วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 08:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมจำไม่ได้หมดดอกว่า..กาลามสูตร..มีกี่ข้อ..แต่ละข้อว่าอย่างไรบ้าง

แต่ผมเข้าใจ...

ที่เขียนว่า....พิจารณาธรรมตามธรรม....

จะมีกี่ข้อ..แต่ละข้อว่าอย่างไร...ก็รวมได้เท่านี้...

ไปดู..ดี..ดี..อโสกะ..ผมว่า..ไม่เชื่อเพราะแค่เห็นว่าเป็นหนังสือ..นี้นะ..ผิดจากกาลามสูตร..ตรงไหน?

อย่าได้มีทิฏฐิ..อะไรมาก...จนอ่านอะไรก็ไม่พิจารณา..เลย


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 19:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b39:
ที่ยกเรื่องปมาทะธรรมมากล่าว ก็ด้วยความรักและห่วงใยคนที่มีพื้นจิตดีๆอย่างเอก้อนที่คบเห็นรู้จักกันมานานในลานธรรมนี้ หาใช่การลงแซ่หรือหวาย ไม้ อย่างใดไม่โปรดเข้าใจในกุศลเจตนา
:b27: :b31: :b4: :b4: :b4:
...
:b17: :b11:


อิอิ จร้าเข้าใจ พวกเราที่เดินวนเวียนอยู่ละแวกนี้
เป็นจำพวก ยิ่งรัก ก็ต้องยิ่งข่วนใช่ป๊ะ :b32: :b32: ...อิอิ...จร้า

จริง ๆ เอกอนไม่เคยต้องห่วงว่าเอกอนจะ
เผลอ ปมาทะ ไปโดนพระพุทธองค์ หรือพระธรรมของพระพุทธองค์หรอก
เห็นก็มีแต่จะไปโดนอย่างอื่นน่ะ ... :b13: :b4:

อิอิ .. :b9: :b9:


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจฉิมโอวาท พระวาจาครั้งสุดท้ายว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ ตถาคตขอเตือน
เธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย เสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย
จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ ตถาคตขอเตือน
เธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย เสื่อมไปเป็นธรรมดา
ประโยคนี้ สำหรับคุนน้องแล้ว ทำให้แจ้งในอริยะสัจสี่เธอทั้งหลาย
จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิดส่วนประโยคสีแดง คุนน้องเข้าใจว่าพระพุทธองค์ตรัสให้เรา เจริญอิทธิบาท4 บารมี10ทัศ สังเกตุตรงที่บอกว่า ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน โดยยึดหลักพรหมวิหาร4 ส่วนที่ขีดเส้นใต้หมายถึง เราจักได้ไม่ประมาทเพื่อไม่ให้นำตนไปสู่อบายภูมิเมื่อบารมีเราถึงพร้อมจิตจะประหารกิเลศเอง สิ่งที่พระพุทธองค์กล่าวและห่วงที่สุดคือ มนุษย์ร่วงลงไปสุ่อบายภูมิ มากกว่าจะตรัสว่าให้เราทำอย่างไรจะนิพพานให้แจ้ง :b8:


โพสต์ เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 01:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ในเมื่อพญามารกล่าวทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า

ดูก่อน มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับการแนะนำ
ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่เป็นพหูสูต ยังไม่ทรงธรรม เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๒. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่ปฏิบัติธรรมเสมอสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๓. ภิกษุเป็นต้นนั้น เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนกแจกแจง อธิบายธรรมให้ง่ายยังไม่ได้ เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๔. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมให้เกิดผลมหัศจรรย์)
ข่มขี่ปรัปวาท (การว่าร้าย จ้วงจาบพระธรรมวินัย)ที่เกิดขึ้นให้ราบคาบโดยถูกต้องตามธรรม
เราตถาคตจะยังไม่ปรินิพพาน
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
จุดประทีปให้สว่างในที่มืด นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีอะไรที่จะทรงสั่งสอนอีกต่อไป ท่านจึงรับอาราธนาจากพญามารเพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

รู้ไหมพระสูตรที่ท่านอโสกะหยิบยกมากล่าวอ้างนี่แปลความหมายในพระสูตรนี้ได้ไหม รู้ไหมทำไมพระพุทธองค์ถึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั่นเห็นเราตถาคตเพราะคนที่เห็นธรรมก็คือเราในตถาคต แล้ว พญามาร ของเราเป็นใคร พญามารก็คือ กิเลศ สิ่งที่ขัดขวางความดี ดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ผู้ที่จะไม่กลับมาเกิด
แล้วพระพุทธองค์จะใช้คำแทนความเป็นสัมพัญญูด้วย เราตถาคต เพื่อให้ผู้มีปัญญาเข้าถึงแก่นธรรมของพระพุทธองค์
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
อันนี้หมายถึง เราในตถาคต คือคนที่เห็นธรรม เราก็จะหลุดพ้นอุ้งมือพญามาร ดับขันปรินิพพานเช่นกัน
คุนน้องหมดความสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์แล้ว คุนน้องไม่ได้จำธรรมของพระพุทธองค์แบบอ่านแล้วท่องจำ วิเคาะห์ แต่คุนน้องใช้ปัญญาพิจารณาธรรมของพระพุทธองค์ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 05:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ในเมื่อพญามารกล่าวทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า

ดูก่อน มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับการแนะนำ
ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่เป็นพหูสูต ยังไม่ทรงธรรม เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๒. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่ปฏิบัติธรรมเสมอสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๓. ภิกษุเป็นต้นนั้น เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนกแจกแจง อธิบายธรรมให้ง่ายยังไม่ได้ เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๔. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมให้เกิดผลมหัศจรรย์)
ข่มขี่ปรัปวาท (การว่าร้าย จ้วงจาบพระธรรมวินัย)ที่เกิดขึ้นให้ราบคาบโดยถูกต้องตามธรรม
เราตถาคตจะยังไม่ปรินิพพาน
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
จุดประทีปให้สว่างในที่มืด นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีอะไรที่จะทรงสั่งสอนอีกต่อไป ท่านจึงรับอาราธนาจากพญามารเพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

รู้ไหมพระสูตรที่ท่านอโสกะหยิบยกมากล่าวอ้างนี่แปลความหมายในพระสูตรนี้ได้ไหม รู้ไหมทำไมพระพุทธองค์ถึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั่นเห็นเราตถาคตเพราะคนที่เห็นธรรมก็คือเราในตถาคต แล้ว พญามาร ของเราเป็นใคร พญามารก็คือ กิเลศ สิ่งที่ขัดขวางความดี ดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ผู้ที่จะไม่กลับมาเกิด
แล้วพระพุทธองค์จะใช้คำแทนความเป็นสัมพัญญูด้วย เราตถาคต เพื่อให้ผู้มีปัญญาเข้าถึงแก่นธรรมของพระพุทธองค์
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
อันนี้หมายถึง เราในตถาคต คือคนที่เห็นธรรม เราก็จะหลุดพ้นอุ้งมือพญามาร ดับขันปรินิพพานเช่นกัน
คุนน้องหมดความสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์แล้ว คุนน้องไม่ได้จำธรรมของพระพุทธองค์แบบอ่านแล้วท่องจำ วิเคาะห์ แต่คุนน้องใช้ปัญญาพิจารณาธรรมของพระพุทธองค์ :b8:

:b27:
อืม ! วันนี้มีสัมมาวาจา พูดอะไรก็เป็นศีลเป็นธรรมดีแล้ว อนุโมทนาด้วยเน้อ..........
:b8: :b12: :b12: :b12:
:b31: :b31: :b31: :b31:
:b4: :b4: :b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เนื้อหาที่เป็นประเด็นหลักในพระพุทธพจน์ที่ปรากฏในธัมมจักกัปปวัตนสูตรโดยสรุปมีดังนี้

...ภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจ คือ ความจริงที่ช่วยมนุษย์ให้เป็นผู้ประเสริฐเกี่ยวกับการพิจารณาเห็นทุกข์ เป็นอย่างนี้ คือ การเข้าใจว่า "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ล้วนแต่ เป็นทุกข์ แม้แต่ความโศรกเศร้าเสียใจ ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ทั้งความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ว่าโดยย่อ การยึดมั่นแบบฝังใจ ว่า เบญจขันธ์ (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ว่าเป็น อัตตา เป็นตัวเรา เป็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์แท้จริง

ภิกษุทั้งหลาย เหตุทำให้เกิดความทุกข์ (สมุหทัย) มีอย่างนี้ คือ ความอยากเกินควร ที่เรียกว่า ทะยานอยาก ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นไปด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน มัวเพลิดเพลินอย่างหลงระเริงในสิ่งที่ก่อให้เกิดความกำหนัดรักใคร่นั้นๆ ได้แก่
1.ความทะยานอยากในสิ่งที่ก่อให้เกิดความใคร่
2.ความทะยานอยากในความอยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่
3.ความทะยานอยากในความที่จะพ้นจากภาวะที่ไม่อยากเป็๋น เช่น ไม่อยากจะเป็นคนไร้เกียรติ ไร้ยศ เป็นต้น อยากจะดับสูญไปเลย ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้

ภิกษุทั้งหลาย นิโรธ คือ ความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ ดับความกำหนัดอย่างสิ้นเชิง มิให้ตัณหาเหลือยู่ สละตัณหา ปล่อยวางตัณหาข้ามพ้นจากตัณหา ไม่มีเยื่อใยในตัณหา

ภิกษุทั้งหลาย ทุกขโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ได้แก่ (1) ความเห็นชอบ (2) ความดำริชอบ (3) วาจาชอบ (4) การงานชอบ (5) เลี้ยงชีวิตชอบ (6) ความเพียรชอบ (7) ความระลึกชอบ (8) ความตั้งจิตมั่นชอบ...

(อันนี้สำคัญ
ทุกขอริยสัจ ควรกำหนดรู้.
ทุกขสมุทัยอริยสัจ ควรละเสีย
ทุกขนิโรธอริยสัจ ควรทำให้แจ้ง
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์แปด ควรเจริญ
)

ปัจฉิมโอวาท พระวาจาครั้งสุดท้าย
ว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ ตถาคตขอเตือน
เธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย เสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย
จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”


ท่านเห็น ความต่างของ ทั้ง 2 โอวาท นี้ เป็นเช่นไร สุดท้าย ทำไม พระองค์จึงกล่าวเพียงแค่นั้น

:b8:
ศึกษาแค่นี้ก็บรรลุธรรมแล้ว แจ่มแจ้ง สว่างไสว

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ในเมื่อพญามารกล่าวทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า

ดูก่อน มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับการแนะนำ
ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่เป็นพหูสูต ยังไม่ทรงธรรม เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๒. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่ปฏิบัติธรรมเสมอสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๓. ภิกษุเป็นต้นนั้น เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนกแจกแจง อธิบายธรรมให้ง่ายยังไม่ได้ เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๔. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมให้เกิดผลมหัศจรรย์)
ข่มขี่ปรัปวาท (การว่าร้าย จ้วงจาบพระธรรมวินัย)ที่เกิดขึ้นให้ราบคาบโดยถูกต้องตามธรรม
เราตถาคตจะยังไม่ปรินิพพาน
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
จุดประทีปให้สว่างในที่มืด นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีอะไรที่จะทรงสั่งสอนอีกต่อไป ท่านจึงรับอาราธนาจากพญามารเพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

รู้ไหมพระสูตรที่ท่านอโสกะหยิบยกมากล่าวอ้างนี่แปลความหมายในพระสูตรนี้ได้ไหม รู้ไหมทำไมพระพุทธองค์ถึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั่นเห็นเราตถาคตเพราะคนที่เห็นธรรมก็คือเราในตถาคต แล้ว พญามาร ของเราเป็นใคร พญามารก็คือ กิเลศ สิ่งที่ขัดขวางความดี ดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ผู้ที่จะไม่กลับมาเกิด
แล้วพระพุทธองค์จะใช้คำแทนความเป็นสัมพัญญูด้วย เราตถาคต เพื่อให้ผู้มีปัญญาเข้าถึงแก่นธรรมของพระพุทธองค์
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
อันนี้หมายถึง เราในตถาคต คือคนที่เห็นธรรม เราก็จะหลุดพ้นอุ้งมือพญามาร ดับขันปรินิพพานเช่นกัน
คุนน้องหมดความสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์แล้ว คุนน้องไม่ได้จำธรรมของพระพุทธองค์แบบอ่านแล้วท่องจำ วิเคาะห์ แต่คุนน้องใช้ปัญญาพิจารณาธรรมของพระพุทธองค์ :b8:

:b27:
อืม ! วันนี้มีสัมมาวาจา พูดอะไรก็เป็นศีลเป็นธรรมดีแล้ว อนุโมทนาด้วยเน้อ..........
:b8: :b12: :b12: :b12:
:b31: :b31: :b31: :b31:
:b4: :b4: :b4: :b4:
เข้าถึง เข้าถึง ง่ายๆแต่ลึกซึ้ง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ในเมื่อพญามารกล่าวทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า

ดูก่อน มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับการแนะนำ
ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่เป็นพหูสูต ยังไม่ทรงธรรม เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๒. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่ปฏิบัติธรรมเสมอสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๓. ภิกษุเป็นต้นนั้น เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนกแจกแจง อธิบายธรรมให้ง่ายยังไม่ได้
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๔. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมให้เกิดผลมหัศจรรย์)
ข่มขี่ปรัปวาท (การว่าร้าย จ้วงจาบพระธรรมวินัย)ที่เกิดขึ้นให้ราบคาบโดยถูกต้องตามธรรม
เราตถาคตจะยังไม่ปรินิพพาน
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
จุดประทีปให้สว่างในที่มืด นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีอะไรที่จะทรงสั่งสอนอีกต่อไป ท่านจึงรับอาราธนาจากพญามารเพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

รู้ไหมพระสูตรที่ท่านอโสกะหยิบยกมากล่าวอ้างนี่แปลความหมายในพระสูตรนี้ได้ไหม รู้ไหมทำไมพระพุทธองค์ถึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั่นเห็นเราตถาคตเพราะคนที่เห็นธรรมก็คือเราในตถาคต แล้ว พญามาร ของเราเป็นใคร พญามารก็คือ กิเลศ สิ่งที่ขัดขวางความดี ดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ผู้ที่จะไม่กลับมาเกิด
แล้วพระพุทธองค์จะใช้คำแทนความเป็นสัมพัญญูด้วย เราตถาคต เพื่อให้ผู้มีปัญญาเข้าถึงแก่นธรรมของพระพุทธองค์
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
อันนี้หมายถึง เราในตถาคต คือคนที่เห็นธรรม เราก็จะหลุดพ้นอุ้งมือพญามาร ดับขันปรินิพพานเช่นกัน
คุนน้องหมดความสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์แล้ว คุนน้องไม่ได้จำธรรมของพระพุทธองค์แบบอ่านแล้วท่องจำ วิเคาะห์ แต่คุนน้องใช้ปัญญาพิจารณาธรรมของพระพุทธองค์ :b8:

:b27:
อืม ! วันนี้มีสัมมาวาจา พูดอะไรก็เป็นศีลเป็นธรรมดีแล้ว อนุโมทนาด้วยเน้อ..........
:b8: :b12: :b12: :b12:
:b31: :b31: :b31: :b31:
:b4: :b4: :b4: :b4:
เข้าถึง เข้าถึง ง่ายๆแต่ลึกซึ้ง

ถ้ายังแสดงธรรมของพระพุทธองค์ให้ เข้าใจง่ายๆไม่ได้..ก็ยังไม่ใช่ลูกศิษของพระพุทธองค์ ก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้ให้ได้เจ้าค่ะ :b8: :b43:


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ในเมื่อพญามารกล่าวทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า

ดูก่อน มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับการแนะนำ
ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่เป็นพหูสูต ยังไม่ทรงธรรม เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๒. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่ปฏิบัติธรรมเสมอสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๓. ภิกษุเป็นต้นนั้น เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนกแจกแจง อธิบายธรรมให้ง่ายยังไม่ได้
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๔. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมให้เกิดผลมหัศจรรย์)
ข่มขี่ปรัปวาท (การว่าร้าย จ้วงจาบพระธรรมวินัย)ที่เกิดขึ้นให้ราบคาบโดยถูกต้องตามธรรม
เราตถาคตจะยังไม่ปรินิพพาน
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
จุดประทีปให้สว่างในที่มืด นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีอะไรที่จะทรงสั่งสอนอีกต่อไป ท่านจึงรับอาราธนาจากพญามารเพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

รู้ไหมพระสูตรที่ท่านอโสกะหยิบยกมากล่าวอ้างนี่แปลความหมายในพระสูตรนี้ได้ไหม รู้ไหมทำไมพระพุทธองค์ถึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั่นเห็นเราตถาคตเพราะคนที่เห็นธรรมก็คือเราในตถาคต แล้ว พญามาร ของเราเป็นใคร พญามารก็คือ กิเลศ สิ่งที่ขัดขวางความดี ดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ผู้ที่จะไม่กลับมาเกิด
แล้วพระพุทธองค์จะใช้คำแทนความเป็นสัมพัญญูด้วย เราตถาคต เพื่อให้ผู้มีปัญญาเข้าถึงแก่นธรรมของพระพุทธองค์
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
อันนี้หมายถึง เราในตถาคต คือคนที่เห็นธรรม เราก็จะหลุดพ้นอุ้งมือพญามาร ดับขันปรินิพพานเช่นกัน
คุนน้องหมดความสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์แล้ว คุนน้องไม่ได้จำธรรมของพระพุทธองค์แบบอ่านแล้วท่องจำ วิเคาะห์ แต่คุนน้องใช้ปัญญาพิจารณาธรรมของพระพุทธองค์ :b8:

:b27:
อืม ! วันนี้มีสัมมาวาจา พูดอะไรก็เป็นศีลเป็นธรรมดีแล้ว อนุโมทนาด้วยเน้อ..........
:b8: :b12: :b12: :b12:
:b31: :b31: :b31: :b31:
:b4: :b4: :b4: :b4:
เข้าถึง เข้าถึง ง่ายๆแต่ลึกซึ้ง

ถ้ายังแสดงธรรมของพระพุทธองค์ให้ เข้าใจง่ายๆไม่ได้..ก็ยังไม่ใช่ลูกศิษของพระพุทธองค์ ก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้ให้ได้เจ้าค่ะ :b8: :b43:
เอาแบบตรงๆเข้าใจง่ายๆเลยนะ เรียนรู้เรื่องทกข์ในอริยสัจข้อ1ให้เข้าใจเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์อย่างไรข้อนี้เป็นผล ทำไมพระพุทธถึงถึงหาทางออก พอเข้าใจก็รับรู้ไว้นี้เป็น (กิจที่ควรกำหนดรู้)ถ้ายังคิดไม่ได้ ยังอยากล่องลอยดมขี่เต่าสามีอยู่ก็ตามสบาย ถ้าคิดได้เบื่อหน่าย ก็เดินก้าวที่2 เข้าไปเรียนรู้กิจในอริยสัญข้อที่2 กำหนดละ ละอะไรถ้าไม่รู้ก็เอาตำรามาเปิดดูตัญหา3 (ลองทานข้าวมื้อเดียวดูซิ ลองเลิกกิจกรรมบนเตียงดูซิ ลองงดดูหนังดูละครซิ ลองเลิกเดินช๊อปปิ้งดู เอาง่ายๆแค่นี้ก่อน) ถ้าทำได้ก็เกินครึ่งทางแล้ว เพราะทุกข์ดับที่เหตุอะๆๆอย่าพึ่งตกใจนะ มันไม่อยากหรอก ถ้าแรกกับการตายซ้ำซากนะ ส่วนข้อ3นิโรธ กิจของเขาคือ ควารทำให้แจ้ง ข้อนี่เป็นผลจากการปฎิบัติข้อที่4 คุณรู้จักความมืดมั้ย เวลาคุณกลับเข้าบ้านตอนกลางคืน คุณยังมองไม่เห็นอะไร พอคุณเปิดไฟมันก็สว่างใช่มั้น นั้นแหละครับความสว่างที่มันทำให้ความมืดหายไป ส่วนข้อ4ข้อสุดท้าย มรรค ควรทำให้เจริญขึ้น ควารทำให้เจริญอย่างไร (บารมี10ทัศนั้นแหละทำเยอะๆ โพธิปักขิยธรรมนั้นแหละ ศิลสิกขา สมาธิสิกขา ปัญญาสิกขา) แต่มรรคเดินด้วยปัญญาก่อนนะ สำหรับคุณไม่ต้องละเอียดกว่านี้นะน่าจะเข้าใจได้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ในเมื่อพญามารกล่าวทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า

ดูก่อน มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับการแนะนำ
ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่เป็นพหูสูต ยังไม่ทรงธรรม เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๒. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่ปฏิบัติธรรมเสมอสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๓. ภิกษุเป็นต้นนั้น เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนกแจกแจง อธิบายธรรมให้ง่ายยังไม่ได้
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๔. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมให้เกิดผลมหัศจรรย์)
ข่มขี่ปรัปวาท (การว่าร้าย จ้วงจาบพระธรรมวินัย)ที่เกิดขึ้นให้ราบคาบโดยถูกต้องตามธรรม
เราตถาคตจะยังไม่ปรินิพพาน
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
จุดประทีปให้สว่างในที่มืด นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีอะไรที่จะทรงสั่งสอนอีกต่อไป ท่านจึงรับอาราธนาจากพญามารเพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

รู้ไหมพระสูตรที่ท่านอโสกะหยิบยกมากล่าวอ้างนี่แปลความหมายในพระสูตรนี้ได้ไหม รู้ไหมทำไมพระพุทธองค์ถึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั่นเห็นเราตถาคตเพราะคนที่เห็นธรรมก็คือเราในตถาคต แล้ว พญามาร ของเราเป็นใคร พญามารก็คือ กิเลศ สิ่งที่ขัดขวางความดี ดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ผู้ที่จะไม่กลับมาเกิด
แล้วพระพุทธองค์จะใช้คำแทนความเป็นสัมพัญญูด้วย เราตถาคต เพื่อให้ผู้มีปัญญาเข้าถึงแก่นธรรมของพระพุทธองค์
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
อันนี้หมายถึง เราในตถาคต คือคนที่เห็นธรรม เราก็จะหลุดพ้นอุ้งมือพญามาร ดับขันปรินิพพานเช่นกัน
คุนน้องหมดความสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์แล้ว คุนน้องไม่ได้จำธรรมของพระพุทธองค์แบบอ่านแล้วท่องจำ วิเคาะห์ แต่คุนน้องใช้ปัญญาพิจารณาธรรมของพระพุทธองค์ :b8:

:b27:
อืม ! วันนี้มีสัมมาวาจา พูดอะไรก็เป็นศีลเป็นธรรมดีแล้ว อนุโมทนาด้วยเน้อ..........
:b8: :b12: :b12: :b12:
:b31: :b31: :b31: :b31:
:b4: :b4: :b4: :b4:
เข้าถึง เข้าถึง ง่ายๆแต่ลึกซึ้ง

ถ้ายังแสดงธรรมของพระพุทธองค์ให้ เข้าใจง่ายๆไม่ได้..ก็ยังไม่ใช่ลูกศิษของพระพุทธองค์ ก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้ให้ได้เจ้าค่ะ :b8: :b43:
เอาแบบตรงๆเข้าใจง่ายๆเลยนะ เรียนรู้เรื่องทกข์ในอริยสัจข้อ1ให้เข้าใจเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์อย่างไรข้อนี้เป็นผล ทำไมพระพุทธถึงถึงหาทางออก พอเข้าใจก็รับรู้ไว้นี้เป็น (กิจที่ควรกำหนดรู้)ถ้ายังคิดไม่ได้ ยังอยากล่องลอยดมขี่เต่าสามีอยู่ก็ตามสบาย ถ้าคิดได้เบื่อหน่าย ก็เดินก้าวที่2 เข้าไปเรียนรู้กิจในอริยสัญข้อที่2 กำหนดละ ละอะไรถ้าไม่รู้ก็เอาตำรามาเปิดดูตัญหา3 (ลองทานข้าวมื้อเดียวดูซิ ลองเลิกกิจกรรมบนเตียงดูซิ ลองงดดูหนังดูละครซิ ลองเลิกเดินช๊อปปิ้งดู เอาง่ายๆแค่นี้ก่อน) ถ้าทำได้ก็เกินครึ่งทางแล้ว เพราะทุกข์ดับที่เหตุอะๆๆอย่าพึ่งตกใจนะ มันไม่อยากหรอก ถ้าแรกกับการตายซ้ำซากนะ ส่วนข้อ3นิโรธ กิจของเขาคือ ควารทำให้แจ้ง ข้อนี่เป็นผลจากการปฎิบัติข้อที่4 คุณรู้จักความมืดมั้ย เวลาคุณกลับเข้าบ้านตอนกลางคืน คุณยังมองไม่เห็นอะไร พอคุณเปิดไฟมันก็สว่างใช่มั้น นั้นแหละครับความสว่างที่มันทำให้ความมืดหายไป ส่วนข้อ4ข้อสุดท้าย มรรค ควรทำให้เจริญขึ้น ควารทำให้เจริญอย่างไร (บารมี10ทัศนั้นแหละทำเยอะๆ โพธิปักขิยธรรมนั้นแหละ ศิลสิกขา สมาธิสิกขา ปัญญาสิกขา) แต่มรรคเดินด้วยปัญญาก่อนนะ สำหรับคุณไม่ต้องละเอียดกว่านี้นะน่าจะเข้าใจได้

คุนน้องผ่านสภาวะนั้นมาหมดแล้วเจ้าค่ะ ช่วงแรกต้องเจอสภาวะเบื่อโลก เบื่อสังขาร กว่าจะหลุดออกมาได้ :b8: ตอนนี้คือเดินอยู่บนเส้นทางแห่งมรรค 8 :b43: :b41:


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
nongkong เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ในเมื่อพญามารกล่าวทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า

ดูก่อน มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับการแนะนำ
ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่เป็นพหูสูต ยังไม่ทรงธรรม เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๒. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่ปฏิบัติธรรมเสมอสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๓. ภิกษุเป็นต้นนั้น เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนกแจกแจง อธิบายธรรมให้ง่ายยังไม่ได้
เราตถาคตยังจะไม่ปรินิพพาน๔. ภิกษุเป็นต้นนั้น ยังไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมให้เกิดผลมหัศจรรย์)
ข่มขี่ปรัปวาท (การว่าร้าย จ้วงจาบพระธรรมวินัย)ที่เกิดขึ้นให้ราบคาบโดยถูกต้องตามธรรม
เราตถาคตจะยังไม่ปรินิพพาน
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
จุดประทีปให้สว่างในที่มืด นั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีอะไรที่จะทรงสั่งสอนอีกต่อไป ท่านจึงรับอาราธนาจากพญามารเพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

รู้ไหมพระสูตรที่ท่านอโสกะหยิบยกมากล่าวอ้างนี่แปลความหมายในพระสูตรนี้ได้ไหม รู้ไหมทำไมพระพุทธองค์ถึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั่นเห็นเราตถาคตเพราะคนที่เห็นธรรมก็คือเราในตถาคต แล้ว พญามาร ของเราเป็นใคร พญามารก็คือ กิเลศ สิ่งที่ขัดขวางความดี ดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ผู้ที่จะไม่กลับมาเกิด
แล้วพระพุทธองค์จะใช้คำแทนความเป็นสัมพัญญูด้วย เราตถาคต เพื่อให้ผู้มีปัญญาเข้าถึงแก่นธรรมของพระพุทธองค์
ในเมื่อธรรมของพระองค์เปรียบเหมือน หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด ชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง
อันนี้หมายถึง เราในตถาคต คือคนที่เห็นธรรม เราก็จะหลุดพ้นอุ้งมือพญามาร ดับขันปรินิพพานเช่นกัน
คุนน้องหมดความสงสัยในธรรมของพระพุทธองค์แล้ว คุนน้องไม่ได้จำธรรมของพระพุทธองค์แบบอ่านแล้วท่องจำ วิเคาะห์ แต่คุนน้องใช้ปัญญาพิจารณาธรรมของพระพุทธองค์ :b8:

:b27:
อืม ! วันนี้มีสัมมาวาจา พูดอะไรก็เป็นศีลเป็นธรรมดีแล้ว อนุโมทนาด้วยเน้อ..........
:b8: :b12: :b12: :b12:
:b31: :b31: :b31: :b31:
:b4: :b4: :b4: :b4:
เข้าถึง เข้าถึง ง่ายๆแต่ลึกซึ้ง

ถ้ายังแสดงธรรมของพระพุทธองค์ให้ เข้าใจง่ายๆไม่ได้..ก็ยังไม่ใช่ลูกศิษของพระพุทธองค์ ก็ต้องผ่านขั้นตอนนี้ให้ได้เจ้าค่ะ :b8: :b43:
เอาแบบตรงๆเข้าใจง่ายๆเลยนะ เรียนรู้เรื่องทกข์ในอริยสัจข้อ1ให้เข้าใจเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์อย่างไรข้อนี้เป็นผล ทำไมพระพุทธถึงถึงหาทางออก พอเข้าใจก็รับรู้ไว้นี้เป็น (กิจที่ควรกำหนดรู้)ถ้ายังคิดไม่ได้ ยังอยากล่องลอยดมขี่เต่าสามีอยู่ก็ตามสบาย ถ้าคิดได้เบื่อหน่าย ก็เดินก้าวที่2 เข้าไปเรียนรู้กิจในอริยสัญข้อที่2 กำหนดละ ละอะไรถ้าไม่รู้ก็เอาตำรามาเปิดดูตัญหา3 (ลองทานข้าวมื้อเดียวดูซิ ลองเลิกกิจกรรมบนเตียงดูซิ ลองงดดูหนังดูละครซิ ลองเลิกเดินช๊อปปิ้งดู เอาง่ายๆแค่นี้ก่อน) ถ้าทำได้ก็เกินครึ่งทางแล้ว เพราะทุกข์ดับที่เหตุอะๆๆอย่าพึ่งตกใจนะ มันไม่อยากหรอก ถ้าแรกกับการตายซ้ำซากนะ ส่วนข้อ3นิโรธ กิจของเขาคือ ควารทำให้แจ้ง ข้อนี่เป็นผลจากการปฎิบัติข้อที่4 คุณรู้จักความมืดมั้ย เวลาคุณกลับเข้าบ้านตอนกลางคืน คุณยังมองไม่เห็นอะไร พอคุณเปิดไฟมันก็สว่างใช่มั้น นั้นแหละครับความสว่างที่มันทำให้ความมืดหายไป ส่วนข้อ4ข้อสุดท้าย มรรค ควรทำให้เจริญขึ้น ควารทำให้เจริญอย่างไร (บารมี10ทัศนั้นแหละทำเยอะๆ โพธิปักขิยธรรมนั้นแหละ ศิลสิกขา สมาธิสิกขา ปัญญาสิกขา) แต่มรรคเดินด้วยปัญญาก่อนนะ สำหรับคุณไม่ต้องละเอียดกว่านี้นะน่าจะเข้าใจได้

คุนน้องผ่านสภาวะนั้นมาหมดแล้วเจ้าค่ะ ช่วงแรกต้องเจอสภาวะเบื่อโลก เบื่อสังขาร กว่าจะหลุดออกมาได้ :b8: ตอนนี้คือเดินอยู่บนเส้นทางแห่งมรรค 8 :b43: :b41:
ขออนุโมทนาจากใจครับ สู้ๆครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron