วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความคิดในสมาธิ


ความคิดขณะที่จิตเป็นสมาธิ จะไม่มีความฟุ้งซ่าน จะรู้ชัดในความคิดบ้าง ไม่รู้ชัดบ้าง เป็นบางขณะ มีสภาวะต่างๆที่เกิดร่วมด้วยกับความคิด เช่น รู้ชัดที่กายแผ่วๆ หรือรู้ชัดมาก ในสภาวะอื่นๆ ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ และสติ ที่เกิดขึ้น ไม่เหลื่อมล้ำ มากกว่ากันจนเกินไป ได้แก่

รู้ท้องพองยุบ รู้การเต้นของหัวใจ รู้การเต้นของชีพจรตามจุดชีพจรต่างๆ รู้การเต้น การสั่นๆของกล้ามเนื้อ บางครั้งรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆวิ่งวนไปตามอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย รู้ว่าจิตกำลังเกิดกิเลสอะไรอยู่ มีราคะเกิดก็รู้ว่ามี มีโทสะเกิดก็รู้ว่ามี มีโลภะเกิดก็รู้ว่ามี มีความว่างเกิดขึ้นก็รู้ว่ามี ฯลฯ



ทุกๆสภาวะจะเกิดๆดับๆสลับไปมา ตัวนั้นเกิด ตัวนี้ดับ บางครั้งเห็นว่าเกิดพร้อมๆกันแต่คนละขณะ บางครั้งเห็นแต่ละสภาวะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน แยกออกเป็นกองๆไม่ปะปนกัน

เหตุที่จิตเป็นสมาธิ แต่มีความคิดเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ เป็นผลของการปรับอินทรีย์ได้แก่ สติกับสมาธิให้เกิดความสดุลย์ จึงเป็นเหตุให้เกิดสภาวะรู้สึกตัวทั่วพร้อม จึงมีสภาวะต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น

มีความคิดก็ไม่รู้สึกรำคาญ รู้แต่ว่ากำลังคิดไปเรื่องโน้น เรื่องนี้ พอจบเรื่องหนึ่ง คิดเรื่องอื่นต่อ แต่ไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด

ในสัมมาสมาธิ จะมีความคิดเกิดขึ้นได้ แล้วไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากมีกำลังของสมาธิหล่อเลี้ยงจิตอยู่ พร้อมทั้งสามารถรู้ชัดในสภาวะอื่นๆที่เกิดขึ้นในกายและจิต ที่มีสภาวะ มีรายละเอียดต่างๆ รู้ชัดมากขึ้น

ตัวปัญญาจะเกิดจากสภาวะตรงนี้ จิตจะมีการคิดพิจรณาขึ้นมาเองเนืองๆ บางครั้งจะว่างจากความคิดชั่วคราว แต่การรู้ชัดในส่วนอื่นๆของกายยังคงมีอยู่ ตลอดจนรู้ชัดในอาการของจิตยังคงมีอยู่เป็นระยะๆ

บางครั้ง มีโอภาส เกิดร่วมด้วย โอภาส เกิดจากกำลังของสมาธิ ขณะนั้นๆ เกิดมาก น้อย สว่างไม่เท่ากัน บางครั้งสว่างเจิดจ้า เหมือนจ้องดวงอาทิตย์ ด้วยตาเปล่า ถึงแม้จะมีโอภาส เกิดร่วมด้วย แต่ไม่ส่งผล กับการที่จิตรู้ชัดใสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้น ภายในกาย แต่อย่างใด

ส่วนอารมณ์หรือความรู้สึกในองค์ประกอบของสมาธิ เช่น ปีติ สุข เฉยๆ จะรู้ตามสภาวะของสมาธิ ตามกำลังของสมาธิ ที่เกิดขึ้น แต่ละขณะ

หากกำลังของสมาธิมีมาก ขาดสติ สัมปชัญญะ ไม่สามารถ เกิดขึ้นได้ สภาวะที่เกิดขึ้น จะขาดความรู้สึกตัว เป็นเหตุให้ ไม่สามารถ รู้ชัดอยู่ ภายในกายและจิตได้ เช่น ดิ่ง นิ่ง เงียบ ว่าง โล่ง ฯลฯ

แม้กระทั่ง มีโอภาสเกิดขึ้น โอภาสนั้นๆ มีหลากหลายสภาวะ สว่างสุดๆ หาที่เปรียบไม่ได้ก็มี ขณะที่เกิดโอภาส ไม่สามารถรู้ชัดภายในกายและจิตได้

โอภาส ที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนเกิดจาก กำลังของสมาธิ ที่เกิดขึ้น ขณะนั้นๆ ไม่ใช่ การรู้เห็นวิเศษอะไรเลย


หากกำลังของสมาธิ มีมากกว่าสติ จะขาดความรู้สึกตัว เป็นระยะๆ



หากกำลังสมาธิ น้อยกว่า สติ สติจะขุดแคะ งัดแงะสัญญาต่างๆขึ้นมา ในรูปของตัวรู้บ้าง กิเลสบ้าง เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตบ้างฯลฯ



หากกำลังของสมาธิกับสติ ไม่มาก น้อยกว่ากัน อาจมีเหลื่อมล้ำกว่ากันบ้าง เล็กน้อย จะสามารถรู้ชัดอยู่ภายในกายและจิต ได้นาน สภาวะที่เกิดขึ้นภายใน จะรู้เห็น เด่นชัดอยู่



ฟุ้งซ่าน

ชื่อก็บ่งบอกสภาวะอยู่แล้วว่าเป็นยังไง สภาวะที่เกิดขึ้น มีความคิดแล้วฟุ้ง ทำให้รู้สึกรำคาญ อยากจะหยุดคิด ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกรำคาญมากๆ มีความคิดกระจัดกระจาย

ลักษณะความคิดฟุ้งซ่านแบบนี้จะไม่มีเกิดขึ้นในขณะที่จิตเป็นสมาธิ ถ้ามีสมาธิจะไม่รู้สึกรำคาญ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปทางเดียว เหมือนกันหมด

พระธรรมคำสอน ถูกบิดเบือนไป ตามเหตุปัจจัยของแต่ละยุค แต่ละสมัย ของผู้คนในสมัยนั้นๆ


ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนบุรุษเที่ยวไปในป่าทึบ เกิดพบรอยทางซึ่งเคยเป็นหนทางเก่า ที่มนุษย์แต่กาลก่อนเคยใช้เดินแล้ว. บุรุษนั้นจึงเดินตามทางนั้นไป เมื่อเดินไปตามทางนั้นอยู่ ได้พบซากนครซึ่งเป็นราชธานีโบราณ อันมนุษย์ทั้งหลายแต่กาลก่อนเคยอยู่อาศัยแล้ว เป็นที่อันสมบูรณ์ด้วยสวน สมบูรณ์ด้วยป่าไม้ สมบูรณ์ด้วยสระโบกขรณี มีซากกำแพงล้อม มีภูมิภาคน่ารื่นรมย์.

ภิกษุ ท.! ลำดับนั้น บุรุษนั้นเข้าไปกราบทูลแจ้งข่าวนี้แก่พระราชา หรือแก่มหาอำมาตย์ของพระราชาว่า

"ขอท้าวพระกรุณาจงทรงทราบเถิด : ข้าพระเจ้าเมื่อเที่ยวไปในป่าทึบได้เห็นรอยทางซึ่งเคยเป็นหนทางเก่า ที่มนุษย์แต่กาลก่อนเคยใช้เดินแล้ว.

ข้าพระเจ้าได้เดินตามทางนั้นไป เมื่อเดินไปตามทางนั้นอยู่ ได้พบซากนครซึ่งเป็นราชธานีโบราณ อันมนุษย์ ท. แต่กาลก่อนเคยอยู่อาศัยแล้ว เป็นที่อันสมบูรณ์ด้วยสวน สมบูรณ์ด้วยป่าไม้ สมบูรณ์ด้วยสระโบกขรณี มีซากกำแพงล้อม มีภูมิภาคน่ารื่นรมย์.

ขอพระองค์จงปรับปรุงสถานที่นั้นให้เป็นนครเถิด พระเจ้าข้า!" ดังนี้.


ภิกษุ ท.! ลำดับนั้น พระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชานั้น จึงปรับปรุงสถานที่นั้นขึ้นเป็นนคร สมัยต่อมา นครนั้นได้กลายเป็นนครที่มั่งคั่ง และรุ่งเรือง มีประชาชนมาก เกลื่อนกล่นด้วยมนุษย์ ถึงแล้วซึ่งความเจริญไพบูลย์, นี้ฉันใด;

ภิกษุ ท.! ข้อนี้ก็ฉันนั้น : เราได้เห็นแล้วซึ่งรอยทางเก่า ที่เคยเป็นหนทางเก่า อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนเคยทรงดำเนินแล้ว.



ภิกษุ ท.! ก็รอยทางเก่า ที่เคยเป็นหนทางเก่า อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนเคยทรงดำเนินแล้ว นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?

นั่นคืออริยอัฏฐังคิกมรรคนี้นั่นเทียว ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.

ภิกษุ ท.! นี้แล รอยทางเก่าที่เป็นหนทางเก่า อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนเคยทรงดำเนินแล้ว. เรานั้น ได้ดำเนินไปตามแล้วซึ่งหนทางนั้น.

เมื่อดำเนินไปตามซึ่งหนทางนั้นอยู่, เราได้รู้ยิ่งเฉพาะแล้วซึ่งชรามรณะ, ซึ่งเหตุให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะ, ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ, ซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ;....



http://www.buddhadasa.org/html/life-wor ... /2-30.html


ขออภัย ที่ไม่มีพระไตรปิฏกแนบ เพราะ ปกติแล้ว เป็นคนที่ไม่ค่อยอ่านพระไตรปิฎก ที่ได้อ่าน ล้วนเกิดจากเหตุ

ที่สำคัญ พระไตรปิฎก อรรถกถาจารย์ เป็นผู้แปล
ฉะนั้น ที่หลวงพ่อพุทธทาส ได้รวบรวมไว้ ย่อมไม่แตกต่าง ที่แตกต่าง คือ เหตุของแต่ละคน

จงอย่ากล่าว เพ่งโทษนอกตัว แต่จงโทษในเหตุที่ตัวเอง กระทำ หรือสร้างขึ้นมา จากความไม่รู้ ที่ยังมีอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะ โสดาปัตติมรรค


ประเภท รู้แจ้ง อริยสัจ ๔ ด้วยตนเอง แต่ ยังไม่รู้แจ้ง ในสภาวะ พระนิพพาน


รู้แจ้ง อริยสัจ ๔ ย่อมรู้แจ้ง สภาวะ อุปทานขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง ทิฏฐิกิเลส หรือ สักกายทิฏฐิ ถูกทำลายลง เป็น สมุจเฉทประหาณ


http://www.buddhadasa.org/html/life-wor ... /2-31.html

"เราก็ได้บรรลุพระนิพพานนั้น" รู้เหตุของการไม่เกิด ยังเป็นรู้แบบหยาบๆ

วิจิกิจฉา น้อยลง แต่ยังคงมีอยู่ เพราะ ยังไม่แจ้ง สภาวะนิพพานทั้งหมด


ผู้ที่ผ่าน สภาวะนี้ จะรู้เหมือนๆกันหมด ไม่แตกต่างจากที่ พระผู้มีพระภาคทรงรู้


สภาวะที่เกิดร่วม มีความรู้สึกตัว ขณะ จิตเป็นสมาธิ

http://www.buddhadasa.org/html/life-wor ... /2-32.html

http://www.buddhadasa.org/html/life-wor ... /2-35.html




พอผ่านสภาวะนั้นๆมาแล้ว (รู้แจ้ง) จะเกิดอาการหรือความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกันหมด เพราะ ยังรู้แบบหยาบๆ

"ความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพเป็นที่เกิดใหม่มิได้มีอีก"

และ ตรงนี้ ก็รู้สึก เหมือนกันหมด

ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาค ผู้เสด็จ
เข้าที่ลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก
รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต
ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ก็
ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกัน
เกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย
จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรม
เป็นที่ดับ นิพพาน

ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรม
ของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความ
ลำบากของเรา ฯ



เพราะ ยากที่จะนำมาอธิบาย ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ จึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้


ต่อมา สิ่งที่พระผู้มีพระภาคเคยรู้ ได้รู้ละเอียดมากขึ้น จึงเป็นเหตุ ที่มาของ โยนิโสมนสิการ
ที่พระผู้มีพระภาค ทรงวางเป็นแนวทางไว้ให้ ในลำดับต่อมา

ซึ่งเป็นเหตุที่มาของ สภาวะ ไตรลักษณ์ ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก


เหตุของปัจจุบัน

เป็นเหตุให้ มีการสอนในปัจจุบัน ที่ปรากฏอยู่ทั่ว ทำนองว่า การจะเห็นแจ้ง ต้องเห็นไตรลักษณ์ก่อน หรือเห็นอนัตตา ที่นิยมนำมาแสดงทิฏฐิ มีปรากฏอยู่








เหตุที่มา ของคำว่า ๓ แดนโลกธาตุ ที่มีการใช้บ่อยๆ ในการกล่าวอ้างอิง เรื่อง การเห็นแจ้ง


http://www.buddhadasa.org/html/life-wor ... /2-32.html

สภาวะที่เกิดร่วมนี้ เป็นเพียงโอภาส ที่มีแสงสว่างไม่มีประมาณ เกิดจาก กำลังของสมาธิ ขณะนั้นๆ

โอภาสเกิดได้ทั้งในมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ ไม่แตกต่างกัน



ความแตกต่างระหว่าง มิจฉาสมาธิ กับสัมมาสมาธิ

สัมมาสมาธิ ขณะจิตเป็นสมาธิ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เมื่อเกิดโอภาส แม้กระทั่ง นิมิตต่างๆ จะสมารถรู้ชัด ในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในกายและจิต ไปพร้อมๆกัน

มิจฉาสมาธิ ขณะจิตเป็นสมาธิ จะขาดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เมื่อเกิด โอภาสหรือนิมิตต่างๆ จะไม่สามารถ รู้รายละเอียด สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใน กายและจิตได้ จะรู้เห็นเพียงแสงสว่าง หรือนิมิต ที่เกิดขึ้น

หากยังไม่รู้แจ้งในสภาวะ อุปทานขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง
สภาวะที่เกิดขึ้น เป็นเพียงกำลังของสมาธิ เท่านั้นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ ที่ยังไปไม่ถึงที่สุด



ขอเล่าประสบการณ์เล็กน้อยเพื่อขอให้ช่วยพิจารณา ถ้าคุณจะแนะนำการปฏิบัติให้บ้างก็ยินดีครับ ตอนนี้ผมอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว รู้สึกว่ายิ่งเรียนรู้แยกแยะ เทียบกับประสบการณ์เดิมที่เคยปฏิบัติแล้ว ได้สัมมาทิฏฐิมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การปฏิบัติกลับถอยหลังไปไม่ถึงไหน




พ่อฝึกให้ผมนั่งสมาธิตั้งแต่ 8 ขวบ พ่อก็ไม่ได้เก่งนะครับ หนักไปทางศรัทธามากกว่า ทำตามพระสอนทางวิทยุ จิตรวมบ้างเล็กน้อยก็พิจารณา เกศา โลมาไปตามพระสอน ผมตั้งใจบ้างเหลวไหลบ้าง ทำไม่ต่อเนื่อง อารมณ์ไม่ชัดเจนครับ




มาชัดตอนอายุ 14 ช่วงปิดเทอม ตัดกังวลได้เยอะ ทำงานช่วยพ่อกรีดยาง เก็บน้ำยาง รีดแผ่นยาง แต่ละวันทานน้อย กินเพื่ออยู่ วันๆพูดแค่ไม่กี่คำ นอนกระท่อมในสวนยาง ปูฟากไม้ไผ่ พบปะคนแค่วันละสองสามคน งานก็เสร็จไปวันต่อวัน ไม่มีงานที่ตกค้างหรือต้องวางแผนล่วงหน้าเลย เรื่องทางโลกมันโปร่งโล่งไปหมด




ก่อนนั้นหนึ่งวันนั่งจนจิตรวมสงบเงียบอยู่นาน ยังไม่ได้นิมิตชัดๆ แต่ความฟุ้งซ่านเหลือน้อย




ถึงเวลานอนก็สวดมนต์ก่อนแล้วนั่งสมาธิตามปกติ ท่องๆไปพุทโธหาย ก็พิจารณาลมไปลมก็เริ่มหายอีกตามที่พ่อสอนคือ เจออะไรก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ทำจิตให้ว่างตามที่พ่อสอน

การละความคิดในชั้นนี้ครั้งก่อนๆคิดว่ามันคือการไม่คิด แต่การคิดว่าต่อไปนี้เราจะไม่คิดอีก มันก็เป็นความคิดอยู่ดีจึงกลายเป็นวนอยู่ในความคิด ได้บ้างไม่ได้บ้างมาหลายปี

มาตอนนี้เปลี่ยนวิธีใหม่ ไม่ต้องยึดกับลมอย่างเดียว ตัวไหนมาแรงชัดเจนก็ดูตัวนั้นพิจารณามันเสียเลย ถ้ามาเป็นภาพก็ดูภาพ ถ้ามาเป็นเสียงก็ดูเสียง ดูจนมันรู้สิ้นสงสัยแล้วมันก็หายไปเอง ผุดขึ้นมาอีกก็ดูอีก ดูจนสมองเหนื่อยที่จะคิด ถ้าไม่เหลืออะไรให้ดูก็กลับไปจับลมหายใจต่อ ดูจนสุดท้ายหายไปหมดไม่เหลืออะไรให้คิดต่อ

ก็รู้สึกวูบๆจิตรวมเป็นระยะๆ เห็นแสงวูบๆสีขาว ก็ดูไปหายไปบ้าง กลับมาบ้าง มีภาพนั่นภาพนี่แทรกบ้างเผลอเอาจิตตามไปบ้าง ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะจิตเรียนรู้แล้วว่าดูไปก็เหนื่อยเปล่า เดี่ยวก็หายอีก จิตมันละความคิดไปเองโดยอัตโนมัติ

จึงได้รู้ว่า การไม่คิดไม่ใช่คิดว่าไม่คิด แต่เป็นการเอาจิตไปรู้ตามความเป็นจริงจนมันหายไปเองตามธรรมชาติ เพราะมันเป็นสิ่งปรุงแต่งย่อมอยู่ไม่ทน เคล็ดลับของการทำจิตว่างมันอยู่ตรงนี้เอง




พอความคิดไม่เกิดเพิ่ม นิ่งสงบไปเจอแสงสีขาวเกิดขึ้นก็พิจารณาไปอีกตามเดิม แต่คราวนี้มันไม่ยอมหาย มันชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นวงกลมสีขาว ยิ่งเข้าไกล้ขอบยิ่งชัด คมกริบ ผิวเนียนละเอียด

ตอนนี้พิจารณาได้สองอย่าง จะพิจารณาลมก็ได้แต่มันเบามากๆ สีขาวชัดกว่าเลยกลายเป็นทิ้งลมไปจับแสงสีขาว

อาศัยที่เคยฟังผู้ใหญ่คุยกันมานิดหน่อย ว่านิมิตนี้สามารถบังคับได้ ก็ค่อยนึกให้โตขึ้น หดลง จนใสขึ้น สว่างขึ้นเรื่อยๆ จะนึกให้หดขยายหมุนเล่นอย่างไรก็ได้ดังใจทั้งนั้น

มันไม่เหมือนนิมิตที่เคยฟังพระบอกตอนเด็กๆ เพราะนิมิตนั้นเรานึกเอาเองตามคำพระบอก มันอยู่วูบๆเหมือนดาวตก สั่งอะไรก็ไม่ได้ แต่นิมิตนี้มันสั่งได้ตามใจนึก แค่ไม่ตกใจ รักษาไม่ให้ใจกระเพื่อม เวลาใจกระเพื่อมตัวนิมิตก็กระเพื่อมโคลงเคลงตามไปด้วย

ตอนนั้นไม่รู้ว่ากำลังทำอานาปานสติแล้วแปลงเป็นกสิณ แค่ทำไปตามที่เคยได้ยินมาอย่างนั้นเอง ตอนแรกก็สนุกอยู่ เล่นไปเรื่อยอยู่นานจนไม่รู้จะเล่นอย่างไรอีก มันรู้สึกไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนเด็กได้หนังยางมาเส้นหนึ่ง เอามาทดลองจนรู้หมดแล้วว่ามันทำอะไรได้บ้าง ก็ได้แค่นั้น ทำอะไรมากกว่านั้นก็ไม่ได้แล้ว

เมื่อรู้หมดทุกแง่มุมแล้วจิตก็เริ่มความความยึดถือในนิมิตนั้น จิตมันไม่เอาด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องไปพยายามทิ้งนิมิตให้เหนื่อยอะไรเลย จิตเหมือนเด็กได้ของเล่นนั่นหละ พอทดลองเรียนรู้หมดแล้วว่าทำอะไรได้บ้างก็ไม่ตื่นเต้น ไม่เอาอีกเลย




เจออาการร่างกายปวด ตัวหวิวใจหวิว พยายามประคองสติใว้ อาการทั้งตัวเหมือนโดนน้ำท่วมสำลักหรือเป็นลมแดดหูอื้อตาลายแต่สติยังแข็งมาก รับรู้ได้ทุกอย่าง เหมือนโดนดูดเข้าไปในท่อดำมืดอะไรสักอย่าง มีอาการเจ็บปวดเหมือนตัวจะขาดจากกัน กระดูกเนื้อหนังเหมือนแตกไปทั้งร่าง หมุนติ้วๆอยู่ไม่มีบนล่างกำหนดทิศทางกำหนดหนักเบาร้อนเย็นอ่อนแข็งอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้ยึดจับทั้งนั้น

พอตกใจจิตถอนออกก็สงบสว่างอยู่พักนึง พอเริ่มสบายสติผ่อนคลายหายกระเพื่อมก็โดนอีก คราวนี้เหมือนโดนกระชากตัวพุ่งพรวดลงไปในเหว ตัดสินใจยอมเจ็บยอมตาย มันดิ่งก็ดิ่งตามไปด้วย ผ่านไปสักพักก็โล่ง มีแต่สว่างขาวโพลงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่อย่่างนั้น แต่ไม่กลัวอะไรเลย

มันโล่งไปหมด สบายสุดๆ ก็จับอารมณ์ตรงหน้ามาพิจารณาต่อ สักพักก็ไม่คิดอะไรอีก อาการอิ่มใจหายไปอารมณ์แน่นกว่าเดิม พอเย็นอิ่มใจนานๆไปก็สงบสุดๆอารมณ์แน่นขึ้นอีก สักพักเหลือแต่นิ่งอยู่อารมณ์แน่นขึ้นแล้ว ถึงขั้นนี้ไปไม่เป็นแล้ว ลมหายใจก็ไม่มี มันดับหมด เกิดเผลอกลัวตายวูบนิดเดียว แต่ก็ประคองใว้ได้อีก


ปรากฏว่าจิตถอยออกมาอยู่ที่ สงบ และคลายตัวมาอยู่ที่อิ่มใจตามลำดับ ปรากฏว่ายังได้ยินเสียง ยังไม่ตาย ทดลองพิจารณาอาการอิ่มใจสักพักก็เข้าไปที่สงบสุข และ นิ่งเฉยตามลำดับ แล้วถอยออกมาอีกจนเริ่มรู้สึกตัวนิดๆ

คราวนี้ รู้สึกอิ่มในสมาธิมากๆจึงเริ่มร่างกายเกสาโลมาไปตามปกติที่เคยทำ ที่ต่างออกไปคือ เมื่อก่อนการพิจารณาคือการคิดเอาเอง แต่ตอนนี้การพิจารณามันเห็นชัดเจนมาก เหมือนมีสองคนซ้อนกันอยู่ แล้วอีกคนหนึ่งแยกตัวออกไปยืนมองกลับเข้ามาดูตัวเอง

พอพิจารณาเสร็จเริ่มถอนสมาธิออกมาแผ่เมตตาเห็นนิมิตแสงสีขาวออกจากตัว เลยแผ่เมตตาไปจนสีจางลง




เมื่อออกจากสมาธิรู้สึกสบายตัวอย่างมาก ร่างกายเบาเหมือนไร้น้ำหนักเลย แถมมีสติแข็งมากๆติดตัวมาด้วยทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน จิตมันไม่หลับ มันรู้ตื่นเบิกบานอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

เช้าขึ้นมาเป็นเรื่องเลย เพราะเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีสันมันสดขึ้นผิดปกติ มองอะไรก็เห็นอย่างนั้น ไม่มีจุดรวมโฟกัสสายตา เห็นมันทีเดียวทั้งภาพเลย อะไรเคลื่อนไหวตรงมุมไหนของสายตาเห็นได้หมด และเห็นพร้อมๆกันในคราวเดียวด้วย ไม่มีอาการเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง

เวลาเดินนี่ยุ่งเลย เพราะมันกะระยะไกลไม่ถูก พอจะรู้บ้างก็แต่ส่วนที่กว้างยาว ส่วนลึกกะประมาณไม่ถูกเลย รู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีจริง มันเป็นเหมือนภาพสองมิติมาหุ้มล้อมตัวเราอยู่ และเรากำลังเดินอยู่ในภาพสองมิติ(เข้าใจเอาเองว่าจิตอยู่ในมิติสวรรค์)

แต่เมื่อก่อนถูกสมองตนเองหลอกให้เข้าใจว่าโลกนี้มีสามมิติ (โลกมนุษย์) ส่วนในฌาณนั้นตามความรู้สึกมีแค่มิติเดียวคือ แค่รู้สึกว่ามีตัวตน ไม่มีกว้างยาว เดาเอาว่าในนิพพานน่าจะไร้มิติที่ตรงกัน คือไม่สามารถเอาสภาวะอะไรของโลกมนุษย์สวรรค์หรือพรหม(ฌาณ)ไปเทียบได้เลย

เวลาเคลื่อนไหวก็รู้ตัวทุกอย่าง การกระทำโดยไม่ตั้งใจไม่มีเลย ทุกการกระทำเกิดจากความตั้งใจทั้งสิ้นแม้จะแค่หันซ้ายหันขวาก็เหมือนเตรียมตัวใว้ก่อนแล้วเป็นนาทีทั้งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ไม่มีการวางแผนอะไรใว้ก่อน มันมีสติตามติดและชัดเจนมาก มันไม่มีความลังเลอะไรทั้งสิ้น เหมือนลมพัดโดนขนไหวไปเส้นนึงยังรู้สึกได้

ไม่ได้ไปตั้งใจรู้สึกรู้ทัน มันรู้ของมันเอง มีคนเดินเข้ามาหาก็ไม่รู้ว่าใครมา เพราะไม่ได้เพ่งเล็ง พอเขาพูดขึ้นก็ต้องทำความเข้าใจในคำพูดนั้นเสียก่อนจึงจะตอบได้ ถ้าไม่ตั้งใจใว้ก่อนเสียงพูดมันไม่กระทบจิตเลย แต่สักแต่ว่าได้ยิน

เวลากินข้าวกินแกงก็แค่กินก้อนอะไรสักอย่าง น้ำอะไรสักอย่าง กลืนลงไปลิ้นไม่รับรู้รสชาติเลย ไม่ใช่รู้แล้วไม่ยอมเอาไปปรุงแต่ง แต่มันตัดลึกกว่านั้น คือตัดตั้งแต่ต้นทางไปเลย ทำให้อาหารเข้าปากรู้ได้มากสุดแค่เป็นก้อนๆแข็งหรืออ่อน ร้อนหรือเย็นแค่นั้นเอง อีกอย่างคือ ความอิ่มใจค้างอยู่ที่หัวใจ มันเย็นตลอด เย็นเหมือนเอาก้อน้ำแข็งก้อนโตเท่ากำหมัดแปะหน้าอกใว้ตลอดเวลา

เห็นธนบัตร ก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้สึกแปลกใจตัวเองเช่นกันเพราะโดยความรู้สึกตอนนั้น ธนบัตร 20 บาทก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ใบหนึ่ง

เช้าเจอพ่อ เห็นตัวพ่อเล็กนิดเดียว ตัวเราโตกว่าพ่อถึงสามสี่เท่าตัว มองหน้าพ่อคิดว่าพ่อเป็นน้องชายเรา บางครั้งก็สับสนตัวเองเล็กน้อย ว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ทิ้งไปได้ทันที เพราะสติแข็งมากๆ

อยากบวชมากที่สุด รู้สึกว่าจะอยู่ได้ต่อไปมีแต่ต้องบวชเท่านั้น ไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่บอกพ่อ พ่อไม่ให้บวชเพราะกำลังเรียน มอ.2 รู้สึกเสียใจมากเหมือนจะตายลงเดี๋ยวนั้น และอาการเสียใจไม่ใช่ตีอกชกหัวคร่ำครวญอย่างคนทั่วไป แต่เป็นอาการใจกระเพื่อมอย่างรุนแรง มีสติรู้อาการอยู่ตลอด

สองสามวันต่อมาอาการมองโลกแปลกๆก็ค่อยๆปรับเปลี่ยน จะเดินก็ยังรู้สึกโคลงเคลงอยู่บ้างแต่เริ่มกะยะยะทางได้ เริ่มมองโลกเป็นมุมกว้างสามมิติ กะระยะลึกได้ถูก และนอนไม่หลับถึงสามสี่คืน

คืนหลังๆแม้จะนั่งสมาธิก็ได้แค่เฉียดๆอุปจารสมาธิ พอวูบๆจะลงไปมันก็เด้งกลับมาที่เดิม แต่ตอนนั้นไม่ได้อยากเข้าสมาธิ แค่ทำไปตามปกติ เข้าได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใส่ใจ ความอยากมันหายไปหลายอย่าง

ตลอดหกเจ็ดวันหลังจากเข้าฌาณได้ จิตมันไม่กังวลต่ออนาคต ไม่คิดถึงอดีต ไม่สงสัยติดใจอะไรในปัจจุบัน มีความเมตตาอยู่เต็มจิตจนคิดไปเองว่าคงเป็นพรหมวิหารอะไรสักอย่าง ตามหัวข้อธรรมที่เคยได้ยิน

อย่าว่าแต่คนสัตว์เลย แม้แต่ใบไม้เขียวๆหรือกิ่งไม้ผุ ก็ไม่ต้องการไปแตะต้องอะไรทั้งนั้น มันไม่เพลิดเพลินในอะไรเลย ใครจะเปิดเพลงร้องเพลงก็ได้ แต่ฟังแล้วไม่รู้สึกไพเพราะ ไม่สนุกด้วย แต่ก็ไม่รำคาญ ไม่ต้องการเปลี่ยนอะไรในโลกนี้เลย แค่อยู่ๆไปตามปกติของร่างกาย และจะทำสิ่งต่างๆก็ให้กระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด

ความอิ่มใจที่เย็นอยู่กลางหน้าอกใช้เวลาถึง 7 วัน จึงค่อยๆจางไป และโลกสดใสทุกวัน ความทุกข์ไม่มีเลยตลอดสองเดือนหลังจากนั้น

จนกระทั่งกลับไปเรียนหนังสือ เริ่มโดนหยอกล้อตามปกติ เริ่มเจออารมณ์ขันสนุกเฮฮา เริ่มฉุนเพื่อน เริ่มอยากได้โน่นได้นี่ เริ่มชอบและเกลียดสิ่งต่างๆ ความทุกข์สุขตามที่เคยเป็นจึงค่อยๆเริ่มปรากฏ

เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว ได้แค่ครั้งเดียวรวดเดียวถึงฌาณสี่ต่อด้วยวิปัสสนาแผ่เมตตาเสร็จสรรพแล้วก็เข้าฌาณไม่ได้อีกเลย




ตอนที่ได้ฌาณนั้นแทบไม่รู้ว่าเขาเรียกอะไร ไม่ได้กำหนดคาดเดาล่วงหน้า เพราะอายุแค่ 14 เรื่องปริยัติไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะจำได้เล็กน้อยผิดบ้างถูกบ้างแค่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน ยังสงสัยว่าตัวเองบรรลุเป็นพระอริยะหรือเปล่า

มาเทียบอารมณ์เอาทีหลัง จึงได้รู้ว่าเป็นอารมณ์ฌาณและยกขึ้นวิปัสสนาได้ด้วย เพียงแต่พิจารณาสุดโต่งเกินไปอีกด้านหนึ่ง

จากที่อาหารรสชาติธรรมดาๆ ทานไปแค่ไม่ไปยึดติดในรสชาติก็จบ แต่กลับปฏิเสธรสชาติของอาหาร มองเงินว่าไร้ค่าเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย แต่ที่เรียกพ่อว่าน้องชายนั้น น่าจะตรงตามภูมิ เพราะได้ฌาณจึงนำหน้าพ่อไปก่อนก้าวหนึ่ง

ที่เห็นผลมากที่สุดคือ ในเมื่อ รู้ด้วยตัวเองแล้วว่า ฌาณมีจริง ดังนั้น นรก สวรรค์ นิพพาน และเรื่องเหนือโลกในทางพุทธศาสนา ย่อมมีจริงตามไปด้วย ไม่มีทางปฏิเสธได้อีกเลย มันเป็นเหตุเป็นผลอิงกันอยู่ เรื่องแบบนี้ถ้าบอกคนที่ไม่ศรัทธา ไม่เคยได้ฌาณ บอกไปก็เป็นผลเสียมากกว่าผลดี

นับจากนั้นมามีแค่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ผมรับได้ ศาสนาอื่นๆมีแต่เรื่องในระดับสังคม ไม่มีเรื่องสมาธิ วิปัสสนา ฝึกตนให้สิ้นกิเลส จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้อย่างแน่นอน แม้จะข่มกิเลสด้วยฌาณแต่เพียงชั่วโมงเดียวยังส่งผลได้ความสงบจิตมากมายถึงสองเดือน

ดังนั้นสุขทางโลกเทียบอะไรไม่ได้เลย แม้การฝึกสติรู้ความเคลื่อนไหวจะไม่ได้ความสุขอะไรเพิ่มมาเลย แต่ความทุกข์ที่ลดลงไปอย่างมากนั้น ไม่มีศาสนาไหนๆสอนให้ได้ผลแบบนี้เลย...

ศาสนาพุทธจึงเป็นของแท้แม้จะฆ่าให้ตายก็ไม่มีวันเปลี่ยนศาสนาอีกต่อไป พระแขวนคอ เครื่องลางของขลัง ฤกษ์ยามก็ไม่เอาอีกแล้ว เวทย์มนต์คาถาเลขยันต์ หมอดูก็ไม่เอาไม่ศรัทธาอีกแล้ว เรื่องเจ้าที่เจ้าทางก็ถือว่าต่างคนต่างอยู่ไป ศีล 5 ก็ดีขึ้นระยะหนึ่ง แล้วก็เสื่อมลงตามประสาวัยรุ่นส่วนใหญ่




เมื่อปีที่แล้วไปบวช 1 สามเดือนช่วงเข้าพรรษา ก็นั่งสมาธิบ้าง กำหนดสติรู้ตัวตลอดเวลา เดินจงกรมบ้าง แต่ก็ไม่มีแบบแผนเท่าไร ยังจำอารมณ์ฌาณได้ แต่ก็ไม่ชัดเท่าไร

พอจะระลึกได้บ้างว่าต้องคอยประคองเอาใว้ ไม่ให้จิตกระเพื่อม แต่นั่งมากสุดได้แค่อุปจารสมาธิ เที่ยวหลังนี้ได้นิมิตเป็นเสียงไม่ใช่ภาพอย่างแต่ก่อน ได้สติเยอะโดยไม่รู้ตัว แต่เป็นเพราะสติก่อตัวสะสมเรื่อยๆ ไม่ได้ปรากฏแบบพรวดพราดจากอานิสงค์ได้ฌาณเหมือนครั้งก่อน จึงค่อยมารู้ตัวเมื่อลาสิกขา

พอเจอผู้คนในที่ทำงาน อาการก็คล้ายอาการเดิมคือ เจออะไรก็กระทบจิตน้อย ไม่เก็บมาปรุง จิตอยู่ที่การเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าจะส่งออกนอก

ผ่านไป 1 ปีตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจิตเสื่อมลง หรือ สภาวธรรมปรากฏกันแน่ เพราะความทุกข์น้อยลงกว่าก่อนบวช เหมือนเรื่องอื่นๆที่ควรทำมันมีน้อยลง มีแต่เรื่องทานศีลสติสมาธิ ที่ต้องทำให้เพิ่มขึ้น เรื่องทางโลกยังมีกังวลบ้าง ส่วนสมาธิฝึกบ้างทิ้งบ้างก็ยังไม่ได้แม้แต่อุปจารสมาธิครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ ที่ยังไปไม่ถึงที่สุด



ขอเล่าประสบการณ์เล็กน้อยเพื่อขอให้ช่วยพิจารณา ถ้าคุณจะแนะนำการปฏิบัติให้บ้างก็ยินดีครับ ตอนนี้ผมอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว รู้สึกว่ายิ่งเรียนรู้แยกแยะ เทียบกับประสบการณ์เดิมที่เคยปฏิบัติแล้ว ได้สัมมาทิฏฐิมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การปฏิบัติกลับถอยหลังไปไม่ถึงไหน




พ่อฝึกให้ผมนั่งสมาธิตั้งแต่ 8 ขวบ พ่อก็ไม่ได้เก่งนะครับ หนักไปทางศรัทธามากกว่า ทำตามพระสอนทางวิทยุ จิตรวมบ้างเล็กน้อยก็พิจารณา เกศา โลมาไปตามพระสอน ผมตั้งใจบ้างเหลวไหลบ้าง ทำไม่ต่อเนื่อง อารมณ์ไม่ชัดเจนครับ




มาชัดตอนอายุ 14 ช่วงปิดเทอม ตัดกังวลได้เยอะ ทำงานช่วยพ่อกรีดยาง เก็บน้ำยาง รีดแผ่นยาง แต่ละวันทานน้อย กินเพื่ออยู่ วันๆพูดแค่ไม่กี่คำ นอนกระท่อมในสวนยาง ปูฟากไม้ไผ่ พบปะคนแค่วันละสองสามคน งานก็เสร็จไปวันต่อวัน ไม่มีงานที่ตกค้างหรือต้องวางแผนล่วงหน้าเลย เรื่องทางโลกมันโปร่งโล่งไปหมด




ก่อนนั้นหนึ่งวันนั่งจนจิตรวมสงบเงียบอยู่นาน ยังไม่ได้นิมิตชัดๆ แต่ความฟุ้งซ่านเหลือน้อย




ถึงเวลานอนก็สวดมนต์ก่อนแล้วนั่งสมาธิตามปกติ ท่องๆไปพุทโธหาย ก็พิจารณาลมไปลมก็เริ่มหายอีกตามที่พ่อสอนคือ เจออะไรก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ทำจิตให้ว่างตามที่พ่อสอน

การละความคิดในชั้นนี้ครั้งก่อนๆคิดว่ามันคือการไม่คิด แต่การคิดว่าต่อไปนี้เราจะไม่คิดอีก มันก็เป็นความคิดอยู่ดีจึงกลายเป็นวนอยู่ในความคิด ได้บ้างไม่ได้บ้างมาหลายปี

มาตอนนี้เปลี่ยนวิธีใหม่ ไม่ต้องยึดกับลมอย่างเดียว ตัวไหนมาแรงชัดเจนก็ดูตัวนั้นพิจารณามันเสียเลย ถ้ามาเป็นภาพก็ดูภาพ ถ้ามาเป็นเสียงก็ดูเสียง ดูจนมันรู้สิ้นสงสัยแล้วมันก็หายไปเอง ผุดขึ้นมาอีกก็ดูอีก ดูจนสมองเหนื่อยที่จะคิด ถ้าไม่เหลืออะไรให้ดูก็กลับไปจับลมหายใจต่อ ดูจนสุดท้ายหายไปหมดไม่เหลืออะไรให้คิดต่อ

ก็รู้สึกวูบๆจิตรวมเป็นระยะๆ เห็นแสงวูบๆสีขาว ก็ดูไปหายไปบ้าง กลับมาบ้าง มีภาพนั่นภาพนี่แทรกบ้างเผลอเอาจิตตามไปบ้าง ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะจิตเรียนรู้แล้วว่าดูไปก็เหนื่อยเปล่า เดี่ยวก็หายอีก จิตมันละความคิดไปเองโดยอัตโนมัติ

จึงได้รู้ว่า การไม่คิดไม่ใช่คิดว่าไม่คิด แต่เป็นการเอาจิตไปรู้ตามความเป็นจริงจนมันหายไปเองตามธรรมชาติ เพราะมันเป็นสิ่งปรุงแต่งย่อมอยู่ไม่ทน เคล็ดลับของการทำจิตว่างมันอยู่ตรงนี้เอง




พอความคิดไม่เกิดเพิ่ม นิ่งสงบไปเจอแสงสีขาวเกิดขึ้นก็พิจารณาไปอีกตามเดิม แต่คราวนี้มันไม่ยอมหาย มันชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นวงกลมสีขาว ยิ่งเข้าไกล้ขอบยิ่งชัด คมกริบ ผิวเนียนละเอียด

ตอนนี้พิจารณาได้สองอย่าง จะพิจารณาลมก็ได้แต่มันเบามากๆ สีขาวชัดกว่าเลยกลายเป็นทิ้งลมไปจับแสงสีขาว

อาศัยที่เคยฟังผู้ใหญ่คุยกันมานิดหน่อย ว่านิมิตนี้สามารถบังคับได้ ก็ค่อยนึกให้โตขึ้น หดลง จนใสขึ้น สว่างขึ้นเรื่อยๆ จะนึกให้หดขยายหมุนเล่นอย่างไรก็ได้ดังใจทั้งนั้น

มันไม่เหมือนนิมิตที่เคยฟังพระบอกตอนเด็กๆ เพราะนิมิตนั้นเรานึกเอาเองตามคำพระบอก มันอยู่วูบๆเหมือนดาวตก สั่งอะไรก็ไม่ได้ แต่นิมิตนี้มันสั่งได้ตามใจนึก แค่ไม่ตกใจ รักษาไม่ให้ใจกระเพื่อม เวลาใจกระเพื่อมตัวนิมิตก็กระเพื่อมโคลงเคลงตามไปด้วย

ตอนนั้นไม่รู้ว่ากำลังทำอานาปานสติแล้วแปลงเป็นกสิณ แค่ทำไปตามที่เคยได้ยินมาอย่างนั้นเอง ตอนแรกก็สนุกอยู่ เล่นไปเรื่อยอยู่นานจนไม่รู้จะเล่นอย่างไรอีก มันรู้สึกไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนเด็กได้หนังยางมาเส้นหนึ่ง เอามาทดลองจนรู้หมดแล้วว่ามันทำอะไรได้บ้าง ก็ได้แค่นั้น ทำอะไรมากกว่านั้นก็ไม่ได้แล้ว

เมื่อรู้หมดทุกแง่มุมแล้วจิตก็เริ่มความความยึดถือในนิมิตนั้น จิตมันไม่เอาด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องไปพยายามทิ้งนิมิตให้เหนื่อยอะไรเลย จิตเหมือนเด็กได้ของเล่นนั่นหละ พอทดลองเรียนรู้หมดแล้วว่าทำอะไรได้บ้างก็ไม่ตื่นเต้น ไม่เอาอีกเลย




เจออาการร่างกายปวด ตัวหวิวใจหวิว พยายามประคองสติใว้ อาการทั้งตัวเหมือนโดนน้ำท่วมสำลักหรือเป็นลมแดดหูอื้อตาลายแต่สติยังแข็งมาก รับรู้ได้ทุกอย่าง เหมือนโดนดูดเข้าไปในท่อดำมืดอะไรสักอย่าง มีอาการเจ็บปวดเหมือนตัวจะขาดจากกัน กระดูกเนื้อหนังเหมือนแตกไปทั้งร่าง หมุนติ้วๆอยู่ไม่มีบนล่างกำหนดทิศทางกำหนดหนักเบาร้อนเย็นอ่อนแข็งอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้ยึดจับทั้งนั้น

พอตกใจจิตถอนออกก็สงบสว่างอยู่พักนึง พอเริ่มสบายสติผ่อนคลายหายกระเพื่อมก็โดนอีก คราวนี้เหมือนโดนกระชากตัวพุ่งพรวดลงไปในเหว ตัดสินใจยอมเจ็บยอมตาย มันดิ่งก็ดิ่งตามไปด้วย ผ่านไปสักพักก็โล่ง มีแต่สว่างขาวโพลงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่อย่่างนั้น แต่ไม่กลัวอะไรเลย

มันโล่งไปหมด สบายสุดๆ ก็จับอารมณ์ตรงหน้ามาพิจารณาต่อ สักพักก็ไม่คิดอะไรอีก อาการอิ่มใจหายไปอารมณ์แน่นกว่าเดิม พอเย็นอิ่มใจนานๆไปก็สงบสุดๆอารมณ์แน่นขึ้นอีก สักพักเหลือแต่นิ่งอยู่อารมณ์แน่นขึ้นแล้ว ถึงขั้นนี้ไปไม่เป็นแล้ว ลมหายใจก็ไม่มี มันดับหมด เกิดเผลอกลัวตายวูบนิดเดียว แต่ก็ประคองใว้ได้อีก


ปรากฏว่าจิตถอยออกมาอยู่ที่ สงบ และคลายตัวมาอยู่ที่อิ่มใจตามลำดับ ปรากฏว่ายังได้ยินเสียง ยังไม่ตาย ทดลองพิจารณาอาการอิ่มใจสักพักก็เข้าไปที่สงบสุข และ นิ่งเฉยตามลำดับ แล้วถอยออกมาอีกจนเริ่มรู้สึกตัวนิดๆ

คราวนี้ รู้สึกอิ่มในสมาธิมากๆจึงเริ่มร่างกายเกสาโลมาไปตามปกติที่เคยทำ ที่ต่างออกไปคือ เมื่อก่อนการพิจารณาคือการคิดเอาเอง แต่ตอนนี้การพิจารณามันเห็นชัดเจนมาก เหมือนมีสองคนซ้อนกันอยู่ แล้วอีกคนหนึ่งแยกตัวออกไปยืนมองกลับเข้ามาดูตัวเอง

พอพิจารณาเสร็จเริ่มถอนสมาธิออกมาแผ่เมตตาเห็นนิมิตแสงสีขาวออกจากตัว เลยแผ่เมตตาไปจนสีจางลง




เมื่อออกจากสมาธิรู้สึกสบายตัวอย่างมาก ร่างกายเบาเหมือนไร้น้ำหนักเลย แถมมีสติแข็งมากๆติดตัวมาด้วยทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน จิตมันไม่หลับ มันรู้ตื่นเบิกบานอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

เช้าขึ้นมาเป็นเรื่องเลย เพราะเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีสันมันสดขึ้นผิดปกติ มองอะไรก็เห็นอย่างนั้น ไม่มีจุดรวมโฟกัสสายตา เห็นมันทีเดียวทั้งภาพเลย อะไรเคลื่อนไหวตรงมุมไหนของสายตาเห็นได้หมด และเห็นพร้อมๆกันในคราวเดียวด้วย ไม่มีอาการเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง

เวลาเดินนี่ยุ่งเลย เพราะมันกะระยะไกลไม่ถูก พอจะรู้บ้างก็แต่ส่วนที่กว้างยาว ส่วนลึกกะประมาณไม่ถูกเลย รู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีจริง มันเป็นเหมือนภาพสองมิติมาหุ้มล้อมตัวเราอยู่ และเรากำลังเดินอยู่ในภาพสองมิติ(เข้าใจเอาเองว่าจิตอยู่ในมิติสวรรค์)

แต่เมื่อก่อนถูกสมองตนเองหลอกให้เข้าใจว่าโลกนี้มีสามมิติ (โลกมนุษย์) ส่วนในฌาณนั้นตามความรู้สึกมีแค่มิติเดียวคือ แค่รู้สึกว่ามีตัวตน ไม่มีกว้างยาว เดาเอาว่าในนิพพานน่าจะไร้มิติที่ตรงกัน คือไม่สามารถเอาสภาวะอะไรของโลกมนุษย์สวรรค์หรือพรหม(ฌาณ)ไปเทียบได้เลย

เวลาเคลื่อนไหวก็รู้ตัวทุกอย่าง การกระทำโดยไม่ตั้งใจไม่มีเลย ทุกการกระทำเกิดจากความตั้งใจทั้งสิ้นแม้จะแค่หันซ้ายหันขวาก็เหมือนเตรียมตัวใว้ก่อนแล้วเป็นนาทีทั้งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ไม่มีการวางแผนอะไรใว้ก่อน มันมีสติตามติดและชัดเจนมาก มันไม่มีความลังเลอะไรทั้งสิ้น เหมือนลมพัดโดนขนไหวไปเส้นนึงยังรู้สึกได้

ไม่ได้ไปตั้งใจรู้สึกรู้ทัน มันรู้ของมันเอง มีคนเดินเข้ามาหาก็ไม่รู้ว่าใครมา เพราะไม่ได้เพ่งเล็ง พอเขาพูดขึ้นก็ต้องทำความเข้าใจในคำพูดนั้นเสียก่อนจึงจะตอบได้ ถ้าไม่ตั้งใจใว้ก่อนเสียงพูดมันไม่กระทบจิตเลย แต่สักแต่ว่าได้ยิน

เวลากินข้าวกินแกงก็แค่กินก้อนอะไรสักอย่าง น้ำอะไรสักอย่าง กลืนลงไปลิ้นไม่รับรู้รสชาติเลย ไม่ใช่รู้แล้วไม่ยอมเอาไปปรุงแต่ง แต่มันตัดลึกกว่านั้น คือตัดตั้งแต่ต้นทางไปเลย ทำให้อาหารเข้าปากรู้ได้มากสุดแค่เป็นก้อนๆแข็งหรืออ่อน ร้อนหรือเย็นแค่นั้นเอง อีกอย่างคือ ความอิ่มใจค้างอยู่ที่หัวใจ มันเย็นตลอด เย็นเหมือนเอาก้อน้ำแข็งก้อนโตเท่ากำหมัดแปะหน้าอกใว้ตลอดเวลา

เห็นธนบัตร ก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้สึกแปลกใจตัวเองเช่นกันเพราะโดยความรู้สึกตอนนั้น ธนบัตร 20 บาทก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ใบหนึ่ง

เช้าเจอพ่อ เห็นตัวพ่อเล็กนิดเดียว ตัวเราโตกว่าพ่อถึงสามสี่เท่าตัว มองหน้าพ่อคิดว่าพ่อเป็นน้องชายเรา บางครั้งก็สับสนตัวเองเล็กน้อย ว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ทิ้งไปได้ทันที เพราะสติแข็งมากๆ

อยากบวชมากที่สุด รู้สึกว่าจะอยู่ได้ต่อไปมีแต่ต้องบวชเท่านั้น ไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่บอกพ่อ พ่อไม่ให้บวชเพราะกำลังเรียน มอ.2 รู้สึกเสียใจมากเหมือนจะตายลงเดี๋ยวนั้น และอาการเสียใจไม่ใช่ตีอกชกหัวคร่ำครวญอย่างคนทั่วไป แต่เป็นอาการใจกระเพื่อมอย่างรุนแรง มีสติรู้อาการอยู่ตลอด

สองสามวันต่อมาอาการมองโลกแปลกๆก็ค่อยๆปรับเปลี่ยน จะเดินก็ยังรู้สึกโคลงเคลงอยู่บ้างแต่เริ่มกะยะยะทางได้ เริ่มมองโลกเป็นมุมกว้างสามมิติ กะระยะลึกได้ถูก และนอนไม่หลับถึงสามสี่คืน

คืนหลังๆแม้จะนั่งสมาธิก็ได้แค่เฉียดๆอุปจารสมาธิ พอวูบๆจะลงไปมันก็เด้งกลับมาที่เดิม แต่ตอนนั้นไม่ได้อยากเข้าสมาธิ แค่ทำไปตามปกติ เข้าได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใส่ใจ ความอยากมันหายไปหลายอย่าง

ตลอดหกเจ็ดวันหลังจากเข้าฌาณได้ จิตมันไม่กังวลต่ออนาคต ไม่คิดถึงอดีต ไม่สงสัยติดใจอะไรในปัจจุบัน มีความเมตตาอยู่เต็มจิตจนคิดไปเองว่าคงเป็นพรหมวิหารอะไรสักอย่าง ตามหัวข้อธรรมที่เคยได้ยิน

อย่าว่าแต่คนสัตว์เลย แม้แต่ใบไม้เขียวๆหรือกิ่งไม้ผุ ก็ไม่ต้องการไปแตะต้องอะไรทั้งนั้น มันไม่เพลิดเพลินในอะไรเลย ใครจะเปิดเพลงร้องเพลงก็ได้ แต่ฟังแล้วไม่รู้สึกไพเพราะ ไม่สนุกด้วย แต่ก็ไม่รำคาญ ไม่ต้องการเปลี่ยนอะไรในโลกนี้เลย แค่อยู่ๆไปตามปกติของร่างกาย และจะทำสิ่งต่างๆก็ให้กระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด

ความอิ่มใจที่เย็นอยู่กลางหน้าอกใช้เวลาถึง 7 วัน จึงค่อยๆจางไป และโลกสดใสทุกวัน ความทุกข์ไม่มีเลยตลอดสองเดือนหลังจากนั้น

จนกระทั่งกลับไปเรียนหนังสือ เริ่มโดนหยอกล้อตามปกติ เริ่มเจออารมณ์ขันสนุกเฮฮา เริ่มฉุนเพื่อน เริ่มอยากได้โน่นได้นี่ เริ่มชอบและเกลียดสิ่งต่างๆ ความทุกข์สุขตามที่เคยเป็นจึงค่อยๆเริ่มปรากฏ

เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว ได้แค่ครั้งเดียวรวดเดียวถึงฌาณสี่ต่อด้วยวิปัสสนาแผ่เมตตาเสร็จสรรพแล้วก็เข้าฌาณไม่ได้อีกเลย




ตอนที่ได้ฌาณนั้นแทบไม่รู้ว่าเขาเรียกอะไร ไม่ได้กำหนดคาดเดาล่วงหน้า เพราะอายุแค่ 14 เรื่องปริยัติไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะจำได้เล็กน้อยผิดบ้างถูกบ้างแค่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน ยังสงสัยว่าตัวเองบรรลุเป็นพระอริยะหรือเปล่า

มาเทียบอารมณ์เอาทีหลัง จึงได้รู้ว่าเป็นอารมณ์ฌาณและยกขึ้นวิปัสสนาได้ด้วย เพียงแต่พิจารณาสุดโต่งเกินไปอีกด้านหนึ่ง

จากที่อาหารรสชาติธรรมดาๆ ทานไปแค่ไม่ไปยึดติดในรสชาติก็จบ แต่กลับปฏิเสธรสชาติของอาหาร มองเงินว่าไร้ค่าเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย แต่ที่เรียกพ่อว่าน้องชายนั้น น่าจะตรงตามภูมิ เพราะได้ฌาณจึงนำหน้าพ่อไปก่อนก้าวหนึ่ง

ที่เห็นผลมากที่สุดคือ ในเมื่อ รู้ด้วยตัวเองแล้วว่า ฌาณมีจริง ดังนั้น นรก สวรรค์ นิพพาน และเรื่องเหนือโลกในทางพุทธศาสนา ย่อมมีจริงตามไปด้วย ไม่มีทางปฏิเสธได้อีกเลย มันเป็นเหตุเป็นผลอิงกันอยู่ เรื่องแบบนี้ถ้าบอกคนที่ไม่ศรัทธา ไม่เคยได้ฌาณ บอกไปก็เป็นผลเสียมากกว่าผลดี

นับจากนั้นมามีแค่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ผมรับได้ ศาสนาอื่นๆมีแต่เรื่องในระดับสังคม ไม่มีเรื่องสมาธิ วิปัสสนา ฝึกตนให้สิ้นกิเลส จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้อย่างแน่นอน แม้จะข่มกิเลสด้วยฌาณแต่เพียงชั่วโมงเดียวยังส่งผลได้ความสงบจิตมากมายถึงสองเดือน

ดังนั้นสุขทางโลกเทียบอะไรไม่ได้เลย แม้การฝึกสติรู้ความเคลื่อนไหวจะไม่ได้ความสุขอะไรเพิ่มมาเลย แต่ความทุกข์ที่ลดลงไปอย่างมากนั้น ไม่มีศาสนาไหนๆสอนให้ได้ผลแบบนี้เลย...

ศาสนาพุทธจึงเป็นของแท้แม้จะฆ่าให้ตายก็ไม่มีวันเปลี่ยนศาสนาอีกต่อไป พระแขวนคอ เครื่องลางของขลัง ฤกษ์ยามก็ไม่เอาอีกแล้ว เวทย์มนต์คาถาเลขยันต์ หมอดูก็ไม่เอาไม่ศรัทธาอีกแล้ว เรื่องเจ้าที่เจ้าทางก็ถือว่าต่างคนต่างอยู่ไป ศีล 5 ก็ดีขึ้นระยะหนึ่ง แล้วก็เสื่อมลงตามประสาวัยรุ่นส่วนใหญ่




เมื่อปีที่แล้วไปบวช 1 สามเดือนช่วงเข้าพรรษา ก็นั่งสมาธิบ้าง กำหนดสติรู้ตัวตลอดเวลา เดินจงกรมบ้าง แต่ก็ไม่มีแบบแผนเท่าไร ยังจำอารมณ์ฌาณได้ แต่ก็ไม่ชัดเท่าไร

พอจะระลึกได้บ้างว่าต้องคอยประคองเอาใว้ ไม่ให้จิตกระเพื่อม แต่นั่งมากสุดได้แค่อุปจารสมาธิ เที่ยวหลังนี้ได้นิมิตเป็นเสียงไม่ใช่ภาพอย่างแต่ก่อน ได้สติเยอะโดยไม่รู้ตัว แต่เป็นเพราะสติก่อตัวสะสมเรื่อยๆ ไม่ได้ปรากฏแบบพรวดพราดจากอานิสงค์ได้ฌาณเหมือนครั้งก่อน จึงค่อยมารู้ตัวเมื่อลาสิกขา

พอเจอผู้คนในที่ทำงาน อาการก็คล้ายอาการเดิมคือ เจออะไรก็กระทบจิตน้อย ไม่เก็บมาปรุง จิตอยู่ที่การเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าจะส่งออกนอก

ผ่านไป 1 ปีตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจิตเสื่อมลง หรือ สภาวธรรมปรากฏกันแน่ เพราะความทุกข์น้อยลงกว่าก่อนบวช เหมือนเรื่องอื่นๆที่ควรทำมันมีน้อยลง มีแต่เรื่องทานศีลสติสมาธิ ที่ต้องทำให้เพิ่มขึ้น เรื่องทางโลกยังมีกังวลบ้าง ส่วนสมาธิฝึกบ้างทิ้งบ้างก็ยังไม่ได้แม้แต่อุปจารสมาธิครับ
ท่านเป็นอริยบุคคลแล้ว อย่างน้อยโสดาบันครับ ชีวิตท่านเปลี่ยนแปลงสิ้นเชิงหรือเปล่า ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 22:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
... ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ


ถามจริง ๆ คุณเคยเจอสภาวะนี้มั๊ย

ดูเหมือนว่าเขาน่าจะรู้อะไรอะไรมากมายกว่าที่เขาพูดอะไรอะไรออกมามากมายราวกับไม่รู้

แต่คงไม่ใช่วิสัยที่เขาจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ

:b32: :b9:


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 23:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพิทา...

ช่วงมันเซ็ง ๆ นะ....ยังกะอนาคามีแหน่ะ....

พอไอ้นี้ผุด..ไอ้นั้นผุด...ถึงรู้...มันก็เลยทุกข์

ทุกข์...เพราะอยากกลับไปอยู่ตอนช่วงเซ็ง ๆ...นั้นอีก

สรุป...มีครบหมดเลย...

ไตรลักษณ์...อนาคามีที่ถูกก่อขึ้นด้วยนิพพิทาเป็นเหตุปัจจัย....ก็ต้องดับไปเพราะเหตุปัจจัยดับ

ภวตัณหา....อยากให้สภาพที่ต้องการนั้นคงอยู่

วิภวตัณหา...เมื่อภาวะนั้นคงอยู่ไม่ได้...ก็ไม่ต้องการ

:b32:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 03:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
... ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ


ถามจริง ๆ คุณเคยเจอสภาวะนี้มั๊ย

ดูเหมือนว่าเขาน่าจะรู้อะไรอะไรมากมายกว่าที่เขาพูดอะไรอะไรออกมามากมายราวกับไม่รู้

แต่คงไม่ใช่วิสัยที่เขาจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ

:b32: :b9:
เมื่อสัก10ปีที่ผ่านมาอาการแบบนี้นะคับที่นั่งจนไม่ยอมลุกตายเป็นตายนี่แหละครับที่ทำให้คนที่ผ่านตรงนี้ไปได้เท่านั้นที่จะรับรู้สิ่งที่ตนได้เห็น แต่ละคนอธิบายได้แตกต่างกันจากภูมิปัญญานั้นขณะนั้น หลังจากที่พบสภาวะนั้น วันใหม่หลังจากนั้นจะพบกับสิ่งที่ไม่เหมือนวันปกติอยู่ตามกำลังชองแต่ละคน อย่างนี้สักพักอาจะสัก2-3วันหรือมากกว่านั้นก็จะกลับสู่ปกติ ผมตื่นขึ้นมาก็พบสิ่งที่แปลกมากมาย เฉพาะตนจริงๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 09:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
... ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ


ถามจริง ๆ คุณเคยเจอสภาวะนี้มั๊ย

ดูเหมือนว่าเขาน่าจะรู้อะไรอะไรมากมายกว่าที่เขาพูดอะไรอะไรออกมามากมายราวกับไม่รู้

แต่คงไม่ใช่วิสัยที่เขาจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ

:b32: :b9:
เมื่อสัก10ปีที่ผ่านมาอาการแบบนี้นะคับที่นั่งจนไม่ยอมลุกตายเป็นตายนี่แหละครับที่ทำให้คนที่ผ่านตรงนี้ไปได้เท่านั้นที่จะรับรู้สิ่งที่ตนได้เห็น แต่ละคนอธิบายได้แตกต่างกันจากภูมิปัญญานั้นขณะนั้น หลังจากที่พบสภาวะนั้น วันใหม่หลังจากนั้นจะพบกับสิ่งที่ไม่เหมือนวันปกติอยู่ตามกำลังชองแต่ละคน อย่างนี้สักพักอาจะสัก2-3วันหรือมากกว่านั้นก็จะกลับสู่ปกติ ผมตื่นขึ้นมาก็พบสิ่งที่แปลกมากมาย เฉพาะตนจริงๆ


:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
เป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ ที่ยังไปไม่ถึงที่สุด



ขอเล่าประสบการณ์เล็กน้อยเพื่อขอให้ช่วยพิจารณา ถ้าคุณจะแนะนำการปฏิบัติให้บ้างก็ยินดีครับ ตอนนี้ผมอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว รู้สึกว่ายิ่งเรียนรู้แยกแยะ เทียบกับประสบการณ์เดิมที่เคยปฏิบัติแล้ว ได้สัมมาทิฏฐิมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การปฏิบัติกลับถอยหลังไปไม่ถึงไหน




พ่อฝึกให้ผมนั่งสมาธิตั้งแต่ 8 ขวบ พ่อก็ไม่ได้เก่งนะครับ หนักไปทางศรัทธามากกว่า ทำตามพระสอนทางวิทยุ จิตรวมบ้างเล็กน้อยก็พิจารณา เกศา โลมาไปตามพระสอน ผมตั้งใจบ้างเหลวไหลบ้าง ทำไม่ต่อเนื่อง อารมณ์ไม่ชัดเจนครับ




มาชัดตอนอายุ 14 ช่วงปิดเทอม ตัดกังวลได้เยอะ ทำงานช่วยพ่อกรีดยาง เก็บน้ำยาง รีดแผ่นยาง แต่ละวันทานน้อย กินเพื่ออยู่ วันๆพูดแค่ไม่กี่คำ นอนกระท่อมในสวนยาง ปูฟากไม้ไผ่ พบปะคนแค่วันละสองสามคน งานก็เสร็จไปวันต่อวัน ไม่มีงานที่ตกค้างหรือต้องวางแผนล่วงหน้าเลย เรื่องทางโลกมันโปร่งโล่งไปหมด




ก่อนนั้นหนึ่งวันนั่งจนจิตรวมสงบเงียบอยู่นาน ยังไม่ได้นิมิตชัดๆ แต่ความฟุ้งซ่านเหลือน้อย




ถึงเวลานอนก็สวดมนต์ก่อนแล้วนั่งสมาธิตามปกติ ท่องๆไปพุทโธหาย ก็พิจารณาลมไปลมก็เริ่มหายอีกตามที่พ่อสอนคือ เจออะไรก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ทำจิตให้ว่างตามที่พ่อสอน

การละความคิดในชั้นนี้ครั้งก่อนๆคิดว่ามันคือการไม่คิด แต่การคิดว่าต่อไปนี้เราจะไม่คิดอีก มันก็เป็นความคิดอยู่ดีจึงกลายเป็นวนอยู่ในความคิด ได้บ้างไม่ได้บ้างมาหลายปี

มาตอนนี้เปลี่ยนวิธีใหม่ ไม่ต้องยึดกับลมอย่างเดียว ตัวไหนมาแรงชัดเจนก็ดูตัวนั้นพิจารณามันเสียเลย ถ้ามาเป็นภาพก็ดูภาพ ถ้ามาเป็นเสียงก็ดูเสียง ดูจนมันรู้สิ้นสงสัยแล้วมันก็หายไปเอง ผุดขึ้นมาอีกก็ดูอีก ดูจนสมองเหนื่อยที่จะคิด ถ้าไม่เหลืออะไรให้ดูก็กลับไปจับลมหายใจต่อ ดูจนสุดท้ายหายไปหมดไม่เหลืออะไรให้คิดต่อ

ก็รู้สึกวูบๆจิตรวมเป็นระยะๆ เห็นแสงวูบๆสีขาว ก็ดูไปหายไปบ้าง กลับมาบ้าง มีภาพนั่นภาพนี่แทรกบ้างเผลอเอาจิตตามไปบ้าง ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะจิตเรียนรู้แล้วว่าดูไปก็เหนื่อยเปล่า เดี่ยวก็หายอีก จิตมันละความคิดไปเองโดยอัตโนมัติ

จึงได้รู้ว่า การไม่คิดไม่ใช่คิดว่าไม่คิด แต่เป็นการเอาจิตไปรู้ตามความเป็นจริงจนมันหายไปเองตามธรรมชาติ เพราะมันเป็นสิ่งปรุงแต่งย่อมอยู่ไม่ทน เคล็ดลับของการทำจิตว่างมันอยู่ตรงนี้เอง




พอความคิดไม่เกิดเพิ่ม นิ่งสงบไปเจอแสงสีขาวเกิดขึ้นก็พิจารณาไปอีกตามเดิม แต่คราวนี้มันไม่ยอมหาย มันชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นวงกลมสีขาว ยิ่งเข้าไกล้ขอบยิ่งชัด คมกริบ ผิวเนียนละเอียด

ตอนนี้พิจารณาได้สองอย่าง จะพิจารณาลมก็ได้แต่มันเบามากๆ สีขาวชัดกว่าเลยกลายเป็นทิ้งลมไปจับแสงสีขาว

อาศัยที่เคยฟังผู้ใหญ่คุยกันมานิดหน่อย ว่านิมิตนี้สามารถบังคับได้ ก็ค่อยนึกให้โตขึ้น หดลง จนใสขึ้น สว่างขึ้นเรื่อยๆ จะนึกให้หดขยายหมุนเล่นอย่างไรก็ได้ดังใจทั้งนั้น

มันไม่เหมือนนิมิตที่เคยฟังพระบอกตอนเด็กๆ เพราะนิมิตนั้นเรานึกเอาเองตามคำพระบอก มันอยู่วูบๆเหมือนดาวตก สั่งอะไรก็ไม่ได้ แต่นิมิตนี้มันสั่งได้ตามใจนึก แค่ไม่ตกใจ รักษาไม่ให้ใจกระเพื่อม เวลาใจกระเพื่อมตัวนิมิตก็กระเพื่อมโคลงเคลงตามไปด้วย

ตอนนั้นไม่รู้ว่ากำลังทำอานาปานสติแล้วแปลงเป็นกสิณ แค่ทำไปตามที่เคยได้ยินมาอย่างนั้นเอง ตอนแรกก็สนุกอยู่ เล่นไปเรื่อยอยู่นานจนไม่รู้จะเล่นอย่างไรอีก มันรู้สึกไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนเด็กได้หนังยางมาเส้นหนึ่ง เอามาทดลองจนรู้หมดแล้วว่ามันทำอะไรได้บ้าง ก็ได้แค่นั้น ทำอะไรมากกว่านั้นก็ไม่ได้แล้ว

เมื่อรู้หมดทุกแง่มุมแล้วจิตก็เริ่มความความยึดถือในนิมิตนั้น จิตมันไม่เอาด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องไปพยายามทิ้งนิมิตให้เหนื่อยอะไรเลย จิตเหมือนเด็กได้ของเล่นนั่นหละ พอทดลองเรียนรู้หมดแล้วว่าทำอะไรได้บ้างก็ไม่ตื่นเต้น ไม่เอาอีกเลย




เจออาการร่างกายปวด ตัวหวิวใจหวิว พยายามประคองสติใว้ อาการทั้งตัวเหมือนโดนน้ำท่วมสำลักหรือเป็นลมแดดหูอื้อตาลายแต่สติยังแข็งมาก รับรู้ได้ทุกอย่าง เหมือนโดนดูดเข้าไปในท่อดำมืดอะไรสักอย่าง มีอาการเจ็บปวดเหมือนตัวจะขาดจากกัน กระดูกเนื้อหนังเหมือนแตกไปทั้งร่าง หมุนติ้วๆอยู่ไม่มีบนล่างกำหนดทิศทางกำหนดหนักเบาร้อนเย็นอ่อนแข็งอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้ยึดจับทั้งนั้น

พอตกใจจิตถอนออกก็สงบสว่างอยู่พักนึง พอเริ่มสบายสติผ่อนคลายหายกระเพื่อมก็โดนอีก คราวนี้เหมือนโดนกระชากตัวพุ่งพรวดลงไปในเหว ตัดสินใจยอมเจ็บยอมตาย มันดิ่งก็ดิ่งตามไปด้วย ผ่านไปสักพักก็โล่ง มีแต่สว่างขาวโพลงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่อย่่างนั้น แต่ไม่กลัวอะไรเลย

มันโล่งไปหมด สบายสุดๆ ก็จับอารมณ์ตรงหน้ามาพิจารณาต่อ สักพักก็ไม่คิดอะไรอีก อาการอิ่มใจหายไปอารมณ์แน่นกว่าเดิม พอเย็นอิ่มใจนานๆไปก็สงบสุดๆอารมณ์แน่นขึ้นอีก สักพักเหลือแต่นิ่งอยู่อารมณ์แน่นขึ้นแล้ว ถึงขั้นนี้ไปไม่เป็นแล้ว ลมหายใจก็ไม่มี มันดับหมด เกิดเผลอกลัวตายวูบนิดเดียว แต่ก็ประคองใว้ได้อีก


ปรากฏว่าจิตถอยออกมาอยู่ที่ สงบ และคลายตัวมาอยู่ที่อิ่มใจตามลำดับ ปรากฏว่ายังได้ยินเสียง ยังไม่ตาย ทดลองพิจารณาอาการอิ่มใจสักพักก็เข้าไปที่สงบสุข และ นิ่งเฉยตามลำดับ แล้วถอยออกมาอีกจนเริ่มรู้สึกตัวนิดๆ

คราวนี้ รู้สึกอิ่มในสมาธิมากๆจึงเริ่มร่างกายเกสาโลมาไปตามปกติที่เคยทำ ที่ต่างออกไปคือ เมื่อก่อนการพิจารณาคือการคิดเอาเอง แต่ตอนนี้การพิจารณามันเห็นชัดเจนมาก เหมือนมีสองคนซ้อนกันอยู่ แล้วอีกคนหนึ่งแยกตัวออกไปยืนมองกลับเข้ามาดูตัวเอง

พอพิจารณาเสร็จเริ่มถอนสมาธิออกมาแผ่เมตตาเห็นนิมิตแสงสีขาวออกจากตัว เลยแผ่เมตตาไปจนสีจางลง




เมื่อออกจากสมาธิรู้สึกสบายตัวอย่างมาก ร่างกายเบาเหมือนไร้น้ำหนักเลย แถมมีสติแข็งมากๆติดตัวมาด้วยทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน จิตมันไม่หลับ มันรู้ตื่นเบิกบานอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

เช้าขึ้นมาเป็นเรื่องเลย เพราะเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีสันมันสดขึ้นผิดปกติ มองอะไรก็เห็นอย่างนั้น ไม่มีจุดรวมโฟกัสสายตา เห็นมันทีเดียวทั้งภาพเลย อะไรเคลื่อนไหวตรงมุมไหนของสายตาเห็นได้หมด และเห็นพร้อมๆกันในคราวเดียวด้วย ไม่มีอาการเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง

เวลาเดินนี่ยุ่งเลย เพราะมันกะระยะไกลไม่ถูก พอจะรู้บ้างก็แต่ส่วนที่กว้างยาว ส่วนลึกกะประมาณไม่ถูกเลย รู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีจริง มันเป็นเหมือนภาพสองมิติมาหุ้มล้อมตัวเราอยู่ และเรากำลังเดินอยู่ในภาพสองมิติ(เข้าใจเอาเองว่าจิตอยู่ในมิติสวรรค์)

แต่เมื่อก่อนถูกสมองตนเองหลอกให้เข้าใจว่าโลกนี้มีสามมิติ (โลกมนุษย์) ส่วนในฌาณนั้นตามความรู้สึกมีแค่มิติเดียวคือ แค่รู้สึกว่ามีตัวตน ไม่มีกว้างยาว เดาเอาว่าในนิพพานน่าจะไร้มิติที่ตรงกัน คือไม่สามารถเอาสภาวะอะไรของโลกมนุษย์สวรรค์หรือพรหม(ฌาณ)ไปเทียบได้เลย

เวลาเคลื่อนไหวก็รู้ตัวทุกอย่าง การกระทำโดยไม่ตั้งใจไม่มีเลย ทุกการกระทำเกิดจากความตั้งใจทั้งสิ้นแม้จะแค่หันซ้ายหันขวาก็เหมือนเตรียมตัวใว้ก่อนแล้วเป็นนาทีทั้งที่เกิดขึ้นตอนนั้น ไม่มีการวางแผนอะไรใว้ก่อน มันมีสติตามติดและชัดเจนมาก มันไม่มีความลังเลอะไรทั้งสิ้น เหมือนลมพัดโดนขนไหวไปเส้นนึงยังรู้สึกได้

ไม่ได้ไปตั้งใจรู้สึกรู้ทัน มันรู้ของมันเอง มีคนเดินเข้ามาหาก็ไม่รู้ว่าใครมา เพราะไม่ได้เพ่งเล็ง พอเขาพูดขึ้นก็ต้องทำความเข้าใจในคำพูดนั้นเสียก่อนจึงจะตอบได้ ถ้าไม่ตั้งใจใว้ก่อนเสียงพูดมันไม่กระทบจิตเลย แต่สักแต่ว่าได้ยิน

เวลากินข้าวกินแกงก็แค่กินก้อนอะไรสักอย่าง น้ำอะไรสักอย่าง กลืนลงไปลิ้นไม่รับรู้รสชาติเลย ไม่ใช่รู้แล้วไม่ยอมเอาไปปรุงแต่ง แต่มันตัดลึกกว่านั้น คือตัดตั้งแต่ต้นทางไปเลย ทำให้อาหารเข้าปากรู้ได้มากสุดแค่เป็นก้อนๆแข็งหรืออ่อน ร้อนหรือเย็นแค่นั้นเอง อีกอย่างคือ ความอิ่มใจค้างอยู่ที่หัวใจ มันเย็นตลอด เย็นเหมือนเอาก้อน้ำแข็งก้อนโตเท่ากำหมัดแปะหน้าอกใว้ตลอดเวลา

เห็นธนบัตร ก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้สึกแปลกใจตัวเองเช่นกันเพราะโดยความรู้สึกตอนนั้น ธนบัตร 20 บาทก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ใบหนึ่ง

เช้าเจอพ่อ เห็นตัวพ่อเล็กนิดเดียว ตัวเราโตกว่าพ่อถึงสามสี่เท่าตัว มองหน้าพ่อคิดว่าพ่อเป็นน้องชายเรา บางครั้งก็สับสนตัวเองเล็กน้อย ว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ทิ้งไปได้ทันที เพราะสติแข็งมากๆ

อยากบวชมากที่สุด รู้สึกว่าจะอยู่ได้ต่อไปมีแต่ต้องบวชเท่านั้น ไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่บอกพ่อ พ่อไม่ให้บวชเพราะกำลังเรียน มอ.2 รู้สึกเสียใจมากเหมือนจะตายลงเดี๋ยวนั้น และอาการเสียใจไม่ใช่ตีอกชกหัวคร่ำครวญอย่างคนทั่วไป แต่เป็นอาการใจกระเพื่อมอย่างรุนแรง มีสติรู้อาการอยู่ตลอด

สองสามวันต่อมาอาการมองโลกแปลกๆก็ค่อยๆปรับเปลี่ยน จะเดินก็ยังรู้สึกโคลงเคลงอยู่บ้างแต่เริ่มกะยะยะทางได้ เริ่มมองโลกเป็นมุมกว้างสามมิติ กะระยะลึกได้ถูก และนอนไม่หลับถึงสามสี่คืน

คืนหลังๆแม้จะนั่งสมาธิก็ได้แค่เฉียดๆอุปจารสมาธิ พอวูบๆจะลงไปมันก็เด้งกลับมาที่เดิม แต่ตอนนั้นไม่ได้อยากเข้าสมาธิ แค่ทำไปตามปกติ เข้าได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใส่ใจ ความอยากมันหายไปหลายอย่าง

ตลอดหกเจ็ดวันหลังจากเข้าฌาณได้ จิตมันไม่กังวลต่ออนาคต ไม่คิดถึงอดีต ไม่สงสัยติดใจอะไรในปัจจุบัน มีความเมตตาอยู่เต็มจิตจนคิดไปเองว่าคงเป็นพรหมวิหารอะไรสักอย่าง ตามหัวข้อธรรมที่เคยได้ยิน

อย่าว่าแต่คนสัตว์เลย แม้แต่ใบไม้เขียวๆหรือกิ่งไม้ผุ ก็ไม่ต้องการไปแตะต้องอะไรทั้งนั้น มันไม่เพลิดเพลินในอะไรเลย ใครจะเปิดเพลงร้องเพลงก็ได้ แต่ฟังแล้วไม่รู้สึกไพเพราะ ไม่สนุกด้วย แต่ก็ไม่รำคาญ ไม่ต้องการเปลี่ยนอะไรในโลกนี้เลย แค่อยู่ๆไปตามปกติของร่างกาย และจะทำสิ่งต่างๆก็ให้กระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด

ความอิ่มใจที่เย็นอยู่กลางหน้าอกใช้เวลาถึง 7 วัน จึงค่อยๆจางไป และโลกสดใสทุกวัน ความทุกข์ไม่มีเลยตลอดสองเดือนหลังจากนั้น

จนกระทั่งกลับไปเรียนหนังสือ เริ่มโดนหยอกล้อตามปกติ เริ่มเจออารมณ์ขันสนุกเฮฮา เริ่มฉุนเพื่อน เริ่มอยากได้โน่นได้นี่ เริ่มชอบและเกลียดสิ่งต่างๆ ความทุกข์สุขตามที่เคยเป็นจึงค่อยๆเริ่มปรากฏ

เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว ได้แค่ครั้งเดียวรวดเดียวถึงฌาณสี่ต่อด้วยวิปัสสนาแผ่เมตตาเสร็จสรรพแล้วก็เข้าฌาณไม่ได้อีกเลย




ตอนที่ได้ฌาณนั้นแทบไม่รู้ว่าเขาเรียกอะไร ไม่ได้กำหนดคาดเดาล่วงหน้า เพราะอายุแค่ 14 เรื่องปริยัติไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะจำได้เล็กน้อยผิดบ้างถูกบ้างแค่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน ยังสงสัยว่าตัวเองบรรลุเป็นพระอริยะหรือเปล่า

มาเทียบอารมณ์เอาทีหลัง จึงได้รู้ว่าเป็นอารมณ์ฌาณและยกขึ้นวิปัสสนาได้ด้วย เพียงแต่พิจารณาสุดโต่งเกินไปอีกด้านหนึ่ง

จากที่อาหารรสชาติธรรมดาๆ ทานไปแค่ไม่ไปยึดติดในรสชาติก็จบ แต่กลับปฏิเสธรสชาติของอาหาร มองเงินว่าไร้ค่าเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย แต่ที่เรียกพ่อว่าน้องชายนั้น น่าจะตรงตามภูมิ เพราะได้ฌาณจึงนำหน้าพ่อไปก่อนก้าวหนึ่ง

ที่เห็นผลมากที่สุดคือ ในเมื่อ รู้ด้วยตัวเองแล้วว่า ฌาณมีจริง ดังนั้น นรก สวรรค์ นิพพาน และเรื่องเหนือโลกในทางพุทธศาสนา ย่อมมีจริงตามไปด้วย ไม่มีทางปฏิเสธได้อีกเลย มันเป็นเหตุเป็นผลอิงกันอยู่ เรื่องแบบนี้ถ้าบอกคนที่ไม่ศรัทธา ไม่เคยได้ฌาณ บอกไปก็เป็นผลเสียมากกว่าผลดี

นับจากนั้นมามีแค่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ผมรับได้ ศาสนาอื่นๆมีแต่เรื่องในระดับสังคม ไม่มีเรื่องสมาธิ วิปัสสนา ฝึกตนให้สิ้นกิเลส จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้อย่างแน่นอน แม้จะข่มกิเลสด้วยฌาณแต่เพียงชั่วโมงเดียวยังส่งผลได้ความสงบจิตมากมายถึงสองเดือน

ดังนั้นสุขทางโลกเทียบอะไรไม่ได้เลย แม้การฝึกสติรู้ความเคลื่อนไหวจะไม่ได้ความสุขอะไรเพิ่มมาเลย แต่ความทุกข์ที่ลดลงไปอย่างมากนั้น ไม่มีศาสนาไหนๆสอนให้ได้ผลแบบนี้เลย...

ศาสนาพุทธจึงเป็นของแท้แม้จะฆ่าให้ตายก็ไม่มีวันเปลี่ยนศาสนาอีกต่อไป พระแขวนคอ เครื่องลางของขลัง ฤกษ์ยามก็ไม่เอาอีกแล้ว เวทย์มนต์คาถาเลขยันต์ หมอดูก็ไม่เอาไม่ศรัทธาอีกแล้ว เรื่องเจ้าที่เจ้าทางก็ถือว่าต่างคนต่างอยู่ไป ศีล 5 ก็ดีขึ้นระยะหนึ่ง แล้วก็เสื่อมลงตามประสาวัยรุ่นส่วนใหญ่




เมื่อปีที่แล้วไปบวช 1 สามเดือนช่วงเข้าพรรษา ก็นั่งสมาธิบ้าง กำหนดสติรู้ตัวตลอดเวลา เดินจงกรมบ้าง แต่ก็ไม่มีแบบแผนเท่าไร ยังจำอารมณ์ฌาณได้ แต่ก็ไม่ชัดเท่าไร

พอจะระลึกได้บ้างว่าต้องคอยประคองเอาใว้ ไม่ให้จิตกระเพื่อม แต่นั่งมากสุดได้แค่อุปจารสมาธิ เที่ยวหลังนี้ได้นิมิตเป็นเสียงไม่ใช่ภาพอย่างแต่ก่อน ได้สติเยอะโดยไม่รู้ตัว แต่เป็นเพราะสติก่อตัวสะสมเรื่อยๆ ไม่ได้ปรากฏแบบพรวดพราดจากอานิสงค์ได้ฌาณเหมือนครั้งก่อน จึงค่อยมารู้ตัวเมื่อลาสิกขา

พอเจอผู้คนในที่ทำงาน อาการก็คล้ายอาการเดิมคือ เจออะไรก็กระทบจิตน้อย ไม่เก็บมาปรุง จิตอยู่ที่การเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าจะส่งออกนอก

ผ่านไป 1 ปีตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจิตเสื่อมลง หรือ สภาวธรรมปรากฏกันแน่ เพราะความทุกข์น้อยลงกว่าก่อนบวช เหมือนเรื่องอื่นๆที่ควรทำมันมีน้อยลง มีแต่เรื่องทานศีลสติสมาธิ ที่ต้องทำให้เพิ่มขึ้น เรื่องทางโลกยังมีกังวลบ้าง ส่วนสมาธิฝึกบ้างทิ้งบ้างก็ยังไม่ได้แม้แต่อุปจารสมาธิครับ


ท่านเป็นอริยบุคคลแล้ว อย่างน้อยโสดาบันครับ ชีวิตท่านเปลี่ยนแปลงสิ้นเชิงหรือเปล่า ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ





หุหุ คุณนี่ ช่าง "ทู่" ได้สมชื่อจริงๆ นี่ก็เป็นเรื่องปกติของคุณ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งเห็นทุกข์ มองไปทางไหนก็มีแต่ทุกข์ ทำไมทุกข์มันช่างมากมายอย่างนี้หนอ
เมื่อก่อนเข้าใจว่า เมื่อเห็นทุกข์ ย่อมเข้าใจในทุข์ ย่อมอยู่ในทุกข์ได้โดยไม่ต้องไปทุกข์กับทุกข์นั้นๆ

แต่ทุกข์ครั้งนี้เราเห็นมันคนละอย่างกับทุกข์ที่เราเคยเห็น เคยเข้าใจ ทุกข์ครั้งก่อนคือทุกข์ทั่วๆไป
ที่เกิดขึ้นในครองชีวิต ในการมีชีวิตอยู่ แต่ทุกข์ครั้งนี้เป็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด
ไม่อยากเกิดมาทุกข์แบบนี้อีกแล้ว เกิดมานี่มันช่างวุ่นวาย วุ่นวายทั้งข้างนอกและข้างใน
มันดูวุ่นวายไปหมด

เมื่อคืนปฏิบัติ เจอเวทนา ตัดใจเลยสู้กับเวทนา พิจรณาลงไปว่าเวลาตายเราจักต้องทรมาณมากกว่านี้
เวทนาที่เคยเจอมีทั้งหนักและเบา ครั้งนี้ก็หนักหนาสาหัส ปวดจนหลังมากๆร้าวมาที่ก้นกบ
เหมือนมันจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ บังคับตัวเองเลย ตั้งหลังให้ตรง แล้วสู้กับเวทนาที่เกิด
ใจก็คิดพิจรณาไปด้วย เพราะเรายังมีอุปทานยึดมั่นถือมั่นในกายของเรา มันจึงยังมีเวทนา
เกิดอยู่ตลอด มันเกิดแล้วก็หายอยู่อย่างนั้น หนักเบาไม่เท่ากัน มันไม่เที่ยง เราไปบังคับว่า
ให้เกิดหรือไม่ให้เกิดไม่ได้

พิจรณาหนักๆ พิจรณาว่ามันไม่เที่ยง แล้วจากที่ปวดสุดๆมันก็รู้สึกซ่าๆไปทั้งขา ซ่าๆไปตามส่วนที่ปวด
แล้วมันก็ค่อยๆหายปวดไป แล้วนั่งต่อไปจนกระทั่งครบเวลาที่ตั้งไว้

เวทนานี่เจอมาหลายรอบละหนักๆทั้งนั้น แต่ครั้งนี้หนักกว่าทุกครั้งเหมือนร่างกายเรามันจะแตก
ออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ตั้งใจไว้แล้ว ต่อไปนี้จะปฏิบัติ เพื่อเตรียมตัวตาย เมื่อถึงเวลาที่ต้องตายจริงๆ
จะได้มีสติรู้ตัวตลอดเวลาจนกระทั่งหมดลมหายใจ


วันนี้อดทนจนผ่านเวทนา ครบตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ รู้ลงไปในอาการที่ปวด
ปวดมากๆเลย แล้วมันก็ซ่าๆหายไป แล้วก็ปวดอีก


คิดว่า การปฏิบัติเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เพราะครั้งที่แล้วเคยเจอสภาวะแบบนี้ แต่ไม่หนักเท่าครั้งนี้
ครั้งนี้หนักกว่า ปวดบริเวณก้นกบและแผ่นหลังทั้งหมด ปวดมากๆ พยายามนั่งให้หลังตรงที่สุด
แล้วพิจรณาดูอาการที่ปวด

คิดถึงแต่ความตาย ว่าสักวันเราต้องตาย ตายแบบนี้เพื่อเตรียมตัวตายในวันหน้า
เราจะได้ไม่ตายแบบขาดสติ จะได้รู้สึกตัวตลอดเวลาจนกระทั่งหมดลมหายใจ


วันนี้เจอเวทนาที่หลัง สุดๆเลย เหมือนจะเป็นตะคริวที่หลัง แต่ยังไม่ทันจะเป็น ปวดมากๆ
กำหนดรู้ตลอด หายใจยาวๆ ( กลัวเป็นบ้าเลยเราตอนนั้นน่ะ กลัวเป็นอัมพาต )
ค่อยๆเอามือลงไว้ข้างๆตัว จะยกมือไปข้างหน้าก็ยกไม่ได้ ปวดหลังมากๆ ยกมือไม่ขึ้นเลย
หายใจยาวๆรู้ลงไปในเวทนาตลอด ยืนนิ่งๆ แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นกุมไว้ข้างหน้า พอจะยกได้บ้าง
ก็ค่อยๆเอามือลง และยกไปไว้ข้างหลังเหมือนเดิม มันมีเสียงดังเปรี๊ยะ
แล้วเหมือนกายเราแยกระเบิดออกจากกัน

ในตอนนั้นเหมือนกายแตก แยกออกเป็นเสี่ยงๆ ความรู้สึกเป็นแบบนั้น แต่มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
สักพัก รู้สึกหัวโล่งไปหมด เหมือนสมองไม่มีอะไรเลย ทั้งตัวนี่เบาไปหมด โอภาสสว่างมากๆ

แล้วพอมานั่งสมาธิต่อ แค่หย่อนตัวนั่งลง ยังไม่ทันจะหายใจเข้าเลย มันเข้าสู่สมาธิทันที
ไม่ได้คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นมันคืออะไร เพียงแต่มองว่า เวทนาแต่ละครั้งนี่ มันช่างสุดๆจริงๆ

ครั้งที่ 1 ที่จำได้คือ เวทนาที่เกิดตอนนั่งสมาธิ อันนี้เกิดที่ขา แต่ที่เหมือนกันคือมันหฤโหดสุดๆ
เหมือนๆกัน เหมือนกายมันระเบิดแยกออกจากกันเหมือนกัน แต่ตรงนี้พอมันแตกออกมา
มันกลับมีตัวรู้เกิดขึ้น


ผลที่ตามมาจากการเดินจงกรมแล้วเกิดเกิดเวทนาเวทนาครั้งนี้ โห ... จากที่เราเคยเดินหลังค่อมๆ
คือจะเป็นคนไหล่งุ้ม เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นว่า เดินได้หลังตรงแหนวเลย อาการที่ชอบปวดหลังบ่อยๆ
มันหายไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น โรคปวดหลังนี่ เป็นมาตั้งแต่สมัยทำงาน
ส่วนมากจะเป็นกัน ยกของหนัก มันก็เลยเป็นเรื้อรังมาตลอด ( หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท )

ความที่ว่าเจอเวทนาบ่อยๆ แบบโหดๆ เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นว่า สามารถมีสติพิจรณาเวทนาที่เกิดได้ดี
ขึ้นกว่าเมื่อก่อน วันนั้นเจอเวทนาสองชั่วโมงเต็มๆ

พระอาจารย์ท่าน บอกว่า ขณะที่เดินจงกรม สมาธิเราเกิดมากเกินไป ให้เรารู้ไปในอริยบทย่อยให้บ่อยๆ เพื่อจะได้มีสติ ให้มากขึ้นกว่านี้

มิน่า ... สังเกตุเห็นหลายครั้งละ ว่าหลังจากเดินจงกรม พอมานั่งสมาธิต่อ ทำไมเราถึงเข้าสู่สมาธิได้เร็ว เพราะอย่างนี้นี่เอง

ทุกๆครั้ง ที่ปฏิบัติ จะเกิดโอภาสสว่างมากๆ สว่างแบบบอกไม่ถูก ยิ่งเวลาไม่สบาย เวลาเกิดโอภาส แสงสว่างมากๆ ห่อหุ้มเอาไว้ทั้งตัว เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ วิ่งไปทั่วร่างกาย

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต้องถามพระอาจารย์ละ เดี๋ยวนี้เลิกถาม เพราะท่านบอกไว้แล้วว่า
ไม่ต้องไปให้ค่าความหมายในสิ่งที่เกิดหรือเห็น ให้ตัดความสงสัยออกไป





เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่ผ่านเวทนาหนที่สองนี่ เรามองเห็นความกลัวที่เรามีอยู่
ไม่เคยกลัวเท่าครั้งไหนๆเลย ครั้งนี้กลัวมากๆ เหมือนความกลัวอันนี้ที่แท้มันมีอยู่แล้ว
เพียงแต่มันถูกซ่อนเอาไว้ แล้วถ้าเกิดต้องตายจริงๆมิขาดสติไปหรือนี่ รู้แต่ว่า ประมาทไม่ได้แล้ว
ความสงสัยต่างๆที่เคยมีมากมาย เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีเลย มันสงบมากๆจนตัวเราเองก็ยังแปลกใจเลย



ตั้งแต่มีกำลังของสมาธิเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับวันสภาวะดับในสมาธิเกิดบ่อยๆ
เวลาดับ บางทีก็รู้ทัน บางทีก็รู้ไม่ทัน แล้วแต่กำลังของสติ และกำลังของสมาธิในแต่ละครั้งไม่แน่นอน
บางทีแค่เหยียดขาออกไป จิตเป็นสมาธิ พอเหยียดตัวแบบสบายๆ จิตจะวูบทันที อันนี้รู้ตัวได้ตลอดก่อนที่จะดับ

หลายวันมานี่ กำลังของสมาธิแนบแน่นดีมากๆ คือพัฒนามากขึ้น สภาวะของสมาธิจับได้ชัดเจน
ว่าอยู่ตรงไหน แล้วมีสภาวะตอนเกิดนั้นอย่างไร จับได้ทุกระยะ

ถึงแม้จะเป็นการเหมือนเริ่มต้นฝึกสมาธิใหม่ก็จริงอยู่
แต่สภาวะจะไม่ตกต่ำลงไป เช่น มีรูปนามเป็นอารมณ์แล้ว
ถึงแม้จะไม่มีกำลังของสมาธิ ( ช่วงที่สมาธิหายไปหมด )
ก็ยังคงสภาวะมีรูปนามเป็นอารมณ์เหมือนเดิม เรียกว่ามีสภาวะปรมัตถ์เป็นอารมณ์
ไม่ต้องย้อนกลับไปเริ่มต้นที่บัญญัติใหม่ ไม่ต้องไปนับหนึ่งใหม่ในเรื่องของสมาธิ

ดูจากสมาธิ ไม่ต้องเริ่มจาก 1 คือ เริ่มจากต้องใช้บัญญัติเป็นอารมณ์
เช่นปกติเริ่มต้น จะต้องใช้คำบริกรรมเป็นอารมณ์ จนกว่าจิตจะทิ้งคำบริกรรมภาวนายามที่เป็นสมาธิ

สภาวะตรงนี้ไม่ต้องไปเริ่มต้นแบบนั้นเลย
เรียกว่าเริ่มต้นจากฌาน 2 3 4 มันจะสลับไปมาอยู่แบบนี้
เพราะสภาวะของกำลังสติ สัมปชัญญะนั้น ยังไม่มากพอที่จะละสภาวะปีติ สุข ได้
ยังคงมีปีติ สุข เป็นบางครั้ง บางขณะ ถ้ามี สติ สัมปชัญญะดี กำลังของสมาธิแนบแน่นมากๆ จะเข้าสู่ฌาน 4 ได้ทันที

สภาวะมาสอนให้เรียนรู้ตลอด
ตอนนี้สภาวะที่แยกได้ชัดอีกอย่างคือ ความทุกข์ ทำให้เห็นไตรลักษณ์
เพราะถ้ายังไม่เห็นไตรลักษณ์ อุปทานที่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆย่อมละลงไปได้ยาก
ตัวอุปทาน ยึดมั่นถือมั่น ล้วนเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดเป็นความทุกข์ ยึดมากเท่าไหร่ ทุกข์มากเท่านั้น
ยิ่งคาดหวังผลของการปฏิบัติมากเท่าไหร่ แล้วไม่ได้ตามที่หวังเอาไว้ ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้นเท่านั้น

ความสุข ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย
ความสุขทางโลก ไม่เหมือนความสุขทางธรรม
ความสุขทางโลก ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม สุขเพราะไปให้ค่ามันเอง
ให้มีความสุขจนล้นคอหอย สักวันมันก็ต้องเบื่อหน่าย แล้วจะถามตัวเองว่า ชีวิตมีแค่นี่เองหรือ
อันนี้เรื่องจริงนะ เพราะทุกวันนี้ ชีวิตทางโลกของเรา มีความสุขมากๆ ทั้งเรื่องงาน เรื่องการใช้ชีวิต
แต่เรารู้ดี มันมีความเบื่อหน่ายแฝงอยู่ในความสุข เบื่อมากๆ จะชอบถามตัวเองว่า ชีวิตมีแค่นี้เองหรือ
ชีวิตนี้ ถ้าไม่ได้มาปฏิบัติ เราจะมองไม่เห็นสภาวะที่แท้จริงของชีวิตเลย มันไม่ได้มีอะไรเลย มันมีแต่การสร้างเหตุ

ตั้งแต่ที่กำลังสมาธิของเรามีเพิ่มมากขึ้น จิตเขาจึงดับบ่อยมากขึ้น

เป็นเวลา 9 โมงเช้า
นั่งลงแล้ว ดูอาการของกาย คือ ดูท้องพองยุบ รู้สึกได้ชัดมาก
แล้วรู้ถึงจิตเป็นสมาธิ วันนี้จิตเป็นสมาธิได้ไว พอรู้ว่าจิตเป็นสมาธิ ก็สักแต่ว่ารู้
แป๊บเดียว อันนี้สติ ยังไม่ทันตอนที่เกิดสภาวะดับ วันนี้จับได้ไม่ทัน

วันนี้ดับไปในสมาธิเป็นเวลา 7 ช.มกว่าๆ
ตอนลืมตาขึ้นมา รู้สึกสดชื่นมากๆ เหมือนคนที่พักได้เต็มอิ่ม
หลังจากคุยกับน้องเสร็จ ก็เดินจงกรม ทำต่ออีกรอบก่อนกลับบ้าน
ที่รู้ว่าดับในสมาธิ ไม่ใช่หลับ คือ ดูที่ดวงตา ดวงตาสดใส ไม่มีแดงแบบคนนั่งหลับ

กลางคืนเดี๋ยวนี้ เราไม่ได้นอนยาวมาหลายคืนแล้ว
การพักผ่อน นอนหลับจะเป็นไปตามสภาวะ ตรงนี้ไม่แปลกใจหรือสงสัยอะไรอีกแล้ว
ถ้ากำลังสมาธิมาก เราจะไม่เคยนอนยาวทั้งกลางวันและกลางคืน แต่จะพักจิตในสมาธิแทน
จิตเขาเป็นของเขาเอง บางทีพักแค่ 1 ชม. หรือจะกี่ชม. ก็ตามกำลังของสมาธิ นี่เมื่อกี้พักไป 2 ชม.




สภาวะแต่ละสภาวะเป็นไปทีละสเต็ป เป็นการทบทวนแต่ละสภาวะ
ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนของแต่ละสภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้แต่กำลังของสมาธิ ถึงแม้จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กระแสของสมาธิไม่มีความรุนแรงเหมือนสมาธิเหมือนก่อนที่จะเจอสภาวะหมดสมาธิ
สภาวะของเก่านั้นเหมือนก้าวกระโดด เก็บรายละเอียดของแต่ละสภาวะได้ค่อนข้างน้อย

สภาวะใหม่นี้ ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดคือ สภาวะของฌานต่างๆ
สามารถแยกแยะรายละเอียดสภาวะของฌานแต่ละฌานได้ชัดเจน
เห็นตั้งแต่การทำงานแต่ละขณะของสภาวะที่เกิดขึ้นได้ชัด อย่าเช่น ผรณาปีติ
เดี๋ยวนี้จับรายละเอียดได้หมดเลย ตั้งแต่เกิดขึ้น ขณะที่เกิด จนกระทั่งจางหายไป
เมื่อก่อนจับไม่ได้ขนาดนี้ เพราะอย่างที่เล่าให้ฟัง สภาวะมันก้าวกระโดด

เมื่อก่อน สภาวะสมาธิของเรามันก้าวกระโดด เนื่องจากของเก่าสะสมมาเยอะ ทำให้จับได้แต่สภาวะหยาบๆ
แยกสภาวะของฌานได้แบบหยาบๆ ตอนนี้แยกรายละเอียดสภาวะของฌาน มันไล่ไปทีระดับ เห็นรายละเอียด ชัดมากขึ้น

วันนี้ปฏิบัติได้ทั้งวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ไม่มีดิ่ง ไม่มีหลับ รู้ตัวได้ตลอด
ช่วงที่ไปนั่งต่อที่โซฟา สภาวะที่เกิดขึ้น สามารถสรุปลงไปได้เลยว่า ยิ่งกำลังของสมาธิมากเท่าไหร่
โอภาสที่เกิดขึ้น จะสว่างมากๆ สว่างจ้าแบบสุดลูกหูลูกตา ถ้านำไปเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัด
ถ้าสามารถมองแสงอาทิตย์ได้ด้วยตาเปล่า จะสว่างเหมือนเวลามองแสงอาทิตย์ด้วยตาเปล่านั่นน่ะและ สว่างแบบนั้น

ขณะที่เกิดสภาวะต่างๆ จะรู้อยู่กับรูปนามได้ดี คือ อยู่กับองค์กรรมฐานได้ตลอด
จับรายละเอียดของสภาวะได้หมด เรียกว่ามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ตลอด
แม้ขณะที่เกิดโอภาส ก็ยังคงรู้สึกตัว จับรายละเอียดได้ทั้งหมด

นี่แหละหนา ผลของการทำต่อเนื่อง ไม่คาดหวัง ไม่ให้ค่า ไม่เปรียบเทียบ
เวลาจะเกิดสภาวะแต่ละครั้งนั้น เขาเกิดเอง ไม่ต้องไปอยากให้เกิดอะไรเลย
เพียงแค่ทำตามความเป็นจริง ทำตามสภาวะ ง่วงนักก็นอน เหนื่อยนักก็พัก ไม่เคร่งเครียด
เพียงแต่ทำต่อเนื่อง ทำทุกวันไม่มีหยุด หยุดแล้ว สภาวะมันจะสะดุด เหมือนต้องเริ่มต้นใหม่ทุกๆครั้ง
เพราะขาดความต่อเนื่องนั่นเอง ถึงบอกไง เกิดสภาวะอะไรทำตามนั้น หลังพักผ่อนเสร็จ ร่างกายสดชื่น
แล้วได้ปฏิบัติต่อ สภาวะจะเป็นไปได้ดี เนื่องจากร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว

ไม่ต้องไปหาคำตอบว่าอะไรคืออะไร เพราะมันล้วนแต่ไม่เที่ยง ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ
จะเปรียบเทียบไปทำไม ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามันไม่เที่ยง ทำไมต้องไปให้ค่ากับสภาวะด้วย

ยิ่งให้ค่า ยิ่งสะสมกิเลส สะสมความทะยานอยาก ทำให้ยากที่จะเห็นตามความเป็นจริงได้ เมื่ออยากก็ให้อยาก ไม่ปฏิเสธ แต่ไม่มีการนำไปเปรียบเทียบ ทำตามความเป็นจริงอย่างเดียว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งเห็นทุกข์ มองไปทางไหนก็มีแต่ทุกข์ ทำไมทุกข์มันช่างมากมายอย่างนี้หนอ เมื่อก่อนเข้าใจว่า เมื่อเห็นทุกข์ ย่อมเข้าใจในทุข์ ย่อมอยู่ในทุกข์ได้โดยไม่ต้องไปทุกข์กับทุกข์นั้นๆ แต่ทุกข์ครั้งนี้เราเห็นมันคนละอย่างกับทุกข์ที่เราเคยเห็น เคยเข้าใจ ทุกข์ครั้งก่อนคือทุกข์ทั่วๆไป ที่เกิดขึ้นในครองชีวิต ในการมีชีวิตอยู่ แต่ทุกข์ครั้งนี้เป็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด ไม่อยากเกิดมาทุกข์แบบนี้อีกแล้ว เกิดมานี่มันช่างวุ่นวาย วุ่นวายทั้งข้างนอกและข้างใน มันดูวุ่นวายไปหมด เมื่อคืนปฏิบัติ เจอเวทนา ตัดใจเลยสู้กับเวทนา พิจรณาลงไปว่าเวลาตายเราจักต้องทรมาณมากกว่านี้ เวทนาที่เคยเจอมีทั้งหนักและเบา ครั้งนี้ก็หนักหนาสาหัส ปวดจนหลังมากๆร้าวมาที่ก้นกบ เหมือนมันจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ บังคับตัวเองเลย ตั้งหลังให้ตรง แล้วสู้กับเวทนาที่เกิด ใจก็คิดพิจรณาไปด้วย เพราะเรายังมีอุปทานยึดมั่นถือมั่นในกายของเรา มันจึงยังมีเวทนา เกิดอยู่ตลอด มันเกิดแล้วก็หายอยู่อย่างนั้น หนักเบาไม่เท่ากัน มันไม่เที่ยง เราไปบังคับว่า ให้เกิดหรือไม่ให้เกิดไม่ได้ พิจรณาหนักๆ พิจรณาว่ามันไม่เที่ยง แล้วจากที่ปวดสุดๆมันก็รู้สึกซ่าๆไปทั้งขา ซ่าๆไปตามส่วนที่ปวด แล้วมันก็ค่อยๆหายปวดไป แล้วนั่งต่อไปจนกระทั่งครบเวลาที่ตั้งไว้ เวทนานี่เจอมาหลายรอบละหนักๆทั้งนั้น แต่ครั้งนี้หนักกว่าทุกครั้งเหมือนร่างกายเรามันจะแตก ออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ตั้งใจไว้แล้ว ต่อไปนี้จะปฏิบัติ เพื่อเตรียมตัวตาย เมื่อถึงเวลาที่ต้องตายจริงๆ จะได้มีสติรู้ตัวตลอดเวลาจนกระทั่งหมดลมหายใจ วันนี้อดทนจนผ่านเวทนา ครบตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ รู้ลงไปในอาการที่ปวด ปวดมากๆเลย แล้วมันก็ซ่าๆหายไป แล้วก็ปวดอีก คิดว่า การปฏิบัติเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เพราะครั้งที่แล้วเคยเจอสภาวะแบบนี้ แต่ไม่หนักเท่าครั้งนี้ ครั้งนี้หนักกว่า ปวดบริเวณก้นกบและแผ่นหลังทั้งหมด ปวดมากๆ พยายามนั่งให้หลังตรงที่สุด แล้วพิจรณาดูอาการที่ปวด คิดถึงแต่ความตาย ว่าสักวันเราต้องตาย ตายแบบนี้เพื่อเตรียมตัวตายในวันหน้า เราจะได้ไม่ตายแบบขาดสติ จะได้รู้สึกตัวตลอดเวลาจนกระทั่งหมดลมหายใจ วันนี้เจอเวทนาที่หลัง สุดๆเลย เหมือนจะเป็นตะคริวที่หลัง แต่ยังไม่ทันจะเป็น ปวดมากๆ กำหนดรู้ตลอด หายใจยาวๆ ( กลัวเป็นบ้าเลยเราตอนนั้นน่ะ กลัวเป็นอัมพาต ) ค่อยๆเอามือลงไว้ข้างๆตัว จะยกมือไปข้างหน้าก็ยกไม่ได้ ปวดหลังมากๆ ยกมือไม่ขึ้นเลย หายใจยาวๆรู้ลงไปในเวทนาตลอด ยืนนิ่งๆ แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นกุมไว้ข้างหน้า พอจะยกได้บ้าง ก็ค่อยๆเอามือลง และยกไปไว้ข้างหลังเหมือนเดิม มันมีเสียงดังเปรี๊ยะ แล้วเหมือนกายเราแยกระเบิดออกจากกัน ในตอนนั้นเหมือนกายแตก แยกออกเป็นเสี่ยงๆ ความรู้สึกเป็นแบบนั้น แต่มีสติรู้ตัวตลอดเวลา สักพัก รู้สึกหัวโล่งไปหมด เหมือนสมองไม่มีอะไรเลย ทั้งตัวนี่เบาไปหมด โอภาสสว่างมากๆ แล้วพอมานั่งสมาธิต่อ แค่หย่อนตัวนั่งลง ยังไม่ทันจะหายใจเข้าเลย มันเข้าสู่สมาธิทันที ไม่ได้คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นมันคืออะไร เพียงแต่มองว่า เวทนาแต่ละครั้งนี่ มันช่างสุดๆจริงๆ ครั้งที่ 1 ที่จำได้คือ เวทนาที่เกิดตอนนั่งสมาธิ อันนี้เกิดที่ขา แต่ที่เหมือนกันคือมันหฤโหดสุดๆ เหมือนๆกัน เหมือนกายมันระเบิดแยกออกจากกันเหมือนกัน แต่ตรงนี้พอมันแตกออกมา มันกลับมีตัวรู้เกิดขึ้น ผลที่ตามมาจากการเดินจงกรมแล้วเกิดเกิดเวทนาเวทนาครั้งนี้ โห ... จากที่เราเคยเดินหลังค่อมๆ คือจะเป็นคนไหล่งุ้ม เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นว่า เดินได้หลังตรงแหนวเลย อาการที่ชอบปวดหลังบ่อยๆ มันหายไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น โรคปวดหลังนี่ เป็นมาตั้งแต่สมัยทำงาน ส่วนมากจะเป็นกัน ยกของหนัก มันก็เลยเป็นเรื้อรังมาตลอด ( หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ) ความที่ว่าเจอเวทนาบ่อยๆ แบบโหดๆ เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นว่า สามารถมีสติพิจรณาเวทนาที่เกิดได้ดี ขึ้นกว่าเมื่อก่อน วันนั้นเจอเวทนาสองชั่วโมงเต็มๆ พระอาจารย์ท่าน บอกว่า ขณะที่เดินจงกรม สมาธิเราเกิดมากเกินไป ให้เรารู้ไปในอริยบทย่อยให้บ่อยๆ เพื่อจะได้มีสติ ให้มากขึ้นกว่านี้ มิน่า ... สังเกตุเห็นหลายครั้งละ ว่าหลังจากเดินจงกรม พอมานั่งสมาธิต่อ ทำไมเราถึงเข้าสู่สมาธิได้เร็ว เพราะอย่างนี้นี่เอง ทุกๆครั้ง ที่ปฏิบัติ จะเกิดโอภาสสว่างมากๆ สว่างแบบบอกไม่ถูก ยิ่งเวลาไม่สบาย เวลาเกิดโอภาส แสงสว่างมากๆ ห่อหุ้มเอาไว้ทั้งตัว เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ วิ่งไปทั่วร่างกาย ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต้องถามพระอาจารย์ละ เดี๋ยวนี้เลิกถาม เพราะท่านบอกไว้แล้วว่า ไม่ต้องไปให้ค่าความหมายในสิ่งที่เกิดหรือเห็น ให้ตัดความสงสัยออกไป เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่ผ่านเวทนาหนที่สองนี่ เรามองเห็นความกลัวที่เรามีอยู่ ไม่เคยกลัวเท่าครั้งไหนๆเลย ครั้งนี้กลัวมากๆ เหมือนความกลัวอันนี้ที่แท้มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่มันถูกซ่อนเอาไว้ แล้วถ้าเกิดต้องตายจริงๆมิขาดสติไปหรือนี่ รู้แต่ว่า ประมาทไม่ได้แล้ว ความสงสัยต่างๆที่เคยมีมากมาย เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีเลย มันสงบมากๆจนตัวเราเองก็ยังแปลกใจเลย ตั้งแต่มีกำลังของสมาธิเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับวันสภาวะดับในสมาธิเกิดบ่อยๆ เวลาดับ บางทีก็รู้ทัน บางทีก็รู้ไม่ทัน แล้วแต่กำลังของสติ และกำลังของสมาธิในแต่ละครั้งไม่แน่นอน บางทีแค่เหยียดขาออกไป จิตเป็นสมาธิ พอเหยียดตัวแบบสบายๆ จิตจะวูบทันที อันนี้รู้ตัวได้ตลอดก่อนที่จะดับ หลายวันมานี่ กำลังของสมาธิแนบแน่นดีมากๆ คือพัฒนามากขึ้น สภาวะของสมาธิจับได้ชัดเจน ว่าอยู่ตรงไหน แล้วมีสภาวะตอนเกิดนั้นอย่างไร จับได้ทุกระยะ ถึงแม้จะเป็นการเหมือนเริ่มต้นฝึกสมาธิใหม่ก็จริงอยู่ แต่สภาวะจะไม่ตกต่ำลงไป เช่น มีรูปนามเป็นอารมณ์แล้ว ถึงแม้จะไม่มีกำลังของสมาธิ ( ช่วงที่สมาธิหายไปหมด ) ก็ยังคงสภาวะมีรูปนามเป็นอารมณ์เหมือนเดิม เรียกว่ามีสภาวะปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ไม่ต้องย้อนกลับไปเริ่มต้นที่บัญญัติใหม่ ไม่ต้องไปนับหนึ่งใหม่ในเรื่องของสมาธิ ดูจากสมาธิ ไม่ต้องเริ่มจาก 1 คือ เริ่มจากต้องใช้บัญญัติเป็นอารมณ์ เช่นปกติเริ่มต้น จะต้องใช้คำบริกรรมเป็นอารมณ์ จนกว่าจิตจะทิ้งคำบริกรรมภาวนายามที่เป็นสมาธิ สภาวะตรงนี้ไม่ต้องไปเริ่มต้นแบบนั้นเลย เรียกว่าเริ่มต้นจากฌาน 2 3 4 มันจะสลับไปมาอยู่แบบนี้ เพราะสภาวะของกำลังสติ สัมปชัญญะนั้น ยังไม่มากพอที่จะละสภาวะปีติ สุข ได้ ยังคงมีปีติ สุข เป็นบางครั้ง บางขณะ ถ้ามี สติ สัมปชัญญะดี กำลังของสมาธิแนบแน่นมากๆ จะเข้าสู่ฌาน 4 ได้ทันที สภาวะมาสอนให้เรียนรู้ตลอด ตอนนี้สภาวะที่แยกได้ชัดอีกอย่างคือ ความทุกข์ ทำให้เห็นไตรลักษณ์ เพราะถ้ายังไม่เห็นไตรลักษณ์ อุปทานที่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆย่อมละลงไปได้ยาก ตัวอุปทาน ยึดมั่นถือมั่น ล้วนเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดเป็นความทุกข์ ยึดมากเท่าไหร่ ทุกข์มากเท่านั้น ยิ่งคาดหวังผลของการปฏิบัติมากเท่าไหร่ แล้วไม่ได้ตามที่หวังเอาไว้ ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้นเท่านั้น ความสุข ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ความสุขทางโลก ไม่เหมือนความสุขทางธรรม ความสุขทางโลก ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม สุขเพราะไปให้ค่ามันเอง ให้มีความสุขจนล้นคอหอย สักวันมันก็ต้องเบื่อหน่าย แล้วจะถามตัวเองว่า ชีวิตมีแค่นี่เองหรือ อันนี้เรื่องจริงนะ เพราะทุกวันนี้ ชีวิตทางโลกของเรา มีความสุขมากๆ ทั้งเรื่องงาน เรื่องการใช้ชีวิต แต่เรารู้ดี มันมีความเบื่อหน่ายแฝงอยู่ในความสุข เบื่อมากๆ จะชอบถามตัวเองว่า ชีวิตมีแค่นี้เองหรือ ชีวิตนี้ ถ้าไม่ได้มาปฏิบัติ เราจะมองไม่เห็นสภาวะที่แท้จริงของชีวิตเลย มันไม่ได้มีอะไรเลย มันมีแต่การสร้างเหตุ ตั้งแต่ที่กำลังสมาธิของเรามีเพิ่มมากขึ้น จิตเขาจึงดับบ่อยมากขึ้น เป็นเวลา 9 โมงเช้า นั่งลงแล้ว ดูอาการของกาย คือ ดูท้องพองยุบ รู้สึกได้ชัดมาก แล้วรู้ถึงจิตเป็นสมาธิ วันนี้จิตเป็นสมาธิได้ไว พอรู้ว่าจิตเป็นสมาธิ ก็สักแต่ว่ารู้ แป๊บเดียว อันนี้สติ ยังไม่ทันตอนที่เกิดสภาวะดับ วันนี้จับได้ไม่ทัน วันนี้ดับไปในสมาธิเป็นเวลา 7 ช.มกว่าๆ ตอนลืมตาขึ้นมา รู้สึกสดชื่นมากๆ เหมือนคนที่พักได้เต็มอิ่ม หลังจากคุยกับน้องเสร็จ ก็เดินจงกรม ทำต่ออีกรอบก่อนกลับบ้าน ที่รู้ว่าดับในสมาธิ ไม่ใช่หลับ คือ ดูที่ดวงตา ดวงตาสดใส ไม่มีแดงแบบคนนั่งหลับ กลางคืนเดี๋ยวนี้ เราไม่ได้นอนยาวมาหลายคืนแล้ว การพักผ่อน นอนหลับจะเป็นไปตามสภาวะ ตรงนี้ไม่แปลกใจหรือสงสัยอะไรอีกแล้ว ถ้ากำลังสมาธิมาก เราจะไม่เคยนอนยาวทั้งกลางวันและกลางคืน แต่จะพักจิตในสมาธิแทน จิตเขาเป็นของเขาเอง บางทีพักแค่ 1 ชม. หรือจะกี่ชม. ก็ตามกำลังของสมาธิ นี่เมื่อกี้พักไป 2 ชม. สภาวะแต่ละสภาวะเป็นไปทีละสเต็ป เป็นการทบทวนแต่ละสภาวะ ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนของแต่ละสภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่กำลังของสมาธิ ถึงแม้จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กระแสของสมาธิไม่มีความรุนแรงเหมือนสมาธิเหมือนก่อนที่จะเจอสภาวะหมดสมาธิ สภาวะของเก่านั้นเหมือนก้าวกระโดด เก็บรายละเอียดของแต่ละสภาวะได้ค่อนข้างน้อย สภาวะใหม่นี้ ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดคือ สภาวะของฌานต่างๆ สามารถแยกแยะรายละเอียดสภาวะของฌานแต่ละฌานได้ชัดเจน เห็นตั้งแต่การทำงานแต่ละขณะของสภาวะที่เกิดขึ้นได้ชัด อย่าเช่น ผรณาปีติ เดี๋ยวนี้จับรายละเอียดได้หมดเลย ตั้งแต่เกิดขึ้น ขณะที่เกิด จนกระทั่งจางหายไป เมื่อก่อนจับไม่ได้ขนาดนี้ เพราะอย่างที่เล่าให้ฟัง สภาวะมันก้าวกระโดด เมื่อก่อน สภาวะสมาธิของเรามันก้าวกระโดด เนื่องจากของเก่าสะสมมาเยอะ ทำให้จับได้แต่สภาวะหยาบๆ แยกสภาวะของฌานได้แบบหยาบๆ ตอนนี้แยกรายละเอียดสภาวะของฌาน มันไล่ไปทีระดับ เห็นรายละเอียด ชัดมากขึ้น วันนี้ปฏิบัติได้ทั้งวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ไม่มีดิ่ง ไม่มีหลับ รู้ตัวได้ตลอด ช่วงที่ไปนั่งต่อที่โซฟา สภาวะที่เกิดขึ้น สามารถสรุปลงไปได้เลยว่า ยิ่งกำลังของสมาธิมากเท่าไหร่ โอภาสที่เกิดขึ้น จะสว่างมากๆ สว่างจ้าแบบสุดลูกหูลูกตา ถ้านำไปเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัด ถ้าสามารถมองแสงอาทิตย์ได้ด้วยตาเปล่า จะสว่างเหมือนเวลามองแสงอาทิตย์ด้วยตาเปล่านั่นน่ะและ สว่างแบบนั้น ขณะที่เกิดสภาวะต่างๆ จะรู้อยู่กับรูปนามได้ดี คือ อยู่กับองค์กรรมฐานได้ตลอด จับรายละเอียดของสภาวะได้หมด เรียกว่ามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ตลอด แม้ขณะที่เกิดโอภาส ก็ยังคงรู้สึกตัว จับรายละเอียดได้ทั้งหมด นี่แหละหนา ผลของการทำต่อเนื่อง ไม่คาดหวัง ไม่ให้ค่า ไม่เปรียบเทียบ เวลาจะเกิดสภาวะแต่ละครั้งนั้น เขาเกิดเอง ไม่ต้องไปอยากให้เกิดอะไรเลย เพียงแค่ทำตามความเป็นจริง ทำตามสภาวะ ง่วงนักก็นอน เหนื่อยนักก็พัก ไม่เคร่งเครียด เพียงแต่ทำต่อเนื่อง ทำทุกวันไม่มีหยุด หยุดแล้ว สภาวะมันจะสะดุด เหมือนต้องเริ่มต้นใหม่ทุกๆครั้ง เพราะขาดความต่อเนื่องนั่นเอง ถึงบอกไง เกิดสภาวะอะไรทำตามนั้น หลังพักผ่อนเสร็จ ร่างกายสดชื่น แล้วได้ปฏิบัติต่อ สภาวะจะเป็นไปได้ดี เนื่องจากร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ไม่ต้องไปหาคำตอบว่าอะไรคืออะไร เพราะมันล้วนแต่ไม่เที่ยง ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ จะเปรียบเทียบไปทำไม ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามันไม่เที่ยง ทำไมต้องไปให้ค่ากับสภาวะด้วย ยิ่งให้ค่า ยิ่งสะสมกิเลส สะสมความทะยานอยาก ทำให้ยากที่จะเห็นตามความเป็นจริงได้ เมื่ออยากก็ให้อยาก ไม่ปฏิเสธ แต่ไม่มีการนำไปเปรียบเทียบ ทำตามความเป็นจริงอย่างเดียว
รู้แล้วก็แล้วนะไม่เห็นต้องกลับไปทำอะไรให้มากเลย อยู่สบายๆรักษาศิลให้มาก ลดละเลิกให้มาก เดียวก็สูงขึ้น ทั้งหมดในร่างกายเรานะมันไม่มีอะไรหรอกมันมีแต่ทุกข์

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
รู้แล้วก็แล้วนะไม่เห็นต้องกลับไปทำอะไรให้มากเลย อยู่สบายๆรักษาศิลให้มาก ลดละเลิกให้มาก เดียวก็สูงขึ้น ทั้งหมดในร่างกายเรานะมันไม่มีอะไรหรอกมันมีแต่ทุกข์




ตาทู่เอ๊ย ตาทู่นี่ ชอบเหมาโหล เพราะ มันถูก อันนี้ก็ปกติ

เหมือนในตำรากล่าวไว้เป๊ะๆ คนมาปรึกษาก็ไม่รู้ คนแนะนำ ก็ทู่ เพราะ โง่(กับกิเลส) เลยกอดคอกันตาย ทั้งคนมาปรึกษา และคนให้คำปรึกษา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
bigtoo เขียน:
รู้แล้วก็แล้วนะไม่เห็นต้องกลับไปทำอะไรให้มากเลย อยู่สบายๆรักษาศิลให้มาก ลดละเลิกให้มาก เดียวก็สูงขึ้น ทั้งหมดในร่างกายเรานะมันไม่มีอะไรหรอกมันมีแต่ทุกข์
ตาทู่เอ๊ย ตาทู่นี่ ชอบเหมาโหล เพราะ มันถูก อันนี้ก็ปกติ เหมือนในตำรากล่าวไว้เป๊ะๆ คนมาปรึกษาก็ไม่รู้ คนแนะนำ ก็ทู่ เพราะ โง่(กับกิเลส) เลยกอดคอกันตาย ทั้งคนมาปรึกษา และคนให้คำปรึกษา
ป้า เอ๋ยป้า ยังมีอีกเยอะ แค่ทักทาย :b12: :b12: :b12: :b34: :b34: :b34:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2012, 13:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
eragon_joe เขียน:
bigtoo เขียน:
... ท่านเป็นคนตอบตัวเองได้ ไม่มีใครรู้ แต่ผมเข้าใจว่าชีวิตท่านคงจะทำอะไรๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ถอยหลังกลับแน่นอนครับ


ถามจริง ๆ คุณเคยเจอสภาวะนี้มั๊ย

ดูเหมือนว่าเขาน่าจะรู้อะไรอะไรมากมายกว่าที่เขาพูดอะไรอะไรออกมามากมายราวกับไม่รู้

แต่คงไม่ใช่วิสัยที่เขาจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ

:b32: :b9:
เมื่อสัก10ปีที่ผ่านมาอาการแบบนี้นะคับที่นั่งจนไม่ยอมลุกตายเป็นตายนี่แหละครับที่ทำให้คนที่ผ่านตรงนี้ไปได้เท่านั้นที่จะรับรู้สิ่งที่ตนได้เห็น แต่ละคนอธิบายได้แตกต่างกันจากภูมิปัญญานั้นขณะนั้น หลังจากที่พบสภาวะนั้น วันใหม่หลังจากนั้นจะพบกับสิ่งที่ไม่เหมือนวันปกติอยู่ตามกำลังชองแต่ละคน อย่างนี้สักพักอาจะสัก2-3วันหรือมากกว่านั้นก็จะกลับสู่ปกติ ผมตื่นขึ้นมาก็พบสิ่งที่แปลกมากมาย เฉพาะตนจริงๆ


แล้วอยากบวชใจแทบขาดด้วยรึเปล่า... :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron