มีเมียจบโท มีลูกกำลังเรียนปริญญาตรี
เหมือนเด็กไม่มีผิด เขาว่าอะไรไป ก็สร้างเรื่องใหม่มาแก้ตัวได้เรื่อยๆ :b32:
bigtoo เขียน:
ถ้าคุณคิดว่าการที่ผมเอาเรื่องจริงมาพูด ว่าเป็นเรื่องโม้นี่แปลก เรื่องโม้คือเรื่องโกหกไม่จริง เขาถึงเรียกว่าโม้ แต่ถ้าทนยอมรับไม่ได้กับเรื่องจริงเขาเรียกว่า ไม่ยอมรับความจริงรู้มั้ย

มันจะจริงไม่จริงไม่มีใครรู้ นอกจากตัวคุณ แต่ที่ต้องบอกว่าโม้ก็เพราะ
พูดจาอะไรมาไม่รู้จักกระดากใจ สรรเสริญเยินยอตัวเองแบบนี้ ชาวบ้านเขาเรียกว่าโม้
พูดถึงเพื่อน พูดถึงเมีย แทนที่จะบอกการกระทำของเพื่อนของเมียเป็นสิ่งที่ดีน่าสรรเสริญ
ดันมาสรรเสริญตัวเองเสียนี่ แบบนี้แหล่ะเขาเรียก...ขี้โม้..ขี้โกหกครับ :b32:

bigtoo เขียน:
ประวัติบุคคลเขาก็เล่าความจริงกันทั้งนั้นแหล่ะถึงจะมีคนเขาชื่นชม มีใครเขียนประวัติแบบไม่เล่าอะไรเลย

ที่คนเขาชื่นชม เพราะเขาเขียนประวัติในแนวทางสรรเสริญคนอื่น
กล่าวอ้างคนอื่นด้วยความกตัญญูรู้คุณ ไม่ใช่แบบคุณที่บอกแต่ตัวเองดีสารพัด :b13:
bigtoo เขียน:
ผมนี่นะไม่เห็นหัวคนอื่น555ขนาดหมาไม่ใช่หมาของผม 3-4ตัว ผอมผมยังให้อาหารกิน วิ่งหนีฝนไม่มีที่หลบฝน ผมยังเปิดบ้านให้เข้ามาหลบฝนเลย นับอะไรกับคน แต่คุณมาโต้ตอบธรรมะกับผม ผมก็ต้องยกตัวอย่างที่ดีที่ทำได้มาก็แค่นั้น ทำไม่ได้ก็ยอมรับก็จบเรื่อง (ทำได้ไมล่ะที่ถามไปเรื่องอย่างว่านะถ้าทำได้ก็บอกมา)

เห็นมั้ยล่ะ สร้างเรื่องใหม่อีกแล้ว เคยได้ยินแต่สำนวนว่า"แพะรับบาป"
นี่มาเจอ"หมารับบาป"แทน

คุณจะมายกตัวอย่างสรรเสริญตัวเองทำไม ใครเขาได้ยินก็จะลงความเห็นว่า
ไอ้นี่ขี้โม้ สร้างเรื่องแก้ตัว ว่าเขาตอบโต้ธรรม แทนที่จะเอาธรรมของพระพุทธเจ้าตอบโต้ไป
กลับไปอวดดีอวดตัวใส่เขาอีก แบบนี่เขาก็ยิ่งแหย่ให้โชว์จำอวดเท่านั้นแหล่ะ
bigtoo เขียน:

และผมก็ไม่เคยใช่คำพูดดูถูกอย่างเช่น"" บึ้อสมชื่อะไรทำนองนี้""ทู๋สมชื่อ"" อย่างนี้นะ มันบ่งบอกถึงอะไรรู้มั้ย
เรื่องแย้งก็แย้งมาซิครับ แต่ความคิดมันสิทธิของแต่ละคนที่จะคิดจะทำ

มันจะบ่งบอกอะไร มันก็เป็นการเตือนสติให้รู้ว่า "อย่ายกตนข่มท่าน"
พูดธรรมแย้งธรรมก็พูดไป แต่ไม่ใช่พูดแต่ตัวเองดีวิเศษวิโส แล้วใช้วาจาเสียดสี
ชาวบ้านในทำนองว่า คนอื่นทำไม่ได้

และก่อนที่เขาจะว่าคุณบรื่อหรือทู่เนี่ย เขาก็แสดงธรรมให้ฟังก่อนแล้ว
ส่วนไอ้คำว่าบรื่อหรือทู่ มันเป็นคำย้ำเตือนสติ ให้สนใจธรรมไม่ใช่มัวหลงตัวเอง
bigtoo เขียน:

และเรื่องที่ผมบอกว่าไม่ยึดติดสำนักไหน ขอให้เข้าใจด้วยการปฎิบัติกับการนำเสนอสิ่งที่คิดว่าดี ทำไมผมถึงคิดว่าดีรู้มั้ย ผมเข้าอบรมที่นี่แค่10วัน ผมเลิกบุหรี่ที่ติดมาเกือบ20ปีได้ เลิกนอกใจภรรยา เลิกกินเหล้าและอะไรๆได้มาก ก็เปิดโอกาสให้คนที่เขาเปิดใจที่จะศึกษาธรรมะได้มีทางเลือกก็เท่านั้น แค่ความหวังดียังคิดเป็นยึดติดนี่แสบจริงๆ

เอาอีกแหล่ะ ช่างสรรหาแต่งเรื่องได้สารพัด ที่คุณต้องไปแก้ตัวก็คือ
เขามีหลักฐานว่าคุณโกหก ที่บอกไม่ยึดติดสำนัก ไปแก้ซิว่า
หลักฐานของเขาเชื่อได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่มาสร้างเรื่องแต่งเรื่องใหม่
แบบนี้ขึ้นศาลถูกลงโทษ ฐานแต่งเรื่องให้การเท็จแหง่ๆ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
เอาแหละไอ้เรื่องที่คุณเขียนไว้คุณจำอะไรไม่ได้ก็ไม่เป้นอะไร ที่คุณว่าผมเรื่องปมด้อย ผมไม่ถือหรอกเพราะผมจบแค่ม6มันเรื่องจริง

ใครจะไปจำได้ล่ะ ว่าไปที่ก็แต่งเรื่องใหม่มาเถียงน้ำขุ่นๆทุกที
ผมตามคุณมารูนี่ คุณก็มุดออกรูโน้น ถามเมื่อไรคุณจะเชื่อมั่นกับคำพูดคุณซักที

ไม่อยากเชื่อเลยว่า บิกทู่ออายุ40กว่า มีเมียจบโท มีลูกกำลังเรียนปริญญาตรี
เหมือนเด็กไม่มีผิด เขาว่าอะไรไป ก็สร้างเรื่องใหม่มาแก้ตัวได้เรื่อยๆ :b32:
bigtoo เขียน:
ถ้าคุณคิดว่าการที่ผมเอาเรื่องจริงมาพูด ว่าเป็นเรื่องโม้นี่แปลก เรื่องโม้คือเรื่องโกหกไม่จริง เขาถึงเรียกว่าโม้ แต่ถ้าทนยอมรับไม่ได้กับเรื่องจริงเขาเรียกว่า ไม่ยอมรับความจริงรู้มั้ย

มันจะจริงไม่จริงไม่มีใครรู้ นอกจากตัวคุณ แต่ที่ต้องบอกว่าโม้ก็เพราะ
พูดจาอะไรมาไม่รู้จักกระดากใจ สรรเสริญเยินยอตัวเองแบบนี้ ชาวบ้านเขาเรียกว่าโม้
พูดถึงเพื่อน พูดถึงเมีย แทนที่จะบอกการกระทำของเพื่อนของเมียเป็นสิ่งที่ดีน่าสรรเสริญ
ดันมาสรรเสริญตัวเองเสียนี่ แบบนี้แหล่ะเขาเรียก...ขี้โม้..ขี้โกหกครับ :b32:

bigtoo เขียน:
ประวัติบุคคลเขาก็เล่าความจริงกันทั้งนั้นแหล่ะถึงจะมีคนเขาชื่นชม มีใครเขียนประวัติแบบไม่เล่าอะไรเลย

ที่คนเขาชื่นชม เพราะเขาเขียนประวัติในแนวทางสรรเสริญคนอื่น
กล่าวอ้างคนอื่นด้วยความกตัญญูรู้คุณ ไม่ใช่แบบคุณที่บอกแต่ตัวเองดีสารพัด :b13:
bigtoo เขียน:
ผมนี่นะไม่เห็นหัวคนอื่น555ขนาดหมาไม่ใช่หมาของผม 3-4ตัว ผอมผมยังให้อาหารกิน วิ่งหนีฝนไม่มีที่หลบฝน ผมยังเปิดบ้านให้เข้ามาหลบฝนเลย นับอะไรกับคน แต่คุณมาโต้ตอบธรรมะกับผม ผมก็ต้องยกตัวอย่างที่ดีที่ทำได้มาก็แค่นั้น ทำไม่ได้ก็ยอมรับก็จบเรื่อง (ทำได้ไมล่ะที่ถามไปเรื่องอย่างว่านะถ้าทำได้ก็บอกมา)

เห็นมั้ยล่ะ สร้างเรื่องใหม่อีกแล้ว เคยได้ยินแต่สำนวนว่า"แพะรับบาป"
นี่มาเจอ"หมารับบาป"แทน

คุณจะมายกตัวอย่างสรรเสริญตัวเองทำไม ใครเขาได้ยินก็จะลงความเห็นว่า
ไอ้นี่ขี้โม้ สร้างเรื่องแก้ตัว ว่าเขาตอบโต้ธรรม แทนที่จะเอาธรรมของพระพุทธเจ้าตอบโต้ไป
กลับไปอวดดีอวดตัวใส่เขาอีก แบบนี่เขาก็ยิ่งแหย่ให้โชว์จำอวดเท่านั้นแหล่ะ
bigtoo เขียน:

และผมก็ไม่เคยใช่คำพูดดูถูกอย่างเช่น"" บึ้อสมชื่อะไรทำนองนี้""ทู๋สมชื่อ"" อย่างนี้นะ มันบ่งบอกถึงอะไรรู้มั้ย
เรื่องแย้งก็แย้งมาซิครับ แต่ความคิดมันสิทธิของแต่ละคนที่จะคิดจะทำ

มันจะบ่งบอกอะไร มันก็เป็นการเตือนสติให้รู้ว่า "อย่ายกตนข่มท่าน"
พูดธรรมแย้งธรรมก็พูดไป แต่ไม่ใช่พูดแต่ตัวเองดีวิเศษวิโส แล้วใช้วาจาเสียดสี
ชาวบ้านในทำนองว่า คนอื่นทำไม่ได้

และก่อนที่เขาจะว่าคุณบรื่อหรือทู่เนี่ย เขาก็แสดงธรรมให้ฟังก่อนแล้ว
ส่วนไอ้คำว่าบรื่อหรือทู่ มันเป็นคำย้ำเตือนสติ ให้สนใจธรรมไม่ใช่มัวหลงตัวเอง
bigtoo เขียน:

และเรื่องที่ผมบอกว่าไม่ยึดติดสำนักไหน ขอให้เข้าใจด้วยการปฎิบัติกับการนำเสนอสิ่งที่คิดว่าดี ทำไมผมถึงคิดว่าดีรู้มั้ย ผมเข้าอบรมที่นี่แค่10วัน ผมเลิกบุหรี่ที่ติดมาเกือบ20ปีได้ เลิกนอกใจภรรยา เลิกกินเหล้าและอะไรๆได้มาก ก็เปิดโอกาสให้คนที่เขาเปิดใจที่จะศึกษาธรรมะได้มีทางเลือกก็เท่านั้น แค่ความหวังดียังคิดเป็นยึดติดนี่แสบจริงๆ

เอาอีกแหล่ะ ช่างสรรหาแต่งเรื่องได้สารพัด ที่คุณต้องไปแก้ตัวก็คือ
เขามีหลักฐานว่าคุณโกหก ที่บอกไม่ยึดติดสำนัก ไปแก้ซิว่า
หลักฐานของเขาเชื่อได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่มาสร้างเรื่องแต่งเรื่องใหม่
แบบนี้ขึ้นศาลถูกลงโทษ ฐานแต่งเรื่องให้การเท็จแหง่ๆ :b32:
สงสัยเกิดมามีแต่ตับมามั้ง555 จะต้องให้บอกทุกเรื่อง เรื่องราวนะเขาให้ดูที่เนื้อหาไม่ได้อวดตัว555อย่างเรื่องหมานะ ถ้าคนไม่มีความเมตตาเพียงพอนะทำไม่ได้หรอกเรื่องอย่างนี้ ดูสาระเข้าใจมั้ยที่ยกมาทั้งหมดมันมีสาระเรื่องการปฎิบัติธรรมะที่เกิดผลจริงจิตใจต้องพัฒนา ไม่ใช่ข้าบรรลุธรรมแล้วแต่ทำทานไม่เป็นเห็นซองผ้าป่าตกใจ อะไรประมาณนี้แหล่ะ บอกแล้วไงไอ้เรื่องบรรลุถึงขั้นไหนๆใครก็พูดได้มันคิดเอาเองได้ ธรรมเบื้องต้นถ้ายังไม่ผ่านแล้วจะผ่านเรื่องอะไรพี่โฮ555เรื่องทั้งหมดลองกลับไปดูสาระมันซิ ถ้าไม่คุยเรื่องอย่างนี้ท่านจะรู้เหรอว่าคนเราทำอะไรได้บ้าง โต้กันไปโต้กันมาเรื่องธรรมะนะมันเอาความเข้าใจของตนเองมาโต้ นี่ชัดๆการกระทำ ลด ละ เลิก ของแท้มีลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ของปลอมอิๆๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุไม่มี....เป็นผลมาจากการปล่อยวาง...
นั้นคือ...เหตุไม่มี....มันเป็นผล....ไม่ใช่มรรค


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2012, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การโยนิโส....เป็นชื่อ...แต่การกระทำที่เรียกว่าโยนิโส....หากไม่ใช้ความรู้สึกนึกคิด....แล้วจะเอาอะไรไปโยนิโส
นั้นคือ...จะโยนิโสโดยปราศจากสัญญาความจำ....อะไรเลยนั้น...เป็นไปไม่ได้...

ก็ในเมื่อ...สังขาร...สัญญา....ยังมีอยู่...การจะเรียกว่า....ไม่มีทิฏฐิแทรกในการโยนิโส...จึงเป็นไปไม่ได้...

แต่...ผลจากการโยนิโส...อาจไม่ได้เป็นอย่างทิฏฐิเดิม...และ...สิ่งที่ตกผลึกจากโยนิโสนั้น...จะตรงตามอรรถธรรมมากน้อยเพียงใด....ก็ขึ้นอยู่กับ....อินทรีย์ของผู้เป็นเจ้าของ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2012, 04:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เอาอีกแหล่ะ ช่างสรรหาแต่งเรื่องได้สารพัด ที่คุณต้องไปแก้ตัวก็คือ
เขามีหลักฐานว่าคุณโกหก ที่บอกไม่ยึดติดสำนัก ไปแก้ซิว่า
หลักฐานของเขาเชื่อได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่มาสร้างเรื่องแต่งเรื่องใหม่
แบบนี้ขึ้นศาลถูกลงโทษ ฐานแต่งเรื่องให้การเท็จแหง่ๆ :b32:
สงสัยเกิดมามีแต่ตับมามั้ง555 จะต้องให้บอกทุกเรื่อง เรื่องราวนะเขาให้ดูที่เนื้อหาไม่ได้อวดตัว555อย่างเรื่องหมานะ ถ้าคนไม่มีความเมตตาเพียงพอนะทำไม่ได้หรอกเรื่องอย่างนี้ ดูสาระเข้าใจมั้ยที่ยกมาทั้งหมดมันมีสาระเรื่องการปฎิบัติธรรมะที่เกิดผลจริงจิตใจต้องพัฒนา ไม่ใช่ข้าบรรลุธรรมแล้วแต่ทำทานไม่เป็นเห็นซองผ้าป่าตกใจ อะไรประมาณนี้แหล่ะ บอกแล้วไงไอ้เรื่องบรรลุถึงขั้นไหนๆใครก็พูดได้มันคิดเอาเองได้ ธรรมเบื้องต้นถ้ายังไม่ผ่านแล้วจะผ่านเรื่องอะไรพี่โฮ555เรื่องทั้งหมดลองกลับไปดูสาระมันซิ ถ้าไม่คุยเรื่องอย่างนี้ท่านจะรู้เหรอว่าคนเราทำอะไรได้บ้าง โต้กันไปโต้กันมาเรื่องธรรมะนะมันเอาความเข้าใจของตนเองมาโต้ นี่ชัดๆการกระทำ ลด ละ เลิก ของแท้มีลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ของปลอมอิๆๆ

เฮ่ๆๆๆหยุดครับหยุด อย่าแกล้งมีน ทำเป็นไม่เข้าใจภาษา
ผมว่าคุณโกหกเรื่องที่คุณบอก "ไม่ยึดติดสำนัก"
ผมเอาหลักฐานมาให้ดูว่า คุณนั้นแหล่ะยึดติดสำนัก และหลักฐานที่ว่าก็คือ..

bigtoo เขียน:
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net

นี่มันต้องแก้ข้อกล่าวหาเขา เรื่องที่มีลายเซ็นโชว์เว็บไซด์ของสำนักตัวเองทุกความเห็น
แล้วยังมาด้านบอกว่าไม่ยึดติดสำนัก :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2012, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เอาอีกแหล่ะ ช่างสรรหาแต่งเรื่องได้สารพัด ที่คุณต้องไปแก้ตัวก็คือ
เขามีหลักฐานว่าคุณโกหก ที่บอกไม่ยึดติดสำนัก ไปแก้ซิว่า
หลักฐานของเขาเชื่อได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่มาสร้างเรื่องแต่งเรื่องใหม่
แบบนี้ขึ้นศาลถูกลงโทษ ฐานแต่งเรื่องให้การเท็จแหง่ๆ :b32:
สงสัยเกิดมามีแต่ตับมามั้ง555 จะต้องให้บอกทุกเรื่อง เรื่องราวนะเขาให้ดูที่เนื้อหาไม่ได้อวดตัว555อย่างเรื่องหมานะ ถ้าคนไม่มีความเมตตาเพียงพอนะทำไม่ได้หรอกเรื่องอย่างนี้ ดูสาระเข้าใจมั้ยที่ยกมาทั้งหมดมันมีสาระเรื่องการปฎิบัติธรรมะที่เกิดผลจริงจิตใจต้องพัฒนา ไม่ใช่ข้าบรรลุธรรมแล้วแต่ทำทานไม่เป็นเห็นซองผ้าป่าตกใจ อะไรประมาณนี้แหล่ะ บอกแล้วไงไอ้เรื่องบรรลุถึงขั้นไหนๆใครก็พูดได้มันคิดเอาเองได้ ธรรมเบื้องต้นถ้ายังไม่ผ่านแล้วจะผ่านเรื่องอะไรพี่โฮ555เรื่องทั้งหมดลองกลับไปดูสาระมันซิ ถ้าไม่คุยเรื่องอย่างนี้ท่านจะรู้เหรอว่าคนเราทำอะไรได้บ้าง โต้กันไปโต้กันมาเรื่องธรรมะนะมันเอาความเข้าใจของตนเองมาโต้ นี่ชัดๆการกระทำ ลด ละ เลิก ของแท้มีลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ของปลอมอิๆๆ

เฮ่ๆๆๆหยุดครับหยุด อย่าแกล้งมีน ทำเป็นไม่เข้าใจภาษา
ผมว่าคุณโกหกเรื่องที่คุณบอก "ไม่ยึดติดสำนัก"
ผมเอาหลักฐานมาให้ดูว่า คุณนั้นแหล่ะยึดติดสำนัก และหลักฐานที่ว่าก็คือ..

bigtoo เขียน:
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net

นี่มันต้องแก้ข้อกล่าวหาเขา เรื่องที่มีลายเซ็นโชว์เว็บไซด์ของสำนักตัวเองทุกความเห็น
แล้วยังมาด้านบอกว่าไม่ยึดติดสำนัก :b6:
:b35: :b35: :b35:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2012, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คำ "โยนิโสมนสิการ" นั้นประกอบด้วยคำสองคำ คือ

โยนิ แปลว่า เหตุ


มนสิการ หมายถึง การทำ(อารมณ์)ในใจ
ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น รู้สึกอย่างไร รู้ไปตามนั้น กระทำไว้ในใจ


ปัจจุบัน คือ สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ขณะ ในชีวิต

ผัสสะ คือ สิ่งที่เกิดขึ้น


ปัจจุบัน กับ ผัสสะ ตัวเดียวกัน



ปัจจุบัน เป็น ผลอดีต หมายถึง เหตุที่กระทำไว้ ในอดีต ส่งผลมาให้ได้รับ คือ เหตุ หรือสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ขณะ ได้แก่ ความรู้สึกยินดี ยินร้ายที่เกิดขึ้น โดยมีผัสสะเป็นเหตุปัจจัย


เป็นเหตุของอนาคต หมายถึง เหตุหรือสิ่งที่กระทำ (การสร้างเหตุทางมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ตามความรู้สึกยินดี ยินร้ายที่เกิดขึ้น) ณ ปัจจุบัน เป็น เหตุ หรือสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ได้รับผลใน อนาคต




"รูปํ ภิกฺขเว โยนิโส มนสิกโรถ รูปานิจฺจญฺจ ยถาภูตํ สมนุปสฺสถ"

แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีโยนิโสมนสิการ ตั้งสติกำหนดที่รูป ถ้ามีสมาธิแล้ว รูปนั้นนั้น อนิจจังก็ดี ทุกขังก็ดี อนัตตาก็ดี ย่อมเห็นได้ชัดเจนอย่างแน่นอน

"เธอจงเป็นผู้มีโยนิโสมนสิการ" เธอจงเป็นผู้ดูเหตุ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

"ตั้งสติกำหนดที่รูป" กำหนดรู้ (สติ) ลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น

"ถ้ามีสมาธิแล้ว" จิตเป็นสมาธิแล้ว (สติ+สัมปชัญญะ = สมาธิ)

"รูปนั้นนั้น อนิจจังก็ดี ทุกขังก็ดี อนัตตาก็ดี ย่อมเห็นได้ชัดเจนอย่างแน่นอน"

เห็นตามความเป็นจริง (สัมมาทิฏฐิ) ปราศจากความมีอัตตาตัวตนหรือความคิดเห็นของตน ถูก ผิด ใช่ ไม่ใช่ ดี ชั่ว กุศล อกุศล ฯลฯ ได้แก่ อุปทานที่มีอยู่ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่กำลังเกิดขึ้น



สภาวะ คือ ภิกษุทั้งหลาย จงดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น(โยนิ-เหตุ/สิ่งที่เกิดขึ้น/รูป) ได้แก่ ผัสสะ (สิ่งที่มากระทบ) คือ สิ่งที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ถ้ามีสมาธิแล้ว รูปนั้นนั้น อนิจจังก็ดี ทุกขังก็ดี อนัตตาก็ดี ย่อมเห็นได้ชัดเจนอย่างแน่นอน




สัมมาสติ

ย่อมเห็นสภาวะของสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง (รู้ชัดอยู่ในกาย เวทนา จิต ธรรม)


ไตรลักษณ์

อนิจจัง ไม่เที่ยง เพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นแปรเปลี่ยนตลอดเวลา ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่และที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นมาใหม่

ทุกข์ เพราะ อุปทาน

อนัตตา เพราะ ไม่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของสิ่งใด ปราศจากเรา เขา ตัวตน คน สัตว์
เกิดเพราะเหตุ ดับเพราะเหตุ

เห็นอนิจจัง ย่อมเห็นทุกขัง ย่อมเห็นอนัตตา

เห็นทุกขัง ย่อมเห็นอนิจจัง ย่อมเห็นอนัตตา

เห็นอนัตตา ย่อมเห็นอนิจจัง

คือ เห็นสภาวะใดสภาวะหนึ่ง ย่อมเห็นสภาวะทั้งหมด



อินทรีย์สังวร ได้แก่ ศิล

การไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น


สมาธิ ได้แก่ จิตตสมาธิ


ปัญญา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ

สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา


นิพพาน

นิพพาน คือ ความดับภพ ดับเหตุของการเกิดภพชาติปัจจุบัน

การกระทำเช่นนี้ ยังไม่อาจตัดภพชาติในวัฏฏสงสารได้ ได้แค่ดับเหตุของการเกิดภพชาติปัจจุบัน



การเจริญอิทธิบาทภาวนา เป็นฝ่ายสมถะ ในสติปัฏฐาน ๔

สัมมาสมาธิ เป็นฝ่ายวิปัสสนา ในสติปัฏฐาน ๔



สัมมาสมาธิ

เกิดจากการปรับอินทรีย์ ระหว่าง สมาธิกับสติ ให้เกิดความสมดุลย์ เป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม

เป็นเหตุให้ รู้ชัดอยู่ภายในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม


ลักษณะอาการหรือสภาวะที่เกิดขึ้น


มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิ เป็นลักษณะ

มีการเห็นตามความเป็นจริงเป็นรส (รู้ชัดอยู่ภายในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม)

มีความสมดุลย์ระหว่างสมาธิกับสติ เป็นปัจจุปัฏฐาน (เหตุการทำให้เกิดสัมมาสมาธิ)

มีสัมปชัญญะ เป็นปทัฏฐาน (เหตุของการเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิ)



โยนิโสมนสิการ

ดูและรู้ตามความเป็นจริง ขณะจิตเป็นสมาธิ

ดูและรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงภายในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่


สัมมาทิฏฐิ

สภาวะญาณต่างๆ(ญาณ ๑๖) เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเป็นปกติในสัมมาสมาธิ นับตั้งแต่นามรูปริจเฉทญาณ จนถึงปัจจเวกขณญาณ ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของสภาวะสัมมาสมาธิ

เป็นเพียงสักแต่ว่า กิริยาหรือสภาวะที่มีเกิดขึ้นในสัมมาสมาธิ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่การรู้เห็นวิเศษอย่างใด เหตุจากความไม่รู้ที่มีอยู่ เป็นเหตุที่มาของวิปัสสนูปกิเลส


ไตรลักษณ์

อนิจจัง ไม่เที่ยง เพราะ สภาวะที่เกิดขึ้นแปรเปลี่ยนตลอดเวลา ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่

ทุกข์ เพราะ อุปทาน

อนัตตา เพราะ ไม่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของสิ่งใด ปราศจากเรา เขา ตัวตน คน สัตว์ เกิดเพราะเหตุ ดับเพราะเหตุ

เห็นอนิจจัง ย่อมเห็นทุกขัง ย่อมเห็นอนัตตา

เห็นทุกขัง ย่อมเห็นอนิจจัง ย่อมเห็นอนัตตา

เห็นอนัตตา ย่อมเห็นอนิจจัง

คือ เห็นสภาวะใดสภาวะหนึ่ง ย่อมเห็นสภาวะทั้งหมด

ไตรลักษณ์ เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของสภาวะ



จนกว่าจะเกิดสภาวะสมุจเฉทประหาณ ที่เกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัยของพละ ๕ ไม่สามารถตั้งใจทำให้เกิดขึ้นเองได้ อนุสัยกิเลสหรือสังโยชน์ จะถูกทำลายในสภาวะสัมมาสมาธิเท่านั้น

นิพพาน คือ ความดับภพ ได้แก่ ดับเหตุของการเกิดภพชาติในวัฏฏสงสาร(อนุสัยกิเลสหรือสังโยชน์ ๑๐)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร