วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 13:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 07:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
:b45:
(ต่อครับ)
ท่านอัญญาโกณฑัณญะ และปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีก ๔ รูปบรรลุธรรมจนถึงความเป็นพระอรหันต์ด้วยความรู้ภาคปริยัติเพียง 2 เรื่อง คือ อริยสัจ ๔ จากปฐมเทศนา และอนัตตลักขณสูตร
:b48:
ชฎิลดาบส ๓ พี่น้องพร้อมบริวาร บรรลุธรรมจนถึงพระอรหันต์ด้วยอาทิตตปริยายสูตร
:b41:
ท่านอุปติสสะและโกลิตตะ คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะอรรคสาวก บรรลุธรรมเป็นโสดาบันทันทีด้วยคาถา “เยธฺมมาหุปพฺพวา เตสฺเหตํ ตถาคตา เตสฺญจโย นิโรโธจ เอวํวาที มหาสมโณ”ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุเหล่านั้น และวิธีดับเหตุเหล่านั้นนี่คือวาทะของพระมหาสมณะ” แล้วเมื่อทำความเพียรต่ออีก ๗ วัน ๑๕ วันก็ได้บรรลุธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์
:b42:
ท่านองคุลีมาลวางดาบเปื้อนเลือดลงฟังอริยสัจจธรรมก็ได้บรรลุธรรมโดยลำดับ
:b44:
ท่านพาหิยะ ได้ฟังข้อธรรมเรื่องอนัตตา คือสรุปว่า “เมื่อไม่มีพาหิยะ(หรือเรา หรืออัตตาหรือ
กู)ในที่ใดๆ ก็ย่อมไม่มีอะไร” เพียงแค่นั้นก็บรรลุธรรมโดยลำดับจนถึงความเป็นพระอรหันต์
:b51:
แต่ท่านโพธิละผู้ท่องจำข้อธรรมเก่งจนถูกเปรียบว่าเหมือนพระไตรปิฎกเดินได้ กลับเนิ่นช้า
คำสอนของท่านสมัยเป็นภิกษุปุถุชนเพียง ๑ – ๒ สูตรหรือคาถา พุทธภาษิตเพียงไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ลูกศิษย์ของท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ตัวท่านเองกลับบรรลุธรรมช้าจนพระพุทธบิดาต้องมาทรมาณมานะทิฏฐิของท่าน จนเป็นเหตุให้ท่านได้ไปขอเรียนธรรมมจากอรหันต์สามเณรน้อย จึงได้บรรลุธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ข้อธรรมของสามเณรน้อยก็เป็นแค่ปริศนาธรรมเรื่องจอมปลวกมีรู ๖ รู ปิดเสีย ๕ รูแล้วคอยจับตัวเหี้ยที่อยู่ในจอมปลวกที่รูที่ ๖ เพียงเท่านนี้ ท่านโพธิละใช้ปัญญาและสติพิจารณาตีความแตก ก็ได้บรรลุธรรม
:b53:
หลายท่านอาจนึกค้านในใจว่า ก็ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้บำเพ็ญบารมีมาหลายกัปป์หลายกัลป์หลายอสงขัย จึงเป็นเหตุให้บรรลุธรรมเร็ว ก็เลยอยากจะให้ทุกท่านได้ลองฉุกคิดว่ามนุษย์ทุกคน จิตวิญญาณทุกดวงล้วนได้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิทั้ง ๓๑ ภพภูมิบำเพ็ญบารมี กุศลอกุศลกันมานับชาติไม่ถ้วนเช่นกัน จะไม่มีปูมหลังพอที่จะหนุนสติปัญญาในชาตินี้ให้ได้ฟังธรรมศึกษาธรรมอย่างจริงจังและลึกซึ้งเพียงสูตรเดียว คาถาเดียว ภาษิตเดียว หรือ สองสาม แล้วมีปัญญา สติ สมาธิ พิจารณาตาม จนเกิดดวงตาเห็นธรรมได้
แต่เท่าที่สังเกตการณ์มานานในลานธรรมทั้งหลาย มีผู้รู้มากมายที่เชี่ยวชาญในการอ้างคัมภีร์พระไตรปิฎกเกือบจะเหมือนท่านโพธิละเถระในครั้งพุทธกาล ฟังการปุจฉาวิสัสชนาธรรมกันแล้วเหมือนพระอริยเจ้ามาสนทนากัน อันน่าจะเป็นเครื่องหมายบอกว่ามีพระอริยเจ้าเพิ่มมากขึ้นกว่าสมัยก่อนๆเพราะการศึกษาธรรมสมัยนี้ง่ายมากเมื่อมีสื่อหนังสือ เอกสาร แถบเสียง ทีวี วิดิโอ อินเตอร์เนท คอยอำนวยความสะดวกให้ในการศึกษาธรรม ฟังธรรม
:b54:
แต่ทำไมจำนวนพระอริยเจ้ากลับลดน้อยถอยลงไปทุกทีจะหาให้ได้กราบไหว้สักทีก็แสนยาก เป็นเพราะอะไรหนอ อะไรมาเป็นเงา อะไรมาเป็นเส้นผมปิ ดบังตาคนในสมัยปัจจุบัน?
:b53:
พูดมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจเริ่มนึกค้านว่าผู้เขียนกำลังต่อต้านการศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่างๆหรือเปล่า ขอกราบเรียนว่าอาจเคยมีจิตต่อต้านเมื่อครั้งใหม่ๆ แต่เมื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมไปพิสูจน์ความจริงไปนานๆ ได้ย้อนวิเคราะห์ สังเกตการณ์จึงได้ข้อคิดสะกิดใจว่า
“ปริยัติทั้งหลายทั้งในและนอกคัมภีร์นั้นดีแน่ แต่พึงควรเลือกเฟ้นศึกษาเจาะลึกเฉพาะสูตรหรือคาถา ภาษิต ที่ประทับใจ โดนใจจริงๆ สักเพียง ๑ หรือ สองสาม จนได้หลักปฏิบัติเฉพาะตน นำมาค้นคว้าทดลอง พิสูจน์หาความจริงด้วยตนเองอย่างจริงจัง ก็น่าจะเป็นที่หวังว่าจะได้เกิดดวงตาเห็นธรรม”
อย่าเอามากมายเกินไปจนสับสนอย่าลืมว่า ๑ สูตรก็เหมาะกับ ๑ คนหรือ ๑ กลุ่มชนที่จริตนิสัยคล้ายคลึงกัน ถ้าเรารับมาหลายๆสูตรโดยไม่ทำความลึกซึ้งถึงแก่นในแต่ละสูตร ปริยัติทั้งหลายที่รู้มานั่นแหละจะขัดกันเองให้เกิดวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในธรรม
(ยังมีต่อ)
onion
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2012, 23:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2012, 00:24
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
kitti1234 เขียน:
คุณasoka ครับ
การเห็นและเข้าใจ อนิจจังทุกขังอนัตตา ยังไม่คลอบคลุมทั้งหมดอีกหรือครับ
งั้นที่บอกว่า "ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์"..ก็คงต้องพูดใหม่ว่า "ส่วนหนึ่ง อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์" นะซิ

ธรรมะ..มันยากตรงที่เราคิดว่า ต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องรู้ถึง 84,000 เรื่อง ได้ยิ่งดี หรือเปล่า

ผมว่า หากเเช้าใจความหมายทั้งหมดในประโยคเดียว การรู้แจ้งในทันทีก็อาจเกิดขึ้นโดยง่าย แม่้ในคนธรรมดา ๆ เช่น คำว่า "ทางสายกลาง" "มันเป็นเช่นนั้นเอง" "ข้าหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด" "ไม่ยินดียินร้าย" อนิจจังทุกขังอนัตตาก็ด้วย...

:b8:
อนุโมทนากับคุณkitti1234ที่สงสัยครับ
:b10:
คุณkitti1234 เห็นไตรลักษณ์แล้ว มีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก หรือคุณkitti1234ทำอยางไรต่อไป
เพราะการเห็นไตรลักษณ์ยังเป็นเพียงระหว่างกลางทางเดิน ยังม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ควรถึงใช่ไหมครับ
จุดหมาย เป้าหมายสุดท้ายของการเจริญวิปัสสนาภาวนาคืออะไร? หนอ?

:b12:
onion

ไตรลักษณ์ที่เห็น หากพูดว่าเห็นแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับแต่ละท่านเห็นหรอกนะครับ
เพราะคำว่า เห็นแล้ว..หมายถึงสิ่งที่เห็นกลายเป็นอดึต เป็น สัญญา ดั่งคุณวิริยะ ว่านั่นแหละ

การเห็นและเข้าใจในทันทีขณะที่เห็น ย่อมวางการยึดมั่นถือมั่นได้โดยง่าย..แทบไม่ต้องยกธรรมใด ๆ มาพิจารณา เพราะมันเข้าใจแล้วว่า มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป..ยึดมั่นไปก็ไร้ประโยชน์...
และมันก็เสมือนก็กลางทางเดินดั่งที่ว่าแหละครับ...เป้าหมายสุดท้ายยังไม่ปรากฏ....รู้สึกแต่เพียงว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ปลายทาง...มันอยู่ก่อนที่เราจะเดินทางต่างหาก..การเดินทางหรือการปฏิบัติเพื่อไปให้ถึงย่อมเป็นไปไม่ได้ จิตที่หยุดแสวงหาอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น ที่เข้าถึงมันได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2012, 14:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


kitti1234 เขียน:
การเห็นและเข้าใจในทันทีขณะที่เห็น ย่อมวางการยึดมั่นถือมั่นได้โดยง่าย..แทบไม่ต้องยกธรรมใด ๆ มาพิจารณา เพราะมันเข้าใจ...


..เพราะมันเข้าใจไปเสียแล้ว..

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2012, 05:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
(ต่อครับ)
“การปฏิบัติธรรมแบบไร้กระบวนท่า”

ทุกๆท่านที่กำลังมาศึกษาหาความรู้ สนทนาธรรม พิสูจน์ธรรม ทดสอบธรรม วิเคราะห์วิจัยธรรม และปฏิบัติธรรมกันอยู่ทุกวันนี้คงจะมีความเห็น รูปแบบ วิธีการปฏิบัติไปตามแนวทางที่ตนเองเชื่อถือศรัทธาและเห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตนเองในขณะนี้ แต่ท่านทั้งหลายทราบไหมว่า เมื่อเกิดความยึดถือในรูปแบบวิธีการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว รูปแบบวิธีการเหล่านั้นจะไปปิดกั้นรูปแบบวิธีการโดยธรรมชาติที่ธรรมชาติได้สร้างสรรให้มาไว้กับชีวิตมนุษย์ทุกคน
:b48: :b48:
รูปแบบหรือวิธีการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดก็คือวิธีการตามที่ธรรมชาติให้มาหรือวิธีการที่ใกล้เคียงกับวิธีที่ธรรมชาติให้มา
วิธีการที่ธรรมชาติให้มานั้นเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นและเป็นไปเองโดยธรรมชาติอย่างเป็นอัตโนมัติ ที่เราเรียกกันว่า “สัญชาติญาณ”
มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายนั้นต่างก็มีสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ สิ่งขัดข้องและปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมาทำงานเองโดยอัตโนมัติ
ดังตัวอย่างเรื่องก้อนถ่านไฟแดงตกลงใส่ตัวคน ที่ยกมาให้ดูแล้วข้างต้น
:b41:
ถ้าเราสามารถที่จะจัดการให้ร่างกายและจิตใจได้อยู่ในท่าทางและสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสม เราสามารถจะปลุกเอาสัญชาติญาณโดยธรรมชาติของกายและจิตนี้ขึ้นมาเป็นวิธีปฏิบัติธรรมโดยธรรมชาติได้
ท่าทางและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมนั้นเป็นอย่างไร
ท่าทางที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติธรรมแบบธรรมชาตินั้นก็คือ การนั่งขัดสมาธิเฉยๆ โดย

เมื่อนั่งลงแล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้กระบวนการทางธรรมชาติในกายและจิตเขาทำงานไปตามหน้าที่ของเขา อายตนะหรืออวัยวะสำหรับรับการสัมผัสทั้ง 6 ก็เปิดกว้างให้ทำงาน
ปัญญา สติ สมาธิ ก็ให้เขาได้ทำงานตามหน้าที่โดยธรรมชาติไปอย่างอิสระเสรี โดยมิให้มีความเห็นหรือรูปแบบ วิธีปฏิบัติใดไปกำหนดกฎเกณฑ์ไว้
หน้าที่ของผู้ปฏิบัติก็มีเพียงรักษากายใจให้สงบนิ่งเฉยให้ได้ตลอดระยะเวลาการปฏิบัติที่กำหนดไว้
อาจเป็นครั้งละ ประมาณ 1 ชั่วโมงหรือมากกว่าแล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคล

:b38:
ลองทำกันดูนะครับ
หลังจากจัดการให้ร่างกายจิตใจได้อยู่ในท่าที่ถูกต้องแล้ว สำหรับผู้ใหม่ สิ่งแวดล้อมก็พึงควรให้เป็นที่สงบปราศจากสิ่งรบกวนต่างๆ แต่ถ้าชำนาญแล้ว จะไปนั่งปฏิบัติในสิ่งแวดล้อมอย่างไรก็ได้ เพราะยิ่งมีสิ่งกระทบสัมผัส มีสิ่งขัดขวางมากเท่าไหร่ ผู้ปฏิบัติก็จะได้เห็นได้รู้กระบวนการทำงานโดยธรรมชาติของกายและจิตมากเท่านั้น
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2012, 05:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


kitti1234 เขียน:
asoka เขียน:
kitti1234 เขียน:
คุณasoka ครับ
การเห็นและเข้าใจ อนิจจังทุกขังอนัตตา ยังไม่คลอบคลุมทั้งหมดอีกหรือครับ
งั้นที่บอกว่า "ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์"..ก็คงต้องพูดใหม่ว่า "ส่วนหนึ่ง อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์" นะซิ

ธรรมะ..มันยากตรงที่เราคิดว่า ต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องรู้ถึง 84,000 เรื่อง ได้ยิ่งดี หรือเปล่า

ผมว่า หากเเช้าใจความหมายทั้งหมดในประโยคเดียว การรู้แจ้งในทันทีก็อาจเกิดขึ้นโดยง่าย แม่้ในคนธรรมดา ๆ เช่น คำว่า "ทางสายกลาง" "มันเป็นเช่นนั้นเอง" "ข้าหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด" "ไม่ยินดียินร้าย" อนิจจังทุกขังอนัตตาก็ด้วย...

:b8:
อนุโมทนากับคุณkitti1234ที่สงสัยครับ
:b10:
คุณkitti1234 เห็นไตรลักษณ์แล้ว มีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก หรือคุณkitti1234ทำอยางไรต่อไป
เพราะการเห็นไตรลักษณ์ยังเป็นเพียงระหว่างกลางทางเดิน ยังม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ควรถึงใช่ไหมครับ
จุดหมาย เป้าหมายสุดท้ายของการเจริญวิปัสสนาภาวนาคืออะไร? หนอ?

:b12:
onion

ไตรลักษณ์ที่เห็น หากพูดว่าเห็นแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับแต่ละท่านเห็นหรอกนะครับ
เพราะคำว่า เห็นแล้ว..หมายถึงสิ่งที่เห็นกลายเป็นอดึต เป็น สัญญา ดั่งคุณวิริยะ ว่านั่นแหละ

การเห็นและเข้าใจในทันทีขณะที่เห็น ย่อมวางการยึดมั่นถือมั่นได้โดยง่าย..แทบไม่ต้องยกธรรมใด ๆ มาพิจารณา เพราะมันเข้าใจแล้วว่า มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป..ยึดมั่นไปก็ไร้ประโยชน์...
และมันก็เสมือนก็กลางทางเดินดั่งที่ว่าแหละครับ...เป้าหมายสุดท้ายยังไม่ปรากฏ....รู้สึกแต่เพียงว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ปลายทาง...มันอยู่ก่อนที่เราจะเดินทางต่างหาก..การเดินทางหรือการปฏิบัติเพื่อไปให้ถึงย่อมเป็นไปไม่ได้ จิตที่หยุดแสวงหาอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น ที่เข้าถึงมันได้

:b8:
อนุโมทนาสาธุกับคุณkitti1234ครับ
[color=#800080]คำว่า "มรรค"หรือมรรคา แปลว่าทางเดิน เพื่อเป็นการอุปมาอุปมัยให้เห็นภาพและนึกได้จึงต้องกล่าวว่า "การเห็นไตรลักษณ์ยังเป็นเพียงระหว่างกลางทางเดิน ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ควรถึง"
แต่ถ้าจะเอาอย่างที่คุณคิตตี้1234 พูดและคิดเอาว่า "เป้าหมายไม่ได้อยู่ปลายทาง..มันอยู่ก่อนที่เราจะเดินทางต่างหาก" ก็ทำได้
[/color]
onion onion
เป้าหมายสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมคือ นิพพาน จริงอยู่ นิพพานโดยการศึกษาหรือนิพพานโดยการคิดนึกเอานั้นมีอยู่แล้วทุกหนแห่งทุกเวลา แต่ว่านิพพานจริงๆ ที่จะเกิดขึ้นกับกายใจจริงๆ เปลี่ยนชีวิตนี้ให้เป็นชีวิตใหม่จริงๆนั้น หาได้ง่ายและทำได้รวดเร็วอย่างที่เราคิดเอาไม่ มันต้องใช้เวลาชำระสะสางสิ่งกีดขวางอันเป็นวิบากหรือผลของการกระทำในอดีตของแต่คนให้หมดสิ้นเสียก่อน การเข้าถึงนิพพานจริงๆจึงจะเกิดขึ้นแลประจักษ์แก่ใจของเจ้าของ ดังนั้นจึงยังต้องกล่าวว่า "ยังอยู่ระหว่างกลางทางเดิน"
:b12:
ถ้านิพพานมีปรากฏอยู่ก่อนแล้วจริงก่อนที่จะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเกิดเกิดนิพพิทาเบื่อหน่ายคลายจางละวางความเห็นผิดอันปิดบังนิพพานอยู่ คุณ kitti1234และทุกๆท่านลองนั่งนึกถึงนิพพานแล้วทำตัวทำใจให้เข้าไปอยู่ในสภาวนิพพานหรือเสวยผลสมาบัติในบัดเดี๋ยวนี้เลย จะทำได้ไหมครับ ถ้าทำได้ กรุณาส่งข่าวมาให้ทราบกันด้วยนะครับ จะได้อนุโมทนา แต่ถ้าทำไม่ได้กรุณาเล่าสู่กันฟังด้วยว่าอะไร?ที่ทำให้เข้านิพพานฉับพลันทันทีเดี๋ยวนี้ไม่ได้
:b16:
สาธุ เจริญธรรมกันนะครับ
:b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 02:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2012, 00:24
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
kitti1234 เขียน:
asoka เขียน:
kitti1234 เขียน:
คุณasoka ครับ
การเห็นและเข้าใจ อนิจจังทุกขังอนัตตา ยังไม่คลอบคลุมทั้งหมดอีกหรือครับ
งั้นที่บอกว่า "ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์"..ก็คงต้องพูดใหม่ว่า "ส่วนหนึ่ง อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์" นะซิ

ธรรมะ..มันยากตรงที่เราคิดว่า ต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องรู้ถึง 84,000 เรื่อง ได้ยิ่งดี หรือเปล่า

ผมว่า หากเเช้าใจความหมายทั้งหมดในประโยคเดียว การรู้แจ้งในทันทีก็อาจเกิดขึ้นโดยง่าย แม่้ในคนธรรมดา ๆ เช่น คำว่า "ทางสายกลาง" "มันเป็นเช่นนั้นเอง" "ข้าหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด" "ไม่ยินดียินร้าย" อนิจจังทุกขังอนัตตาก็ด้วย...

:b8:
อนุโมทนากับคุณkitti1234ที่สงสัยครับ
:b10:
คุณkitti1234 เห็นไตรลักษณ์แล้ว มีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก หรือคุณkitti1234ทำอยางไรต่อไป
เพราะการเห็นไตรลักษณ์ยังเป็นเพียงระหว่างกลางทางเดิน ยังม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ควรถึงใช่ไหมครับ
จุดหมาย เป้าหมายสุดท้ายของการเจริญวิปัสสนาภาวนาคืออะไร? หนอ?

:b12:
onion

ไตรลักษณ์ที่เห็น หากพูดว่าเห็นแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับแต่ละท่านเห็นหรอกนะครับ
เพราะคำว่า เห็นแล้ว..หมายถึงสิ่งที่เห็นกลายเป็นอดึต เป็น สัญญา ดั่งคุณวิริยะ ว่านั่นแหละ

การเห็นและเข้าใจในทันทีขณะที่เห็น ย่อมวางการยึดมั่นถือมั่นได้โดยง่าย..แทบไม่ต้องยกธรรมใด ๆ มาพิจารณา เพราะมันเข้าใจแล้วว่า มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป..ยึดมั่นไปก็ไร้ประโยชน์...
และมันก็เสมือนก็กลางทางเดินดั่งที่ว่าแหละครับ...เป้าหมายสุดท้ายยังไม่ปรากฏ....รู้สึกแต่เพียงว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ปลายทาง...มันอยู่ก่อนที่เราจะเดินทางต่างหาก..การเดินทางหรือการปฏิบัติเพื่อไปให้ถึงย่อมเป็นไปไม่ได้ จิตที่หยุดแสวงหาอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น ที่เข้าถึงมันได้

:b8:
อนุโมทนาสาธุกับคุณkitti1234ครับ
[color=#800080]คำว่า "มรรค"หรือมรรคา แปลว่าทางเดิน เพื่อเป็นการอุปมาอุปมัยให้เห็นภาพและนึกได้จึงต้องกล่าวว่า "การเห็นไตรลักษณ์ยังเป็นเพียงระหว่างกลางทางเดิน ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ควรถึง"
แต่ถ้าจะเอาอย่างที่คุณคิตตี้1234 พูดและคิดเอาว่า "เป้าหมายไม่ได้อยู่ปลายทาง..มันอยู่ก่อนที่เราจะเดินทางต่างหาก" ก็ทำได้
[/color]
onion onion
เป้าหมายสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมคือ นิพพาน จริงอยู่ นิพพานโดยการศึกษาหรือนิพพานโดยการคิดนึกเอานั้นมีอยู่แล้วทุกหนแห่งทุกเวลา แต่ว่านิพพานจริงๆ ที่จะเกิดขึ้นกับกายใจจริงๆ เปลี่ยนชีวิตนี้ให้เป็นชีวิตใหม่จริงๆนั้น หาได้ง่ายและทำได้รวดเร็วอย่างที่เราคิดเอาไม่ มันต้องใช้เวลาชำระสะสางสิ่งกีดขวางอันเป็นวิบากหรือผลของการกระทำในอดีตของแต่คนให้หมดสิ้นเสียก่อน การเข้าถึงนิพพานจริงๆจึงจะเกิดขึ้นแลประจักษ์แก่ใจของเจ้าของ ดังนั้นจึงยังต้องกล่าวว่า "ยังอยู่ระหว่างกลางทางเดิน"
:b12:
ถ้านิพพานมีปรากฏอยู่ก่อนแล้วจริงก่อนที่จะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเกิดเกิดนิพพิทาเบื่อหน่ายคลายจางละวางความเห็นผิดอันปิดบังนิพพานอยู่ คุณ kitti1234และทุกๆท่านลองนั่งนึกถึงนิพพานแล้วทำตัวทำใจให้เข้าไปอยู่ในสภาวนิพพานหรือเสวยผลสมาบัติในบัดเดี๋ยวนี้เลย จะทำได้ไหมครับ ถ้าทำได้ กรุณาส่งข่าวมาให้ทราบกันด้วยนะครับ จะได้อนุโมทนา แต่ถ้าทำไม่ได้กรุณาเล่าสู่กันฟังด้วยว่าอะไร?ที่ทำให้เข้านิพพานฉับพลันทันทีเดี๋ยวนี้ไม่ได้
:b16:
สาธุ เจริญธรรมกันนะครับ
:b39: :b39:

ที่คุณasoka ให้ลองนึกถึงนิพพาน การทำตัวทำใจให้เข้าไปอยู่ในสภาวะนิพพาน ในบัดดล นั้น
ผมคงต้องบอกว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะ นิพพานไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยการนึกหรือการคิด
ผมเห็นว่า เราไม่อาจใช้ความพยายามหรือกระทำการใด ๆ เพื่อเข้าถึงภาวะ นิพพานได้เลย..เพราะการพยายามหรือการกระทำเพื่อให้เข้าถึง เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำของอัตตา..จิตที่มีอัตตาย่อมไม่อาจเข้าถึงมันได้

การพยายามทำตัวทำใจให้เข้าถึงนี่่แหละที่นักปฏิบัติต้องติดกับดักของมัน..ปฏิบัติแทบตายแทบทุกกระบวนท่า ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดพ้น..อาจดีขึ้นมาหน่อย หรือใจสงบขึ้นมาบ้าง..แต่ก็เพียงแค่ผิวเผิน..

เมื่อจิตว่าง จิตเงียบอย่างยิ่งเท่านั้น สภาวะใหม่จึงปรากฏ...ในจิตว่าง ไม่มีอะไร ไม่มีการกระทำใดๆ
ไม่มีผู้คิด ไม่มีผู้รู้ ไม่มีสิ่งที่รู้....จะมีได้อย่างไรในเมื่อมันว่าง...
ว่าง.แล้วมันดันมามีจิต..มีการตั้งชื่อ..มีการปรุงแต่งต่าง ๆ นา.แล้วก็มีทุกข์...ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า เป้าหมายปลายทางจึงเป็นอันอยู่ต้นทางก่อนที่เราจะเดินทาง ด้วยเหตุนี้

:b8: เจริญธรรมเช่นกันนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 07:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ผัสสะเป็นเส้นผม บัง ภูเขาที่เป็นความจริงอื่นๆ เพราะการยึดมั่นในผัสสะ นั้นแล
อนิจจังเป็นเส้นผม บัง ภูเขาที่เป็น ทุกข์ และอนัตตา

ถูกบ้างมั้ยละเนีย
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2012, 21:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกหมดแหละ....

:b12: :b12:

ทั้ง คุณkitti1234...และ คุณ asoka ก็ถูกหมด

เพียงแต่....อาจจะไม่ค่อยเข้าใจอีกข้างหนึ่ง

เหมือนเหล่า...ขิปปาภิญญา...ก็ไม่เข้าใจพวก..เนยยะ...ว่า...มัวแต่ชักช้างุ้มง้ามทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้...จะต้องพิจารณาอะไรอีก.. :b32: :b32: :b32:

เอิ๊ก....เอิ๊ก....เอิ๊ก.... rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2012, 00:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2012, 00:24
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ คุณกบ นะครับที่เห็นว่าถูก..และก็น้อมรับคำวิจารณ์
การมีความเห็น..ย่อมเห็นต่างได้เสมอ...ความเห็นอันบริสุทธิ์ย่อมควรค่าแก่การรับฟัง..

เมื่อมีจิต....ย่อมมีความคิด..ความคิดบางอย่างก็เรียกชื่อมัน ได้ว่า "ความเห็น"..ความคิดบางอย่างอาจก่อให้เกิดอีกชื่อหนึ่ง เรียกว่า ความกลัว...ความคิดบางอย่างก่อให้เกิดอีกชื่อหนึ่ง เรียกว่า ความทุกข์...นั่นก็เป็นธรรมดาของการปรุงแต่งของจิต...
เพียงแค่เราเฝ้าสังเกตความคิด โดยปราศจากการหยั่งวัด โดยปราศจากการประเมินค่า ปราศจากการตีความ ปราศจากการตั้งชื่อ บางทีเราอาจพบความจริงล้วน ๆ ในทันที..บางทีเราอาจเข้าใจกระบวนการทั้งหมดของการคิดในทันที..ตอนนั้นแหละจิตจะเงี่ยบลง..โดยมีไม่เงาของความพยายามทำให้เงียบแม้แต่น้อย..จะเรียกว่า จิตว่าง จิตนิ่ง หรือจิตหนึ่ง ก็ได้ แต่การเรียกชื่อไม่ใช่สาระสำคัญอีกต่อไป..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2012, 05:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ผัสสะเป็นเส้นผม บัง ภูเขาที่เป็นความจริงอื่นๆ เพราะการยึดมั่นในผัสสะ นั้นแล
อนิจจังเป็นเส้นผม บัง ภูเขาที่เป็น ทุกข์ และอนัตตา

ถูกบ้างมั้ยละเนีย
:b12:

:b12: :b12: :b12:
ยังไม่ถูกหรอกนะครับคุณฝึกจิต แต่ถ้าอยากได้ข้อสังเกต จะให้ข้อสังเกตว่า ความคาดเดา คิดนึกที่คุณฝึกจิตกล่าวมาทั้งหมดนั้นแหละที่เป็นที่อยู่ของเส้นผมและเงา ลองค้นหาดูให้พบนะครับ ผลพลอยได้จากการค้นหาคำตอบนี้จะทำให้คุณค้นพบระหัส หรือ สลักระเบิด ที่ปิดกั้นคุณไว้จากนิโรธธรรมครับ
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2012, 05:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
อ้างอิง....
ถ้านิพพานมีปรากฏอยู่ก่อนแล้วจริงก่อนที่จะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเกิดเกิดนิพพิทาเบื่อหน่ายคลายจางละวางความเห็นผิดอันปิดบังนิพพานอยู่ คุณ kitti1234และทุกๆท่านลองนั่งนึกถึงนิพพานแล้วทำตัวทำใจให้เข้าไปอยู่ในสภาวนิพพานหรือเสวยผลสมาบัติในบัดเดี๋ยวนี้เลย จะทำได้ไหมครับ ถ้าทำได้ กรุณาส่งข่าวมาให้ทราบกันด้วยนะครับ จะได้อนุโมทนา แต่ถ้าทำไม่ได้กรุณาเล่าสู่กันฟังด้วยว่าอะไร?ที่ทำให้เข้านิพพานฉับพลันทันทีเดี๋ยวนี้ไม่ได้
สาธุ เจริญธรรมกันนะครับ


ที่คุณasoka ให้ลองนึกถึงนิพพาน การทำตัวทำใจให้เข้าไปอยู่ในสภาวะนิพพาน ในบัดดล นั้น
ผมคงต้องบอกว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะ นิพพานไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยการนึกหรือการคิด
ผมเห็นว่า เราไม่อาจใช้ความพยายามหรือกระทำการใด ๆ เพื่อเข้าถึงภาวะ นิพพานได้เลย..เพราะการพยายามหรือการกระทำเพื่อให้เข้าถึง เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำของอัตตา..จิตที่มีอัตตาย่อมไม่อาจเข้าถึงมันได้

การพยายามทำตัวทำใจให้เข้าถึงนี่่แหละที่นักปฏิบัติต้องติดกับดักของมัน..ปฏิบัติแทบตายแทบทุกกระบวนท่า ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดพ้น..อาจดีขึ้นมาหน่อย หรือใจสงบขึ้นมาบ้าง..แต่ก็เพียงแค่ผิวเผิน..

เมื่อจิตว่าง จิตเงียบอย่างยิ่งเท่านั้น สภาวะใหม่จึงปรากฏ...ในจิตว่าง ไม่มีอะไร ไม่มีการกระทำใดๆ
ไม่มีผู้คิด ไม่มีผู้รู้ ไม่มีสิ่งที่รู้....จะมีได้อย่างไรในเมื่อมันว่าง...
ว่าง.แล้วมันดันมามีจิต..มีการตั้งชื่อ..มีการปรุงแต่งต่าง ๆ นา.แล้วก็มีทุกข์...ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า เป้าหมายปลายทางจึงเป็นอันอยู่ต้นทางก่อนที่เราจะเดินทาง ด้วยเหตุนี้

:b8: :b20:
อโศกะ........
ความเห็นและทฤษฎีเพื่อการเข้าถึงนิโรธของคุณkitti1234 ถือว่าใช้ได้และใกล้เคียงกับวิธีธรรมชาติมากแล้ว แต่จากหลักทฤษฎีที่คุณ kitti1234 สรุปมานี้ได้ลองนำไปสู่การปฏิบัติแล้วหรือยัง แล้วนิโรธหรือนิพพานจริงๆได้เกิดขึ้นกับคุณkitti1234แล้วหรือไม่ เพราะดูจากหลักการที่คุณkitti1234สรุปไว้ดูน่าจะง่ายในการเข้าใจ แต่ปฏิบัติการของทุกคนที่รู้วิธีที่คุณkitti1234บอกไว้นี้จะทำให้ทุกคนเข้าถึงนิโรธได้ตั้งแต่แรกหรือต้นทางก่อนที่เราจะเดินทาง อย่างที่คุณบอกหรือไม่ครับ?
b10:
ในความเป็นจริงและปฏิบัติการจริงๆเพื่อให้นิโรธเกิดขึ้นอย่างถาวรนั้นจำเป็นต้องใช้อุปมาของการเดินทางมาเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย การที่จะผ่านด่านเครื่องกีดขวางที่ทำให้คุณkitti1234และทุกๆคนที่ปารถนาจะไปถึงที่สุดแห่งทางสายกลาง คือนิโรธธรรมนั่นคือเงื่อนไขที่สำคัญ การที่จะนำทฤษฎีลงสู่การปฏิบัตินั้นมันมีรายละเอียดที่คาดเดาเอาไม่ได้อีกมากมายที่จะต้องได้รับการสะสางและใช้เวลาในการสะสาง มันไม่สามารถจะ ทันทีที่เริ่มต้นอย่างใจรู้ใจคิด
:b4: :b4:
ลองสืบค้นกันดูซิครับคุณkitti1234 คุณกบ คุณฝึกจิต และทุกๆท่าน ว่าอะไร? จะเป็นอุปสรรคหรือความฝืดหรือเครื่องกีดขวางในการทำทฤษฎีทั้งหลายให้เป็นความสำเร็จทางภาคปฏิบัติ ผลพลอยได้จากการสืบค้นนี้จะทำให้ทุกท่านได้พบกับเส้นผมและเงาที่บังความจริงไว้ด้วยครับ
:b12: :b12: :b12:
:b8:
:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2012, 00:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2012, 00:24
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ........
ความเห็นและทฤษฎีเพื่อการเข้าถึงนิโรธของคุณkitti1234 ถือว่าใช้ได้และใกล้เคียงกับวิธีธรรมชาติมากแล้ว แต่จากหลักทฤษฎีที่คุณ kitti1234 สรุปมานี้ได้ลองนำไปสู่การปฏิบัติแล้วหรือยัง แล้วนิโรธหรือนิพพานจริงๆได้เกิดขึ้นกับคุณkitti1234แล้วหรือไม่ เพราะดูจากหลักการที่คุณkitti1234สรุปไว้ดูน่าจะง่ายในการเข้าใจ แต่ปฏิบัติการของทุกคนที่รู้วิธีที่คุณkitti1234บอกไว้นี้จะทำให้ทุกคนเข้าถึงนิโรธได้ตั้งแต่แรกหรือต้นทางก่อนที่เราจะเดินทาง อย่างที่คุณบอกหรือไม่ครับ?

เมื่อผมเข้าใจภาวะที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในปัจจุบันกาลหรือปัจจุบันขณะ ก็ไม่อาจเรียกได้ว่านั่นคือการปฏิบัติ เพราะนัยยะของการปฏิบัติคือการกระทำบางอย่างเพื่อให้เข้าใจหรือเข้าถึง
ความเห็นของผม จึงไม่ใชหลักการและทฤษฎีที่จะนำไปปฏิบัติให้เกิดมรรคผลในเวลาต่อมาได้
เพราะ หากเราเข้าใจทันที เราก็วางมันได้ทันที ขอยกตัวอย่างการวางทันทีนะครับ
น.ส. ก เป็นแฟน นาย ข. เห็นนาย ข.คุยกะ น.ส.ง แถมยังจับมือถือแขนกันด้วย เป็นธรรมว่า น.ส.ก อาจรู้สึกหึงหวง โกรธ หรืออาจจาพาลเกลียดนาย ข. ไปเลย ว่าแล้วก็เดินไปถาม นาย ข ว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร นาย ข บอกว่า เป็นน้องสาวแท้ๆ คลานตามกันมา ถามว่าเมื่อ น.ส.ก รู้ชัด ว่า น.ส.ง เป็นน้องสาวแท้ๆ ความหึงหวง ความโกรธที่มี ความเกลียดทั้งปวง หายไปทันทีหรือไม่
มันอาจไม่เหมือนการเข้าใจสภาวะธรรมหรอกนะครับ แค่อยากให้เข้าใจอาการ ทันที นั่นคือ เมื่อเข้าใจสภาวะธรรมชัด มันก็ทันที และผมก็เห็นว่าไม่เป็นการยากสำหรับคนทั่วไป ทุกคนในลานสนทนาก็เข้าใจได้....หากแต่ที่ยากเพราะเราต้องการเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามตำราที่เราอ่านมาหรือเปล่า?

b10:
ในความเป็นจริงและปฏิบัติการจริงๆเพื่อให้นิโรธเกิดขึ้นอย่างถาวรนั้นจำเป็นต้องใช้อุปมาของการเดินทางมาเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย การที่จะผ่านด่านเครื่องกีดขวางที่ทำให้คุณkitti1234และทุกๆคนที่ปารถนาจะไปถึงที่สุดแห่งทางสายกลาง คือนิโรธธรรมนั่นคือเงื่อนไขที่สำคัญ การที่จะนำทฤษฎีลงสู่การปฏิบัตินั้นมันมีรายละเอียดที่คาดเดาเอาไม่ได้อีกมากมายที่จะต้องได้รับการสะสางและใช้เวลาในการสะสาง มันไม่สามารถจะ ทันทีที่เริ่มต้นอย่างใจรู้ใจคิด
:b4: :b4:
คุณAsoka ใช้คำว่า ปฎิบัติการจริง ๆ เพื่อให้นิโรธเกิดขึ้นอย่างถาวร ก็ขอถามว่า มีด้วยหรือที่นิโรธที่เกิดขึ้นจะถาวร.. สำหรับผมเห็นว่า ไม่มีอะไรถาวรเลย..แม้แต่นิโรธก็ตาม..เมื่อเข้าใจว่าไม่มีอะไรถาวรนั่นแหละ จิตมันจึงวางได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ เมื่อเข้าใจว่าไม่มีอะไรถาวรนั่นแหละ จิตมันจึงไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาท มรรคก็ถึงพร้อมอัตโนมัติโดยไม่ต้องคอยนึกเลยว่ามรรคจะมีกี่องค์ ไม่ต้องคอยนึกเลยว่าต้องเจริญองค์ไหนก่อนหลัง

ลองสืบค้นกันดูซิครับคุณkitti1234 คุณกบ คุณฝึกจิต และทุกๆท่าน ว่าอะไร? จะเป็นอุปสรรคหรือความฝืดหรือเครื่องกีดขวางในการทำทฤษฎีทั้งหลายให้เป็นความสำเร็จทางภาคปฏิบัติ ผลพลอยได้จากการสืบค้นนี้จะทำให้ทุกท่านได้พบกับเส้นผมและเงาที่บังความจริงไว้ด้วยครับ
:b12: :b12: :b12:
:b8:
:b4: :b4: :b4:[/quote]
แน่นอนครับ ลองสืบค้น ที่คุณ Asoka แนะนำ ผมชอบคำนี้ครับ..และผมยังคงสืบค้นอยู่เสมอ..ครับ


ขอบคุณและดีใจนะครับที่คุณ Asoka สนทนาด้วย: เจริญธรรมนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2012, 07:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถาวร....เป็นคำที่ใช้เพื่อการสื่อสาร...ระหว่าง...กัน...เพื่อให้เข้าใจถึง...ความไม่เปลี่ยนแปลงได้อีก

ตามปกติ..ของคนเรา..คือ...ไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่เรายังสามารถสังเกตุมันได้อยู่

อาจจะในช่วงอายุของเรา...ขนาด..น้ำหนัก..รูปร่าง...มันยังเท่าเดิม...ก็เลยสื่อให้เข้าใจว่า...มันถาวร

เป็นความจริงเชิงเปรียบเทียบ...คือสมมุติบัญญัติ

ไม่ใช่..ความจริงแท้...คือวิมุตต

ความจริงแท้...จึงไม่มีสั้นไม่มียาว(ในตัวของมัน)...ไม่มีถาวรไม่ถาวร....หากไม่นำไปเปรียบเทียบ(สมมุติ)

นิโรธ...เมื่อมาเทียบกับสัจจะแห่งไตรลักษณ์แล้ว..ได้แก่..ความมีอยู่หรือไม่มีอยู่...นิโรธจึงมีถาวร..และที่คุณ kitti1234ว่าไม่ถาวรก็เพราะคุณเอาไปเปรียบเทียบกับอาการของไตรลักษณ์..อันได้แก่..พลวัตของการขับเคลื่อน..ตั้งอยู่..เสื่อมลง..แล้วดับไป...ดับแล้วก็กลับมาตั้งอยู่..

ยืนคุยกันให้ตายไปข้าง...ก็ไม่ลงกัน...หากยังนำไปเทียบกับของที่ต่างกัน..อยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2012, 20:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เงา..ตัวนี้แหละสำคัญ...เพราะมักจะคิดว่าเป็นตัวจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2012, 06:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เงา..ตัวนี้แหละสำคัญ...เพราะมักจะคิดว่าเป็นตัวจริง

:b8:
:b12: :b12: :b12: :b12:
คุณกบกำลังรู้จักเรื่องของ"เงา"ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น อนุโมทนา เชิญสนทนาและฟังกันต่อไปอีกสักนิด
แล้วคงจะอ้อ! กันขึ้นมาได้ด้วยตนเองว่า อะไรเป็นเงาอะไรเป็นเส้นผมกันแน่ ครับ
:b31: :b31: :b31:
:b4: :b4: :b4:
:b12: :b12: :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร