วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จบแบบวิเวก.....หรือว่าหนีไปวิเวก...ละเนี้ย... :b9: :b9:


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2012, 21:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


วิเวกกาย....วิเวกใจ...นี้พอจะเข้าใจ

วิเวกจากอุปทานนี้....คงต้องตามดูต่อ...

:b17: :b17:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 16:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
วิเวกกาย....วิเวกใจ...นี้พอจะเข้าใจ

วิเวกจากอุปทานนี้....คงต้องตามดูต่อ...

:b17: :b17:


ดูจากไหนล่ะ ... :b32:

ท่านอ๊บซ์แสดงมุขบ้างเถอะ ...

ดันมาส่งเสียงตอนที่เอกอนกำลังหมดมุขพอดี
ก็รับช่วงแสดงความเห็นต่อไปทีเถอะ :b4:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 17:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ระบายออกมาเรื่อยๆ หากยังไม่หมด ไม่จบ ก็ระบายออกมาเรื่อยๆ


:b1: แบบนี้เหร๋อ

walaiporn เขียน:
อ่ะเอาไปอ่าน เบื่ออธิบาย เลือกอ่านเอาเองนะ เพราะ วลัยพร เป็นคนชอบบันทึก และอาจจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆ อย่างน้อยๆ จะได้ไม่หลง เหมือนที่วลัยพรเคยหลง คือโง่กับกิเลสของตัวเอง

ส่วนใครอ่านแล้ว รู้สึกนึกคิดอะไร ยังไง นั่นคือเหตุที่มีต่อกันอยู่ มันมีแค่นั้นเอง

http://walailoo2010.wordpress.com/2012/ ... %E0%B8%99/

ไม่ได้นั่งเทียนเขียน แต่เขียนจากสภาวะของตัวเอง เขียนอยู่ทุกๆวัน


อย่าห่วงเราเรย เราไม่ได้มีที่ที่เราจะไประบายหรอก
และเราก็ไม่ได้มีอารมณ์อะไรมากมายล้นพ้นที่ถึงกับต้องคอยระบายออกมา

:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใครชอบหรือไม่ชอบ หรือเป็นแบบไหนอยู่ เมื่อไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครๆ นี่แหละ คือ ความปกติ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 17:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เหตุของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใครชอบหรือไม่ชอบ หรือเป็นแบบไหนอยู่ เมื่อไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครๆ นี่แหละ คือ ความปกติ

เหร๋อ.. :b1:
walaiporn เขียน:
walaiporn เขียน:
เป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ ที่ยังไปไม่ถึงที่สุด

มาชัดตอนอายุ 14

ก็รู้สึกวูบๆจิตรวมเป็นระยะๆ เห็นแสงวูบๆสีขาว ก็ดูไปหายไปบ้าง กลับมาบ้าง มีภาพนั่นภาพนี่แทรกบ้างเผลอเอาจิตตามไปบ้าง ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะจิตเรียนรู้แล้วว่าดูไปก็เหนื่อยเปล่า เดี่ยวก็หายอีก จิตมันละความคิดไปเองโดยอัตโนมัติ

จึงได้รู้ว่า การไม่คิดไม่ใช่คิดว่าไม่คิด แต่เป็นการเอาจิตไปรู้ตามความเป็นจริงจนมันหายไปเองตามธรรมชาติ เพราะมันเป็นสิ่งปรุงแต่งย่อมอยู่ไม่ทน เคล็ดลับของการทำจิตว่างมันอยู่ตรงนี้เอง

พอความคิดไม่เกิดเพิ่ม นิ่งสงบไปเจอแสงสีขาวเกิดขึ้นก็พิจารณาไปอีกตามเดิม แต่คราวนี้มันไม่ยอมหาย มันชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นวงกลมสีขาว ยิ่งเข้าไกล้ขอบยิ่งชัด คมกริบ ผิวเนียนละเอียด

ตอนนี้พิจารณาได้สองอย่าง จะพิจารณาลมก็ได้แต่มันเบามากๆ สีขาวชัดกว่าเลยกลายเป็นทิ้งลมไปจับแสงสีขาว

อาศัยที่เคยฟังผู้ใหญ่คุยกันมานิดหน่อย ว่านิมิตนี้สามารถบังคับได้ ก็ค่อยนึกให้โตขึ้น หดลง จนใสขึ้น สว่างขึ้นเรื่อยๆ จะนึกให้หดขยายหมุนเล่นอย่างไรก็ได้ดังใจทั้งนั้น

มันไม่เหมือนนิมิตที่เคยฟังพระบอกตอนเด็กๆ เพราะนิมิตนั้นเรานึกเอาเองตามคำพระบอก มันอยู่วูบๆเหมือนดาวตก สั่งอะไรก็ไม่ได้ แต่นิมิตนี้มันสั่งได้ตามใจนึก แค่ไม่ตกใจ รักษาไม่ให้ใจกระเพื่อม เวลาใจกระเพื่อมตัวนิมิตก็กระเพื่อมโคลงเคลงตามไปด้วย

ตอนนั้นไม่รู้ว่ากำลังทำอานาปานสติแล้วแปลงเป็นกสิณ แค่ทำไปตามที่เคยได้ยินมาอย่างนั้นเอง ตอนแรกก็สนุกอยู่ เล่นไปเรื่อยอยู่นานจนไม่รู้จะเล่นอย่างไรอีก มันรู้สึกไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนเด็กได้หนังยางมาเส้นหนึ่ง เอามาทดลองจนรู้หมดแล้วว่ามันทำอะไรได้บ้าง ก็ได้แค่นั้น ทำอะไรมากกว่านั้นก็ไม่ได้แล้ว

เมื่อรู้หมดทุกแง่มุมแล้วจิตก็เริ่มความความยึดถือในนิมิตนั้น จิตมันไม่เอาด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องไปพยายามทิ้งนิมิตให้เหนื่อยอะไรเลย จิตเหมือนเด็กได้ของเล่นนั่นหละ พอทดลองเรียนรู้หมดแล้วว่าทำอะไรได้บ้างก็ไม่ตื่นเต้น ไม่เอาอีกเลย



เป็นเพียง โอภาส ไม่ใช่การทำกสิณ เรียกว่า เล่นในสมาธิ เพราะ เคยเล่นมาแล้ว ในสภาวะแบบนี้ ไม่แตกต่างกัน ติดโอภาส แต่ไม่รู้ว่าติด ในช่วงแรกๆ

มาตอนหลัง พยายามไม่ให้โอภาสเกิด เพราะรู้จากตำราว่า เป็นอุปกิเลส นี่ก็ไม่รู้อีก ไปคิดว่า คืออุปกิเลส

ปฏิบัติต่อเนื่อง จึงรู้ว่า โอภาส เกิดจาก กำลังของสมาธิ กำลังของสมาธิมามากเท่าไหร่ โอภาส ยิ่งสว่างมากขึ้น ตามกำลังของสมาธิ มันเป็นเรื่องปกติของสภาวะสมาธิ






walaiporn เขียน:

เจออาการร่างกายปวด ตัวหวิวใจหวิว พยายามประคองสติใว้ อาการทั้งตัวเหมือนโดนน้ำท่วมสำลักหรือเป็นลมแดดหูอื้อตาลายแต่สติยังแข็งมาก รับรู้ได้ทุกอย่าง เหมือนโดนดูดเข้าไปในท่อดำมืดอะไรสักอย่าง มีอาการเจ็บปวดเหมือนตัวจะขาดจากกัน กระดูกเนื้อหนังเหมือนแตกไปทั้งร่าง หมุนติ้วๆอยู่ไม่มีบนล่างกำหนดทิศทางกำหนดหนักเบาร้อนเย็นอ่อนแข็งอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้ยึดจับทั้งนั้น

พอตกใจจิตถอนออกก็สงบสว่างอยู่พักนึง พอเริ่มสบายสติผ่อนคลายหายกระเพื่อมก็โดนอีก คราวนี้เหมือนโดนกระชากตัวพุ่งพรวดลงไปในเหว

ตัดสินใจยอมเจ็บยอมตาย มันดิ่งก็ดิ่งตามไปด้วย ผ่านไปสักพักก็โล่ง มีแต่สว่างขาวโพลงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่อย่่างนั้น แต่ไม่กลัวอะไรเลย

มันโล่งไปหมด สบายสุดๆ ก็จับอารมณ์ตรงหน้ามาพิจารณาต่อ สักพักก็ไม่คิดอะไรอีก อาการอิ่มใจหายไปอารมณ์แน่นกว่าเดิม พอเย็นอิ่มใจนานๆไปก็สงบสุดๆอารมณ์แน่นขึ้นอีก สักพักเหลือแต่นิ่งอยู่อารมณ์แน่นขึ้นแล้ว ถึงขั้นนี้ไปไม่เป็นแล้ว ลมหายใจก็ไม่มี มันดับหมด เกิดเผลอกลัวตายวูบนิดเดียว แต่ก็ประคองใว้ได้อีก


ปรากฏว่าจิตถอยออกมาอยู่ที่ สงบ และคลายตัวมาอยู่ที่อิ่มใจตามลำดับ ปรากฏว่ายังได้ยินเสียง ยังไม่ตาย ทดลองพิจารณาอาการอิ่มใจสักพักก็เข้าไปที่สงบสุข และ นิ่งเฉยตามลำดับ แล้วถอยออกมาอีกจนเริ่มรู้สึกตัวนิดๆ

คราวนี้ รู้สึกอิ่มในสมาธิมากๆจึงเริ่มร่างกายเกสาโลมาไปตามปกติที่เคยทำ ที่ต่างออกไปคือ เมื่อก่อนการพิจารณาคือการคิดเอาเอง แต่ตอนนี้การพิจารณามันเห็นชัดเจนมาก เหมือนมีสองคนซ้อนกันอยู่ แล้วอีกคนหนึ่งแยกตัวออกไปยืนมองกลับเข้ามาดูตัวเอง

พอพิจารณาเสร็จเริ่มถอนสมาธิออกมาแผ่เมตตาเห็นนิมิตแสงสีขาวออกจากตัว เลยแผ่เมตตาไปจนสีจางลง


เมื่อออกจากสมาธิรู้สึกสบายตัวอย่างมาก ร่างกายเบาเหมือนไร้น้ำหนักเลย แถมมีสติแข็งมากๆติดตัวมาด้วยทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน จิตมันไม่หลับ มันรู้ตื่นเบิกบานอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

เช้าขึ้นมาเป็นเรื่องเลย เพราะเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีสันมันสดขึ้นผิดปกติ มองอะไรก็เห็นอย่างนั้น ไม่มีจุดรวมโฟกัสสายตา เห็นมันทีเดียวทั้งภาพเลย อะไรเคลื่อนไหวตรงมุมไหนของสายตาเห็นได้หมด และเห็นพร้อมๆกันในคราวเดียวด้วย ไม่มีอาการเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง

เวลาเดินนี่ยุ่งเลย เพราะมันกะระยะไกลไม่ถูก พอจะรู้บ้างก็แต่ส่วนที่กว้างยาว ส่วนลึกกะประมาณไม่ถูกเลย รู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีจริง มันเป็นเหมือนภาพสองมิติมาหุ้มล้อมตัวเราอยู่ และเรากำลังเดินอยู่ในภาพสองมิติ(เข้าใจเอาเองว่าจิตอยู่ในมิติสวรรค์)

แต่เมื่อก่อนถูกสมองตนเองหลอกให้เข้าใจว่าโลกนี้มีสามมิติ (โลกมนุษย์) ส่วนในฌาณนั้นตามความรู้สึกมีแค่มิติเดียวคือ แค่รู้สึกว่ามีตัวตน ไม่มีกว้างยาว เดาเอาว่าในนิพพานน่าจะไร้มิติที่ตรงกัน คือไม่สามารถเอาสภาวะอะไรของโลกมนุษย์สวรรค์หรือพรหม(ฌาณ)ไปเทียบได้เลย

เวลาเคลื่อนไหวก็รู้ตัวทุกอย่าง การกระทำโดยไม่ตั้งใจไม่มีเลย ทุกการกระทำเกิดจากความตั้งใจทั้งสิ้นแม้จะแค่หันซ้ายหันขวาก็เหมือนเตรียมตัวใว้ก่อนแล้วเป็นนาทีทั้งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ไม่มีการวางแผนอะไรใว้ก่อน มันมีสติตามติดและชัดเจนมาก มันไม่มีความลังเลอะไรทั้งสิ้น เหมือนลมพัดโดนขนไหวไปเส้นนึงยังรู้สึกได้

ไม่ได้ไปตั้งใจรู้สึกรู้ทัน มันรู้ของมันเอง มีคนเดินเข้ามาหาก็ไม่รู้ว่าใครมา เพราะไม่ได้เพ่งเล็ง พอเขาพูดขึ้นก็ต้องทำความเข้าใจในคำพูดนั้นเสียก่อนจึงจะตอบได้ ถ้าไม่ตั้งใจใว้ก่อนเสียงพูดมันไม่กระทบจิตเลย แต่สักแต่ว่าได้ยิน

เวลากินข้าวกินแกงก็แค่กินก้อนอะไรสักอย่าง น้ำอะไรสักอย่าง กลืนลงไปลิ้นไม่รับรู้รสชาติเลย ไม่ใช่รู้แล้วไม่ยอมเอาไปปรุงแต่ง แต่มันตัดลึกกว่านั้น คือตัดตั้งแต่ต้นทางไปเลย ทำให้อาหารเข้าปากรู้ได้มากสุดแค่เป็นก้อนๆแข็งหรืออ่อน ร้อนหรือเย็นแค่นั้นเอง อีกอย่างคือ ความอิ่มใจค้างอยู่ที่หัวใจ มันเย็นตลอด เย็นเหมือนเอาก้อน้ำแข็งก้อนโตเท่ากำหมัดแปะหน้าอกใว้ตลอดเวลา

เห็นธนบัตร ก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้สึกแปลกใจตัวเองเช่นกันเพราะโดยความรู้สึกตอนนั้น ธนบัตร 20 บาทก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ใบหนึ่ง

เช้าเจอพ่อ เห็นตัวพ่อเล็กนิดเดียว ตัวเราโตกว่าพ่อถึงสามสี่เท่าตัว มองหน้าพ่อคิดว่าพ่อเป็นน้องชายเรา บางครั้งก็สับสนตัวเองเล็กน้อย ว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ทิ้งไปได้ทันที เพราะสติแข็งมากๆ

อยากบวชมากที่สุด รู้สึกว่าจะอยู่ได้ต่อไปมีแต่ต้องบวชเท่านั้น ไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่บอกพ่อ พ่อไม่ให้บวชเพราะกำลังเรียน มอ.2 รู้สึกเสียใจมากเหมือนจะตายลงเดี๋ยวนั้น และอาการเสียใจไม่ใช่ตีอกชกหัวคร่ำครวญอย่างคนทั่วไป แต่เป็นอาการใจกระเพื่อมอย่างรุนแรง มีสติรู้อาการอยู่ตลอด

สองสามวันต่อมาอาการมองโลกแปลกๆก็ค่อยๆปรับเปลี่ยน จะเดินก็ยังรู้สึกโคลงเคลงอยู่บ้างแต่เริ่มกะยะยะทางได้ เริ่มมองโลกเป็นมุมกว้างสามมิติ กะระยะลึกได้ถูก และนอนไม่หลับถึงสามสี่คืน

คืนหลังๆแม้จะนั่งสมาธิก็ได้แค่เฉียดๆอุปจารสมาธิ พอวูบๆจะลงไปมันก็เด้งกลับมาที่เดิม แต่ตอนนั้นไม่ได้อยากเข้าสมาธิ แค่ทำไปตามปกติ เข้าได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใส่ใจ ความอยากมันหายไปหลายอย่าง

ตลอดหกเจ็ดวันหลังจากเข้าฌาณได้ จิตมันไม่กังวลต่ออนาคต ไม่คิดถึงอดีต ไม่สงสัยติดใจอะไรในปัจจุบัน มีความเมตตาอยู่เต็มจิตจนคิดไปเองว่าคงเป็นพรหมวิหารอะไรสักอย่าง ตามหัวข้อธรรมที่เคยได้ยิน

อย่าว่าแต่คนสัตว์เลย แม้แต่ใบไม้เขียวๆหรือกิ่งไม้ผุ ก็ไม่ต้องการไปแตะต้องอะไรทั้งนั้น มันไม่เพลิดเพลินในอะไรเลย ใครจะเปิดเพลงร้องเพลงก็ได้ แต่ฟังแล้วไม่รู้สึกไพเพราะ ไม่สนุกด้วย แต่ก็ไม่รำคาญ ไม่ต้องการเปลี่ยนอะไรในโลกนี้เลย แค่อยู่ๆไปตามปกติของร่างกาย และจะทำสิ่งต่างๆก็ให้กระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด

ความอิ่มใจที่เย็นอยู่กลางหน้าอกใช้เวลาถึง 7 วัน จึงค่อยๆจางไป และโลกสดใสทุกวัน ความทุกข์ไม่มีเลยตลอดสองเดือนหลังจากนั้น

จนกระทั่งกลับไปเรียนหนังสือ เริ่มโดนหยอกล้อตามปกติ เริ่มเจออารมณ์ขันสนุกเฮฮา เริ่มฉุนเพื่อน เริ่มอยากได้โน่นได้นี่ เริ่มชอบและเกลียดสิ่งต่างๆ ความทุกข์สุขตามที่เคยเป็นจึงค่อยๆเริ่มปรากฏ

เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว ได้แค่ครั้งเดียวรวดเดียวถึงฌาณสี่ต่อด้วยวิปัสสนาแผ่เมตตาเสร็จสรรพแล้วก็เข้าฌาณไม่ได้อีกเลย




เรื่องเล่าในอดีต ไม่ใช่เป็นสภาวะปัจจุบัน เรื่องที่ผ่านมา เป็นเพียงเหตุ ไม่แตกต่างในเหตุของแต่ละคน เมื่อยังไม่ถึงเวลา ชีวิต ย่อมเป็นไปตามเหตุ แต่ไม่รู้ว่า นี่คือ เหตุ



walaiporn เขียน:
รู้ด้วยตัวเองแล้วว่า ฌาณมีจริง ดังนั้น นรก สวรรค์ นิพพาน และเรื่องเหนือโลกในทางพุทธศาสนา ย่อมมีจริงตามไปด้วย ไม่มีทางปฏิเสธได้อีกเลย มันเป็นเหตุเป็นผลอิงกันอยู่



เหตุเกิดจาก ความศรัทธา สภาวะตรงนี้ ทุกคนเจอเหมือนกันหมด เรียกว่า อธิโมกข์ คือ น้อมใจเชื่อ

วลัยพร ก็เกิดสภาวะนี้เช่นเดียวกัน ความศรัทธาหรืออธิโมกข์ ที่เกิดขึ้น บดบังสภาวะ ทำให้ไม่เห็นตามความเป็นจริง ได้แต่พูดว่า นิพพานมีจริง แต่อธิบาย สภาวะนิพพาน และวิธีการที่ทำให้ถึงนิพพาน ที่เป็นรูปธรรม ตอนนั้น ยังอธิบายไม่ได้

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v ... 579&Z=5680



walaiporn เขียน:
นับจากนั้นมามีแค่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ผมรับได้ ศาสนาอื่นๆมีแต่เรื่องในระดับสังคม ไม่มีเรื่องสมาธิ วิปัสสนา ฝึกตนให้สิ้นกิเลส จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้อย่างแน่นอน แม้จะข่มกิเลสด้วยฌาณแต่เพียงชั่วโมงเดียวยังส่งผลได้ความสงบจิตมากมายถึงสองเดือน

ดังนั้นสุขทางโลกเทียบอะไรไม่ได้เลย แม้การฝึกสติรู้ความเคลื่อนไหวจะไม่ได้ความสุขอะไรเพิ่มมาเลย แต่ความทุกข์ที่ลดลงไปอย่างมากนั้น ไม่มีศาสนาไหนๆสอนให้ได้ผลแบบนี้เลย...

ศาสนาพุทธจึงเป็นของแท้แม้จะฆ่าให้ตายก็ไม่มีวันเปลี่ยนศาสนาอีกต่อไป พระแขวนคอ เครื่องลางของขลัง ฤกษ์ยามก็ไม่เอาอีกแล้ว เวทย์มนต์คาถาเลขยันต์ หมอดูก็ไม่เอาไม่ศรัทธาอีกแล้ว เรื่องเจ้าที่เจ้าทางก็ถือว่าต่างคนต่างอยู่ไป ศีล 5 ก็ดีขึ้นระยะหนึ่ง แล้วก็เสื่อมลงตามประสาวัยรุ่นส่วนใหญ่



นี่แหละ ถึงบอกว่า ยังไปไม่ถึง ที่เขาคิดว่า ไปถึงมาแล้ว ดูจาก การแสดงทิฏฐิ หรือ ความยึดมั่นถือมั่นในศาสนา ที่มีอยู่ ไม่รู้ชัดในสภาวะของศิล ศิลที่พูดมา เป็นเพียงศิลที่พูดๆกันโดยทั่วๆไป เพราะ ทุกสรรพสิ่ง มีเหตุ เป็นแดนเกิด

เมื่อเห็นแล้ว รู้แล้ว คุณธรรมนั้น ไม่มีวันเสื่อม ที่เสื่อม ล้วนเกิดจาก ความไม่รู้ที่มีอยู่ และยังคงสร้างเหตุใหม่ ให้เกิดขึ้น ด้วยความไม่รู้ ชีวิต จึงได้เป็นเช่นนั้น



walaiporn เขียน:
เมื่อปีที่แล้ว ไปบวช 1 สามเดือนช่วงเข้าพรรษา ก็นั่งสมาธิบ้าง กำหนดสติรู้ตัวตลอดเวลา เดินจงกรมบ้าง แต่ก็ไม่มีแบบแผนเท่าไร ยังจำอารมณ์ฌาณได้ แต่ก็ไม่ชัดเท่าไร



พอจะระลึกได้บ้างว่าต้องคอยประคองเอาใว้ ไม่ให้จิตกระเพื่อม แต่นั่งมากสุดได้แค่อุปจารสมาธิ เที่ยวหลังนี้ได้นิมิตเป็นเสียงไม่ใช่ภาพอย่างแต่ก่อน ได้สติเยอะโดยไม่รู้ตัว แต่เป็นเพราะสติก่อตัวสะสมเรื่อยๆ ไม่ได้ปรากฏแบบพรวดพราดจากอานิสงค์ได้ฌาณเหมือนครั้งก่อน จึงค่อยมารู้ตัวเมื่อลาสิกขา

พอเจอผู้คนในที่ทำงาน อาการก็คล้ายอาการเดิมคือ เจออะไรก็กระทบจิตน้อย ไม่เก็บมาปรุง จิตอยู่ที่การเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าจะส่งออกนอก

ผ่านไป 1 ส่วนสมาธิฝึกบ้างทิ้งบ้างก็ยังไม่ได้แม้แต่อุปจารสมาธิครับ



ทำจ้ำจิ้ม ผลย่อมได้ แบบจ้ำจิ้ม



แยกออกเป็นหมวดๆ จะเห็นรายละเอียดต่างๆมากขึ้น

สิ่งที่เขาเล่ามา เป็นเรื่องในอดีต ที่ผ่านมาแล้ว ๒๕ ปี ไม่ใช่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน

ถ้าเพียง เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตั้งใจปฏิบัติต่อเนื่อง ทำทุกวัน ทุกเวลาที่มีโอกาส สภาวะเก่าๆ ที่เขาผ่านมาแล้วนั้น เขาจะได้สัมผัสกับสภาวะนั้นๆอีก

walaiporn เขียน:
เหตุของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใครชอบหรือไม่ชอบ หรือเป็นแบบไหนอยู่ เมื่อไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครๆ นี่แหละ คือ ความปกติ


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:

เรื่อง ๒๕ ปีน่ะ มันเรื่องในอดีต ไม่ต้องไปติดใจ มันแค่สภาวะที่ผ่านไปแล้ว


เวลาพูดเรื่องสภาวะ พูดเรื่องสภาวะที่เกิดขึ้นปัจจุบันเป็นหลัก

ให้ทำปัจจุบันต่อเนื่อง ไม่ต้องไปสนใจกับสภาวะเดิมๆ อะไรเกิดขึ้น ให้แค่ดู แค่รู้ไป อย่านำไปเปรียบเทียบกับสภาวะเก่า

ทำจ้ำจิ้ม ก็ได้ผลจ้ำจิ้ม คือ หมายถึง ทำไม่ต่อเนื่อง



นี่คือ คำตอบที่จะให้เขา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 18:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ ที่ยังไปไม่ถึงที่สุด

ขอเล่าประสบการณ์เล็กน้อยเพื่อขอให้ช่วยพิจารณา ถ้าคุณจะแนะนำการปฏิบัติให้บ้างก็ยินดีครับ ตอนนี้ผมอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว รู้สึกว่ายิ่งเรียนรู้แยกแยะ เทียบกับประสบการณ์เดิมที่เคยปฏิบัติแล้ว ได้สัมมาทิฏฐิมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การปฏิบัติกลับถอยหลังไปไม่ถึงไหน

พ่อฝึกให้ผมนั่งสมาธิตั้งแต่ 8 ขวบ พ่อก็ไม่ได้เก่งนะครับ หนักไปทางศรัทธามากกว่า ทำตามพระสอนทางวิทยุ จิตรวมบ้างเล็กน้อยก็พิจารณา เกศา โลมาไปตามพระสอน ผมตั้งใจบ้างเหลวไหลบ้าง ทำไม่ต่อเนื่อง อารมณ์ไม่ชัดเจนครับ

มาชัดตอนอายุ 14 ช่วงปิดเทอม ตัดกังวลได้เยอะ ทำงานช่วยพ่อกรีดยาง เก็บน้ำยาง รีดแผ่นยาง แต่ละวันทานน้อย กินเพื่ออยู่ วันๆพูดแค่ไม่กี่คำ นอนกระท่อมในสวนยาง ปูฟากไม้ไผ่ พบปะคนแค่วันละสองสามคน งานก็เสร็จไปวันต่อวัน ไม่มีงานที่ตกค้างหรือต้องวางแผนล่วงหน้าเลย เรื่องทางโลกมันโปร่งโล่งไปหมด

ก่อนนั้นหนึ่งวันนั่งจนจิตรวมสงบเงียบอยู่นาน ยังไม่ได้นิมิตชัดๆ แต่ความฟุ้งซ่านเหลือน้อย

ถึงเวลานอนก็สวดมนต์ก่อนแล้วนั่งสมาธิตามปกติ ท่องๆไปพุทโธหาย ก็พิจารณาลมไปลมก็เริ่มหายอีกตามที่พ่อสอนคือ เจออะไรก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ทำจิตให้ว่างตามที่พ่อสอน

การละความคิดในชั้นนี้ครั้งก่อนๆคิดว่ามันคือการไม่คิด แต่การคิดว่าต่อไปนี้เราจะไม่คิดอีก มันก็เป็นความคิดอยู่ดีจึงกลายเป็นวนอยู่ในความคิด ได้บ้างไม่ได้บ้างมาหลายปี

มาตอนนี้เปลี่ยนวิธีใหม่ ไม่ต้องยึดกับลมอย่างเดียว ตัวไหนมาแรงชัดเจนก็ดูตัวนั้นพิจารณามันเสียเลย ถ้ามาเป็นภาพก็ดูภาพ ถ้ามาเป็นเสียงก็ดูเสียง ดูจนมันรู้สิ้นสงสัยแล้วมันก็หายไปเอง ผุดขึ้นมาอีกก็ดูอีก ดูจนสมองเหนื่อยที่จะคิด ถ้าไม่เหลืออะไรให้ดูก็กลับไปจับลมหายใจต่อ ดูจนสุดท้ายหายไปหมดไม่เหลืออะไรให้คิดต่อ

ก็รู้สึกวูบๆจิตรวมเป็นระยะๆ เห็นแสงวูบๆสีขาว ก็ดูไปหายไปบ้าง กลับมาบ้าง มีภาพนั่นภาพนี่แทรกบ้างเผลอเอาจิตตามไปบ้าง ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะจิตเรียนรู้แล้วว่าดูไปก็เหนื่อยเปล่า เดี่ยวก็หายอีก จิตมันละความคิดไปเองโดยอัตโนมัติ

จึงได้รู้ว่า การไม่คิดไม่ใช่คิดว่าไม่คิด แต่เป็นการเอาจิตไปรู้ตามความเป็นจริงจนมันหายไปเองตามธรรมชาติ เพราะมันเป็นสิ่งปรุงแต่งย่อมอยู่ไม่ทน เคล็ดลับของการทำจิตว่างมันอยู่ตรงนี้เอง


ถ้าท่านอ๊บซ์จะ scan หาเคล็ด ท่านกลับไปอ่านบทความเต็มดี ๆ
แล้วลองเอา บทความวิเวกที่เอกอนนำมาลงไว้ทั้งหมด เข้าไปจับ

สาระที่ทำให้เขาปรากฎสภาวะ วิโมกข์ แฝงอยู่ในข้อความของเขาทั้งหมด

:b48: :b48: :b48:

และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะคิดว่าเขาไม่สามารถทำเหมือนอย่างที่เคยทำได้
เพราะ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นได้ทุกบ่อย

ก็น่าจะเป็นขั้นตอนที่อยู่ระหว่างการฟาดฟันกับ อุปธิ ที่ท่านอ๊บซ์ตั้งตารอชมนั่นล่ะ

เพราะ โดยความเห็นเอกอน
ตอนนั้นที่เขาอยากบวชใจจะขาดนั้น
เป็นแรงผลักดันของจิตที่จะน้อมไปสู่การทำอุปธิวิเวก (จิตเขารู้ของเขา)
คือ วิถีโคจรของจิตมันส่งมาและน้อมที่จะไปสู่สภาวะการตัดขาดทางโลกอย่างสมบูรณ์สิ้นเชิง
แต่มีเหตุตัดรอนไว้ก่อน
แต่อย่างไร ร่องรอยที่เขาเดินไปถึงจะฝังใจเขา อย่างชนิดที่ไม่มีวันลบเลือนไปจากใจ
เขาจะต้องกลับไปยังจุดนั้น และเดินทางต่อในที่สุด จนได้

:b53: :b53: :b53:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 28 ก.ค. 2012, 19:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 19:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
:b32:

เรื่อง ๒๕ ปีน่ะ มันเรื่องในอดีต ไม่ต้องไปติดใจ มันแค่สภาวะที่ผ่านไปแล้ว


เวลาพูดเรื่องสภาวะ พูดเรื่องสภาวะที่เกิดขึ้นปัจจุบันเป็นหลัก

ให้ทำปัจจุบันต่อเนื่อง ไม่ต้องไปสนใจกับสภาวะเดิมๆ อะไรเกิดขึ้น ให้แค่ดู แค่รู้ไป อย่านำไปเปรียบเทียบกับสภาวะเก่า

ทำจ้ำจิ้ม ก็ได้ผลจ้ำจิ้ม คือ หมายถึง ทำไม่ต่อเนื่อง



นี่คือ คำตอบที่จะให้เขา


อ้อ...เหร๋อจ๊ะ... :b32:

จ๊ะ... :b32:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 19:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ก่อนนั้นหนึ่งวันนั่งจนจิตรวมสงบเงียบอยู่นาน ยังไม่ได้นิมิตชัดๆ แต่ความฟุ้งซ่านเหลือน้อย

:b53: :b53: :b53:


สังเกตดี ๆ ว่าเขาไม่ลืมเรยเห็นมั๊ย
และ อาการ(แวว)มันออกตั้งแต่ตอนนี้ เขาจึงเริ่มต้นที่อาการจิตตรงนี้เป็นต้นไป

ถ้าท่านอ๊บซ์ไปอ่าน อาการที่พระปฏิบัติจะบรรลุธรรมอะไร
ท่านก็จะเล่าทิ่มลงไป ณ วันนั้น จนอาการนั้นปรากฎ
และเล่าได้ราวกับเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดวันนี้ หรือเมื่อวาน
และ เป็นความรู้สึกที่ไม่ลบเลือน และจืดจางไปจากใจ ...

:b1:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 21:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
วิเวกกาย....วิเวกใจ...นี้พอจะเข้าใจ

วิเวกจากอุปทานนี้....คงต้องตามดูต่อ...

:b17: :b17:


ดูจากไหนล่ะ ... :b32:

ท่านอ๊บซ์แสดงมุขบ้างเถอะ ...

ดันมาส่งเสียงตอนที่เอกอนกำลังหมดมุขพอดี
ก็รับช่วงแสดงความเห็นต่อไปทีเถอะ :b4:


:b32: :b32:
ทำบุญมา...ไม่เหมือนกัน...คงทำอย่างเอกอนไม่ได้หรอก.... :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ถ้าท่านอ๊บซ์จะ scan หาเคล็ด ท่านกลับไปอ่านบทความเต็มดี ๆ
แล้วลองเอา บทความวิเวกที่เอกอนนำมาลงไว้ทั้งหมด เข้าไปจับ

สาระที่ทำให้เขาปรากฎสภาวะ วิโมกข์ แฝงอยู่ในข้อความของเขาทั้งหมด

:b48: :b48: :b48:

และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะคิดว่าเขาไม่สามารถทำเหมือนอย่างที่เคยทำได้
เพราะ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นได้ทุกบ่อย

ก็น่าจะเป็นขั้นตอนที่อยู่ระหว่างการฟาดฟันกับ อุปธิ ที่ท่านอ๊บซ์ตั้งตารอชมนั่นล่ะ

เพราะ โดยความเห็นเอกอน
ตอนนั้นที่เขาอยากบวชใจจะขาดนั้น
เป็นแรงผลักดันของจิตที่จะน้อมไปสู่การทำอุปธิวิเวก (จิตเขารู้ของเขา)
คือ วิถีโคจรของจิตมันส่งมาและน้อมที่จะไปสู่สภาวะการตัดขาดทางโลกอย่างสมบูรณ์สิ้นเชิง
แต่มีเหตุตัดรอนไว้ก่อน
แต่อย่างไร ร่องรอยที่เขาเดินไปถึงจะฝังใจเขา อย่างชนิดที่ไม่มีวันลบเลือนไปจากใจ
เขาจะต้องกลับไปยังจุดนั้น และเดินทางต่อในที่สุด จนได้

:b53: :b53: :b53:

เห็นอย่างนี้...เช่นกัน...
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 21:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

สังเกตดี ๆ ว่าเขาไม่ลืมเรยเห็นมั๊ย
และ อาการ(แวว)มันออกตั้งแต่ตอนนี้ เขาจึงเริ่มต้นที่อาการจิตตรงนี้เป็นต้นไป

ถ้าท่านอ๊บซ์ไปอ่าน อาการที่พระปฏิบัติจะบรรลุธรรมอะไร
ท่านก็จะเล่าทิ่มลงไป ณ วันนั้น จนอาการนั้นปรากฎ
และเล่าได้ราวกับเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดวันนี้ หรือเมื่อวาน
และ เป็นความรู้สึกที่ไม่ลบเลือน และจืดจางไปจากใจ ...

:b1:

เห็นอย่างนี้...เช่นกัน..
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2012, 21:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เหลือแต่...วิเวกในอุปาทาน...ในขั้นที่ละเอียดยิ่งกว่านี้...ละซินะ


โพสต์ เมื่อ: 29 ก.ค. 2012, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ก็เหลือแต่...วิเวกในอุปาทาน...ในขั้นที่ละเอียดยิ่งกว่านี้...ละซินะ




ถ้าเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นกับตัวคุณกบเองในปัจจุบัน แล้วมีคนบอกกับคุณว่า สิ่งนี้เป็นนั่นเป็นนี่ หรือมีคำเรียกว่านั่น ว่านี่

แต่คุณยังไม่ปักใจเชื่อ คุณไปค้นหาตามตำรา คุณก็นำสภาวะไปเทียบเคียงกับตำรา


พอดีมีคนแนะนำ ให้คุณไปหาพระอาจารย์ท่านหนึ่ง คุณไปพบท่าน เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ท่านฟังทั้งหมด

ท่านฟังจนจบ ท่านจะถามคุณว่า แล้วคุณว่า คืออะไร?

คุณจะตอบว่า คือสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตามที่คนอื่นบอกมา และคือสิ่งนั้น สิ่งนี้ ตามที่อ่านเจอในตำรา


ท่านจะตอบว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีคำเรียก ถ้ามีคำเรียก ไม่ใช่ของจริง

คุณก็จะบอกว่า ตอนเกิดขึ้น มันไม่มีคำเรียก แต่คุณนำมาใส่คำเรียกเอง ตามที่ได้ฟังและได้เปรียบเทียบกับตำรามา


ท่านจะไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่จะถามคุณ เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แล้วให้คุณตอบ

คุณจะตอบท่านว่า คุณไม่มีความรู้ด้านปริยัติ หรืออาจจะมีบ้าง

ท่านจะบอกว่า ตอบมาตามที่คุณเข้าใจ ท่านจะตั้งคำถามนำ แล้วให้คุณตอบ


การสอบอารมณ์ ท่านไม่มีการพูดเรื่องญาณ ๑๖ ท่านมีปฏิจจสมุปบาท เป็นตัวสอบสภาวะของผู้ปฏิบัติ

ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายรายละเอียดทั้งหมดได้ คือ รู้แค่ไหน ตอบไปตามนั้น


ท่านจะแนะนำเพียงว่า ให้ปฏิบัติต่อเนื่อง อะไรเกิดขึ้น สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่ต้องใส่ชื่อคำเรียกต่างๆลงไป แค่ดู แค่รู้ ไปตามความเป็นจริง


นี่แหละคือ วิธีถ่ายถอนอุปทาน ความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่เกิดขึ้น




ทำไมท่านจึงสอบสภาวะผู้ปฏิบัติ ด้วยปฏิจจสมุปบาท

เพราะถ้ารู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริง สามารถอธิบายสภาวะปฏิจจสมุปบาท(แบบ ชาวบ้านฟังแล้ว รู้เรื่อง) ทั้งหมดได้ ไม่มีติดขัด ถึงแม้ว่า ผู้นั้น จะไม่รู้ปริยัติเลยก็ตาม



ในสมัยพุทธกาล มีกฏข้อห้ามสำหรับพระสงฆ์ คือ การอวดอุตริมนุสธรรม


ซึ่งท่านทั้งหลาย ที่เป็นกัลยาณมิตร ท่านจะไม่พูดตรงๆกับสภาวะที่ท่านเป็นอยู่ ท่านเพียงแต่ใช้วิธี เล่าสู่กันฟัง


อา. ก็ในสมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้มีสัญญาอย่างไร ฯ

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นแก่ผมว่า การดับภพ
เป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้แล สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไป
ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อไฟมีเชื้อกำลังไหม้อยู่เปลวอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เปลว
อย่างหนึ่งย่อมดับไป แม้ฉันใด ดูกรท่านผู้มีอายุ สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น
แก่ผมว่า การดับภพเป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้ สัญญาอย่างหนึ่ง
ย่อมดับไป ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็แลในสมัยนั้น ผมได้มี
สัญญาว่า การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้ ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... =186&Z=277


[๒๗๔] ป. ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟัง
ตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะ
มีญาณเฉพาะตัวท่านว่า ภพดับเป็นนิพพาน ดังนี้หรือ ฯ

นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความ
ตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า
ภพดับเป็นนิพพาน ฯ

ป. ถ้าอย่างนั้น ท่านนารทะก็เป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ ฯ

นา. อาวุโส ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันตขีณาสพ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 074&Z=3161



เพราะ เมื่อรู้เช่นนี้ได้ ย่อมรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะปฏิจจสมุปบาท

เมื่อรู้ในปฏิจจสมุปบาท ย่อมรู้วิธีการดับเหตุของการเกิดภพชาติปัจจุบัน และภพชาติในวัฏฏสงสาร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron