วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2012, 06:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
""เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ"
ขอตอบแบบตัวต่อตัวกับคำถาม ได้มั้ยท่าน โปรดกระผมด้วยครับ "
:b10:
:b16:
เราเป็นใคร........เรา....เป็นความเห็นผิดที่ติดธาตุขันธ์ ตัว ใจ ของปุถุชนทุกๆคนมาตั้งแต่เกิด เป็นความเห็นผิดที่สะสมทับถมกันมาข้ามภพข้ามชาติจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ว่าเริ่มเห็นผิดตั้งแต่เมื่อไร?
ใครเป็นผู้เห็นความเห็นผิด.......ไม่ใช่ใคร เป็นธรรมชาติ รู้ ธรรมชาติ คือ ปัญญาหรือปัญญินทรีย์เจตสิกที่เกิดขึ้นมารู้ เวทนาเจตสิกและธรรมารมณ์ ด้วยอำนาจแห่งหตุและปัจจัย
:b40:
เรา เป็นอะไร?.......เราเป็นความรู้สึก เป็นธรรมารมณ์ เป็นสภาวธรรม เป็น นามธรรม เป็นสมมุติบัญญัติที่เรียกปรากกฏการณ์หนึ่งซึ่งผุดขึ้นมาในจิตด้วยอำนาจของเหตุและปัจจัย ความเป็นเราไม่มีอยู่จริงโดยปรมัตถ์ ค้นหาอย่างไรก็ไม่อาจพบเจอได้ในกายและใจนี้
:b42:
แต่ในจิตปุถุชน ความรู้สึกว่าเป็น กู เป็นเรานี้ ดูเหมือนมีอยู่จริง สามารถสัมผัสรู้ได้ในจิตที่มีสติปัญญาคมกล้าเพียงพอ
:b43:
มีเรามั๊ย........มี ในจิตปุถุชนทุกๆคน
:b16:
จิตมีมั๊ย........จิตเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อ เหตุและปัจจัย กระทบกัน ตัวเหตุที่สำคัญคือความเห็นผิดว่าเป็น กู เป็นเรา เป็นสังขารตัวตนนั่นแหละ ที่เห็นผิดก็เพราะโมหะ ไม่รู้ หรือ อวิชชา ปฏิจสมุปบาทก็เริ่มต้นจากจุดนี้.......อวิชชาปัจจัยยา..... สังขารา......สังขารครั้งแรกที่เกิดต่อจากอวิชชานี่แหละสำคัญ เพราะเมื่อสังขารครั้งแรกเกิดขึ้นในจิต มันจะเป็นปัจจัยส่งให้เกิด วิญญาณ....นาม....รูป...สฬายตนะ...จนถึง ผัสสะ อันเป็นที่กระทบกันของเหตุและปัจจัย ทำให้เกิด มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม และวิบากของกรรมที่ต้องเสวย วนเวียนซ้ำซ้อนกันอยู่เป็นลูกโซ่ที่ไม่รู้จักจบ
:b20:
เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย .........เรา..เป็นเจตสิกที่ประกอบจิต ไม่ใช่ตัวจิต
:b48:
อวิชชามากับอะไร?.........อวิชชา เป็นมาได้ด้วยเหตุและปัจจัย ไม่มีเหตุ อวิชชาก็ไม่เกิด ทำนองเดียวกันหมดปัจจัย อวิชชาก็ไม่เกิดเช่นกัน
:b48:
ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท .......ก็เหตุและปัจจัย ดังที่บอกมายังไงล่ะครับ
:b48:
ทำมั้ยมีกรรม........ก็เพราะเหตุและปัจจัยยังมีอยู่......หมดเหตุ ก็หมดกรรมเหลือแต่กิริยา หมดเหตุ ทำได้ง่ายกว่าหมดปัจจัย
:b53:
แล้วเป็น อนัตตา มั้ย...... "สัพเพธัมมา อนัตตา"
:b12:
เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย .......ช่วงต่อตั้งแต่เริ่มเห็นอนัตตาไปจนถึงดับ มีช่องระหว่างและปฏิกิริยาที่ละเอียดอ่อนอีกมากพอสมควรจิตต้องเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปตามวาระแห่งญาณอีกหลายครั้ง แต่เป็นเมตตาของท่านพุทธโกศาจารย์แห่งเมืองลังกา เมื่อประมาณ 500 ปีหลังพุทธปรินิพพาน ท่านได้รจนาไว้โดยละเอียด ให้ไปศึกษาดูได้จากเรื่องของ วิปัสสนาญาณ 16 นะครับ ถ้าไม่เข้าใจ (จริงๆก็คงเข้าใจยากถ้าไม่เคยผ่านสภาวจริงๆมาก่อน) สงสัยเฉพาะส่วนไหนก็ลองยกมาถามกันดูอีกก็ได้นะครับ
:b16:
อะไรดับ".........
เมื่อความเห็นอนัตตาซึ่งท่านเปรียบไว้ว่า "อนัตตา เป็นกุญแจไขประตูนิพพาน หรือสะพานสำหรับทอดข้าม(โคตรภูญาณ)เข้าสู่นิพพาน".....หลังจากเห็นซึ้งและยอมรับอนัตตาแล้ว ปัญญาจะเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ....คือถึงความหยุดการปรุงแต่งไปชั่วระยะหนึ่ง เป็นช่วงของอนัตตาโดยแท้ เพราะที่นั้นไม่มีอนิจจังและทุกขังแล้ว......ธรรมทั้งหมดจะมาหลอมรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่า"มรรคสมังคี" ความรู้(ญาณ)ตอนนี้ท่านเรียกว่า "อนุโลมญาณหรือ "สัจจนุโลมมะ" หลังจากนั้น การข้ามน้ำ หรือการข้ามโคตรจากปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนจะเกิดขึ้น ตรงนี้ท่านเรียกว่า "โคตรภูญาณ" พริบตาเดียวต่อจากนั้น โสดาปัตติมรรคญาณจะเกิดขึ้นมาทำลาย "สักกายทิฏฐิ" ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เป็นกู เป็นเรา" ขาดสะบั้นลงจากใจ ไม่มีทางหวนกลับคืนมาได้อีกชั่วนิรันดร์กาล "อวิชชา ขาดตอนไปครั้งที่ 1 วิชชา แสงสว่างเกิดขึ้นทำให้เห็นและเข้าถึง "นิพพาน"ที่ถูกบังไว้นานแสนนาน จิตจะเข้าเสวยนิพพานธาตุ 2 - 3 ขณะจิตแล้วดับไป (โสดาปัตติผลญาณ)เป็นปัจจัยส่งต่อให้ถึงญาณสุดท้าย คือ "ปัจจเวกขณญาณ" อันเป็นการสรุปผลของธรรม ว่ามีอะไร เกิดขึ้น ตั้งแต่ตอนไหน อะไรหมดไป อะไรยังคงเหลืออยู่ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คืออะไร คุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ยิ่งใหญ่แค่ไหน ปฏิจจสมุปบาทเขาทำงานอย่างไร จะรู้ซึ้งขึ้นมาหมดในตอนนี้ จนทำให้ "วิจิกิจฉา" ดับลงโดยสนิท เกิดผลพลอยได้ที่สามคือ " พรต กับปรามาส ดับไปจากใจ คงเหลือแต่ ศีล หรือ ปกติโดยธรรมชาติ ของพระโสดาบันซึ่งไม่ล่วงศีล 5 เป็นวิสัย
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2012, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
""เราเป็นใคร เราเป็นอะไร มีเรามั้ย จิตมีมั้ย เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย อวิชชามากับอะไร ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท ทำมั้ยมีกรรม แล้วเป็น อนัตตา มั้ย เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย อะไรดับ"
ขอตอบแบบตัวต่อตัวกับคำถาม ได้มั้ยท่าน โปรดกระผมด้วยครับ "
:b10:
:b16:
เราเป็นใคร........เรา....เป็นความเห็นผิดที่ติดธาตุขันธ์ ตัว ใจ ของปุถุชนทุกๆคนมาตั้งแต่เกิด เป็นความเห็นผิดที่สะสมทับถมกันมาข้ามภพข้ามชาติจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ว่าเริ่มเห็นผิดตั้งแต่เมื่อไร?
ใครเป็นผู้เห็นความเห็นผิด.......ไม่ใช่ใคร เป็นธรรมชาติ รู้ ธรรมชาติ คือ ปัญญาหรือปัญญินทรีย์เจตสิกที่เกิดขึ้นมารู้ เวทนาเจตสิกและธรรมารมณ์ ด้วยอำนาจแห่งหตุและปัจจัย
:b40:
เรา เป็นอะไร?.......เราเป็นความรู้สึก เป็นธรรมารมณ์ เป็นสภาวธรรม เป็น นามธรรม เป็นสมมุติบัญญัติที่เรียกปรากกฏการณ์หนึ่งซึ่งผุดขึ้นมาในจิตด้วยอำนาจของเหตุและปัจจัย ความเป็นเราไม่มีอยู่จริงโดยปรมัตถ์ ค้นหาอย่างไรก็ไม่อาจพบเจอได้ในกายและใจนี้
:b42:
แต่ในจิตปุถุชน ความรู้สึกว่าเป็น กู เป็นเรานี้ ดูเหมือนมีอยู่จริง สามารถสัมผัสรู้ได้ในจิตที่มีสติปัญญาคมกล้าเพียงพอ
:b43:
มีเรามั๊ย........มี ในจิตปุถุชนทุกๆคน
:b16:
จิตมีมั๊ย........จิตเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อ เหตุและปัจจัย กระทบกัน ตัวเหตุที่สำคัญคือความเห็นผิดว่าเป็น กู เป็นเรา เป็นสังขารตัวตนนั่นแหละ ที่เห็นผิดก็เพราะโมหะ ไม่รู้ หรือ อวิชชา ปฏิจสมุปบาทก็เริ่มต้นจากจุดนี้.......อวิชชาปัจจัยยา..... สังขารา......สังขารครั้งแรกที่เกิดต่อจากอวิชชานี่แหละสำคัญ เพราะเมื่อสังขารครั้งแรกเกิดขึ้นในจิต มันจะเป็นปัจจัยส่งให้เกิด วิญญาณ....นาม....รูป...สฬายตนะ...จนถึง ผัสสะ อันเป็นที่กระทบกันของเหตุและปัจจัย ทำให้เกิด มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม และวิบากของกรรมที่ต้องเสวย วนเวียนซ้ำซ้อนกันอยู่เป็นลูกโซ่ที่ไม่รู้จักจบ
:b20:
เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย .........เรา..เป็นเจตสิกที่ประกอบจิต ไม่ใช่ตัวจิต
:b48:
อวิชชามากับอะไร?.........อวิชชา เป็นมาได้ด้วยเหตุและปัจจัย ไม่มีเหตุ อวิชชาก็ไม่เกิด ทำนองเดียวกันหมดปัจจัย อวิชชาก็ไม่เกิดเช่นกัน
:b48:
ใครคือผู้กระทำกระแสปฏิจจสมุปบาท .......ก็เหตุและปัจจัย ดังที่บอกมายังไงล่ะครับ
:b48:
ทำมั้ยมีกรรม........ก็เพราะเหตุและปัจจัยยังมีอยู่......หมดเหตุ ก็หมดกรรมเหลือแต่กิริยา หมดเหตุ ทำได้ง่ายกว่าหมดปัจจัย
:b53:
แล้วเป็น อนัตตา มั้ย...... "สัพเพธัมมา อนัตตา"
:b12:
เห็น อนัตตา แล้ว ดับเลยมั้ย .......ช่วงต่อตั้งแต่เริ่มเห็นอนัตตาไปจนถึงดับ มีช่องระหว่างและปฏิกิริยาที่ละเอียดอ่อนอีกมากพอสมควรจิตต้องเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปตามวาระแห่งญาณอีกหลายครั้ง แต่เป็นเมตตาของท่านพุทธโกศาจารย์แห่งเมืองลังกา เมื่อประมาณ 500 ปีหลังพุทธปรินิพพาน ท่านได้รจนาไว้โดยละเอียด ให้ไปศึกษาดูได้จากเรื่องของ วิปัสสนาญาณ 16 นะครับ ถ้าไม่เข้าใจ (จริงๆก็คงเข้าใจยากถ้าไม่เคยผ่านสภาวจริงๆมาก่อน) สงสัยเฉพาะส่วนไหนก็ลองยกมาถามกันดูอีกก็ได้นะครับ
:b16:
อะไรดับ".........
เมื่อความเห็นอนัตตาซึ่งท่านเปรียบไว้ว่า "อนัตตา เป็นกุญแจไขประตูนิพพาน หรือสะพานสำหรับทอดข้าม(โคตรภูญาณ)เข้าสู่นิพพาน".....หลังจากเห็นซึ้งและยอมรับอนัตตาแล้ว ปัญญาจะเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ....คือถึงความหยุดการปรุงแต่งไปชั่วระยะหนึ่ง เป็นช่วงของอนัตตาโดยแท้ เพราะที่นั้นไม่มีอนิจจังและทุกขังแล้ว......ธรรมทั้งหมดจะมาหลอมรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่า"มรรคสมังคี" ความรู้(ญาณ)ตอนนี้ท่านเรียกว่า "อนุโลมญาณหรือ "สัจจนุโลมมะ" หลังจากนั้น การข้ามน้ำ หรือการข้ามโคตรจากปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนจะเกิดขึ้น ตรงนี้ท่านเรียกว่า "โคตรภูญาณ" พริบตาเดียวต่อจากนั้น โสดาปัตติมรรคญาณจะเกิดขึ้นมาทำลาย "สักกายทิฏฐิ" ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เป็นกู เป็นเรา" ขาดสะบั้นลงจากใจ ไม่มีทางหวนกลับคืนมาได้อีกชั่วนิรันดร์กาล "อวิชชา ขาดตอนไปครั้งที่ 1 วิชชา แสงสว่างเกิดขึ้นทำให้เห็นและเข้าถึง "นิพพาน"ที่ถูกบังไว้นานแสนนาน จิตจะเข้าเสวยนิพพานธาตุ 2 - 3 ขณะจิตแล้วดับไป (โสดาปัตติผลญาณ)เป็นปัจจัยส่งต่อให้ถึงญาณสุดท้าย คือ "ปัจจเวกขณญาณ" อันเป็นการสรุปผลของธรรม ว่ามีอะไร เกิดขึ้น ตั้งแต่ตอนไหน อะไรหมดไป อะไรยังคงเหลืออยู่ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คืออะไร คุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ยิ่งใหญ่แค่ไหน ปฏิจจสมุปบาทเขาทำงานอย่างไร จะรู้ซึ้งขึ้นมาหมดในตอนนี้ จนทำให้ "วิจิกิจฉา" ดับลงโดยสนิท เกิดผลพลอยได้ที่สามคือ " พรต กับปรามาส ดับไปจากใจ คงเหลือแต่ ศีล หรือ ปกติโดยธรรมชาติ ของพระโสดาบันซึ่งไม่ล่วงศีล 5 เป็นวิสัย
:b8:


กว่าจะได้คำตอบ เล่นเอาผมเหนื่อย แต่ก็ขอบคุณครับที่ให้คำตอบ
ธรรมนี้ดีนักแล :b8:
ส่วนที่ว่า
เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย ........เรา..เป็นเจตสิกที่ประกอบจิต ไม่ใช่ตัวจิต

อ้นนี้คงต้อง พบความขัดแย้งกับหลายท่าน นะครับ ผมเจอมาเยอะเหมือนกัน

ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2012, 06:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion onion onion
"เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย ........เรา..เป็นเจตสิกที่ประกอบจิต ไม่ใช่ตัวจิต"
อ้นนี้คงต้อง พบความขัดแย้งกับหลายท่าน นะครับ ผมเจอมาเยอะเหมือนกัน
:b10: :b10: :b10:
เอ้อ!..........ยังไม่เห็นมีใครมาขัดแย้งเลยนะคุณฝึกจิต แม้แต่กบยังไม่เต้นเลยแฮะ.......
:b12: :b12: :b12:
:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2012, 06:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน asoka คงต้องไปโปรด ตาม web palungjit บ้างแล้วละครับ เอ..ท่านน่าจะเคยไปแล้วนิ
ทีม อัตตา มีเยอะพอควร หรือ ไม่ ก็ไปวัด ธรรมกาย เลย จะรู้ว่า เยอะมั้ย
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2012, 10:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion onion onion
"เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย ........เรา..เป็นเจตสิกที่ประกอบจิต ไม่ใช่ตัวจิต"
อ้นนี้คงต้อง พบความขัดแย้งกับหลายท่าน นะครับ ผมเจอมาเยอะเหมือนกัน
:b10: :b10: :b10:
เอ้อ!..........ยังไม่เห็นมีใครมาขัดแย้งเลยนะคุณฝึกจิต แม้แต่กบยังไม่เต้นเลยแฮะ.......
:b12: :b12: :b12:
:b4: :b4: :b4:


เราเป็นเจตสิกได้อย่างไร

:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2012, 22:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion onion onion
"เราคือจิตมั้ย จิตคือเรามั้ย ........เรา..เป็นเจตสิกที่ประกอบจิต ไม่ใช่ตัวจิต"
อ้นนี้คงต้อง พบความขัดแย้งกับหลายท่าน นะครับ ผมเจอมาเยอะเหมือนกัน
:b10: :b10: :b10:
เอ้อ!..........ยังไม่เห็นมีใครมาขัดแย้งเลยนะคุณฝึกจิต แม้แต่กบยังไม่เต้นเลยแฮะ.......
:b12: :b12: :b12:
:b4: :b4: :b4:


ออกมาเต้น..ซะหน่อย..เดียวจะหาว่ากบไม่มีพิษ.. :b32: :b32:

ที่ไม่ออกมาเต้น..ก็เพราะ..

คำถาม...แค่ขึ้นต้นคำว่า...เรา
แค่นี้....นี้มันก็มีจิตแล้ว...

ยังจะต้องไปวุ่นวายอะไรอีก...

เอิ๊ก...เอิ๊ก...เอิ๊ก... :b32:

นี้เต้นแล้วนะ.....ต่อไปก็นั่งชม... :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 00:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


การนำปรมัตสัจจะมากล่าวดดยสมมุติสัจจะ มันเป็นเช่นนี้แหละครับ ท่านกบ เช่น
[๑๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว
โดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ
จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้แจ้งรูปแล้วแลว่า ไม่มีกำลังปราศจากความน่ารัก
มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ จึงทราบชัดว่า
จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ
และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ
และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ
และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้
[b]ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่[b]อย่างนี้แล
จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้

เพราะคำเหล่านี้แล จึงทำให้ถกเถียงกันว่า จิตจะเข้าสู่ความเป็นอัตตาเมื่อเข้าถึงนิพพาน ทั้งๆที่ เป็นสภาวะที่ คำพูดคำนึกคิด ก้าวไปไม่ถึง ไม่เหลือสัจจะใดๆ จิตก็ไม่ใช่จิต แล้ว ยังบ่เห็นกันเลย cry


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 00:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เราเกิดตาย..เกิดตาย...ในสายธารแห่งเหตุและปัจจัย...ก็เนื่องจาก..อวิชชา

จะสิ้นอวิชชาได้...ก็ด้วย..วิชชา..เพียงการเห็นแจ้งด้วยปัญญา

จิตอวิชชา...จึงไม่ใช่จิตที่มีวิชชา...จิตจึงไม่ใช่จิต..ก็ด้วยเหตุของอวิชชา

สัจจะแห่งอวิชชา...มลายจากวิมุตติ...อาจเรียกได้ว่า..ไม่เหลือสัจจะใด..ๆ ของอวิชชา..อีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 00:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ที่เราเกิดตาย..เกิดตาย...ในสายธารแห่งเหตุและปัจจัย...ก็เนื่องจาก..อวิชชา

จะสิ้นอวิชชาได้...ก็ด้วย..วิชชา..เพียงการเห็นแจ้งด้วยปัญญา

จิตอวิชชา...จึงไม่ใช่จิตที่มีวิชชา...จิตจึงไม่ใช่จิต..ก็ด้วยเหตุของอวิชชา

สัจจะแห่งอวิชชา...มลายจากวิมุตติ...อาจเรียกได้ว่า..ไม่เหลือสัจจะใด..ๆ ของอวิชชา..อีก


งง ครับท่าน หาก จิตมีวิชชา แล้ว จิตจึงใช่จิต หรือครับ

อวิชชาสูตรที่ ๒

[๙๖] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมข้อหนึ่ง ซึ่งภิกษุละได้แล้ว ย่อมละอวิชชาได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น มีอยู่หรือหนอแล ฯ

พ. ดูกรภิกษุ ธรรมข้อหนึ่งซึ่งภิกษุละได้แล้ว ย่อมละอวิชชาได้ วิชชา ย่อมเกิดขึ้น มีอยู่ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 01:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัย....เขียนสั้นไป..เลยทำให้เข้าใจผิด...อารมณ์มันมากนิดหนึ่ง..

จิตอวิชชา...จึงไม่ใช่จิตที่มีวิชชา...

ที่กล่าวว่า....จิตจึงไม่ใช่จิต.....ก็ด้วยเหตุของอวิชชา

เพราะ...เห็นคุณฝึกจิตใช้คำว่า....จิตก็ไม่ใช่จิต.....ก็เลยอยากจะบอกว่า

จิตตัวหน้า...กับ..จิตตัวหลัง...ที่มันไม่ใช่ตัวเดียวกันเพราะ..มีอวิชชาอยู่..ไม่อยู่ตัวหน้าก็อยู่ตัวหลัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2012, 06:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
การนำปรมัตสัจจะมากล่าวโดยสมมุติสัจจะ มันเป็นเช่นนี้แหละครับ ท่านกบ เช่น
[๑๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว
โดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ
จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้แจ้งรูปแล้วแลว่า ไม่มีกำลังปราศจากความน่ารัก
มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ จึงทราบชัดว่า
จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ
และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ
และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ
และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้
ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่[b]อย่างนี้แล
จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้

เพราะคำเหล่านี้แล จึงทำให้ถกเถียงกันว่า จิตจะเข้าสู่ความเป็นอัตตาเมื่อเข้าถึงนิพพาน ทั้งๆที่ เป็นสภาวะที่ คำพูดคำนึกคิด ก้าวไปไม่ถึง ไม่เหลือสัจจะใดๆ จิตก็ไม่ใช่จิต แล้ว ยังบ่เห็นกันเลย cry

:b27:
[b]คุณฝึกจิต ลองไปค้นดูต้นฉบับที่เป็นภาษาบาลีว่าที่ผู้แปลๆว่า "จิตของเรา"....."จิตของข้าพเจ้า"...ดังที่คาดสีแดงไว้นั้น บาลีจริงๆน่าจะไม่ระบุว่า "จิตของเรา" กระมังครับ :b10: :b10: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2012, 06:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
การนำปรมัตสัจจะมากล่าวโดยสมมุติสัจจะ มันเป็นเช่นนี้แหละครับ ท่านกบ เช่น
[๑๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว
โดยลำดับสิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ
จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ดังนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้แจ้งรูปแล้วแลว่า ไม่มีกำลังปราศจากความน่ารัก
มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ จึงทราบชัดว่า
จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ
และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ
และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ
และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้
ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่[b]อย่างนี้แล
จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้

เพราะคำเหล่านี้แล จึงทำให้ถกเถียงกันว่า จิตจะเข้าสู่ความเป็นอัตตาเมื่อเข้าถึงนิพพาน ทั้งๆที่ เป็นสภาวะที่ คำพูดคำนึกคิด ก้าวไปไม่ถึง ไม่เหลือสัจจะใดๆ จิตก็ไม่ใช่จิต แล้ว ยังบ่เห็นกันเลย cry

:b27:
[b]คุณฝึกจิต ลองไปค้นดูต้นฉบับที่เป็นภาษาบาลีว่าที่ผู้แปลๆว่า "จิตของเรา"....."จิตของข้าพเจ้า"...ดังที่คาดสีแดงไว้นั้น บาลีจริงๆน่าจะไม่ระบุว่า "จิตของเรา" กระมังครับ :b10: :b10: :b10: :b10:



เอ...แล้วพระสงฆ์องคเจ้า เป็น หมื่นเป็นแสน เขาไม่ได้ดูกันหรือครับ จึงปล่อยให้ แปลกันผิดๆ :b34: งง

แต่ถ้า เข้าใจว่า เอาสมมุติสัจจะ มาพูดเรื่อง ปรมัตสัจจะ ก็จะถึง บางอ้อ... :b16:

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2012, 07:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16:
อย่าทำเป็นเล่น คิด เห็นแล้วสรุปเอาง่ายๆนะครับ
"ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น" เข้าใจความหมายของภาษิตนี้ไหมครับ คุณฝึกจิต
:b41:
ถ้าอยากพิสูจน์ความจริงให้ไปสังเกต พิจารณาโดยละเอียดที่บทสวดธรรมคุณ (สวากขาโต....)แปลเป็นไทยและนิยมสวดกันไปทั่วบ้านทั่วมือง คำแปลก็ไม่ตรงกับทั้งพยัญชนะและที่สำคัญคือ อรรถะ ของบาลี
แต่ก็ยังนิยมใช้กันอยู่

:b10: :b10:
:b32: :b32:
:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2012, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16: :b16:
อย่าทำเป็นเล่น คิด เห็นแล้วสรุปเอาง่ายๆนะครับ
"ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น" เข้าใจความหมายของภาษิตนี้ไหมครับ คุณฝึกจิต
:b41:
ถ้าอยากพิสูจน์ความจริงให้ไปสังเกต พิจารณาโดยละเอียดที่บทสวดธรรมคุณ (สวากขาโต....)แปลเป็นไทยและนิยมสวดกันไปทั่วบ้านทั่วมือง คำแปลก็ไม่ตรงกับทั้งพยัญชนะและที่สำคัญคือ อรรถะ ของบาลี
แต่ก็ยังนิยมใช้กันอยู่

:b10: :b10:
:b32: :b32:
:b4: :b4: :b4:



ผมฟังท่านพุทธทาส พูดบ่อย ไอ้ ถี่ลอดช้าง ห่างลอดเล็น นี้ :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 07:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
:b16: :b16:
อย่าทำเป็นเล่น คิด เห็นแล้วสรุปเอาง่ายๆนะครับ
"ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น" เข้าใจความหมายของภาษิตนี้ไหมครับ คุณฝึกจิต
:b41:
ถ้าอยากพิสูจน์ความจริงให้ไปสังเกต พิจารณาโดยละเอียดที่บทสวดธรรมคุณ (สวากขาโต....)แปลเป็นไทยและนิยมสวดกันไปทั่วบ้านทั่วมือง คำแปลก็ไม่ตรงกับทั้งพยัญชนะและที่สำคัญคือ อรรถะ ของบาลี
แต่ก็ยังนิยมใช้กันอยู่

:b10: :b10:
:b32: :b32:
:b4: :b4: :b4:



ผมฟังท่านพุทธทาส พูดบ่อย ไอ้ ถี่ลอดช้าง ห่างลอดเล็น นี้ :b12: :b12: :b12:

smiley
ฟังแล้วลองเอาไปใช้วิเคราะห์วิจัยธรรมดูบ้างหรือยังครับ?
:b31: :b31: :b31:
:b4: :b4: :b4: :b4:
:b12: :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron