วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 06:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 145 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 02:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ...ท่านwalaipornมากครับ
ที่มีน้ำใจนำบทความมาให้ได้อ่านได้พิจารณา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่อยู่2วัน คุณกบกับคุณตะวันนี่โต้ตอบกันสนุกดีนะอิๆๆ :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 20:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32:
ใหม่ ๆ ...ก็คึก...อย่างนี้แหละ...

ตะวัน เขียน:
ตะวัน เขียน:

ครับ ไม่ประมาท นั่นล่ะดีแล้ว
จะว่าอะไรกับเด็กหัดใหม่อย่างเรา
ขนาดองค์หลวงตาขนาดว่าตอนนั้นท่านเก่งมากแล้ว(ชำนาญในการเพ่งอสุภะ)
ท่านยังรีบตัด(คือท่านลองดูเหมือนที่คุณ Bigฯ ทำนี่แหละ
คือกำหนดรูปสาวสวยๆขึ้นในจิต พอจิตมีอาการจะกำหนัดนิดๆ
ท่านรีบตัดทิ้งทันที(ปิดเว็บโป๊ทันที ความหมายทำนองนั้น) แล้วกำหนดรูปอสุภะต่อไป


กบนอกกะลา เขียน:

คุณตะวัน...เข้าใจผิด...อย่างมากเลย...ตรงนี้

ท่านไม่ได้กำหนดรูปอสุภะ...ต่อ....นะ....(เหมือนปิดเว็ปโป๊ทันที ความหมายทำนองนั้น)

อย่ามั่ว..

ท่านใช้ปัญญา...ฟัน...ชั๊วะ...เลยต่างหาก

ฟัน..ยังงัยนะหรอ...ก็ท่านมีมีดเงื้อใว้รอท่ามันอยู่ก่อน...ตั้งนานแล้ว
(ก่อนหน้านี้...ท่านกำหนดอสุภะตลอด...จนไม่เห็นกามอีกเลย...ใจหนึ่งท่านก็ว่าผ่านได้แล้ว...แต่อีกใจท่านคิดว่า...มันไม่มีเหตุมีผล...ผ่านก็ต้องรู้....ท่านจึงลองกำหนดรูปสุภะเกาะติดตัวอยู่ตลอด...กิเลสมันถูกยั่วจนทนไม่ไหว...เพียงแค่มันระริกเล็กน้อย....ท่านก็เห็นหัวมันแล้ว...)

พอโผล่หัวออกมา...ท่านก็ฟัน...มันเท่านั้นเอง...(ความจริงน่าจะเรียกว่า...เพียงดีดเบา ๆ )

ไม่ได้ทำตัวหลบหดหัวเข้ากระดอง...อย่างที่ท่านตะวันเข้าใจ...ดอกเน้อ

ถามว่า...ปัญญาแบบไหน..ที่ท่านใช้...ผมก็ไม่รู้

รู้แต่ว่า...ถ้าอยากรู้ว่าแบบไหน...ก็ลองสะสมอย่างปฏิปทาที่ท่านดำเนินมานั้นงัย...สิ่งที่ท่านสะสมมาตลอดระหว่างที่ท่านทำกรรมฐานของท่าน...

จะลอกเอาชื่อสมมุติไป...ก็ใช้อะไรไม่ได้หรอก



ตะวัน เขียน:

ขอยกเอาที่ท่านกบฯมั่วออกมา
ล็อคเป้าไว้ก่อนแล้วกันครับ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 20:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือ...หลักของใจ....บทที่ ๖ มีสมาธิใช้ปัญญา
ตั้งแต่หน้า 75 - 78
สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_bo ... BookID=137


ผลจากการพิจารณาอสุภะ

“…ตอนอสุภะนี่สำคัญอยู่มากนะ สำคัญมากจริงๆ พิจารณาอสุภะนี่มันคล่องแคล่วแกล้วกล้า มองดูอะไรทะลุไปหมด ไม่ว่าจะหญิงจะชายจะหนุ่มจะสาวขนาดไหน เอ้า พูดให้เต็มตามความจริงที่จิตมันกล้าหาญน่ะ (ต้องขออภัยด้วยถ้าพูดตามความจริงนี้มันเกิดผิดไป และขออภัยทุกๆ เพศด้วยที่เกี่ยวโยงกัน) ไม่ต้องให้มีผู้หญิงเฒ่าๆ แก่ๆ ละ ให้มีแต่หญิงสาวๆ เต็มอยู่ในชุมนุมนั้นน่ะ เราสามารถจะเดินบุกเข้าไปในที่นั่นได้โดยไม่ให้มีราคะตัณหาอันใดแสดงขึ้นมาได้เลย นั่น ความอาจหาญของจิตเพราะอสุภะ
มองดูคนมีแต่หนังห่อกระดูก มีแต่เนื้อแต่หนังแดงโร่ไปหมด มันเห็นความสวยความงามที่ไหน เพราะอำนาจของอสุภะมันแรง มองดูรูปไหนมันก็เป็นแบบนั้นหมด แล้วมันจะเอาความสวยงามมาจากไหนพอให้กำหนัดยินดี เพราะฉะนั้น มันจึงกล้าเดินบุก เอ้า ผู้หญิงสาวๆ สวยๆ นั้นแหละ (ต้องขออภัยไปเรื่อยๆ จนเรื่องบ้าของป่าจะยุติลง) บุกไปได้อย่างสบายเลยถึงคราวมันกล้า เพราะเชื่อกำลังของตัวเอง แต่ความกล้านี้ก็ไม่ถูกกับจุดที่จิตอิ่มตัวในขั้นกามราคะ จึงได้ตำหนิตัวเองเมื่อจิตผ่านไปแล้ว ความกล้านี้มันก็บ้าอันหนึ่งเหมือนกัน แต่ตอนที่ดำเนินก็เรียกว่าถูกในการดำเนิน เพราะต้องดำเนินอย่างนั้น เหมือนการตำหนิอาหารในเวลาอิ่มแล้วนั่นแล จะผิดหรือถูกก็เข้าในทำนองนี้
การพิจารณาอสุภะอสุภังพิจารณาไปจนกระทั่งว่าราคะนี้ไม่ปรากฏเลย ค่อยหมดไปๆ และหมดไปเอาเฉยๆ ไม่ได้บอกเหตุบอกผล บอกกาลบอกเวลา บอกสถานที่ บอกความแน่ใจเลยว่าราคะความกำหนัดยินดีในรูปหญิงรูปชายนี้ได้หมดไปแล้วตั้งแต่ขณะนั้นเวลานั้นสถานที่นั้น ไม่บอก จึงต้องมาวินิจฉัยกันอีก ความหมดไปๆ เฉยๆ นี้ ไม่เอา คือจิตมันไม่ยอมรับ ถ้าหมดตรงไหนก็ต้องบอกว่าหมด ให้รู้ชัดว่าหมดเพราะเหตุนั้น หมดในขณะนั้น หมดในสถานที่นั้น ต้องบอกเป็นขณะให้รู้ซิ ฉะนั้นจิตต้องย้อนกลับมาพิจารณาหาอุบายวิธีต่างๆ เพื่อแก้ไขกันอีก เมื่อหมดจริงๆ มันทำไมไม่ปรากฏชัดว่าหมดไปในขณะนั้นขณะนี้นะ พอมองเห็นรูป มันทะลุไปเลย เป็นเนื้อเป็นกระดูกไปหมด ในร่างกายนั่น ไม่เป็นหญิงสวยหญิงงาม คนสวยคนงามเลย เพราะอำนาจของอสุภะมีกำลังแรง เห็นเป็นกองกระดูกไปหมด มันจะเอาอะไรไปกำหนัดยินดีเล่าในเวลาจิตเป็นเช่นนั้น
ทีนี้ก็หาอุบายพลิกใหม่ ว่าราคะนี้มันสิ้นไปจนไม่มีอะไรเหลือนั้นมันสิ้นในขณะใด ด้วยอุบายใด ทำไมไม่แสดงบอกให้ชัดเจน จึงพิจารณาพลิกใหม่ คราวนี้เอาสุภะเข้ามาบังคับพลิกอันที่ว่าอสุภะที่มีแต่ร่างกระดูกนั้นออก เอาหนังหุ้มห่อให้สวยให้งาม นี่เราบังคับนะ ไม่งั้นมันทะลุไปทางอสุภะทันทีเพราะมันชำนาญนี่จึงบังคับให้หนังหุ้มกระดูกให้สวยให้งาม แล้วนำเข้ามาติดแนบกับตัวเอง นี่วิธีการพิจารณาของเรา เดินจงกรมก็ให้ความสวยความงามรูปอันนั้นน่ะติดแนบกับตัว ติดกับตัวไปมาอยู่อย่างนั้น เอ้า มันจะกินเวลานานสักเท่าไร หากยังมีอยู่มันจะต้องแสดงขึ้นมา หากไม่มีก็ให้รู้ว่าไม่มี
เอาวิธีการนี้มาปฏิบัติได้ ๔ วันเต็มๆ ที่มันไม่แสดงความกำหนัดยินดีขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่รูปนี้สวยงามที่สุดมันก็ไม่แสดง มันคอยแต่จะหยั่งเข้าหนังห่อกระดูก แต่เราบังคับไว้ให้จิตอยู่ที่ผิวหนังนี่ พอถึงคืนที่ ๔ น้ำตาร่วงออกมา บอกว่ายอมแล้ว ไม่เอา คือมันไม่ยินดีนะ มันบอกว่ายอมแล้ว ด้านทดสอบก็ว่ายอมอะไร ถ้ายอมว่าสิ้นก็ให้รู้ว่าสิ้นซิ ยอมอย่างนี้ไม่เอา ยอมชนิดนี้ยอมมีเล่ห์เหลี่ยมเราไม่เอา กำหนดไปกำหนดทุกแง่ทุกมุมนะ แง่ไหนมุมใดที่มันจะเกิดความกำหนัดยินดี เพื่อจะรู้ว่าความกำหนัดยินดีนี้ มันจะขึ้นขณะใด เราจะจับเอาตัวแสดงออกมานั้นเป็นเครื่องพิจารณาถอดถอนต่อไป พอดึกเข้าไปๆ กำหนดเข้าไปๆ แต่ไม่กำหนดพิจารณาอสุภะตอนนั้น พิจารณาแต่สุภะอย่างเดียวเท่านั้น ๔ วันเต็มๆ เพราะจะหาอุบายทดสอบหาความจริงมันให้ได้
พอสัก ๓-๔ ทุ่ม ล่วงไปแล้ว ในคืนที่ ๔ มันก็มีลักษณะยุบยับเป็นลักษณะเหมือนจะกำหนัดในรูปสวยๆ งามๆ ที่เรากำหนดติดแนบกับตัวเป็นประจำในระยะนั้น มันมีลักษณะยุบยับชอบกล สติทันนะเพราะสติมีอยู่ตลอดเวลานี่ พอมีอาการยุบยับ ก็กำหนดเสริมขึ้นเรื่อยๆ นั่น มันมีลักษณะยุบยับ เห็นไหม จับเจ้าตัวโจรหลบซ่อนได้แล้วที่นี่ นั่นเห็นไหม มันสิ้นยังไง ถ้าสิ้นทำไมจึงต้องเป็นอย่างนี้ กำหนดขึ้นๆ คือ คำว่ายุบยับนั้นเป็นแต่เพียงอาการของจิตแสดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำอวัยวะให้ไหวนะ มันเป็นอยู่ภายในจิต พอเสริมเข้าๆ มันก็แสดงอาการยุบยับๆ ให้เป็นที่แน่ใจว่า เอ้อ นี่มันยังไม่หมด เมื่อยังไม่หมดจะปฏิบัติยังไง
ที่นี่ต้องปฏิบัติด้วยอุบายใหม่โดยวิธีสับเปลี่ยนกัน ทั้งนี้เพราะทางไม่เคยเดิน สิ่งไม่เคยรู้ จึงลำบากต่อการปฏิบัติอยู่มาก พอเรากำหนดไปทางอสุภะนี้สุภะมันดับพรึบเดียวนะ มันดับเร็วที่สุดเพราะความชำนาญทางอสุภะมาแล้ว พอกำหนดอสุภะมันเป็นกองกระดูกไปหมดทันที ต้องกำหนดสุภะความสวยงามขึ้นมาแทนที่ สับเปลี่ยนกันอยู่นั้น นี่ก็เป็นเวลานานเพราะหนทางไม่เคยเดิน มันไม่เข้าใจ ก็ต้องทดสอบด้วยวิธีต่างๆ จนเป็นที่แน่ใจ จึงจะตัดสินใจลงทางใดทางหนึ่งได้
ทีนี้วาระสุดท้ายนะ เวลาจะได้ความจริง ก็นั่งกำหนดอสุภะไว้ตรงหน้า จิตกำหนดอสุภะไว้ให้ตั้งอยู่อย่างนั้น ไม่ให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือตั้งให้คงที่ของมันอยู่นั้นละ จะเป็นหนังห่อกระดูกหรือว่าหนังออกหมดเหลือแต่กองกระดูกก็ให้มันรู้อยู่ตรงหน้านั้น แล้วจิตเพ่งดูด้วยความมีสติจดจ่ออยากรู้อยากเห็นความจริงจากอสุภะนั้นว่า เอ้า มันจะไปไหนมาไหน กองอสุภะกองนี้จะเคลื่อนหรือเปลี่ยนตัวไปไหนมาไหน คือเพ่งยังไงมันก็อยู่อย่างนั้นละ เพราะความชำนาญของจิต ไม่ให้ทำลายมันก็ไม่ทำ เราบังคับไม่ให้มันทำลาย ถ้ากำหนดทำลายมันก็ทำลายให้พังทลายไปในทันทีนะเพราะความเร็วของปัญญา แต่นี่เราไม่ให้ทำลาย ให้ตั้งอยู่ตรงหน้านั้น เพื่อการฝึกซ้อมทดสอบกันหาความจริงอันเป็นที่แน่ใจ
พอกำหนดเข้าไปๆ อสุภะที่ตั้งอยู่ตรงหน้านั้นมันถูกจิตกลืนเข้ามาๆ อมเข้ามาๆ หาจิตนี้ สุดท้ายเลยรู้เห็นว่าเป็นจิตเสียเองเป็นตัวอสุภะนั้นน่ะ จิตตัวไปกำหนดว่าอสุภะนั้นน่ะมันกลืนเข้ามาๆ เลยมาเป็นตัวจิตเสียเองไปเป็นสุภะและอสุภะหลอกตัวเอง จิตก็ปล่อยผลัวะทันที ปล่อยอสุภะข้างนอก ว่าเข้าใจแล้วที่นี่ เพราะมันขาดจากกันมันต้องอย่างนี้ซิ นี่มันเป็นเรื่องของจิตต่างหากไปวาดภาพหลอกตัวเอง ตื่นเงาตัวเอง อันนั้นเขาไม่ใช่ราคะ อันนั้นไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ตัวจิตนี้ต่างหากเป็นตัวราคะ โทสะ โมหะ ทีนี้พอจิตรู้เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว จิตก็ถอนตัวจากอันนั้นมาสู่ภายใน พอจิตแย็บออกไปมันก็รู้ว่าตัวนี้ออกไปแสดงต่างหาก ทีนี้ภาพอสุภะนั้นมันก็เลยมาปรากฏอยู่ภายในจิตโดยเฉพาะ
กำหนดอยู่ภายในพิจารณาอยู่ภายในจิต ทีนี้มันไม่เป็นความกำหนัดอย่างนั้นน่ะซิ มันผิดกันมาก เรื่องความกำหนัดแบบโลกๆ มันหมดไปแล้ว มันเข้าใจชัดว่ามันต้องขาดจากกันอย่างนี้ คือมันตัดสินกันแล้ว เข้าใจแล้ว ทีนี้ก็มาเป็นภาพปรากฏอยู่ภายใน จิตก็กำหนดอยู่ภายในนั้น พอกำหนดอยู่ภายใน มันก็ทราบชัดอีกว่าภาพภายในนี้ก็เกิดจากจิต มันดับมันก็ดับไปที่นี่ มันไม่ดับไปที่ไหน พอกำหนดขึ้นมันดับไป พอกำหนดไม่นานมันก็ดับไป ต่อไปมันก็เหมือนฟ้าแลบนั่นเอง พอกำหนดพับขึ้นมาเป็นภาพก็ดับไปพร้อมๆ กัน เลยจะขยายให้เป็นสุภะอสุภะ อะไรไม่ได้ เพราะความรวดเร็วของความเกิดดับ พอปรากฏขึ้นพับก็ดับพร้อมๆ ต่อจากนั้นนิมิตภายในจิตก็หมดไป จิตก็กลายเป็นจิตว่างไปเลย ส่วนอสุภะภายนอกนั้นหมดปัญหาไปก่อนหน้านี้แล้ว เข้าใจแล้วตั้งแต่ขณะที่มันกลืนตัวเข้ามาสู่จิต มันก็ปล่อยอสุภะข้างนอกทันทีเลย รูป เสียง กลิ่น รส อะไรข้างนอกมันปล่อยไปหมด เพราะอันนี้ไปหลอกต่างหากนี่ เมื่อเข้าใจตัวนี้ชัดแล้ว อันนั้นไม่มีปัญหาอะไร มันเข้าใจทันทีและปล่อยวางภายนอกโดยสิ้นเชิง


แก้ไขล่าสุดโดย <ตะวัน> เมื่อ 13 ส.ค. 2012, 20:50, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 20:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


และนี่ก็คือเทศน์หลักฐานของจริง
ขององค์หลวงตามหาบัวจากหนังสือ...หลักของใจ...
ซึ่งผมยกมาอ้างอิงเป็นหลักฐานมาค้านที่ท่านกบฯ
มั่วเอาไว้ว่า....ท่านไม่ได้กำหนดรูปอสุภะต่อนะ....
แล้วที่ผมเอามาให้อ่านนี้ท่านกำหนดต่อหรือไม่ได้กำหนดต่อล่ะครับ
ท่านกบฯ


ท่านใดที่มีปัญญาอ่านแล้วเขาก็รู้ก็เข้าใจหมดนั่นแหละครับ....
ว่าองค์หลวงตาท่านได้ทำการกำหนดอสุภะอีกต่อไป
หลังจากที่ท่านพิสูจน์ด้วยสุภะจนรู้แล้วว่ายังมีราคะหลงเหลือในจิตท่านอยู่

นอกจากท่านที่เป็นบุคคลประเภท...ปะทะปรมะ(พวกมืดบอด)....เท่านั้น
ที่แม้ว่าถึงจะอ่านแล้วก็ยังไม่ยอมเข้าใจและไม่ยอมรู้เรื่องอะไรเลย

ยกเอามาให้เห็นกันจะจะอย่างนี้แล้ว
คงยอมรับแล้วนะครับว่าความจริงเป็นยังไง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 21:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มันต้องอย่างนี้ซิ...จึงจะมีสาระ... :b17:

ไม่ใช่ไปวุ่นวายกับ...รู้หลบ...ดีกว่าหดหัว...

สาธุ...ที่นำธรรมะสำคัญของหลวงตา...มาให้ได้อ่านนะครับ.... :b8: :b8:

จะเห็นว่า...ตอนท้าย ๆ...ไม่ใช่การกำหนดอสุภะ..ล้วน ๆ อย่างเดียว...

และก็ไม่ใช่การพิจารณาด้วยสัญญา....

แต่เป็นการเห็นแล้วเข้าใจ....

แม้เราจะเห็นภาพตามที่หลวงตาบรรยายมาได้....แต่ก็ยังไม่ใช่การเห็นที่ทำให้เกิดการเข้าใจ

แล้วอย่าไปนึกว่า...เราจะเข้าใจได้ถ้าได้เห็นภาพอย่างหลวงตา...

ท่านไม่ได้ใช้วิธี....รู้หลบเป็นปีก...อะไรนั้น...อย่างที่คุณตะวัน..คิด...

ท่าน...ชนกับมันเลย....ท่านเข้าไปแก้ปัญญาตรง ๆ เลย...ต่างหาก...ไม่ได้หลบไปไหน

:b17: :b17: :b17:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 13 ส.ค. 2012, 22:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ไม่อยู่2วัน คุณกบกับคุณตะวันนี่โต้ตอบกันสนุกดีนะอิๆๆ :b4:



ตะวัน เขียน:

หายไปตั้ง 2 วัน
ไปไหนมาเหรอครับ ท่าน bigtoo


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าอยากรู้ว่า...ตอนท้าย ๆ ...เป็นการทำอะไร

ก็ไปดูวิธีทำอสุภะกรรมฐาน...ก็ได้...

หรือไม่ก็จะถามคุณตะวันว่า....อสุภะกรรมฐาน...ของคุณตะวัน...ทำยังงัย.??

:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 22:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
มันต้องอย่างนี้ซิ...จึงจะมีสาระ... :b17:

ไม่ใช่ไปวุ่นวายกับ...รู้หลบ...ดีกว่าหดหัว...

สาธุ...ที่นำธรรมะสำคัญของหลวงตา...มาให้ได้อ่านนะครับ.... :b8: :b8:

จะเห็นว่า...ตอนท้าย ๆ...ไม่ใช่การกำหนดอสุภะ..ล้วน ๆ อย่างเดียว...

และก็ไม่ใช่การพิจารณาด้วยสัญญา....

แต่เป็นการเห็นแล้วเข้าใจ....

แม้เราจะเห็นภาพตามที่หลวงตาบรรยายมาได้....แต่ก็ยังไม่ใช่การเห็นที่ทำให้เกิดการเข้าใจ

แล้วอย่าไปนึกว่า...เราจะเข้าใจได้ถ้าได้เห็นภาพอย่างหลวงตา...


ท่านไม่ได้ใช้วิธี....รู้หลบเป็นปีก...อะไรนั้น...อย่างที่คุณตะวัน..คิด...

ท่าน...ชนกับมันเลย....ท่านเข้าไปแก้ปัญญาตรง ๆ เลย...ต่างหาก...ไม่ได้หลบไปไหน

:b17: :b17: :b17:



ตะวัน เขียน:


พิจารณาเอาเองเถอะครับท่าน
พิจารณาถูกก็ได้มรรคได้ผล
..........แต่ถ้า............
พิจารณาผิดก็ไม่ได้มรรคได้ผลอะไร


ส่วนที่ท่านกบว่า
แม้เราจะเห็นภาพตามที่หลวงตาบรรยายมาได้....แต่ก็ยังไม่ใช่การเห็นที่ทำให้เกิดการเข้าใจ
แล้วอย่าไปนึกว่า...เราจะเข้าใจได้ถ้าได้เห็นภาพอย่างหลวงตา...


งั้นสรุปว่าเราก็ไม่ต้องพิจารณาอสุภะตามที่หลวงตาท่านพาทำพาพิจารณาเหรอครับ????
เพราะดันไปคิดว่า แม้จะเห็นภาพอย่างหลวงตาแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เหมือนอย่างหลวงตา

ถ้าไม่พิจารณาอย่างท่านแล้วจะไปรู้ไปเห็นธรรมของจริงอย่างท่านได้งัยเล่า????
ต้องทำตามดำเนินตามอย่างที่ท่านพาดำเนินสิ่ครับ
ถึงจะรู้ธรรมเห็นธรรมได้เหมือนอย่างท่าน

ที่ท่านอุตส่าห์เทศน์กัณฑ์สำคัญนี้ให้ฟังก็เพื่อจะให้พวกเราทำตามปฏิบ้ติตามท่านต่างหากเพื่อจะได้รู้ธรรมเห็นธรรมเหมือนอย่างท่าน
ไม่ใช่ให้พวกเรามาคิดปิดทางตัวเองว่า.....แม้เราไปเห็นภาพอย่างหลวงตา เราก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างหลวงตา....

สรุปแล้วก็พิจารณาเอาเถอะครับท่าน
พิจารณาถูกก็ได้มรรคได้ผล
..........แต่ถ้า............
พิจารณาผิดก็ไม่ได้มรรคได้ผลอะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 23:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะอะไร...รู้มั้ย?

เพราะหากตั้งใจว่า...หากเราเห็นภาพอย่างนั้นบ้าง...ก็คงสำเร็จได้อย่างหลวงตา

จิต....มันจะสร้างภาพนั้นให้เราเห็น...เป็นภาพที่เกิดจากความตั้งใจ...ซึ่งเราจะแยกไม่ออกว่า...ภาพอันไหนเกิดจากความตั้งใจ(อุปาทาน)....อันไหนเกิดตามสภาวะจริง(ธรรม)

เห็นภาพแล้ว....งัยต่อละ....

จำได้ว่าต้องปล่อย...ใช่มั้ย

อ้าว...ฉันเห็นแล้ว....ฉันจะปล่อยละ...(เพราะฉันต้องปล่อย)

นี้...มันจำกระบวนการมาทั้งนั้น...

ปล่อยแล้ว...มันก็ต้องว่าง ๆ ..ใช่มัย?

ฉันก็ว่าง..ๆ...ว่าง ๆ...

ว่าง...เพราะ..ฉันต้องว่าง ๆ ....

มันจำมาหมดเลย...

ต้นคต....ปลายตรง...มันไม่มี...

มันอุปาทานตั้งแต่ต้น....ผลมันก็ไม่ใช่สภาวะจริง(เป็นธรรม)

นี้..มันอันตราย...ตรงนี้

เส้นทางของแต่ละคนที่สะสมบารมีธรรม...มันไม่เหมือนกัน....และไม่มีทางเหมือนกัน

ภาพที่มันจะมาสอนใจเราได้นั้น...ไม่มีทางเป็นภาพเดียวกันได้หรอก

จะเห็นภาพเดียวกันเลย...นั้น...จึงเป็นไปไม่ได้...

นอกจากธรรมะ copy ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 23:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แม้เราจะเห็นภาพตามที่หลวงตาบรรยายมาได้....แต่ก็ยังไม่ใช่การเห็นที่ทำให้เกิดการเข้าใจ


ขณะที่อ่านธรรมะของหลวงตา....ภาพนั้น ๆ มันก็เกิดกับใจของเราทันที...(รึว่าใครอ่านแล้วแต่ไม่มีภาพในใจ)

ภาพอสุภะ.....ภาพอสุภะเคลื่อนเข้ามา...อสุภะรวมเข้ากับจิต...

อ่านไป...มันก็เห็นภาพไป..กันทั้งนั้น

แต่...ภาพเหล่านี้...ไม่ได้ทำให้เราเข้าใจธรรมที่องค์หลวงตาเข้าใจ...เลย..ไม่ใช่รึ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 23:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เพราะอะไร...รู้มั้ย?

เพราะหากตั้งใจว่า...หากเราเห็นภาพอย่างนั้นบ้าง...ก็คงสำเร็จได้อย่างหลวงตา

จิต....มันจะสร้างภาพนั้นให้เราเห็น...เป็นภาพที่เกิดจากความตั้งใจ...ซึ่งเราจะแยกไม่ออกว่า...ภาพอันไหนเกิดจากความตั้งใจ(อุปาทาน)....อันไหนเกิดตามสภาวะจริง(ธรรม)

เห็นภาพแล้ว....งัยต่อละ....

จำได้ว่าต้องปล่อย...ใช่มั้ย

อ้าว...ฉันเห็นแล้ว....ฉันจะปล่อยละ...(เพราะฉันต้องปล่อย)

นี้...มันจำกระบวนการมาทั้งนั้น...

ปล่อยแล้ว...มันก็ต้องว่าง ๆ ..ใช่มัย?

ฉันก็ว่าง..ๆ...ว่าง ๆ...

ว่าง...เพราะ..ฉันต้องว่าง ๆ ....

มันจำมาหมดเลย...

ต้นคต....ปลายตรง...มันไม่มี...

มันอุปาทานตั้งแต่ต้น....ผลมันก็ไม่ใช่สภาวะจริง(เป็นธรรม)

นี้..มันอันตราย...ตรงนี้

เส้นทางของแต่ละคนที่สะสมบารมีธรรม...มันไม่เหมือนกัน....และไม่มีทางเหมือนกัน

ภาพที่มันจะมาสอนใจเราได้นั้น...ไม่มีทางเป็นภาพเดียวกันได้หรอก

จะเห็นภาพเดียวกันเลย...นั้น...จึงเป็นไปไม่ได้...

นอกจากธรรมะ copy ...



อสุภะ เอามาช่วยข่มทับ ไม่ได้ตัด แต่ถ้าข่มทับได้นานพอมากพอบ่อยพอ อนุสัยก็ดับได้ แต่หากจะตัดต้องไม่เอาความรู้แบบนึกคิดนำ ต้องเห็น มัน จึงจะเชื่อ แต่หากจะใช้ปัญญาแบบนึกคิดก็ทำได้แต่ต้องทำให้มากมากกว่าเห็น นึกคิดตามความรู้จนจิตมันน้อมไป

ทุกอย่างที่ปฏิบัติ หากถูก มันจะเสริมกันทั้งนั้น อย่ายึดมั่นในสิ่งที่คิด เลย ทำอะไรก็ได้ทำไป

พิจารณาละกันนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 23:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
งั้นสรุปว่าเราก็ไม่ต้องพิจารณาอสุภะตามที่หลวงตาท่านพาทำพาพิจารณาเหรอครับ????
เพราะดันไปคิดว่า แม้จะเห็นภาพอย่างหลวงตาแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เหมือนอย่างหลวงตา


อย่างคิดว่า....ต้องเห็นภาพอย่างหลวงตา

ภาพของเรา...อาจ..(ไม่ซิ..ต้อง)...ต่างจากภาพของหลวงตา...

ตอนท้าย ๆ ...ท่านไม่ได้มีการพิจารณาอสุภะ..เลยนะ..(พิจารณาว่า..นี้มันสกปรก...ไม่สะอาด...น่ารังเกียจ)

การพิจารณา...ว่านี้มันสกปรก...นี้มันไม่สะอาด...มันเป็นเรื่องของเด็กอนุบาล...อย่างเรา ๆ...ที่กำลังเริ่มเดิน

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
...

ทุกอย่างที่ปฏิบัติ หากถูก มันจะเสริมกันทั้งนั้น อย่ายึดมั่นในสิ่งที่คิด เลย ทำอะไรก็ได้ทำไป

พิจารณาละกันนะครับ :b8:


ขึ้นชื่อว่า...ลงมือทำ...

ผิด ๆ ถูก ๆ ...ก็ทำไปเถอะ....อย่าหยุดทำ

แต่ที่เขียนใว้...มันจะลงไปเป็นสัญญา....แม้จะไม่เชื่อ

เวลาถึงคราว....อาจระลึกขึ้นได้....แล้วประยุกต์ใช้แก้ปัญหาของตนเองได้...ใครจะรู้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 145 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร