วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 05:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 135 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ค่อยๆพูดก็ได้นะครับ ทำไมต้องโมโหปากคอสั่นด้วยล่ะ เออ พูดไปเรื่อยเจี้อยแจ้ว สภาวะบ้างล่ะ สภาวปรมัตถ์บ้างล่ะ กรรมฐานบ้างล่ะ ฯลฯ แต่ไม่รู้ความหมายของเขาสักอย่าง แล้วจะทำไปไหนเพื่ออะไร เวรกรรม :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นสิไม่รุ้จะปฏิบัติไปทำไม สงสัยคงจะต้องยอมโง่อีกสักชาติ เลิกปฏิบัติแล้วดีกว่า หาสามีสักคนจะได้มีคนมาช่วยเลี้ยงลูก :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แฟนคลับคุณน้องเยอะนะครับน่าปลื้ม ยอดกระทู้ตอบพุ่งปรู๊ดปร๊าดเลย :b19:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
นั่นสิไม่รุ้จะปฏิบัติไปทำไม สงสัยคงจะต้องยอมโง่อีกสักชาติ เลิกปฏิบัติแล้วดีกว่า หาสามีสักคนจะได้มีคนมาช่วยเลี้ยงลูก



อ้าวอีก พอบอกให้เลิกปฏิบัติเลือกทำกรรมฐาน แน๊ะก็จะหาสามีหาผัวช่วยเลี้ยงลูกอีก ที่ผ่านมาไม่เข็ดหรางั้ยครับ :b1:

ปฏิบัติได้ไม่ได้ห้ามเสียทีเดียว แต่ว่าก่อนที่เราจะทำจะปฏิบัติเนี่ย เบื้องต้น -ท่ามกลาง - ที่สุด เราต้องรู้หลัก รู้ความหมายศัพท์แสงของเขาบ้าง มิใช่พูดตามๆกันไป

เมื่อจะทำกรรมฐานหรือจะเรียกปฏิบัติธรรมก็เอาไม่ว่า คือ เบื้องต้นเราต้องมีหลักยึดก่อน เช่น ลมหายใจ หรือ อาการท้องพองท้องยุบ ฯลฯ นี่ก็เรียกว่ากรรมฐาน ๆ หมายถึงที่ที่ให้จิตมันทำงาน คือให้จิตมันอยู่กับปัจจุบันอารมณ์นั่น แล้วในขณะที่ที่ความคิด (จิต) มันวิบไปวิบมาไปโน่นมานี่ ออกนอกกรรมฐาน เราก็ดึงมันมาอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันเสีย ไม่ปล่อยให้มันฟุ้งลอยไปไหนต่อไหนกว่าจะรู้สึกตัว นึกขึ้นได้ ว๊ายตาเถน ทิ้งอารมณ์กรรมฐานมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยกรู ก็พึงกำหนดรู้ความคิดนั่นเสียด้วย อย่าปล่อยให้ผ่านเฉยๆ

แม้แต่อาการตกใจอย่างที่เล่ามาก็เช่นเดียวกัน ควรทำปริญญากิจ คือ กำหนดรู้มันสะด้วย อย่าปล่อยให้ปรุงแต่งเสริมเติมไปไหนต่อไหน เมื่อกำหนดรู้ตามสภาวะตามที่มันเป็นแล้ว ก็ดึงสติมาเกาะจับกรรมฐาน คือ ลมเข้าออก หรือพอง-ยุบต่อไป


ต่อไปเรื่องศัพท์และความหมาย คือคำว่า สภาวะ ทีเราชอบพูดกันบ่อยๆ

สภาวะ (เรียกสั้นๆก็ได้แต่ให้เข้าใจความหมายของเรื่องของศัพท์) นิยมเรียกยาวเรียกเต็มว่า สภาวธรรม ตามคำบาลีว่า สภาวธมฺม ซึงมาจาก ส+ภาว+ธมฺม แปลตรงตัวว่า สิ่งที่มีภาวะของมันเอง (หมายความว่า มันเป็นมันมีของมันเอง ไม่มีผู้สร้างผู้บันดาลให้มันเป็น)

พอเข้าใจความรู้สึกกรัชกายที่คุณ nong เรียกว่าลุงมั้ยครับ เป็นลุงเป็นหลานกัน ลุงก็ต้องหวังดีต่อหลานดิถูกมั้ย :b1:

มีอะไรค้างคาใจอีก ถามลุงต่อได้นะหลาน :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
นั่นสิไม่รุ้จะปฏิบัติไปทำไม สงสัยคงจะต้องยอมโง่อีกสักชาติ เลิกปฏิบัติแล้วดีกว่า หาสามีสักคนจะได้มีคนมาช่วยเลี้ยงลูก



อ้าวอีก พอบอกให้เลิกปฏิบัติเลือกทำกรรมฐาน แน๊ะก็จะหาสามีหาผัวช่วยเลี้ยงลูกอีก ที่ผ่านมาไม่เข็ดหรางั้ยครับ :b1:

ปฏิบัติได้ไม่ได้ห้ามเสียทีเดียว แต่ว่าก่อนที่เราจะทำจะปฏิบัติเนี่ย เบื้องต้น -ท่ามกลาง - ที่สุด เราต้องรู้หลัก รู้ความหมายศัพท์แสงของเขาบ้าง มิใช่พูดตามๆกันไป

เมื่อจะทำกรรมฐานหรือจะเรียกปฏิบัติธรรมก็เอาไม่ว่า คือ เบื้องต้นเราต้องมีหลักยึดก่อน เช่น ลมหายใจ หรือ อาการท้องพองท้องยุบ ฯลฯ นี่ก็เรียกว่ากรรมฐาน ๆ หมายถึงที่ที่ให้จิตมันทำงาน คือให้จิตมันอยู่กับปัจจุบันอารมณ์นั่น แล้วในขณะที่ที่ความคิด (จิต) มันวิบไปวิบมาไปโน่นมานี่ ออกนอกกรรมฐาน เราก็ดึงมันมาอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันเสีย ไม่ปล่อยให้มันฟุ้งลอยไปไหนต่อไหนกว่าจะรู้สึกตัว นึกขึ้นได้ ว๊ายตาเถน ทิ้งอารมณ์กรรมฐานมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยกรู ก็พึงกำหนดรู้ความคิดนั่นเสียด้วย อย่าปล่อยให้ผ่านเฉยๆ

แม้แต่อาการตกใจอย่างที่เล่ามาก็เช่นเดียวกัน ควรทำปริญญากิจ คือ กำหนดรู้มันสะด้วย อย่าปล่อยให้ปรุงแต่งเสริมเติมไปไหนต่อไหน เมื่อกำหนดรู้ตามสภาวะตามที่มันเป็นแล้ว ก็ดึงสติมาเกาะจับกรรมฐาน คือ ลมเข้าออก หรือพอง-ยุบต่อไป


ต่อไปเรื่องศัพท์และความหมาย คือคำว่า สภาวะ ทีเราชอบพูดกันบ่อยๆ

สภาวะ (เรียกสั้นๆก็ได้แต่ให้เข้าใจความหมายของเรื่องของศัพท์) นิยมเรียกยาวเรียกเต็มว่า สภาวธรรม ตามคำบาลีว่า สภาวธมฺม ซึงมาจาก ส+ภาว+ธมฺม แปลตรงตัวว่า สิ่งที่มีภาวะของมันเอง (หมายความว่า มันเป็นมันมีของมันเอง ไม่มีผู้สร้างผู้บันดาลให้มันเป็น)

พอเข้าใจความรู้สึกกรัชกายที่คุณ nong เรียกว่าลุงมั้ยครับ เป็นลุงเป็นหลานกัน ลุงก็ต้องหวังดีต่อหลานดิถูกมั้ย :b1:

มีอะไรค้างคาใจอีก ถามลุงต่อได้นะหลาน :b12:

เฮียกรัชกาย แกล้งพองลมข่มเด็ก มันมีหรือสภาวะ มันมีของมันเอง
ไอ้สภาวะที่ว่า มันมีตามเหตุปัจจัย อยู่ดีๆมันมีของมันเองได้หรือ
ตลก(ที่ไม่ได้แปลว่าตุลาการ) :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
นั่นสิไม่รุ้จะปฏิบัติไปทำไม สงสัยคงจะต้องยอมโง่อีกสักชาติ เลิกปฏิบัติแล้วดีกว่า หาสามีสักคนจะได้มีคนมาช่วยเลี้ยงลูก



อ้าวอีก พอบอกให้เลิกปฏิบัติเลือกทำกรรมฐาน แน๊ะก็จะหาสามีหาผัวช่วยเลี้ยงลูกอีก ที่ผ่านมาไม่เข็ดหรางั้ยครับ :b1:

ปฏิบัติได้ไม่ได้ห้ามเสียทีเดียว แต่ว่าก่อนที่เราจะทำจะปฏิบัติเนี่ย เบื้องต้น -ท่ามกลาง - ที่สุด เราต้องรู้หลัก รู้ความหมายศัพท์แสงของเขาบ้าง มิใช่พูดตามๆกันไป

เมื่อจะทำกรรมฐานหรือจะเรียกปฏิบัติธรรมก็เอาไม่ว่า คือ เบื้องต้นเราต้องมีหลักยึดก่อน เช่น ลมหายใจ หรือ อาการท้องพองท้องยุบ ฯลฯ นี่ก็เรียกว่ากรรมฐาน ๆ หมายถึงที่ที่ให้จิตมันทำงาน คือให้จิตมันอยู่กับปัจจุบันอารมณ์นั่น แล้วในขณะที่ที่ความคิด (จิต) มันวิบไปวิบมาไปโน่นมานี่ ออกนอกกรรมฐาน เราก็ดึงมันมาอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันเสีย ไม่ปล่อยให้มันฟุ้งลอยไปไหนต่อไหนกว่าจะรู้สึกตัว นึกขึ้นได้ ว๊ายตาเถน ทิ้งอารมณ์กรรมฐานมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยกรู ก็พึงกำหนดรู้ความคิดนั่นเสียด้วย อย่าปล่อยให้ผ่านเฉยๆ

แม้แต่อาการตกใจอย่างที่เล่ามาก็เช่นเดียวกัน ควรทำปริญญากิจ คือ กำหนดรู้มันสะด้วย อย่าปล่อยให้ปรุงแต่งเสริมเติมไปไหนต่อไหน เมื่อกำหนดรู้ตามสภาวะตามที่มันเป็นแล้ว ก็ดึงสติมาเกาะจับกรรมฐาน คือ ลมเข้าออก หรือพอง-ยุบต่อไป


ต่อไปเรื่องศัพท์และความหมาย คือคำว่า สภาวะ ทีเราชอบพูดกันบ่อยๆ

สภาวะ (เรียกสั้นๆก็ได้แต่ให้เข้าใจความหมายของเรื่องของศัพท์) นิยมเรียกยาวเรียกเต็มว่า สภาวธรรม ตามคำบาลีว่า สภาวธมฺม ซึงมาจาก ส+ภาว+ธมฺม แปลตรงตัวว่า สิ่งที่มีภาวะของมันเอง (หมายความว่า มันเป็นมันมีของมันเอง ไม่มีผู้สร้างผู้บันดาลให้มันเป็น)

พอเข้าใจความรู้สึกกรัชกายที่คุณ nong เรียกว่าลุงมั้ยครับ เป็นลุงเป็นหลานกัน ลุงก็ต้องหวังดีต่อหลานดิถูกมั้ย :b1:

มีอะไรค้างคาใจอีก ถามลุงต่อได้นะหลาน :b12:

อย่างลุงมันต้องเจอแบบนี้แหละ เราถามวิธีแก้ไขดันมาบอกให้เราเลิกทำเหอะ ไม่ให้ทำก็หาผัวดิ อิอิ ให้เลิกทำกิเลสก็ลากลงนรกหมดสิลุ๊ง ทีนี้ละนางพญากระบี่มารกลับมาครองบัลลังค์ รู้จักป่ะนางพญากระบี่มาร :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อก่อนเราไม่คิดอย่างนั่งกรรมฐาน เพราะได้ยินว่าต้องมีครูบาอาจารย์ ก็พอจะรู้ว่าทำไม ไอ้ประเภทเห็นนั่นเห็นนี้แล้วจิตเตลิดเปิดเปิง แต่อิตาลุงกรัชกายหวังดีกะเราจิงป่าวมะรู้ มาบอกให้เรานั่งกรรมฐานเฉยเลยมะก่อน เราก็นั่ง ทีนี้พอเรามาถึงทางตันดันบอกว่าเลิกทำเหอะ เออเนอะอยู่ใกล้ๆนี้ สงสัยคงจะเหมือนกับที่ ดร.วรภัทร บอก พุดไม่เข้าหู จิตกระเพื่อมละเว้ย :b12: (รู้สึกคันๆแถวตาตุ่มว่ะเห้ยย) :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

เฮียกรัชกาย แกล้งพองลมข่มเด็ก มันมีหรือสภาวะ มันมีของมันเอง
ไอ้สภาวะที่ว่า มันมีตามเหตุปัจจัย อยู่ดีๆมันมีของมันเองได้หรือ
ตลก(ที่ไม่ได้แปลว่าตุลาการ)


เห็นคำพูดค่อนของนายโฮฮิชิแล้ว นึกถึงนิทานเรื่องปลากับเต่าได้

เต่ากับปลาเค้าเป็นเพื่อนกัน (ใครเคยอ่าน-ฟังมั้ยบ้าง) เกริ่นให้หน่อยแล้วไม่หาอ่านกันเอง


ปลาเป็นสัตว์น้ำ อยู่แต่ในน้ำเท่านั้น จึงไม่รู้เรืองบนบก

ส่วนเต่าเนี่ยเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ อยู่บนบกก็ได้ อยู่ในน้ำก็ได้

วันหนึ่งเต่าขึ้นไปเที่ยวบนบก ได้เห็นสภาพแวดล้อมต่างๆบนบก เช่น ต้นไม้ มีภูเขา ลมเงี้ยพัดเย็นสบาย...แล้วก็ลงน้ำไปเล่าเรื่องบนบกให้ปลาฟัง

ปลาซึ่งอยู่แต่ในน้ำ แถมน้ำยังเข้าตาอีก...อ้าวนึกถึงคำกลอนท่านพุทธทาสได้ เอาสะก่อนเด๋วลืม

"หมู่นกมองเท่าไหร่ไม่เห็นฟ้า
ถึงหมู่ก็ไม่เห็นน้ำเย็นใส
ไส้เดือนไม่เห็นดินที่กินไป
หนอนก็ไม่มองเห็นคูถที่ดูดกิน"

เต่าเล่าเรื่องบนบกที่ตนเห็นมาให้ปลาฟัง...ปลาแล้วงง ไม่รู้เรื่องเหล่านั้นเลย จึงปฏิเสธว่า เต่าแกโกหกขี้จู๊เบเบ้..เป็นไปไม่ได้ ไม่มี....อิอิมพอสซิเบิ้ล ในโลกไม่มีเรื่องที่แกพูดหรอก

http://www.youtube.com/watch?v=YG3YuFB8kKU

:b9: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือหนูนั่งสมาธิ ก็กำหนดตามตามกาย ยุบหนอ พองหนอ ปกติค่ะ

หนูมักนั่งสมาธิเป็นแบบนี้บ่อยๆ
เนื่องจากการนั่งสมาธิทุกครั้งของหนู ก่อนที่จะตัดความรับรู้ของสิ่งภายนอกได้ คือไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้สึกไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วนั้น

เวลาหนูนั่งสมาธิ จะเปิดพัดลมส่ายหัวเอาไว้เบา ไกลๆ เบอร์ 1 เพื่อจะได้มีอากาศถ่ายเทนั้น ก่อนจะตัดการรับรู้ได้ มันจะนิ่งแล้วมีความรู้สึกเหมือนกับตัวเรานี้เหมือนกิ่งไม้บนต้นไม้ จิตเราเหมือนใบไม้ที่อยู่ในกิ่ง พอลมพัดผ่านมา รู้สึกสัมผัสว่าจะส่าย หรือขยับเบาๆ ตามแรงลม เมื่อไม่มีลม ก็ไม่ส่ายหรือขยับ แต่พอพัดลมพัดกลับมาอีก ก็ เหมือนปลิวเบาๆ เหมือนใบไม้ที่กิ่งไม้เวลาโดนลมอ่ะค่ะ

รู้ว่าแม้จะมีลมใบไม้ก้อไม่ได้ปลิวออกไปจากกิ่ง เหมือนเราไม่ได้ปลิวออกจากร่าง เป็นสัมผัสที่บอกไม่ถูก พอละไว้เสียก็เข้าสู่สมาธิที่ตัดการรับรู้ได้ แต่ในบางครั้ง ก็รู้สึกสัมผัส เหมือนได้ยินเสียง มด แมลง พูด บางครั้งก็จับใจความได้ บางครั้งก็จับไม่ได้ อย่างนี้ คือ อะไรคะ


และการตัดการรับรู้ของหนู ส่วนใหญ่ มัก มี นิมิตหนึ่ง ซึ่งเป็นบ่อยมาก คือ อาการตัดความรับรู้นั้นคือ เราไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้สึกใดๆทางกาย ไม่มีลมหายใจใดๆ แต่มีนิมิต คือ ไปอยู่ที่แห่งหนึ่ง ขาวโพลนทั่วไป ไม่มีทางเดิน ไม่มีถนน ไม่มีอะไรเลย ไม่มีตัวเอง

แต่จิตมีอยู่ตรงนั้น ไม่มีลมหายใจ ยุบหนอ พองหนอ เป็นสีขาวล้วนทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีที่สิ้นสุด แต่รู้ว่า มีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

พอคงอย่างนั้นไว้ เรื่อยๆ มันก็จะออกจากนิมิตมาเอง และ จิตก็กลับมา กำหนด ยุบหนอ พองหนอ ตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่หายใจเร็วขึ้น ปกติ และ กำหนด ยุบหนอ พองหนอ นั้นเสมือนหนึ่งว่า หนูไม่ได้กำหนดเอง เหมือนได้ยินเสียงคนอื่นกำหนดให้ เรา หายใจปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เลย อย่างนี้คืออะไรคะ


และสุดท้าย คือ หนูต้องทำอย่างไรต่อไปค่ะ ฝึกเหมือนเดิมต่อไป หรือ ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรไหม เพราะเป็นอยู่อย่างนี้มาหลายปีแล้ว ไม่มีการขัยเพิ่มเติมใดๆ รู้เพียงว่า สามารถสื่อกับสิ่งที่มองไม่เห็นได้เห็นกรรมผู้อื่น และสภาพจิตใจนั้น ไม่ค่อยมีสิ่งใดมากระทบอารมณ์ให้รู้สึกมากจนเกินไปได้ เพราะจะรู้จิตตนเองเสมอ เป็นความรู้สึกวางเฉย

หากหลับฝันก็รู้ว่าอยู่ในฝัน เลือกจะตื่นหรือไปต่อก็ได้ เวลาตื่นก็ตั้งจิตได้เหมือนตั้งนาฬิกาปลุก แต่หากไม่ได้ตั้งไว้ มักตื่นเองไม่เกิน 6 ชม หรือ 6 ชม เป๊ะ

แต่ยังมีสิ่งสงสัยดังข้างต้น และต้องการทราบว่า สิ่งที่เป็นนั้นเรียกว่าอย่างไร สิ่งสุดท้ายก็คือต้องละ เพื่อมุ่งสู่นิพพาน รบกวนขอคำชี้แนะด้วยค่ะ

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?t ... n#msg15655

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:

เฮียกรัชกาย แกล้งพองลมข่มเด็ก มันมีหรือสภาวะ มันมีของมันเอง
ไอ้สภาวะที่ว่า มันมีตามเหตุปัจจัย อยู่ดีๆมันมีของมันเองได้หรือ
ตลก(ที่ไม่ได้แปลว่าตุลาการ)


เห็นคำพูดค่อนของนายโฮฮิชิแล้ว นึกถึงนิทานเรื่องปลากับเต่าได้

เต่ากับปลาเค้าเป็นเพื่อนกัน (ใครเคยอ่าน-ฟังมั้ยบ้าง) เกริ่นให้หน่อยแล้วไม่หาอ่านกันเอง


ปลาเป็นสัตว์น้ำ อยู่แต่ในน้ำเท่านั้น จึงไม่รู้เรืองบนบก

ส่วนเต่าเนี่ยเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ อยู่บนบกก็ได้ อยู่ในน้ำก็ได้

วันหนึ่งเต่าขึ้นไปเที่ยวบนบก ได้เห็นสภาพแวดล้อมต่างๆบนบก เช่น ต้นไม้ มีภูเขา ลมเงี้ยพัดเย็นสบาย...แล้วก็ลงน้ำไปเล่าเรื่องบนบกให้ปลาฟัง

ปลาซึ่งอยู่แต่ในน้ำ แถมน้ำยังเข้าตาอีก...อ้าวนึกถึงคำกลอนท่านพุทธทาสได้ เอาสะก่อนเด๋วลืม

"หมู่นกมองเท่าไหร่ไม่เห็นฟ้า
ถึงหมู่ก็ไม่เห็นน้ำเย็นใส
ไส้เดือนไม่เห็นดินที่กินไป
หนอนก็ไม่มองเห็นคูถที่ดูดกิน"

เต่าเล่าเรื่องบนบกที่ตนเห็นมาให้ปลาฟัง...ปลาแล้วงง ไม่รู้เรื่องเหล่านั้นเลย จึงปฏิเสธว่า เต่าแกโกหกขี้จู๊เบเบ้..เป็นไปไม่ได้ ไม่มี....อิอิมพอสซิเบิ้ล ในโลกไม่มีเรื่องที่แกพูดหรอก

http://www.youtube.com/watch?v=YG3YuFB8kKU
:b9: :b32:

เอาล่ะเว้ยเฮ้ย! ตาเฒ่ากรัชกายของกระผม ไปไม่ถูกเล่นเล่านิทานแล้ว
ทำไปได้นะตาเฒ่า เอานิทานของลุงไปเล่าให้หลานตาของลุงฟังเถอะครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คือหนูนั่งสมาธิ ก็กำหนดตามตามกาย ยุบหนอ พองหนอ ปกติค่ะ

หนูมักนั่งสมาธิเป็นแบบนี้บ่อยๆ
เนื่องจากการนั่งสมาธิทุกครั้งของหนู ก่อนที่จะตัดความรับรู้ของสิ่งภายนอกได้ คือไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้สึกไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วนั้น

เวลาหนูนั่งสมาธิ จะเปิดพัดลมส่ายหัวเอาไว้เบา ไกลๆ เบอร์ 1 เพื่อจะได้มีอากาศถ่ายเทนั้น ก่อนจะตัดการรับรู้ได้ มันจะนิ่งแล้วมีความรู้สึกเหมือนกับตัวเรานี้เหมือนกิ่งไม้บนต้นไม้ จิตเราเหมือนใบไม้ที่อยู่ในกิ่ง พอลมพัดผ่านมา รู้สึกสัมผัสว่าจะส่าย หรือขยับเบาๆ ตามแรงลม เมื่อไม่มีลม ก็ไม่ส่ายหรือขยับ แต่พอพัดลมพัดกลับมาอีก ก็ เหมือนปลิวเบาๆ เหมือนใบไม้ที่กิ่งไม้เวลาโดนลมอ่ะค่ะ

รู้ว่าแม้จะมีลมใบไม้ก้อไม่ได้ปลิวออกไปจากกิ่ง เหมือนเราไม่ได้ปลิวออกจากร่าง เป็นสัมผัสที่บอกไม่ถูก พอละไว้เสียก็เข้าสู่สมาธิที่ตัดการรับรู้ได้ แต่ในบางครั้ง ก็รู้สึกสัมผัส เหมือนได้ยินเสียง มด แมลง พูด บางครั้งก็จับใจความได้ บางครั้งก็จับไม่ได้ อย่างนี้ คือ อะไรคะ


และการตัดการรับรู้ของหนู ส่วนใหญ่ มัก มี นิมิตหนึ่ง ซึ่งเป็นบ่อยมาก คือ อาการตัดความรับรู้นั้นคือ เราไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้สึกใดๆทางกาย ไม่มีลมหายใจใดๆ แต่มีนิมิต คือ ไปอยู่ที่แห่งหนึ่ง ขาวโพลนทั่วไป ไม่มีทางเดิน ไม่มีถนน ไม่มีอะไรเลย ไม่มีตัวเอง

แต่จิตมีอยู่ตรงนั้น ไม่มีลมหายใจ ยุบหนอ พองหนอ เป็นสีขาวล้วนทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีที่สิ้นสุด แต่รู้ว่า มีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

พอคงอย่างนั้นไว้ เรื่อยๆ มันก็จะออกจากนิมิตมาเอง และ จิตก็กลับมา กำหนด ยุบหนอ พองหนอ ตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่หายใจเร็วขึ้น ปกติ และ กำหนด ยุบหนอ พองหนอ นั้นเสมือนหนึ่งว่า หนูไม่ได้กำหนดเอง เหมือนได้ยินเสียงคนอื่นกำหนดให้ เรา หายใจปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เลย อย่างนี้คืออะไรคะ


และสุดท้าย คือ หนูต้องทำอย่างไรต่อไปค่ะ ฝึกเหมือนเดิมต่อไป หรือ ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรไหม เพราะเป็นอยู่อย่างนี้มาหลายปีแล้ว ไม่มีการขัยเพิ่มเติมใดๆ รู้เพียงว่า สามารถสื่อกับสิ่งที่มองไม่เห็นได้เห็นกรรมผู้อื่น และสภาพจิตใจนั้น ไม่ค่อยมีสิ่งใดมากระทบอารมณ์ให้รู้สึกมากจนเกินไปได้ เพราะจะรู้จิตตนเองเสมอ เป็นความรู้สึกวางเฉย

หากหลับฝันก็รู้ว่าอยู่ในฝัน เลือกจะตื่นหรือไปต่อก็ได้ เวลาตื่นก็ตั้งจิตได้เหมือนตั้งนาฬิกาปลุก แต่หากไม่ได้ตั้งไว้ มักตื่นเองไม่เกิน 6 ชม หรือ 6 ชม เป๊ะ

แต่ยังมีสิ่งสงสัยดังข้างต้น และต้องการทราบว่า สิ่งที่เป็นนั้นเรียกว่าอย่างไร สิ่งสุดท้ายก็คือต้องละ เพื่อมุ่งสู่นิพพาน รบกวนขอคำชี้แนะด้วยค่ะ

ไหนลองวิจารณ์ดูหน่อยเด่ะ ที่ยกมาน่ะ อยากรู้ว่าหมู่หรือจ่า
ผมว่าเป็นแค่ยามละมั่ง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q228a34.gif
q228a34.gif [ 10.08 KiB | เปิดดู 3747 ครั้ง ]
คิกๆๆ โฮเอ้ย ไปทำเรื่องง่ายๆที่เป็นรูปธรรมมองเห็นด้วยตาเนื้อให้จิตละเอียดขึ้นสะก่อนนะ เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เลี้ยงอาหารเด็ก-คนชรา สร้างโบสถ์วิหารลานเจดีย์ ปล่อยนก เป็นต้นนะ เอาชัดๆ แล้วค่อยมาพูดเรื่องนามธรรม :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คือคุนน้องปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และได้เข้าใจว่าทำไมเราต้องนั่งสมาธิ ถ้าเราไม่นั่งสมาธิเราก็จะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเรา แบบว่าสิ่งที่มันซ่อนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเราน่ะมันคืออะไร แล้วการนั่งสมาธิเหมือนเราไปขุดเอารากเหง้าของกิเลศที่มันนอนแช่อิ่มอยู่ วันดีคืนดีมันก็กำเริบขึ้นมา ถ้ามีผัสสะมากระทบ อย่างคุนน้องถ้าไม่มีเหตุปัจจัย คุนน้องก็เป็นอยู่อย่างงั้นตามธรรมดา แต่ทำไมเวลาเกิดเหตุปัจจัยขึ้น จิตมันคอยจะแล่นเข้าสู่อวิชชา คุนน้องก็ไปหาต้นตอ เลยนั่งสมาธิตามดูจิตของตน จนรู้ว่าที่แท้สติเราขาดช่วงขณะหนึ่งแล้วดึงกลับมาไม่ทัน จิตเรามันก็คอยแต่จะกระโจนออกไป ซึ่งสภาวะนี้มันก็เป็นเหมือนตอนที่ไม่นั่งสมาธิ แต่ก็จะลองปฏิบัติตามที่อโสกะบอก :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดตามสมมุติ จิตเราได้ เพื่อหมายรู้กันเวลาสนทนา แต่เวลาปฏิบัติยึดว่าเราไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เมื่อก่อนเราไม่คิดอย่างนั่งกรรมฐาน เพราะได้ยินว่าต้องมีครูบาอาจารย์ ก็พอจะรู้ว่าทำไม ไอ้ประเภทเห็นนั่นเห็นนี้แล้วจิตเตลิดเปิดเปิง แต่อิตาลุงกรัชกายหวังดีกะเราจิงป่าวมะรู้ มาบอกให้เรานั่งกรรมฐานเฉยเลยมะก่อน เราก็นั่ง ทีนี้พอเรามาถึงทางตันดันบอกว่าเลิกทำเหอะ เออเนอะอยู่ใกล้ๆนี้ สงสัยคงจะเหมือนกับที่ ดร.วรภัทร บอก พุดไม่เข้าหู จิตกระเพื่อมละเว้ย :b12: (รู้สึกคันๆแถวตาตุ่มว่ะเห้ยย) :b32:


กระเพื่อมๆไปนะ กระดึบๆไป เอาให้ถูกใจ แล้วจะรู้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 135 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร