วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 12:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ทีมาของ คำว่า นิพพาน ในปัจจุบัน


อ้างคำพูด:
๓๒. วิมุตติ
ถาม วิมุตติ คืออะไร?


อันนี้เราไม่ได้ต้องการแสดงที่มาของคำว่า นิพพาน

เราต้องการแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่ โสดาปัตติมรรค อย่างที่คุณพยายามจะอ้างต่างหาก

ขยายความ โดยปริยายหนึ่งๆ ว่า :-
เจโตวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยใจ ได้แก่ ผลสมาธิ คือสมาธิที่ประกอบกับอรหัตตผลจิต
ปัญญาวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยปัญญา ได้แก่ ผลปัญญา คือปัญญาที่ประกอบกับอรหัตตผลจิต
เพราะฉะนั้น เมื่อว่าโดยพระอภิธรรมแล้ว เจโตวิมุตติกับปัญญาวิมุตติ จึงเกิดขึ้นพร้อมกันกับอรหัตตผลจิต ก็เจโตวิมุตตินั้น ได้แก่ เอกัคคตาหรือสัมมาสมาธิ ปัญญาวิมุตติ ได้แก่ ปัญญาหรือสัมมาทิฐิ ที่ประกอบด้วยอรหัตตผลจิต
อริยมรรค ชื่อว่า กำลังหลุดพ้นจากกิเลส
อริยผล ชื่อว่า หลุดพ้นแล้วจากกิเลส
อริยมรรคนั้นเป็นกุศลจิตมี ๔ คือโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค
อริยผลเป็นผลของมรรคเป็นวิบากจิต ก็มี ๔ เท่ากับอริยมรรค คือโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตตผล


ซึ่ง ฐานะ 1 , ฐานะ 2 ที่ สัตว์รู้ตามได้ยาก ก็คือ ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ ไงจ๊ะ

หรือ ว่าเห็นเป็นอย่างอื่นกัน ... :b10: :b10:

:b6: :b6: :b6:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 16 ก.ค. 2012, 13:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 12:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:

ต่างซิจ๊ะ เพราะเราไม่เห็นว่า
สภาวะแสดงธรรมเช่นนั้น จะเป็นแค่ โสดาปัตติมรรค นะจ๊ะ




คุณไม่เห็น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก




walaiporn เขียน:



ครั้งนั้น พระผู้พระภาค ทรงออกจากที่ หลีกเร้นโดยล่วงไป ๓ เดือนนั้น แล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแรกตรัสรู้ ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันใด เราอยู่แล้ว

โดยส่วนแห่งวิหารธรรมอันนั้น เรารู้ชัดอย่างนี้ว่า

เวทนาย่อมมี เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะความเห็นผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความเห็นสงบชอบ เป็นปัจจัยบ้าง ฯลฯ

เพราะความตั้งใจผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะวิตกเป็นปัจจัยบ้าง เพราะวิตกสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้วเป็นปัจจัยบ้าง.



อริยมรรค มีองค์ ๘ ไม่มี มิจฉา มีแต่สัมมา




eragon_joe เขียน:

เราก็เข้าใจว่า ถ้าเข้าสู่วิมุตติ นั่นไม่ใช่ แค่โสดาปัตติมรรคแล้ว

และ บทความ วิมุตติ ก็แสดงชัดเจนว่า
ต้องเป็น อรหัตผล หง่ะ :b9:



ขอบคุณนะ ถือว่า เป็นความรู้ใหม่ อรหัตตผล ที่ยังมี สภาวะมิจฉา ปรากฏอยู่ แถมยังมี เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง


:b32: :b32: :b32:

จ้า เห็นตามที่เราชี้แนะได้เมื่อไร อย่าลืมระลึกขอบคุณเราด้วยล่ะ... :b27: :b27:

5555 จริง ๆ ตรงไหนที่เราเอาคำว่า มิจฉา มากล่าวจ๊ะ

นั่นคุณกำลังจะเข้าใจใหม่ไปอีกแล้วนะนี่...

ที่ว่า มิจฉา กะโสดาปัตติมรรค นั่นเป็น ความเห็นที่คุณติดอยู่ในใจอยู่แล้ว

:b10: :b10: :b6: :b6: ไม่ใช่หร๋า ก็คนนำมากล่าวคือคุณนี่ :b16:

คุณต้องย้อนกลับไปดูข้อความที่คุณเองนำเสนอมาใหม่นะ
เป็นความเห็นคุณทั้งนั้นที่เห็นว่า ในเรื่อง โสดาปัตติมรรค และ มิจฉาสภาวะ อะไรนั่นน่ะ

เราแสดงความเห็นที่ชี้ไปในทาง พระองค์บรรลุวิมุตติแล้ว มีวิมุตติเป็นวิหารธรรมแล้ว
เป็นธรรมอันเป็นฐานะแล้ว และก็เป็นอรหัตผลแล้ว
ซึ่ง เราไม่ได้มีการหยิบคำว่า มิจฉา เข้ามาแสดงความเห็นเลย

แต่มิจฉา กับโสดาปัตติมรรค เป็นความเห็นของคุณ
พอเราแสดงความเห็นที่ไม่เห็นตามคุณ
พอเราเอาวิมุตติ เอาอรหัตผลมาแสดง

คุณก็ฉวยเอา มิจฉา เสียบใส่เข้ามา ... ซะได้

... :b32: ความรู้ใหม่ ... คุณก็ช่างทำไปได้ ... นี่นะ ... :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่เขียนไป ก็ตรงตัวอยู่แล้ว



ครั้งนั้น พระผู้พระภาค ทรงออกจากที่ หลีกเร้นโดยล่วงไป ๓ เดือนนั้น แล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแรกตรัสรู้ ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันใด เราอยู่แล้ว

โดยส่วนแห่งวิหารธรรมอันนั้น เรารู้ชัดอย่างนี้ว่า

เวทนาย่อมมี เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะความเห็นผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความเห็นสงบชอบ เป็นปัจจัยบ้าง ฯลฯ

เพราะความตั้งใจผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะวิตกเป็นปัจจัยบ้าง เพราะวิตกสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้วเป็นปัจจัยบ้าง.



eragon_joe เขียน:

เราก็เข้าใจว่า ถ้าเข้าสู่วิมุตติ นั่นไม่ใช่ แค่โสดาปัตติมรรคแล้ว

และ บทความ วิมุตติ ก็แสดงชัดเจนว่า
ต้องเป็น อรหัตผล หง่ะ :b9:



walaiporn เขียน:

ขอบคุณนะ ถือว่า เป็นความรู้ใหม่ อรหัตตผล ที่ยังมี สภาวะมิจฉา ปรากฏอยู่ แถมยังมี เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 14:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ อยู่ในวิหารธรรมอันใด ก็ วิมุตติแล้วไงจ๊ะ

เรารู้ชัดอย่างนี้ว่า ก็ที่รู้ชัด คือ นี่ไงจ๊ะ

ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
ฐานะที่อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย
จะพึงเห็นได้ยาก
... ไงจ๊ะ

นั่นคือ อิทัปปจยตา ปฏิจสมุปบาท ซึ่งพระองค์กล่าวในลักษณะนี้
หมายความว่าพระองค์เห็นแล้ว
แต่ธรรมที่พระองค์เห็นนั้น เป็นธรรมที่ สัตว์...เห็นตามได้ยาก

ซึ่งเมื่อพระองค์เล่าถึงเมื่อครั้งตรัสรู้
พระองค์ก็สอนธรรมที่พระองค์บรรลุ ก็คือ อิทัปปัจยตา ปฏิจจสมุปบาท
ธรรมอันเป็นปัจจัย

เพราะความตั้งใจผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะวิตกเป็นปัจจัยบ้าง เพราะวิตกสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้วเป็นปัจจัยบ้าง.


ไม่ได้พระองค์กำลังเล่าว่า ตอนนั้นพระองค์หลง น๊ะจ๊ะ

:b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 16 ก.ค. 2012, 14:32, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 14:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:

อิอิ พยายามจะ เอามิจฉา มาใส่ อรหัตผล และโบ้ยมาให้เราเหลือเกิน .. :b19: :b19:

อิอิ ไม่สำเร็จหรอกจ้า :b13:
เพราะ เราแสดงความเห็นชี้แจงว่าตอนนั้น พระองค์บรรลุอรหัตสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
และมีวิมุตติ เป็นวิหารธรรม จร้า
ความคิดเราไม่ไปเอี่ยวเอา มิจฉา มาแทรกตลอดสายจร้า

จะมีก็แต่ความเห็นคุณวลัยพรนั่นล่ะจ๊ะ ที่ประเมินที่โสดาปัตติมรรค และมี มิจฉา
คุณประเมินของคุณอย่างนั้นเอง

:b31: :b31: :b31:

walaiporn เขียน:

ขอบคุณนะ ถือว่า เป็นความรู้ใหม่ อรหัตตผล ที่ยังมี สภาวะมิจฉา ปรากฏอยู่ แถมยังมี เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง


และสงสัยอันนี้คุณคงจะต้องขอบคุณตัวเองแล้วล่ะ
ที่ ปั้นแต่ง มาได้

:b9: :b9:

เพราะ เราไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ ไปในทางที่จะแสดงว่าพระพุทธองค์มีมิจฉาสภาวะเลย
เราแสดงแต่ความเห็นหนับหนุน อรหัตผล กะ วิมุตติ น๊ะจ๊ะ
ไม่ว่าจะต้องอธิบาย แจกแจงกี่ที เราก็ชี้ไปใน อรหัตผล วิมุตติ อรหัตผล วิมุตติ


ไม่ได้ หนับหนุน โสดาปัตติมรรค กะ มิจฉาสภาวะ เหมือนอย่างที่คุณนำเสนอ

น๊ะจ๊ะ อย่าทำเนียนมาแอบแปะ แล้วโบ้ยให้เรา

อิอิ

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 14:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อ..ตามสบาย....ก็ได้เลย..อิ...อิ...

พละอันเป็นพลวัต...ที่นำไปสู่การรู้ธรรม..เห็นธรรม..ของพระมหาโพธิสัตว์...กับ...สาวกภูมิ...ต่างกัน

เนื่องมาจาก....ความแก่กล้าของบารมี..สะสมมา...ยาวนาน..ไม่เท่ากัน

พระพุทธะสมณโคดต..ของเรา...

เมื่อแรก.ง..แห่งการดำริขึ้นในใจว่า...เราก็ปรารถณาความเป็นพระพุทธเจ้า....ก็ทรงบำเพ็ญเพียรต่อมาถึง....7 อสงไขย์...

ถึงได้เปล่งวาจาว่า....เราปรารถณาความเป็นพระพุทธเจ้า...
หลังจากเปล่งวาจาแล้ว.....ก็บำเพ็ญเพียรต่อมาอีก...8 อสงไขย์...ถึงพระศาสนาของพระพุทธเจ้าทีปังกร...จึงได้รับพุทธพยากร์...

หลังจากรับพุทธพยากรณ์แล้ว....ก็ทรงบำเพ็ญปรมัตถบารมี...มาอีก 4 อสงไขย์เศษแสนมหากัลป์...

ด้วยบารมีแก่กล้าขนาดนี้....ตบะพละ...จึงถึงความตรัสรู้ได้เอง...

แต่...สาวก...ทำมาแค่ 1 อสงไขย์กับอีกแสนกัลป์...เท่านั้นเอง...จึงต้องอาศัยผู้จุดประกาย..แนะแนวทางให้..

เราจึงไม่อาจ..จะใช้ลำดับการตรัสรู้ธรรมของสาวกะไปเทียบกับ..พระพุทธเจ้า..ได้..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 14:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่...ก็มีคนพยายาม..ทำอยู่....ด้วยปัญญาเท่าที่เขามี...

แต่...จะใช่ความจริงมั้ย?....

ของให้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย...พิจารณาด้วยดีเถิด..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ก็ อยู่ในวิหารธรรมอันใด ก็ วิมุตติแล้วไงจ๊ะ

เรารู้ชัดอย่างนี้ว่า ก็ที่รู้ชัด คือ นี่ไงจ๊ะ

ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
ฐานะที่อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย
จะพึงเห็นได้ยาก
... ไงจ๊ะ

นั่นคือ อิทัปปจยตา ปฏิจสมุปบาท ซึ่งพระองค์กล่าวในลักษณะนี้
หมายความว่าพระองค์เห็นแล้ว
แต่ธรรมที่พระองค์เห็นนั้น เป็นธรรมที่ สัตว์...เห็นตามได้ยาก

ซึ่งเมื่อพระองค์เล่าถึงเมื่อครั้งตรัสรู้
พระองค์ก็สอนธรรมที่พระองค์บรรลุ ก็คือ อิทัปปัจยตา ปฏิจจสมุปบาท
ธรรมอันเป็นปัจจัย

เพราะความตั้งใจผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะวิตกเป็นปัจจัยบ้าง เพราะวิตกสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้วเป็นปัจจัยบ้าง.


ไม่ได้พระองค์กำลังเล่าว่า ตอนนั้นพระองค์หลง น๊ะจ๊ะ

:b32: :b32: :b32:



อันนี้ ก็เพราะ คุณคิดว่า ทรงกำลังอธิบายเรื่องที่คุณคิด คุณก็เลยโยงเรื่อง ให้ตรงกับสิ่งที่คุณคิด



ครั้งนั้น พระผู้พระภาค ทรงออกจากที่ หลีกเร้นโดยล่วงไป ๓ เดือนนั้น แล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแรกตรัสรู้ ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันใด เราอยู่แล้ว

โดยส่วนแห่งวิหารธรรมอันนั้น เรารู้ชัดอย่างนี้ว่า

เวทนาย่อมมี เพราะความเห็นผิดเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะความเห็นผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความเห็นสงบชอบ เป็นปัจจัยบ้าง ฯลฯ

เพราะความตั้งใจผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะวิตกเป็นปัจจัยบ้าง เพราะวิตกสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้วเป็นปัจจัยบ้าง.


แล้วที่พระองค์ทรงแสดงธรรมนี้ ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความหลง แต่นำมาแสดงเพื่อให้ทุกๆคนรู้ ในสิ่งที่ควรรู้ จึงเป็นที่มาของ โยนิสมนสิการ พูดไป คงคุยกันคนละเรื่อง


ส่วนผู้เขียน อธิบาย ตามเหตุและผล ที่นำมาแสดง มันก็เหตุของผู้เขียนเอง ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆหรอก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 16 ก.ค. 2012, 15:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อ..ตามสบาย....ก็ได้เลย..อิ...อิ...

พละอันเป็นพลวัต...ที่นำไปสู่การรู้ธรรม..เห็นธรรม..ของพระมหาโพธิสัตว์...กับ...สาวกภูมิ...ต่างกัน

เนื่องมาจาก....ความแก่กล้าของบารมี..สะสมมา...ยาวนาน..ไม่เท่ากัน

พระพุทธะสมณโคดต..ของเรา...

เมื่อแรก.ง..แห่งการดำริขึ้นในใจว่า...เราก็ปรารถณาความเป็นพระพุทธเจ้า....ก็ทรงบำเพ็ญเพียรต่อมาถึง....7 อสงไขย์...

ถึงได้เปล่งวาจาว่า....เราปรารถณาความเป็นพระพุทธเจ้า...
หลังจากเปล่งวาจาแล้ว.....ก็บำเพ็ญเพียรต่อมาอีก...8 อสงไขย์...ถึงพระศาสนาของพระพุทธเจ้าทีปังกร...จึงได้รับพุทธพยากร์...

หลังจากรับพุทธพยากรณ์แล้ว....ก็ทรงบำเพ็ญปรมัตถบารมี...มาอีก 4 อสงไขย์เศษแสนมหากัลป์...

ด้วยบารมีแก่กล้าขนาดนี้....ตบะพละ...จึงถึงความตรัสรู้ได้เอง...

แต่...สาวก...ทำมาแค่ 1 อสงไขย์กับอีกแสนกัลป์...เท่านั้นเอง...จึงต้องอาศัยผู้จุดประกาย..แนะแนวทางให้..

เราจึงไม่อาจ..จะใช้ลำดับการตรัสรู้ธรรมของสาวกะไปเทียบกับ..พระพุทธเจ้า..ได้..




กบนอกกะลา เขียน:
แต่...ก็มีคนพยายาม..ทำอยู่....ด้วยปัญญาเท่าที่เขามี...

แต่...จะใช่ความจริงมั้ย?....

ของให้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย...พิจารณาด้วยดีเถิด..







คุณอยากแสดงทิฏฐิอย่างไร นั่นเหตุของคุณ คุณเข้าใจว่าอย่างไร นั่นเหตุของคุณ ก็เหมือนทุกๆคน แค่ฟังเขาเล่ามา อ่านในตำรามา

ไหงมาออกท่าทางกิริยาแบบนี้ คุณนี่ ช่างหน้าไม่อายจริงๆ อะไรคือ จริง อะไรคือ เท็จ เอาอะไรมาวัด มีแค่เรื่องทิฏฐิของแต่ละคนเท่านั้นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 15:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
ก็ อยู่ในวิหารธรรมอันใด ก็ วิมุตติแล้วไงจ๊ะ

เรารู้ชัดอย่างนี้ว่า ก็ที่รู้ชัด คือ นี่ไงจ๊ะ

ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
ฐานะที่อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย
จะพึงเห็นได้ยาก
... ไงจ๊ะ

นั่นคือ อิทัปปจยตา ปฏิจสมุปบาท ซึ่งพระองค์กล่าวในลักษณะนี้
หมายความว่าพระองค์เห็นแล้ว
แต่ธรรมที่พระองค์เห็นนั้น เป็นธรรมที่ สัตว์...เห็นตามได้ยาก

ซึ่งเมื่อพระองค์เล่าถึงเมื่อครั้งตรัสรู้
พระองค์ก็สอนธรรมที่พระองค์บรรลุ ก็คือ อิทัปปัจยตา ปฏิจจสมุปบาท
ธรรมอันเป็นปัจจัย

เพราะความตั้งใจผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะวิตกเป็นปัจจัยบ้าง เพราะวิตกสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้วเป็นปัจจัยบ้าง.


ไม่ได้พระองค์กำลังเล่าว่า ตอนนั้นพระองค์หลง น๊ะจ๊ะ

:b32: :b32: :b32:



อันนี้ ก็เพราะ คุณคิดว่า ทรงกำลังอธิบายเรื่องที่คุณคิด คุณก็เลยโยงเรื่อง ให้ตรงกับสิ่งที่คุณคิด

.....

ส่วนผู้เขียน อธิบาย ตามเหตุและผล ที่นำมาแสดง มันก็เหตุของผู้เขียนเอง ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆหรอก


อิอิ พฤติกรรม อาจจะไม่แตกต่าง
แต่การเข้าถึงข้อมูล มันแตกต่างกันอยู่โขจร้า ... :b4: :b4:
ไม่เช่นนั้น การนำเสนอมันไม่ออกมาราวฟ้ากับเหว
เอ้ย..ไม่ใช่ ซ้ายกะขวาคนละมุมกันอย่างนี้หรอก น๊ะจ๊ะ...

:b13: :b13: :b13:

เพราะเข้าถึงทางหนึ่ง มันแสดง โสดาปัตติมรรค กะ มิจฉาสภาวะ ออกมานำเสนอ จร้า

ส่วนเข้าถึงอีกทาง มันแสดง อรหัตสัมมาสัมโพธิญาณ วิมุตติ ออกมานำเสนอ จร้า

ก็แล้วแต่ใครจะเชื่อใครนะจ๊ะ ...
เพราะ ข้าพเจ้า เอามันแล้วก็ ลั๊นลา ล่ะจร้า....

:b28: :b28:

:b29: :b29: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เพราะ ข้าพเจ้า เอามันแล้วก็ ลั๊นลา ล่ะจร้า....





ตัวผู้เขียน มองว่า มีเห็นด้วย หรือ มีไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องปกตินะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 19:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็แล้วแต่ใครจะเชื่อใคร ไงจ๊ะ

ก็ไปอย่างอื่นไม่ได้แล้ว ก็เป็นปกติอย่างนี้ทุกที

เป็นอย่างอื่นไม่เป็นเรยสักที

ลั๊ลลา

:b19: :b19:

ลั๊ลลา ไร้สาระมาแต่ต้นแล้วลั๊ลลา

:b19: :b19:

ก็ห้ามแสดงความเห็นขัดแย้งฉันหรือจ๊ะ ก็ไม่นี่ ใช่ม๊า ...
ใจกว้างไม่ใช่เหร๋อจ๊ะ ... รับได้อยู่แล้วเมื่อตั้งกระทู้แล้วมีคนมาแสดงความเห็นต่าง ..

:b13: :b13: ...


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 16 ก.ค. 2012, 20:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 19:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
เพราะ ข้าพเจ้า เอามันแล้วก็ ลั๊นลา ล่ะจร้า....



ตัวผู้เขียน มองว่า มีเห็นด้วย หรือ มีไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องปกตินะ


อิอิ ชอบหยอดมุขนี้นัก งั๊นย้ำอีกสักทีน๊ะจ๊ะ

eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
ก็ อยู่ในวิหารธรรมอันใด ก็ วิมุตติแล้วไงจ๊ะ

เรารู้ชัดอย่างนี้ว่า ก็ที่รู้ชัด คือ นี่ไงจ๊ะ

ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
ฐานะที่อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย
จะพึงเห็นได้ยาก
... ไงจ๊ะ

นั่นคือ อิทัปปจยตา ปฏิจสมุปบาท ซึ่งพระองค์กล่าวในลักษณะนี้
หมายความว่าพระองค์เห็นแล้ว
แต่ธรรมที่พระองค์เห็นนั้น เป็นธรรมที่ สัตว์...เห็นตามได้ยาก

ซึ่งเมื่อพระองค์เล่าถึงเมื่อครั้งตรัสรู้
พระองค์ก็สอนธรรมที่พระองค์บรรลุ ก็คือ อิทัปปัจยตา ปฏิจจสมุปบาท
ธรรมอันเป็นปัจจัย

เพราะความตั้งใจผิดเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจผิดสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะความตั้งใจชอบสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทะสงบเป็นปัจจัยบ้าง

เพราะวิตกเป็นปัจจัยบ้าง เพราะวิตกสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาเป็นปัจจัยบ้าง เพราะสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญายังไม่สงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะฉันทวิตกและสัญญาสงบเป็นปัจจัยบ้าง เพราะมีความพยายามเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง และเมื่อถึงฐานะนั้นแล้วเป็นปัจจัยบ้าง.


ไม่ได้พระองค์กำลังเล่าว่า ตอนนั้นพระองค์หลง น๊ะจ๊ะ

:b32: :b32: :b32:



อันนี้ ก็เพราะ คุณคิดว่า ทรงกำลังอธิบายเรื่องที่คุณคิด คุณก็เลยโยงเรื่อง ให้ตรงกับสิ่งที่คุณคิด

.....

ส่วนผู้เขียน อธิบาย ตามเหตุและผล ที่นำมาแสดง มันก็เหตุของผู้เขียนเอง ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆหรอก


อิอิ พฤติกรรม อาจจะไม่แตกต่าง
แต่การเข้าถึงข้อมูล มันแตกต่างกันอยู่โขจร้า ... :b4: :b4:
ไม่เช่นนั้น การนำเสนอมันไม่ออกมาราวฟ้ากับเหว
เอ้ย..ไม่ใช่ ซ้ายกะขวาคนละมุมกันอย่างนี้หรอก น๊ะจ๊ะ...

:b13: :b13: :b13:

เพราะเข้าถึงทางหนึ่ง มันแสดง โสดาปัตติมรรค กะ มิจฉาสภาวะ ออกมานำเสนอ จร้า

ส่วนเข้าถึงอีกทาง มันแสดง อรหัตสัมมาสัมโพธิญาณ วิมุตติ ออกมานำเสนอ จร้า

ก็แล้วแต่ใครจะเชื่อใครนะจ๊ะ ...
เพราะ ข้าพเจ้า เอามันแล้วก็ ลั๊นลา ล่ะจร้า....

:b28: :b28:

:b29: :b29: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 20:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


และจะเวียนย้ำอีกหลาย ๆ ที
จะได้ เห็น จะได้ ไม่เห็น กันชัด ๆ อย่างทั่วถึงไม่ตกขอบไหน

:b13:

ประมาณว่า เด๋วผู้ติดตามจะตามไม่ทันว่า โสดาปัตติมรรค มิจฉาสภาวะ มาจากไหน

และ วิมุตติสภาวะ อรหัตสัมมาสัมโพธิ โผล่มาได้ยังไง

5555555

rolleyes rolleyes rolleyes

อิอิ ถ้าคิดจะโชว์สปิริตของตัวเองโดยการเอาโสดาปัตติมรรค มิจฉาสภาวะ ไปใส่พระพุทธองค์

ขอโทษ ข้ามศพเราไปก่อน น๊ะจ๊ะ

เราไม่ได้มีอะไรดีเด่ไปกว่าใคร แต่ขอโทษ เราไม่อกตัญญู

:b6: :b6: :b6:

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.. แค่หอมปากหอมคอ ก็น่าจะพอ ..
ปุถุชนย่อมมีความเห็น มีทิฏฐิไม่เสมอกัน

ยอมกันบ้าง ก็เป็นสีสันของชีวิตและเป็นการฝึกฝนตน
หยุดก่อน เย็นก่อน สงบก่อน เสมอ ..นะ ตะเอง..

onion

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron