เรื่องขันธมาร นี้ผมไม่พูดก็แล้วกัน เพื่อนๆ พูดกันมากแล้ว

แต่ขอ....

ให้ข้อสังเกตุ เรื่องขันธ์5ว่า
ร่างกาย กับรูปขันธ์ .............................นี้คือสิ่งเดียวกันหรือไม่
มีหลายคน เข้าใจไปว่า รูปขันธ์ แฝงอยู่ในร่างกายอีกที

คือ ร่างกาย ก็อย่างที่เห็นคือ ไม่ได้มีการเกิดดับถี่ยิบอะไร
แต่รูปขันธ์ที่แฝงอยู่ในร่างกาย นี่ซิเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อม และดับไป อยู่ตลอดเวลา

มาร ๕ [ขันธมาร...ตอนที่ ๓]
http://www.dhammahome.com/front/webboar ... p?id=18143


มารสูตร ว่าด้วยขันธมาร
http://www.dhammahome.com/front/webboar ... p?id=18154

การจะดับนิวรณ์ได้ต้องเลือกใช้สติให้ถูกหลักด้วย

พูดเหมือนตรวจหาวัตถุระเบิดเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา หาจุดลงตัวเพื่อนำไปปฏิบัติไม่ได้ เอาให้มันแน่ดิว่าใช้สติยังไงถึงจะถูกหลักเอา แน่ๆ

เทียบเคียงเรืองๆมองเห็น สมมติเรามีขวานอยู่เล่มหนึ่ง เราใช้ขวานผ่าไม้ผ่าฟืนหุงต้ม ฯลฯ ขวานนั้นก็มีประโยชน์เป็นเทพ ถ้าเราใช้ขวานไปจามหัวคนจนเขาเสียชีวิต ขวานนั้นก็เป็นมาร ฉันใด

ชีวิตหรือที่ท่านจำแนกแจกแจงออกในแง่มุมต่างๆ เป็นต้นว่าเป็นขันธ์ (เป็นกอง) ๕ หากเราใช้ชีวิตสร้างกุศลกรรม เช่น ชีวิตของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายเป็นต้น ชีวิตนี้ก็เป็นเทพ หากเราใช้ชีวิตสร้างแต่อกุศลกรรม เช่น ปล้นชิงวิ่งราว ที่สุดถึงกับเข่นฆ่าประหัตประหารชีวิตผู้อื่น ชีวิตหรือขันธ์ ๕ นี้ก็เป็นชีวิตมาร ฉันนั้น

http://www.youtube.com/watch?v=xdBJ_NGYQao

ก็บอกมาซิว่า มีปัญหาอะไร จะได้แก้ให้ถูก

เละแล้วล่ะลุง มันอะไรของลุงมีเทพ มีมาร
ถ้าจะชอบนิยายจักรๆวงศ์ๆ ....เอาลองเอาพระสูตรไปดู ...



๑. มารสูตร
ว่าด้วยขันธมาร
[๓๗๗] พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง
ที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มี
พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า มาร มาร ดังนี้ มารเป็นไฉนหนอ?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรราธะ รูปเป็นมาร เวทนาเป็นมาร สัญญาเป็นมาร
สังขารเป็นมาร วิญญาณเป็นมาร ดูกรราธะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อ
หน่ายทั้งในรูป ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งใน
สังขาร ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด
ย่อมหลุดพ้น. ครั้นหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว. รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
จบ สูตรที่ ๑

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 565&Z=4577

http://media.watnapahpong.org/video/48WOD81KMO6Y/สนทนาธรรมค่ำวันเสาร์-18-สค-2555

ตรงนาทีที่ 33.48

น่าฟัง

อิอิ ไม่รู้จะเอาไปแปะไว้ไหน ก็แปะไว้นี่แหละ

การจะดับนิวรณ์ได้ต้องเลือกใช้สติให้ถูกหลักด้วย


อ้าวก็พูดอยู่เองนิน่ะว่าจะดับนิวรณ์...เลือกใช้สติ...ก็ว่าไปดิหล้า

อ้าววว ไปยกท่อนซุงมาวางอีก แล้วนั่นมันพ้นชีวิตนี่ไหมล่ะน่ะ นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ที่ไม่รู้จักแปรรูปท่อนซุงเอามาปลูกบ้าน

มาหาหมอไม่เล่าอาการให้หมอฟัง แล้วหมอจะวินิจฉัยโรคถูกหรือ
อุปมานิวรณ์ก็เหมือนคนไม่สบาย สติก็คือยาที่ใช้รักษา ผมเป็นหมอ
ถ้าลุงไม่บอกอาการที่ลุงเป็นอยู่ ผมจะจ่ายยาให้ถูกหรือ

ผมอุปมาใหม่ดึกว่า เพราะดูแล้วลุงไม่ป่วยทางกาย แต่ที่ลุงเป็นมันป่วยทางจิต
วันหลังมาหาหมอ ให้พาญาติมาด้วย จะได้ให้ญาติเป็นคนสื่อสาร เพราะคนไข้
ทางจิตมันคุยกับหมอไม่รู้เรื่อง

ทางไม่มีให้เดินแล้วยังกระเสือกกระสนอีก ไม่เห็นหรือกองขยะ ถังอุจจาระหรือ
เดินลุยเข้าไปได้

ลุงเอาเรื่องชีวิตมาละเลงมั่ว ขันธมารมันไปเกี่ยวอะไรกับการทำดีทำชั่ว
นี่เอาอีกแหล่ะเอาท่อนซุงมาเปรียบอีกแหล่ะ ยิ่งพูดยิ่งเละ
อีกหน่อยขันธมารของลุง ก็กลายเป็นไม้จิ้มฟันหรอกครับ

เพ้อเจ้อกถาเหมือนเดิม คิกๆๆ

โฮฮิเอ้ย คำสอนของพระพุทธเจ้า 84000 ก็อยู่ที่ชีวิตนีล่ะ ขันธ์ก็เรื่องของชีวิต ถ้าไม่เข้าใจชีวิตเพ้อเจ้อตามไปฤทธิ์ตามเรื่องตามตัวหนังสือ (ชื่อใช้เรียกธรรมชาติ) ชื่อว่ายังอีกห่างไกลจากธรรมะโฮเอ้ยยย

แล้วรู้ได้ไงว่านิวรณ์ รู้ก็บอกเค้าไปฮิว่าใช้สติตัวไหนใช้ยังไง ก็บอกเค้าไปเลยฮิ เค้าจะได้นำไปฝึกฝนพัฒนาตน นี่เล่นพูดค้างๆคาๆ เหมือนคนฉี่ไม่สุด

ตลกจัง ชีวิตเอ๋ย ความสุขเอ๋ยแต่ละอย่างที่ลุงจ้อมา มันเป็นเรื่องของพวกขี้เมา
พอกรื่มได้ที่ก็พิราบร่ำพรรณคร่ำครวญ

พระพุทธเจ้าบอกว่าขันธ์ห้าเป็นมารอย่าไปยึดถือ แต่ลุงมานั่งโอดครวญเรื่องของชีวิต
จินตนาการไกลสุดเอื้อม